1 / 45

การใช้งาน osCommerce

การใช้งาน osCommerce. Introduction Catalog Modules Customers Location/Tax. Localization Report Tools SSL (Secure Socket Layer). Overview. Introduction. o sCommerce คืออะไร.

amadis
Download Presentation

การใช้งาน osCommerce

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การใช้งาน osCommerce

  2. Introduction Catalog Modules Customers Location/Tax Localization Report Tools SSL (Secure Socket Layer) Overview

  3. Introduction

  4. osCommerce คืออะไร osCommerce (Open Source Commerce) เป็นแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์ร้านค้าสำเร็จรูปเป็นเสมือนมีซอฟแวร์ไว้ใช้ฟรีเพราะเป็นซอฟแวร์โอเพนซอร์ส osCommerce ซึ่งมีความสามารถทั่วๆไปเหมือนสร้างเว็บร้านค้าจากโปรแกรม Dreamweaver, Frontpage หรืออื่นๆ ซึ่งมีคุณสมบัติรองรับระบบร้านค้าทั่วๆไป

  5. ความต้องการของระบบ • สามารถติดตั้งได้บนระบบปฏิบัติการ Linux, Unix, BSD, Mac OS X หรือ Windows • พัฒนาด้วยภาษา PHP ซึ่งเป็นภาษาที่เรียกว่า server-side หรือ HTML-embedded scripting language • ใช้ระบบฐานข้อมูล MySQL

  6. คำแนะนำ • เนื่องจากปัจจุบันมีโปรแกรมสำเร็จรูป ที่ได้รวบรวมโปรแกรมต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว อาทิ Appserv Xampp WmServer • แนะนำให้ใช้ Xampp เนื่องจากมีระบบ MailServer และระบบรักษาความปลอดภัย SSL

  7. การบริหารจัดการสินค้า และหมวดสินค้า(Catalog)

  8. การเพิ่ม/ลบหมวดสินค้า(Categories/Product)การเพิ่ม/ลบหมวดสินค้า(Categories/Product) • การเพิ่มหมวดสินค้า คือ การเพิ่มสินค้าตามหมวด ทำให้เราได้สินค้าหลายประเภท รวมถึงเราสามารถใส่รูปภาพตามหมวดได้ และเรียงลำดับรายการหมวดหมู่ได้ • เพิ่มสินค้า คือ การเพิ่มสินค้าตามหมวดสินค้าที่เรากำหนดไว้ ซึ่งการเพิ่มสินค้านั้นสามารถใส่ข้อมูลที่สำคัญ เพื่อให้สินค้านั้นมีความสมบูรณ์มากขึ้น รวมถึงสามารถบอกให้ลูกค้าว่าสินค้าเป็นอย่างไร เช่น สถานะสินค้า วันที่สินค้ามาถึง ผู้ผลิตสินค้า ราคาสินค้า จำนวนสินค้า เป็นต้น

  9. การเพิ่มหมวดสินค้า

  10. การกำหนดคุณสมบัติของสินค้า (Product Attributes) เป็นการกำหนดคำเรียกใช้ เช่น ปากกา3แท่ง โต๊ะ 5ตัว ซึ่งจะเป็นการระบุชนิดของสินค้าว่าเรียกใช้แบบใด และแต่ละกลุ่มที่เราเรียก บางครั้งอาจจะกำหนดคุณสมบัติมากกว่า 1ชนิดได้ เช่น ปากกา สีหมึกดำ 3 แท่ง ซึ่งกำหนดได้หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้มีการจัดการร้านค้าที่ง่ายขึ้น

  11. การกำหนดผู้ผลิต (Manufactures) เราสามารถใส่ชื่อผู้ผลิตสินค้านั้นๆได้ เพื่อบอกให้ลูกค้าได้ทราบว่า เราได้นำสินค้าจากบริษัทอะไรมาจำหน่าย

  12. การใส่คำวิจารณ์ (Reviews) เป็นการใส่ข้อคิดเห็น หรือข้อวิจารณ์ในตัวสินค้าว่าดีอย่างไร ใช้แล้วเป็นอย่างไร ใช้แล้วรู้สึกอย่างไร ก็สามารถบอกกล่าวด้วยวิธีนี้

  13. การกำหนดสินค้าราคาพิเศษ (Specials) เพื่อให้ร้านค้าเรามีความน่าสนใจมากขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาด ทำให้ยอดขายเราสูงขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ด้วยเครื่องมือพิเศษนี้ จึงออกแบบมาเพื่อรองรับกับตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงในเรื่องของราคา ทำให้มีเครื่องมือพิเศษที่สำคัญ คือ สินค้าราคาพิเศษ เพื่อรองรับกับตลาดที่มีการแข่งขัน

  14. สินค้าที่คาดว่าจะมาถึง (Products Expected) เป็นการกำหนดว่าสินค้าที่เราจำหน่ายอยู่ที่ยังไม่มา จะมาถึงสต๊อกสินค้าเมื่อไร

  15. โมดูล (Module)

  16. การชำระเงิน (Payment • เครื่องมือที่ช่วยให้การซื้อขายชำระเงิน ซึ่งโมดูลเหล่านี้สามารถติดต่อสู่บริษัทที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัทเครดิตการ์ด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้ตามความต้องการไม่ว่าลูกค้าจะเลือกใช้วิธีการ online หรือ offline ก็ตาม

  17. เครดิตการ์ด • เก็บเงินปลายทาง • เช็ค ธนาณัติ • Paypal • ThaiEpay

  18. ผลรวมคำสั่งซื้อ (Total Order) • เป็นการระบุถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะปรากฏในใบสรุปการสั่งซื้อของลูกค้า รวมถึงลำดับการจัดเรียงที่จะเกิดขึ้น

  19. การส่งสินค้า (Shipping) • วิธีการต่าง ๆซึ่งใช้เป็นทางเลือกในการส่งสินค้า เพื่อให้เหมาะสมกับการขนส่งในพี้นที่นั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการคำนวณจำนวนเงินที่ใช้ในการขนส่งรวมถึงการค่าใช้จ่ายในการบรรจุหีบห่อในคำสั่งซื้อของลูกค้าแต่ละครั้ง

  20. การส่งวิธีต่าง ๆ • Flat Rate • Per Item • Table Rate • United States Postal Service • Zone Rates

  21. การบริหารลูกค้า (Customers)

  22. ลูกค้า (Customers) • ในส่วนนี้เป็นการแสดงชื่อลูกค้า รายละเอียด รวมถึงคำสั่งซื้อที่เกิดขึ้น ทันทีที่ลูกค้าได้สมัครเป็นสมาชิกหรือมีการสั่งซื้อ ซึ่ง Admin สามารถทำการแก้ไข หรือลบ ลูกค้า และคำสั่งซื้อนั้นได้ แต่ไม่มีสิทธิเพิ่มลูกค้า นอกจากนี้เรายังสามารถส่งE-mailไปยังลูกค้าจากส่วนนี้ได้อีกด้วย

  23. คำสั่งซื้อ (orders) • ในส่วนนี้ Admin สามารถเรียกดูคำสั่งซื้อของลูกค้าทั้งหมดได้ สามารถแก้ไขสถานะของคำสั่งซื้อ ลบ หรือเรียกดูใบแจ้งหนี้ ใบหีบห่อได้ • ในส่วนนี้เราสามารถแก้ไขสถานะของคำสั่งซื้อได้ 3 สถานะ คือ • Pending รอดำเนินการ • Processing อยู่ระหว่างการดำเนินการ • Delivered จัดส่งเรียบร้อย

  24. พื้นที่/ภาษี (Location/Tax)

  25. ในส่วนของเครื่องมือตัวนี้ มีความสำคัญคือ ทำให้เราสามารถกำหนดพื้นที่หรือสถานที่จำหน่ายตามเขตต่างๆ เพื่อให้เราสามารถดูในเรื่องค่าขนส่งสินค้า รวมถึงกำหนดพื้นที่ภาษีได้ ทำให้เราสามารถกำหนดราคาในการจำหน่ายสินค้าได้

  26. การตั้งค่าท้องถิ่น (Localization)

  27. การตั้งค่าท้องถิ่นจะประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ 1.สกุลเงิน (Currencies) 2.ภาษา (Language) เป็นส่วนที่เราสามารถกำหนดภาษาในการใช้งาน โดยสามารถทำให้หน้าเว็บไซต์ของเราเป็นภาษาที่เราต้องการได้ 3.สถานะของคำสั่งซื้อ (Order Status) เป็นการกำหนดค่าของสถานะคำสั่งซื้อตามที่เรากำหนด

  28. รายงาน (Report)

  29. สินค้าที่มีคนสนใจ (Product Viewed ) • เป็นส่วนที่สามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าตัวไหนถูกเรียกชมจากลูกค้ามากที่สุด โดยจะเรียงจากสินค้าที่ถูกแสดงมากที่สุดไปยังน้อยที่สุด

  30. สินค้าที่มีผู้ซื้อ (Product Purchased) • เป็นส่วนที่ทำให้ทราบว่ามีผู้ซื้อมากซื้อน้อยแค่ไหน ทำให้เรารู้ว่าสินค้าชนิดใดมีคนซื้อมากก็ได้วางแผนการขายที่ถูกต้อง ซึ่งการแสดงผลจะแสดงสินค้าที่ถูกซื้อมากที่สุดก่อน

  31. ผลรวมของคำสั่งซื้อลูกค้าแต่ละคน (Customer Order-Total) • เป็นส่วนที่เราสามารถรู้ว่าคนที่มาซื้อสินค้าเราเป็นใคร ซื้อด้วยจำนวนเท่าใด ซื้อมากซื้อน้อย ความถี่ในการซื้อสินค้า

  32. เครื่องมือ (Tools)

  33. ทำสำรองฐานข้อมูล (Database Backup) • เครื่องมือ database backup อนุญาตให้เจ้าของร้านค้าทำการ backup ฐานข้อมูลของร้านค้า รวมถึงข้อมูลทั้งหมดของลูกค้าและข้อมูลการสั่งซื้อ แนะนำให้ทำการ backup อย่างสม่ำเสมอเพื่อกันกรณีที่เกิดปัญหากับร้านค้า เพราะไม่มีเครื่องมือในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการที่จะทำการ backup อย่างอัตโนมัติ • โดยเราควรสร้างไดเรกเทอรีขึ้นมาอีกไฟล์เพื่อไว้เก็บไฟล์สำรองไว้

  34. ตัวจัดการป้ายโฆษณา (Banner manager) • banner manager เป็นการจัดการแบนเนอร์อย่างง่ายเพื่อแสดงรูปภาพหรือแบนเนอร์ โดยแบนเนอร์แต่ละอันจะถูกกำหนดกลุ่มซึ่งจะถูกใช้เพื่อสุ่มในการแสดงในกลุ่มที่ได้เซทไว้และเมื่อเราคลิกบนแบนเนอร์นั้นมันก็จะลิ้งค์ไปหน้าเว็บของอันนั้นด้วย อีกทั้งเรายังสามารถกำหนดเวลาที่จะให้แบนเนอร์แสดงและหยุดแสดงแสดงได้โดยอัตโนมัติ

  35. ตัวจัดการแฟ้มข้อมูล (File Manager) • เป็นระบบการบริหารจัดการไฟล์ข้อมูลต่างๆที่อยู่บน server โดยผู้ใช้งานสามารถแก้ไขไฟล์ต่างๆแบบออนไลน์ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ หรือ Editors อื่นๆเลย ซึ่งสามารถเข้าไปเพิ่ม ลบ หรือแก้ไขไฟล์ต่างๆได้ อีกทั้งยังสามารถ upload ไฟล์หรือรูปภาพ

  36. ตัวจัดการจดหมายข่าว (Newsletter Manager) • Newsletter Manager คือระบบการจัดการจดหมายข่าวที่ส่งE-mailไปยังกลุ่มเป้าหมาย กล่าวคือจะมีการสร้างบัญชีลูกค้า 2โมดูลของ newsletter ซึ่งถูกติดตั้งโดยอัตโนมัติ • อันหนึ่งถูกใช้สำหรับส่งE-mailไปยังลูกค้าที่จะรับจดหมายข่าวเมื่อลูกค้าได้สร้างบัญชีผู้ใช้งาน และอีกอันหนึ่งสำหรับส่งE-mailไปยังลูกค้าที่ได้เลือกการแจ้งอัพเดทของสินค้า เช่นเดียวกันกับการส่ง E-mailทั่วไปไปยังลูกค้า

  37. การปรับแต่งหน้าร้าน (Catalog Area)

  38. Box • Add/Remove Boxes • Add Image To Boxes heading • Add Page Links

  39. Design and layout • Alter box • Setting the Table Width • Change the osCommerce Logo

  40. สรุป ข้อดีของการเปิดร้านด้วย osCommerce 1. เนื่องจาก osCommerce เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปให้ใช้กันฟรีๆ จึง ประหยัดเวลาในการออกแบบหรือสร้างเว็บ 2. ประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องจ้างพนักงานขาย 3. ขั้นตอนการติดตั้งไม่ยุ่งยาก 4. สามารถแก้ไขข้อมูลหรือรายละเอียดต่างๆได้ง่าย 5. มีความสามารถในการพัฒนา Script ต่างๆได้ง่าย

  41. 6. รองรับการชำระเงินได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นธนาณัติ บัตร เครดิตหรือธนาคารออนไลน์ 7. สามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 8. มีฟังก์ชันการทำงานที่ง่าย 9. มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดี 10.osCommerce มีชุนชนที่สามารถให้คำปรึกษาและพัฒนา osCommerce ในด้านต่างๆ

  42. ข้อเสียของ osCommerce 1. ผู้ดูแลระบบไม่สามารถปรับรูปแบบเว็บไซต์ให้ตรงกับความ ต้องการได้ 100% 2. มีกระบวนการทำงานบางอย่างที่ไม่เหมาะกับงานในบางประเทศ 3. การปรับแต่งหน้าเว็บขั้นสูง จำเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ ความ เชี่ยวชาญทางการเขียนโปรแกรม

More Related