1 / 30

พระราชบัญญัติประกันสังคม

พระราชบัญญัติประกันสังคม. พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่ลูกจ้างต่อไปนี้ ข้าราชการและลูกจ้างของทางราชการ ลูกจ้างของรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศเช่น องค์การยูเนสโก องค์การซีมีโอ เป็นต้น ลูกจ้างของนายจ้างที่มีสำนักงานในประเทศและไปประจำทำงานในต่างประเทศ.

Download Presentation

พระราชบัญญัติประกันสังคม

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. พระราชบัญญัติประกันสังคมพระราชบัญญัติประกันสังคม

  2. พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่ลูกจ้างต่อไปนี้พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่ลูกจ้างต่อไปนี้ • ข้าราชการและลูกจ้างของทางราชการ • ลูกจ้างของรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศเช่น องค์การยูเนสโก องค์การซีมีโอ เป็นต้น • ลูกจ้างของนายจ้างที่มีสำนักงานในประเทศและไปประจำทำงานในต่างประเทศ

  3. ครูหรือครูใหญ่โรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนครูหรือครูใหญ่โรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน • นักเรียน นักเรียนพยาบาล นิสิตหรือนักศึกษาหรือแพทย์ฝึกหัด ซึ่งเป็นลูกจ้างของโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือโรงเรียน • กิจการหรือลูกจ้างอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฎษฎีกา

  4. ให้ลูกจ้างต่อไปนี้ไม่เป็นลูกจ้างของพ.ร.บ.ประกันสังคมให้ลูกจ้างต่อไปนี้ไม่เป็นลูกจ้างของพ.ร.บ.ประกันสังคม • ลูกจ้างของสภากาชาดไทย • ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ตาม พ.ร.บ.พนังงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ. 2534 • ลูกจ้างของกิจการเพาะปลูก ประมง ป่าไม้ และเลี้ยงสัตว์ซึ่งได้ใช้ลูกจ้างตลอดปี • ลูกจ้างของนายจ้างที่จ้างไว้เพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวเป็นการจรหรือเป็นไปตามฤดูกาล

  5. ประเภทของผู้ประกันตน แบ่งเป็น 3ประเภท 1. ลูกจ้าง 2. ลูกจ้างที่เคยเป็นผู้กันกันตนมาก่อน 3. ผู้ประกอบอาชีพอิสระและบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกจ้าง

  6. ผู้ประกันตน • ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือ ลูกจ้างที่มีอายุ 15 ปีถึง 60 ปีบริบูรณ์หรือลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนอยู่และอายุเกิน 60 ปี และยังเป็นลูกจ้างอยู่ การเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุด เมื่อ • ตาย • สิ้นสภาพเป็นลูกจ้าง

  7. 2. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือ ลูกจ้างที่สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง และได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ถ้าต้องการเป็นผู้ประกันตนต่อไปให้แสดงความจำนง ภายใน 6 เดือน และให้ส่งเงินสมทบต่อไปเดือนละครั้ง

  8. 3. ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 คือ บุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างมาก่อน แต่สมัครใจเข้ามาเป็นผู้ประกันตน ประโยชน์ทดแทนที่ได้รับ - เจ็บป่วย รับเงินทดแทนการขาดรายได้ - ทุพพลภาพ รับเงินตามระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบ เป็นเวลา 15 ปี • เสียชีวิต ค่าทำศพ 20,000 บาท • บำเหน็จชราภาพ

  9. หน้าที่ของผู้ประกันตนหน้าที่ของผู้ประกันตน • ต้องจ่ายเงินสมทบ • ต้องมีบัตรประกันสังคม • เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่กำหนด • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ • ต้องให้ข้อมูลถูกต้อง • แจ้งผู้มีสิทธิรับเงินประกันตนกรณีตาย • ให้ความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ในการตรวจตรา

  10. หน้าที่ของนายจ้าง • ขึ้นทะเบียนกองทุนประกันสังคม ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป • แจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงของนายจ้างและผู้ประกันตนภายใน 15 วันของเดือนถัดไป • หักเงินสมทบจากค่าจ้าง ของลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตน • ออกเงินสมทบในส่วนของนายจ้าง และนำส่งเงินสมทบสำหรับค่าจ้างประจำเดือนที่ต้องนำส่ง ภายใน 15 วันของเดือนถัดไป • จัดทำทะเบียนผู้ประกันตน

  11. ประเภทของการประกันสังคมประเภทของการประกันสังคม • การประกันกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงานหรือนอกงาน • การประกันกรณีคลอดบุตร • การประกันกรณีทุพพลภาพ • การประกันกรณีตาย • การประกันกรณีสงเคราะห์บุตร • การประกันกรณีชราภาพ • การประกันกรณีว่างงาน

  12. กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยนอกงานกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยนอกงาน • จ่ายเงินสมทบในส่วนของกรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน สิทธิที่ท่านจะได้รับ1. บริการทางการแพทย์ รวมถึงค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษา2. เงินทดแทนการขาดรายได้3. การบำบัดทดแทนไต 4. การปลูกถ่ายไขกระดูก 5. ค่าบริการทางการแพทย์กรณีทันตกรรม

  13. กรณีประสบอุบัติเหตุ- จ่ายเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ภายใน 72 ชั่วโมง ไม่จำกัดจำนวนครั้ง- ถ้าเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลของรัฐ หรือเอกชน จ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง ตามความจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ภายใน 72 ชั่วโมง โดยไม่กำหนดจำนวนครั้ง

  14. กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยนอก จ่ายให้ปีละไม่เกิน 2 ครั้ง ดังนี้โรงพยาบาลรัฐบาล - ค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 700 บาท/ครั้ง โรงพยาบาลเอกชน - ค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,000 บาท/ครั้ง

  15. ประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตร • สิทธิจะเกิดเมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า7 เดือนภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนวันรับ 1. ได้รับเงินคลอดบุตรเหมาจ่ายครั้งละ 13,000 บาท 2. ได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน 3. ได้รับประโยชน์เบิกค่าคลอดบุตรได้ 2 ครั้ง ถ้าสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ ใช้สิทธิเบิกค่าคลอดบุตรได้ 4 ครั้ง

  16. ประโยชน์ทดแทนกรณีตาย • สิทธิจะเกิดเมื่อผู้ประกันตน จ่ายเงินสมทบในส่วนของกรณีตาย มาแล้วไม่น้อยกว่า 1 เดือนภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนถึงแก่ความตาย สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทน ดังนี้1. ผู้จัดการศพมีสิทธิได้รับค่าทำศพ 40,000 บาท

  17. 2. ผู้มีสิทธิจะได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตายดังนี้- ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้แต่ 3 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี ให้ได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างโดยเฉลี่ยหนึ่งเดือนครึ่ง- ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ตั้งแต่ 10 ขึ้นไปให้ได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างโดยเฉลี่ยห้าเดือน

  18. ผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย ได้แก่- บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์ หากผู้ประกันตนมิได้มีหนังสือระบุไว้ ผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์ คือ1. สามีหรือภริยา ที่จดทะเบียนสมรสกับผู้ประกันตน2. บิดา มารดา3. บุตร ชอบด้วยกฏหมายของผู้ประกันตน

  19. ประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพ • สิทธิจะเกิดเมื่อผู้ประกันตน ได้จ่ายเงินสมทบในส่วนของกรณีทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนดให้เป็นผู้ทุพพลภาพ มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลจ่ายเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ 2,000 บาทเงินทดแทนการขาดรายได้ ได้รับในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างตลอดชีวิต

  20. ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่ายกาย จิตใจและอาชีพเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นไม่เกิน 40,000 บาทต่อร่างกาย ทั้งนี้ให้จ่ายตามประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์อัตราค่าฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ทุพพลภาพค่าทำศพกรณีผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพถึงแก่ความตาย ผู้จัดการศพมีสิทธิได้รับค่าทำศพ 40,000 บาท

  21. เงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพถึงแก่ความตาย ผู้มีสิทธิจะได้รับเงินสงเคราะห์ดังนี้- ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 10 ปี ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพ ให้ได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ยหนึ่งเดือนครึ่ง- ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ก่อนเป็นผู้ทุพพลภาพให้ได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ยห้าเดือน

  22. กรณีสงเคราะห์บุตร • สิทธิที่ท่านจะได้รับเงินเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 350 บาท ต่อบุตรหนึ่งคน • เงื่อนไขของบุตรที่ได้รับการสงเคราะห์- เงินสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีอายุไม่เกิน 6 ปี บริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 2 คน (บุตร โดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม หรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น)

  23. ประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ • ประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ ได้แก่ • เงินเลี้ยงชีพรายเดือน เรียกว่า เงินบำนาญชราภาพ • เงินบำเหน็จที่จ่ายให้ครั้งเดียว เรียกว่า เงินบำเหน็จชราภาพ

  24. กรณีเงินบำนาญชราภาพเงื่อนไขการเกิดสิทธิ- จ่ายเงินสบทบไม่น้อยกว่า 180 เดือนไม่ว่าระยะเวลา 180 เดือนจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม และ- มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และ- ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

  25. เงินบำนาญชราภาพ- กรณีจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือนให้ได้รับเงินบำนาญชราภาพ ในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย - จ่ายเงินสมทบเกินกว่า 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบ ทุก 12 เดือน

  26. กรณีบำเหน็จชราภาพเงื่อนไขการเกิดสิทธิ- จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน และ- ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง และ- มีอายุครบ 55 ปี บริบูรณ์หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย

  27. กรณีว่างงาน • หลักเกณฑ์ที่จะทำให้ท่านมีสิทธิ คือ จ่ายเงินสมทบในส่วนของกรณีว่างงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงานเงื่อนไขการเกิดสิทธิ1. ต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐ2. มีความสามารถในการทำงาน และพร้อมที่จะทำงานที่เหมาะสมตามที่จัดหาให้3. ต้องไม่ปฏิเสธการฝึกงาน4. ต้องรายงานต่อเจ้าหน้าที่สำนักจัดหางาน ไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง

  28. สิทธิที่ท่านจะได้รับประโยชน์ทดแทน กรณีถูกเลิกจ้าง- ได้รับเงินทดแทนระหว่างการว่างงานปีละไม่เกิน 180 วัน (240)ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างกรณีลาออกจากงานกรณีสมัครใจลาออก- ได้รับเงินทดแทนระหว่างการว่างงานปีละไม่เกิน 90 วัน ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้าง

  29. ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนที่มีสภาพเป็นลูกจ้าง กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และขั้นสูงสุดไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ตัวอย่าง ลูกจ้างได้ค่าจ้างเดือนละ 20,000 บาท การคำนวณเงินสมทบหรือเงินประกันสังคม คิดจากยอด 15,000 บาทเท่านั้น ลูกจ้างต้องจ่ายเงินสมทบ=15,000x5 = 750 100

More Related