850 likes | 1.5k Views
องค์ความรู้เรื่องการฆ่าตัวตาย. ดร.พญ.เบ็ญจมาส พฤกษ์กานนท์. ประเภทของการฆ่าตัวตาย.
E N D
องค์ความรู้เรื่องการฆ่าตัวตายองค์ความรู้เรื่องการฆ่าตัวตาย ดร.พญ.เบ็ญจมาส พฤกษ์กานนท์
ประเภทของการฆ่าตัวตายประเภทของการฆ่าตัวตาย • แบ่งเป็น 5 ประเภทดังนี้ 1. ความคิดฆ่าตัวตาย (suicidal ideation or suicidal thoughts) เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับตนเองว่าไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ หมกมุ่นความคิดที่จะทำลายตนเอง แต่ยังเป็นแค่คิดซึ่งยังไม่เกิดพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย • 2. การขู่จะฆ่าตัวตาย (suicide threat) เป็นพฤติกรรมการใช้วาจาหรือไม่ใช้วาจา แสดงสัญญาณเตือนทางตรงและทางอ้อม หรือวางแผนจะทำลายชีวิตตนเอง ซึ่งพฤติกรรมจะปรากฏก่อนการฆ่าตัวตาย • 3. การแสร้งกระทำการฆ่าตัวตาย (suicide gestures) เป็นการทำร้ายตนเองให้บาดเจ็บเล็กน้อยหรือไม่ได้รับบาดเจ็บเลย โดยผู้กระทำไม่ได้ตั้งใจที่จะจบชีวิตลงและไม่ได้คาดหวังว่าตนเองจะตาย
ประเภทของการฆ่าตัวตายประเภทของการฆ่าตัวตาย • 4. การพยายามฆ่าตัวตาย (suicide attempt) เป็นการทำร้ายตนเองที่ตั้งใจให้ตนเองจบชีวิตลงแต่ไม่ประสบความสำเร็จ อาจมีการทำซ้ำในระยะเวลา 1 ปีหลังจากเคยพยายามฆ่าตัวตาย • 5. การฆ่าตัวตายสำเร็จ (completed or successful suicide) เป็นการตายโดยผู้กระทำตั้งใจทำลายชีวิตตนเองให้จบลง เป็นการกระทำของบุคคลที่ตั้งใจจริงที่ต้องการตาย แล้วก็ตายสำเร็จในที่สุด
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายและการพยายามฆ่าตัวตายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายและการพยายามฆ่าตัวตาย • ปัจจัยส่วนบุคคล • ปัจจัยทางด้านร่างกาย • ปัจจัยด้านสังคม • ปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด • ปัจจัยการขาดการสนับสนุนทางสังคม • ปัจจัยทางชีวภาพ • ปัจจัยทางจิตใจ
1. ปัจจัยส่วนบุคคล เป็นลักษณะบุคลิกของแต่ละบุคคลที่มีการศึกษาพบว่ามีความสัมพันธ์กับการฆ่าตัวตายได้แก่ 1.1 เพศ • เพศหญิงเป็นเพศที่พยายามฆ่าตัวตายมากกว่าเพศชาย 2 เท่า • แต่เพศชายจะมีการฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าเพศหญิง เพราะเพศชายมักไม่แสวงหาความช่วยเหลือไม่ระบายถึงปัญหาหรือระบายความรู้สึกไม่สบายใจให้ผู้อื่นฟัง จึงเป็นสาเหตุให้เพศชายฆ่าตัวตายสำเร็จสูง • ในประเทศไทยเพศชายมักใช้วิธีฆ่าตัวตายที่รุนแรงมากกว่าเพศหญิงจึงทำให้มีอัตราฆ่าตัวตายสำเร็จในเพศชายมากกว่าเพศหญิงชัดเจน
1. ปัจจัยส่วนบุคคล 1.2 อายุ • การพยายามฆ่าตัวตายและการฆ่าตัวตายพบได้ทุกกลุ่มอายุ • กลุ่มอายุที่พบการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายสูงได้แก่ วัย 15-24 ปีและ กลุ่มผู้สูงอายุ • ในประเทศไทยพบว่าช่วงอายุ 20-34 ปี มีการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายมากที่สุด และสูงสุดในช่วงอายุ 20-24 แต่ในปี 2541-2545 กลับพบว่า มีผู้สูงอายุมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น และในปี 2546-2550 กลับเป็นวัยทำงานอายุระหว่าง 24-45 มีอัตราการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น โดยคนกลุ่มนี้จะใช้วิธีการแขวนคอเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาใช้สารเคมีประเภทยาฆ่าแมลงยากำจัดศัตรูพืชและอาวุธปืน
1. ปัจจัยส่วนบุคคล 1.3 สถานภาพสมรส • เพศชายและหญิงที่มีสถานภาพสมรสที่สมรสแล้ว มีอัตราการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายน้อยกว่าผู้ที่สถานภาพสมรส โสด หม้าย หย่า และแยกกันอยู่ ซึ่งมีอัตราการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายสูง • บางการศึกษาพบว่าบุคคลที่ประสบความล้มเหลวในชีวิตสมรสเมื่ออายุมากขึ้นจะพบอัตราการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้น 1.4 ประวัติบุคคลในครอบครัว หรือญาติที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ฆ่าตัวตาย • ครอบครัวที่มีญาติสายตรงที่เคยมีประวัติพยายามฆ่าตัวตายมาก่อนจะมีความเสี่ยงในการพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าประชากรทั่วไป 2.8 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาครอบครัวที่มีประวัติการฆ่าตัวตายสำเร็จ สมาชิกในครอบครัวจะมีโอกาสพยายามฆ่าตัวตายสูงกว่าบุคคลทั่วไป
2. ปัจจัยทางด้านร่างกาย เป็นลักษณะทางกายภาพที่มีตั้งแต่กำเนิดของแต่ละบุคคล และอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพจิตใจและสังคม ซึ่งประกอบด้วย 2.1 การเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตเวช พบว่าพฤติกรรมการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายเนื่องจากการเจ็บป่วยทำให้เกิดความรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง ซึมเศร้า เครียด นาสู่การพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตาย 2.2 การเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย ได้แก่ • การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง เอดส์ ไตวาย ผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังจะมีความเสี่ยงต่อการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายสูงมากที่สุด เพราะขณะที่โรคกำเริบ หรือ ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคนั้น • โรคที่ส่งผลต่อภาวะทุพลภาพสูง เช่น การบาดเจ็บที่สมองหรือไขสันหลัง
2. ปัจจัยทางด้านร่างกาย 2.3 ประวัติการใช้สารเสพติด • เนื่องจากฤทธิ์ของสารเสพติดมีผลต่อสมองส่วนที่การควบคุมอารมณ์ ทาให้อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายความคิดสับสนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ การตัดสินใจหุนหันพันแล่น ซึมเศร้า • ผู้ดื่มสุรามีอัตราเสี่ยงต่อการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายเป็น 20.24 เท่าของผู้ที่ไม่ได้ดื่มสุรา • สำหรับผู้ที่ดื่มสุราที่มีความทุกข์ใจและไม่มีทางออกเมื่อมีความทุกข์ทางใจ มีอัตราเสี่ยงต่อการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายเป็น 3.02 เท่าของผู้ที่มีทางออกเมื่อมีความทุกข์ทางใจ
3. ปัจจัยด้านสังคม เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดาเนินชีวิตของบุคคล และจะส่งผลกระทบทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ • ปัจจัยทางสังคมเชื่อว่าเกิดจากความสัมพันธ์ของบุคคลต่อสิ่งแวดล้อมในสังคม แบ่งสาเหตุการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. การพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายที่นึกถึงตนเอง (Egoistic suicides) เป็นการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายที่เกิดจากการปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ ขาดความผูกพันกับครอบครัวหรือสังคม คิดถึงตนเองเป็นสำคัญมุ่งประโยชน์ส่วนตัวมากกว่า 2. การพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายเพื่อเสียสละ (Altruistic suicide) เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น เนื่องจากมีความผูกพันกับสังคมและส่วนรวมมากเกินไป ยอมให้สังคมมีอิทธิพลต่อตนเอง ยึดถือความอยู่รอดของกลุ่มมากกว่าตนเองจนทาให้สามารถทำลายตนเองได้เพื่อกลุ่มเป็นการเสียสละ
4. ปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด • ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดที่ทำให้การพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตาย • ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล เชื่อว่าความล้มเหลวในการจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากสัมพันธภาพกับบุคคลสำคัญในชีวิตทำให้เกิดการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายสำเร็จ • เหตุการณ์ส่วนใหญ่ที่เผชิญมักเป็นเรื่องสูญเสีย เช่น การตายของบุคคลอันเป็นที่รัก การหย่า การพลัดพรากเป็นต้น • บางการศึกษาพบว่าสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บุคคลมีพฤติกรรมการพยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายสำเร็จ เป็นการเรียนรู้โดยตรงจากการสังเกตและการปฏิบัติของคนอื่น • การทะเลาะเบาะแว้งของคนในครอบครัวจะเป็นตัวกระตุ้นให้พยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายสำเร็จ
5. ปัจจัยการขาดการสนับสนุนทางสังคม • ผู้หากผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายได้รับการดูแลช่วยเหลือจากญาติหรือผู้ใกล้ชิด ทำให้เกิดความหวังมีกำลังใจในชีวิตมากขึ้นจะทำให้สถานการณ์ที่รุนแรงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ลดลง ทำให้การฆ่าตัวตายนั้นคลี่คลาย การสนับสนุนทางสังคมมีความสำคัญในการช่วยให้ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายไม่มีการฆ่าตัวตายซ้ำอีก • ปัญหาความเป็นอยู่ในชีวิตประจาวัน เช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ การว่างงาน การลาออกจากงาน หรือ ถูกไล่ออกจากงาน รวมถึงการสูญเสียทรัพย์สินอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับทางบวกกับอัตราการฆ่าตัวตาย
6. ปัจจัยทางชีวภาพ • จากการศึกษาเรื่องโครงสร้างทางชีวภาพของสารเคมีในสมอง และการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาท พบว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดอารมณ์ที่ผิดปกติ • ในกลุ่มที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเคยฆ่าตัวตาย เครียด วิตกกังวล เก็บกด และก้าวร้าว จะมีสารซีโรโตนิน และโดปามินต่ากว่าปกติ • การตรวจหาระดับโคเลสเตอรอลในเลือดของผู้ป่วยจิตเวชที่พยายามฆ่าตัวตายหรือมีความคิดฆ่าตัวตายพบว่าระดับโคเลสเตอรอลสูงกว่าผู้ที่ไม่แสดงพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย
7. ปัจจัยทางจิตใจ 7.1 แนวคิดของทฤษฏีจิตวิเคราะห์ 7.2 แนวคิด ทฤษฎีบุคลิกภาพ • เชื่อว่าการพยายามฆ่าตัวตายและการฆ่าตัวตายเกิดจากความสำนึกในคุณค่าแห่งตนต่ำและรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย 7.3 แนวคิด ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่าบุคคล • เชื่อว่ามีความขัดแย้งที่เกิดจากประสบการณ์ชีวิต ด้านสัมพันธภาพกับบุคคลสำคัญในชีวิต โดยเฉพาะวัยต้นของชีวิต ประสบการณ์ที่ที่ได้รับมักพบว่าถูกปฏิเสธ ทำให้มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตนเองทำให้เกิดการปฏิเสธตนเอง ทำให้พยายามฆ่าตัวตายและการฆ่าตัวตาย 7.4 ทฤษฏีปัญญานิยม เชื่อว่า มีลักษณะทางปัญญาติดอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นแบบสุดขั้วสองด้าน การหาทางเลือกจัดการกับปัญหาได้ยาก มีลักษณะความคิดทางลบ มองโลกในแง่ร้ายเกิดความรู้สึกหมดหวัง ท้อแท้ รู้สึกตนเองไร้ค่า เกิดภาวะซึมเศร้า
ผลกระทบจากการพยายามฆ่าตัวตาย • ในกรณีที่ทำสำเร็จก่อให้เกิดความรู้สึกผิด เศร้าโศกเสียใจของผู้ที่ได้รับการสูญเสียตลอดเวลา • หากผู้กระทำไม่สาเร็จจะทำให้รู้สึกผิดและคิดว่าตนเองเป็นสร้างปัญหาเป็นภาระแก่ผู้อื่น จึงพยายามฆ่าตัวตายซ้ำ และมีวิธีการกระทำที่รุนแรงขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อตนเอง ครอบครัว ประเทศชาติ • ในประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาต้องสูญเสียงบประมาณอย่างน้อยสุด ร้อยละ 1 เพื่อดูแลสุขภาพของประชากรในประเทศในด้านสุขภาพจิตในการแก้ปัญหาการฆ่าตัวตายแบบบูรณาการ • ผลกระทบต่อตัวผู้ป่วย • ผลกระทบต่อครอบครัว • ผลกระทบต่อสังคมและประเทศชาติ
ผลกระทบต่อตัวผู้ป่วย • คือ การได้รับความพิการ การบาดเจ็บทางร่างกาย และสภาพจิตใจและความรู้สึกของผู้พยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นภาวะวิกฤติที่ทำให้ผู้พยายามฆ่าตัวตายเสียสมดุลย์ทางด้านร่างกายและจิตใจเพราะได้รับผลแทรกซ้อนทางด้านร่างกายและจิตใจ • ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายจะรู้สึกอายและเกิดตราบาปกับตัวเอง จากทัศนคติของสื่อและสังคมมีผลต่อผู้รอดชีวิตรู้สึกว่าสังคมไม่ยอมรับตนเอง • ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายมักจะไม่ได้รับความสนใจในการดูแล ถูกทอดทิ้งและซ้ำเติมให้รู้สึกผิดจากสมาชิกในครอบครัว ทำให้มีโอกาสพยายามฆ่าตัวตายซ้ำ
ผลกระทบต่อครอบครัว • คือ บุคคลในครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดจะเกิดปฏิกิริยากับการพยายามฆ่าตัวตาย • ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย • ในระยะแรกจะมีอาการ รู้สึกช็อก ร้องไห้คร่าครวญ เศร้าโศกเสียใจ เบื่ออาหาร น้าหนักลด นอนไม่หลับตื่นกลางดึก หรือฝันถึงคนที่ตาย ทำให้อาจเกิดผลการเจ็บป่วยทางกายและจิตใจต่อไปได้ ในบางรายยังมีอาการรู้สึกผิด โกรธโทษตัวเอง และเป็นภาระในการดูแลของบุคคลในครอบครัวทาให้ขาดรายได้ • องค์การอนามัยโลกได้ประมาณการว่าผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย จนกระทั่งมีฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ส่งผลกระทบกับคนใกล้ชิดอย่างน้อย 6 คน
ผลกระทบต่อสังคมและประเทศชาติ • การพยายามฆ่าตัวตายทำให้เกิดผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อคนในครอบครัว คนใกล้ชิด และคนในสังคม • อาจก่อให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบพฤติกรรมการพยายามฆ่าตัวตาย รวมถึงทัศนคติของคนในสังคมที่มองการมีผู้พยายามฆ่าตัวตายเกิดขึ้นในสังคมเป็นเรื่องปกติเป็นทางออกในการแก้ปัญหา จากการนำเสนอสื่อต่างๆ ซึ่งข่าวหรือภาพที่ปรากฏ มีผลทำให้คนในสังคมที่เผชิญปัญหาซึ่งแก้ไขไม่ได้มีความรู้สึกอยากเลียนแบบ • ในการสูญเสียอาจก่อให้เกิดปัญหาสังคมด้านอื่น เช่น ปัญหาการใช้สารเสพติด ทำให้เกิดคดีต่างๆ ได้ ทำให้สังคมไม่มีความสงบสุข • ประเทศชาติได้รับการสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ จากความพิการ หรือ การเจ็บป่วย ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ขาดโอกาสในการทางานหารายได้ หลังจากที่พยายามฆ่าตัวตาย • จากการรายงานของโรงพยาบาลจิตเวช 12 แห่งพบว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย สูงถึง 37,739 บาทต่อราย และจากระบบส่งต่อ 2,000 รายต่อปี คิดต้นทุนในระบบบริการประมาณ 41-107 ล้านบาทต่อปี (กรมสุขภาพจิต, 2552)
ระดับหลักฐานสนับสนุนประสิทธิผลของแนวทางในการป้องกันการฆ่าตัวตายระดับหลักฐานสนับสนุนประสิทธิผลของแนวทางในการป้องกันการฆ่าตัวตาย • แนวทางที่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจนว่ามีประสิทธิผล • แนวทางที่มีหลักฐานสนับสนุนบ้างว่ามีประสิทธิผล • แนวทางที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน แต่อาจมีประโยชน์ในการป้องกันการฆ่าตัวตาย • แนวทางที่มีหลักฐานว่ามีอันตราย
1. แนวทางที่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจนว่ามีประสิทธิผล • การฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความสามารถในการวินิจฉัยและดูแลโรคซึมเศร้าและภาวะที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย เช่น การติดสุราและสารเสพติด • การควบคุมการเข้าถึงสิ่งที่ใช้ฆ่าตัวตาย • การให้ความรู้แก่ผู้มีส่วนเฝ้าระวังผู้มีความเสี่ยง เช่น ครู ผู้ดูแลนักโทษ ผู้ดูแลบุคลากรในโรงงาน
2. แนวทางที่มีหลักฐานสนับสนุนบ้างว่ามีประสิทธิผล • การดูแลประคับประคองหลังการพยายามฆ่าตัวตาย • การรักษาโรคทางจิตเวชด้วยยา • การรักษาโรคทางจิตเวชด้วยจิตบำบัดและการช่วยเหลือทางจิตสังคม • การให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องสุขภาพจิตและโรคซึมเศร้า • การใช้แบบคัดกรองเพื่อสืบค้นโรคซึมเศร้าและผู้มีความเสี่ยงการฆ่าตัวตาย • การมีศูนย์ดูแลบุคคลยามประสบภาวะวิกฤติ และมีแหล่งให้คำปรึกษา • การจัดโปรแกรมส่งเสริมศักยภาพและทักษะในการจัดการปัญหา ให้แก่นักเรียน • การส่งเสริมให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายอย่างรับผิดชอบต่อสังคม • การให้ความช่วยเหลือประคับประคองแก่ครอบครัวและเพื่อนของผู้ฆ่าตัวตาย
3. แนวทางที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน แต่อาจมีประโยชน์ในการป้องกันการฆ่าตัวตาย • การเพิ่มมาตรการควบคุมสุรา • การมีแหล่งบริการทางสุขภาพจิตในชุมชน • การให้ความช่วยเหลือประคับประคองแก่ครอบครัวที่ประสบความกดดันหรือมีปัญหา
4. แนวทางที่มีหลักฐานว่ามีอันตราย • การจัดโปรแกรมในโรงเรียนชนิดเน้นให้มีการตระหนักเรื่องการฆ่าตัวตาย • การให้ข้อมูลแก่ประชาชนหรือการนำเสนอในสื่อเรื่องการฆ่าตัวตาย • การให้ผู้ป่วยทำสัญญาว่าจะไม่ฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตนเอง • การบำบัดแบบให้ผู้ป่วยเล่าเรื่องกระทบกระเทือนใจที่หลงลืมไป
รูปแบบการป้องกันการฆ่าตัวตายรูปแบบการป้องกันการฆ่าตัวตาย • การให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องสุขภาพจิตและการฆ่าตัวตาย • การส่งเสริมการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายอย่างเหมาะสม • การควบคุมการเข้าถึงสิ่งที่ใช้ในการฆ่าตัวตาย • การลดอุปสรรคที่ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดี • การให้ความรู้ด้านสุขภาพจิตแก่บุคลากรด้านสาธารณสุข • การป้องกันการฆ่าตัวตายในโรงเรียน • การให้ความรู้แก่ผู้เฝ้าระวังในชุมชน • การให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์
การให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องสุขภาพจิตและการฆ่าตัวตายการให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องสุขภาพจิตและการฆ่าตัวตาย • ลดตราบาป เพราะเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยไม่มารักษา และประชาชนไม่ให้ความสนใจเนื่องจากคิดว่าการฆ่าตัวตายช่วยเหลือแก้ไขไม่ได้ • โครงการที่ทำแบบเหวี่ยงแห ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม มักไม่มีประสิทธิผล โครงการที่พบว่าได้ผลกว่าคือโครงการที่มีขนาดไม่ใหญ่มากและมุ่งที่ประชากรเฉพาะกลุ่ม
การส่งเสริมการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายอย่างเหมาะสมการส่งเสริมการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายอย่างเหมาะสม • เลี่ยงการนำเสนอข่าวให้เกิดความรู้สึกว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งน่าสนใจ • เลี่ยงการบรรยายวิธีการฆ่าตัวตายโดยละเอียด • ตระหนักถึงโอกาสเกิดการเลียนแบบ หากผู้ฆ่าตัวตายเป็นดาราหรือผู้มีชื่อเสียง • ให้ความรู้เกี่ยวกับการฆ่าตัวตายไปพร้อมกับการนำเสนอข่าว • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นและแหล่งช่วยเหลือ • คำนึงถึงผลกระทบที่อาจมีต่อญาติหรือผู้ใกล้ชิด
หลักการดูแลรักษาผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายหลักการดูแลรักษาผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย • ประเมินผู้ป่วยอย่างครอบคลุม • กำจัดปัจจัยเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายของผู้ป่วย • สนับสนุนปัจจัยป้องกันต่อการฆ่าตัวตายของผู้ป่วย • รักษาโรคจิตเวชที่เกี่ยวข้อง
ปัจจัยเสี่ยง สุขน้อย หญิง สูงอายุ หม้าย/หย่า/แยก การศึกษาต่ำ รายได้น้อย เป็นหัวหน้าครอบครัว การงานไม่มั่นคง เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อยู่ในจังหวัดที่รวย (แต่ตัวเองจน) มีหนี้สินนอกระบบ ไม่สนใจศาสนา (หนี้ในระบบไม่ใช่ปัญหา)
ปัจจัยปกป้อง สุขมาก • ครอบครัวมีเวลาให้กันอย่างเพียงพอ มีกิจกรรมร่วมกัน เข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน/หมู่บ้าน • ยกโทษและให้อภัยผู้ที่สานึกผิดอย่างจริงใจ • ปฏิบัติตามหลักคาสอนทางศาสนา • ถ้าเป็นชาวพุทธ : ฝึกสมาธิ • ประเมินตนเองว่ามีสุขภาพดี • ออกกาลังกาย • การงานมั่นคง มีที่ดินทากินเป็นของตนเอง
การประเมินความเสี่ยง • เจตนา • โรคทางจิตเวชและโรคทางกาย • การจัดการปัญหา • แหล่งสนับสนุน • ข้อมูลทั่วไป
1. เจตนา • คุณเคยรู้สึกอยากนอนหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมามั๊ย? • คุณเคยรู้สึกไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมมั๊ย? • คุณเคยมีความคิดทำร้ายตนเองมั๊ย ? • คุณเคยมีความคิดฆ่าตัวตายมั๊ย? • คุณได้วางแผน/เตรียมการการฆ่าตัวตายหรือยัง? • คุณวางแผนอย่างไรบ้าง? (เช่น วิธีการ เวลา จดหมายลาตาย)
2. โรคทางจิตเวชและโรคทางกาย • โรคซึมเศร้า • อาการทางจิต • สุรายาเสพติด • โรคมะเร็ง • โรคเอดส์ • พิการ/อัมพาต
ความสัมพันธ์ระหว่างโรคทางอารมณ์ การพยายามฆ่าตัวตาย และการฆ่าตัวตายสำเร็จ การการพยายามฆ่าตัวตาย Fโโรคทางอารมณ์ กการฆ่าตัวตายสำเร็จ 10%ของคนที่เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อนจะฆ่าตัวตายสำเร็จภายใน 10ปี 15%ของผู้ป่วยโรคทางอารมณ์จะฆ่าตัวตายสำเร็จในที่สุด 45-70%ของคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นโรคทางอารมณ์ 20-25%ของคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน
3. การจัดการปัญหา • พฤติกรรมฆ่าตัวตาย/ทำร้ายตนเองในอดีต • การใช้สุรายาเสพติด • วิธีคิด/ความเชื่อ/ทัศนคติ • บุคลิกภาพ • ทักษะการแก้ปัญหา • ประสบการณ์ตรงในอดีต
4. แหล่งสนับสนุน • ลูก • ครอบครัว • คนสำคัญในชีวิต • เพื่อนสนิท • ชุมชน • บุคลากรทางการแพทย์
5. ข้อมูลทั่วไป • เพศ • อายุ • สถานภาพสมรส • การศึกษา • ฐานะ • ศาสนา
ระดับความเสี่ยงและการดูแลระดับความเสี่ยงและการดูแล • สูง ต้องรับไว้ในสถานบำบัด • ปานกลาง ควรรับไว้ในสถานบำบัด หากให้กลับบ้าน ญาติต้องดูแลในสายตา 24 ชั่วโมง,เก็บอาวุธพ้นมือ • ต่ำ อาจให้กลับบ้านได้ ให้การช่วยเหลือทางจิตสังคมก่อนกลับบ้าน
สิ่งที่มักพบร่วมกันในผู้ฆ่าตัวตายสิ่งที่มักพบร่วมกันในผู้ฆ่าตัวตาย • ต้องการหาทางออกต่อปัญหา • เป้าหมายเพื่อจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก • สิ่งกระตุ้น ได้แก่ ความทุกข์ทรมานใจจนทนไม่ได้ • สิ่งกดดัน ได้แก่ ความผิดหวัง ไม่สมหวัง • ภาวะอารมณ์เป็นแบบรู้สึกสิ้นหวัง อะไรก็ช่วยไม่ได้ • รู้สึกสองจิตสองใจต่อการฆ่าตัวตาย • มุมมองต่อสิ่งต่างๆแคบลง • ทำเพื่อหนีความทุกข์ใจ • แสดงออกต่อผู้อื่นเพื่อสื่อถึงความอยากตาย • ใช้รูปแบบเดิมๆในการปรับตัวต่อปัญหามาโดยตลอด
การให้คำปรึกษา/จิตบำบัดการให้คำปรึกษา/จิตบำบัด • การให้คำปรึกษา • จิตบำบัดที่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ได้แก่ cognitive – behavioral therapy (CBT)และ Interpersonal psychotherapy (IPT) • อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นจิตบำบัดชนิดใดสิ่งสำคัญก็คือ สัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ป่วยและผู้รักษา และการที่ผู้รักษามองผู้ป่วยในแง่ดี และกระตือรือร้นในการช่วยเหลือ • การสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ป่วยกับผู้รักษา • ทัศนคติของผู้รักษาซึ่งเห็นอกเห็นใจ • จิตบำบัดแนวพุทธ
“การฆ่าตัวตาย ป้องกันได้ รักษาได้ ไม่มีใครอยากฆ่าตัวตาย คุณอาจเป็นคนสำคัญที่สุดที่ช่วยชีวิตเขาไว้ในนาทีวิกฤติ”