430 likes | 1.01k Views
เงินเฟ้อ (Inflation). วัตถุประสงค์ของของการศึกษาเรื่องเงินเฟ้อ. ความหมายและปัญหาของเงินเฟ้อ สาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อ เงินเฟ้อ และ วัฏจักรของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ. ความหมายของเงินเฟ้อ. อัตราเงินเฟ้อ (The inflation rate) คือ
E N D
วัตถุประสงค์ของของการศึกษาเรื่องเงินเฟ้อวัตถุประสงค์ของของการศึกษาเรื่องเงินเฟ้อ • ความหมายและปัญหาของเงินเฟ้อ • สาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อ • เงินเฟ้อ และ วัฏจักรของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ
ความหมายของเงินเฟ้อ • อัตราเงินเฟ้อ (The inflation rate) คือ • ค่าร้อยละของการเพิ่มขึ้นในระดับราคาทั่วไป ในช่วงเวลาที่กำหนดให้ไม่ใช่การสูงขึ้นของราคาชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ • ระดับราคาทั่วไปที่นำมาพิจารณาภาวะเงินเฟ้อจะอยู่ในรูปดัชนีราคา • เงินเฟ้อเป็นกระบวนการที่ระดับราคาสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่กระบวนการที่ราคาสูงขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วหยุด
ชนิดของเงินเฟ้อมี 3ประเภท ดังนี้ 1.) เงินเฟ้ออย่างอ่อน(Creeping or Gradual or Mild Inflation) 2. ) เงินเฟ้อปานกลาง 3.) เงินเฟ้ออย่างรุนแรง(Hyperinflation)
1.) เงินเฟ้ออย่างอ่อน(Creeping or Gradual or Mild Inflation) เงินเฟ้อประเภทนี้ จะสามารถสังเกตได้ว่าระดับราคาของสินค้าจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ก็เป็นอันตรายและสามารถสร้างปัญหาให้กับประเทศอุตสาหกรรมได้เช่นกัน นักเศรษฐศาสตร์มองว่า เงินเฟ้อประเภทนี้ อาจให้ประโยชน์แก่เศรษฐกิจในด้านของการเพิ่มสูงขึ้นของราคาจะช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชากร , อัตราการลงทุนสูงขึ้น ดังนั้นรายได้จะสูงขึ้น แต่ถ้ากลับมองในอีกแง่หนึ่งถ้าเรากำจัดเงินเฟ้อประเภทนี้ อาจก่อให้เกิดการว่างงานมากขึ้น
2. ) เงินเฟ้อปานกลาง คือ อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเกินร้อยละ 5 แต่ไม่เกิน ร้อยละ 20 (สินค้าโดยทั่วไปราคาแพง)ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการผลิต เพราะต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าก็จะสูงตามขึ้นไป ประชาชนจะประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้นโดยได้รับความเดือดร้อนเรื่องราคาสินค้าแพง ดังนั้นรัฐบาลจะยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไขโดยใช้มาตรการทางการเงินและการคลัง
.3) เงินเฟ้ออย่างรุนแรง(Hyperinflation) เงินเฟ้อประเภทนี้จะสามารถสังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง เช่น เมื่อซื้อสินค้าในวันหนึ่ง ๆ จะได้ราคาที่แตกต่างกันในแต่ละช่วง คือ เช้าราคาหนึ่ง สายก็อีกราคาหนึ่งแต่พอตกเย็นก็จะเป็นอีกราคาหนึ่ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ก่อให้เกิดการทำลายระบบเศรษฐกิจอย่างมาก มันจะทำให้หน้าที่ของเงิน หมดไป การแลกเปลี่ยนจะกลับมาสู่สิ่งของแลกสิ่งของแทน ประเทศที่ประสบปัญหานี้ คือ เยอรมันและอินโดนีเซีย
สาเหตุของเงินเฟ้อ 1. สาเหตุของเงินเฟ้อจากทางด้านอุปสงค์ เรียกว่า demand pull inflation AD= C+I+G+(X-M) AD= Aggregate demand (อุปสงค์มวลรวม) AS= Aggregatesupply (อุปทานมวลรวม) P = ระดับราคา
ปัจจัยที่ทำให้อุปสงค์รวมเพิ่มขึ้นปัจจัยที่ทำให้อุปสงค์รวมเพิ่มขึ้น • การใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยของประชาชน • ธุรกิจใช้จ่ายเงินมากไป เกิดการขยายการลงทุน • รัฐบาลใช้จ่ายเงินมากไป • มีรายได้จากการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น
สาเหตุเงินเฟ้อ (ต่อ) 2. เงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุนผลัก (Cost push inflation) เกิดจากปัจจัยการผลิตสูงขึ้น เช่น • ราคาน้ำปิโตรเลียม • อัตราค่าจ้างสูงขึ้น • อยากได้กำไรมาก ฯลฯ
ความสามารถในการแข่งขันความสามารถในการแข่งขัน • การสูงขึ้นของเงินเฟ้อจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ • ประเทศที่มีเงินเฟ้อสูง ศักยภาพในการแข่งขันจะลดลง เพราะราคาสินค้าของประเทศที่เกิดเงินเฟ้อสูง จะแพงขึ้นกว่า ประเทศที่มีเงินเฟ้อต่ำ ผลลัพธ์ คือ • การส่งออกมีแนวโน้มลดลง การนำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การส่งออกสุทธิลดลง • ปริมาณเงินตราต่างประเทศมีแนวโน้มลดลง อัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มสูงขึ้น เงินของประเทศที่มีเงินเฟ้อสูงขึ้นจะอ่อนค่าลง ความสามารถในการแข่งขันลดลง
ผู้เสียผลประโยชน์จากเงินเฟ้อผู้เสียผลประโยชน์จากเงินเฟ้อ ผู้ได้ผลประโยชน์จากเงินเฟ้อ • เจ้าหนี้ • ผู้มีรายได้ประจำ • (รายได้ของเจ้าหนี้และผู้ที่มีรายได้ประจำมีค่าลดลงลดลง) • ลูกหนี้ (เงินชำระหนี้คืนจำนวนเท่าเดิม แต่ค่าของมันลดลง) • ผู้ประกอบการ (ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น กำไรของผู้ประกอบการมากขึ้น) ผลกระทบของเงินเฟ้อ(The cost of inflation) เงินเฟ้อทำให้อำนาจซื้อของประชาชนลดลง
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออุปทานหรือความสามารถในการผลิตสินค้าเพื่อเสนอขายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออุปทานหรือความสามารถในการผลิตสินค้าเพื่อเสนอขาย • ทรัพยากรการผลิต ได้แก่ แรงงาน ปัจจัยทุน และประสิทธิผลของปัจจัยการผลิตโดยรวม (Total factor productivity:TFP) • TFP หมายถึง ผลกระทบต่อการผลิตของ • ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี (technology progress) • การบริหารการจัดการที่ดีขึ้น (better management) • การศึกษาที่ดีขึ้น (improved education)
ประเทศต่างๆที่มีปัจจัยการผลิตและปัจจัยทุนเท่ากัน แต่ถ้าประสิทธิผลของปัจจัยโดยรวม(TPF) ผลผลิตของประเทศต่างๆจะแตกต่างกัน ฟังค์ชั่นการผลิต(Production Function) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการผลิตกับปัจจัยการผลิต Y=ผลผลิตหรืออุปทานของผลผลิต L=แรงงาน K=ปัจจัยทุน
ผลตอบแทนต่อขนาด(return to scale) ความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตและปัจจัยการผลิตทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้นในระยะยาว ผลตอบแทนต่อขนาดคงที่(constant return to scale) คือ การใช้ปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นจะทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกันด้วย
ผลตอบแทนต่อขนาดเพิ่มขึ้น (increasing return to scale) หรือ (the economies of scale)คือการใช้ปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นจะทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่าการเพิ่มขึ้นของปัจจัย ผลตอบแทนต่อขนาดลดลง (decreasing return to scale) หรือ (Diseconomies of scale) คือการใช้ปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้น ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่ลดลง
การประเมินปัจจัยปัจจัยทุนการประเมินปัจจัยปัจจัยทุน ปัจจัยแรงงานขึ้นอยู่กับอัตราการขยายตัวของประชากรอัตราการมีงานทำชั่วโมงการทำงาน ปัจจัยทุนขึ้นอยู่กับการลงทุนในปัจจัยทุนคงที่เปรียบเทียบกับค่าเสื่อมราคาของทุน ถ้าการลงทุนใหม่ๆเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเสื่อมของปัจจัยทุนปัจจัยทุนจะเพิ่มขึ้น New investment >Depreciation K New investment <Depreciation K
Potential GDP and Inflation Potential GDP หรือ Potential output หมายถึงผลผลิตที่เป็นไปได้ ณ.ระดับที่มีการจ้างงานเต็มที่ Actual GDP คือผลผลิตที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ถ้า actual output > potential output ทรัพยากรการผลิตมีน้อยกว่า ความต้องการใช้ทรัพยากร ถ้า actual output < potential output ทรัพยากรการผลิตมีมากกว่าความต้องการใช้ทรัพยากร inflation
สาเหตุที่ราคาสินค้าสูงขึ้นสาเหตุที่ราคาสินค้าสูงขึ้น • ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น • อุปสงค์เพิ่มขึ้นขณะที่ความสามารถในการผลิตมีจำกัดหน่วยธุรกิจไม่สามารถเพิ่มการผลิตโดยปราศจากการลงทุนในโรงงานและเครื่องจักรเพิ่มขึ้นทำให้ขาดแคลนราคาสินค้าจึงสูงขึ้น
วัฏจักรของการเติบโตและเงินเฟ้อ(The growth-inflation theory) • อธิบายโดยใช้ผลผลิตจริง(actual output) และ ผลผลิต ณ ระดับการจ้างงานเต็มที่(potential output) • ช่วงเศรษฐกิจร้อนแรงมากและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น(Overheating-inflation growth) • การชะลอตัวและเงินเฟ้อชะงักงัน(Recession-stagflation) • การชะลอตัวและเงินฝืด(Recession-deflation) • การฟื้นตัวและการไม่ขยายตัวของเงินเฟ้อ(Recovery-non inflation)
การแก้ไขภาวะเงินเฟ้อ ลดค่าใช้จ่ายในการบริโภค (C) 1. นโยบายการออมมากขึ้น 2. เก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้น 3. ควบคุมสินค้าผ่อน เช่น กำหนดเงินดาวน์สูง ลดการลงทุน (I) 1. เพิ่มอัตราดอกเบี้ย 2. ควบคุมการปล่อยสินเชื่อ 3. ควบคุมราคาปัจจัยการผลิต
ลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล (G) รัฐบาลควรเก็บภาษี > ค่าใช้จ่าย จัดทำงบประมาณเกินดุล เช่น เพิ่มอัตราภาษีทางอ้อม ระงับการใช้จ่ายในการลงทุนโครงการลงทุนต่างๆ การค้าต่างประเทศ ด้านสินค้าออก เช่น กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราให้สูงขึ้น เพิ่มภาษีทางออกให้สูงขึ้น ด้านการนำเข้า เปิดโอกาสให้มีการนำเข้าอย่างเสรีสำหรับสินค้าที่ ขาดแคลน
สาเหตุและผลกระทบเงินฝืดสาเหตุและผลกระทบเงินฝืด • ภาวะเงินฝืด หมายถึง ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการทั่วๆ ไปลดลงเรื่อยๆ • ประชาชน รัฐบาล การลงทุน การส่งออก น้อยลง • ผู้ผลิตไม่สามารถขายสินค้าได้
การแก้ไข • ลดภาษีรายได้ สนับสนุนให้ธนาคารขยายเครดิต • ขยายการลงทุนในภาคเอกชน • รัฐบายใช้นโยบายงบประมาณขาดดุล • สนับสนุนให้มีการส่งออกออกมากขึ้น
สาเหตุและผลกระทบเงินตึงตัวสาเหตุและผลกระทบเงินตึงตัว • ภาวะเงินตึง หมายถึง ระบบที่ระบบธนาคารมีเงินไม่พอเพียงกับความต้องการขอกู้ หาเงินกู้ยากกว่าปกติ สาเหตุ 1. การใช้นโยบายของนโยบายการเงินและการคลังเพื่อแก้ไขภาวะเงินเฟ้อ เพื่อการชะลอสินเชื่อของธนาคาร 2. เงินออมในประเทศไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร 3. การสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ
การแก้ไข • ธนาคารกลางจะต้องใช้มาตราการทางนโยบายการเงินและการคลังเพื่อเพิ่มปริมาณ • ปรับอัตราเงินฝากให้สูงขึ้น ประชาชนจะได้ออมมากขึ้น • อำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการลงทุน ลดเงื่อนไขเกี่ยวกับการนำเงินตราเข้าประเทศ
ระยะของวัฎจักรเศรษฐกิจระยะของวัฎจักรเศรษฐกิจ แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ 1. ระยะเศรษฐกิจฟื้นตัว 2. ระยะเศรษฐกิจรุ่งเรือง 3. ระยะเศรษฐกิจถดถอย 4. ระยะเศรษฐกิจตกต่ำ
1. ระยะเศรษฐกิจฟื้นตัว (economic recovery) • เป็นภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุด ในระยะนี้เศรษฐกิจโดยทั่วไปเริ่มจะดีขึ้น • สินค้าที่เหลือค้างสต็อกเริ่มค่อยๆ ทยอยขายออก • ราคาสินค้าเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น การคาดคะเนกำไรของผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการเป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น • ผู้ผลิตจะหันมาลงทุนในกิจการมากขึ้น
2. ระยะเศรษฐกิจรุ่งเรือง (economic prosperity) • เป็นระยะที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการคาดคะเนกำไรไปในทางที่ดีมากคือมีความมั่นใจ ในอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับ การลงทุนต่างๆจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว
3. ระยะเศรษฐกิจถดถอย (economic recession) • เป็นระยะที่ต่อเนื่องกับระยะเศรษฐกิจรุ่งเรือง • เมื่อภาวะเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่แล้วผลที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือแรงกดดันที่จะก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น • การแข่งขันมากขึ้น ทำผลตอบแทนต่ำ ผู้ประกอบการเริ่มไม่มั่นใจ • การจ้างงานลดลง รายได้ของประชาชนน้อยลง สภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปเริ่มมีแนวโน้มที่เลวลง
4. ระยะเศรษฐกิจตกต่ำ (economic depression) • เป็นระยะที่ต่อเนื่องจากระยะเศรษฐกิจถดถอย • การลงทุนรวมจะลดลงมาก ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ธนาคารและสถาบันการเงินจะเร่งรัดให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการชำระเงินต้นและจ่ายคืนดอกเบี้ย • ทำให้การลงทุนชะงักงัน ในที่สุดเศรษฐกิจจะเกิดการหดตัวลงถึงจุดต่ำสุด • มีสินค้าค้างสต็อกจำนวนมาก มีการลดการผลิต การจ้างงาน เกิดภาวะการว่างงานกระจายตัวโดยทั่วไป ประชาชนไม่ค่อยมีกำลังซื้อเพราะมีรายได้ลดลงมาก