1 / 38

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน. หมายถึง ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถสร้างหรือใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย โดยปกติอินซูลิน มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานของร่างกาย สาเหตุที่แท้จริงของโรคเบาหวานยังไม่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญ

Download Presentation

โรคเบาหวาน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. โรคเบาหวาน หมายถึงภาวะที่ร่างกายไม่สามารถสร้างหรือใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายโดยปกติอินซูลิน มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานของร่างกายสาเหตุที่แท้จริงของโรคเบาหวานยังไม่แน่ชัดอย่างไรก็ตามปัจจัยที่สำคัญ ที่ทำให้เกิดโรคนี้คือพันธุกรรมและแบบแผนการดำเนินชีวิตผู้ที่เป็นโรคนี้อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองตาบอดหรือมีการทำลายของเส้นประสาท อาการ ปัสสาวะจะบ่อยมากขึ้นถ้าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า180มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ผู้ป่วยจะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ อ่อนเพลียน้ำหนักลดเกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลจึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา ผู้ป่วยจะกินเก่งหิวเก่งแต่น้ำหนักจะลดลง อาการอื่นๆที่อาจเกิดได้แก่การติดเชื้อแผลหายช้าคัน เห็นภาพไม่ชัด ชาไม่มีความรู้สึกเจ็บตามแขนขา อาเจียน สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่นอนแต่องค์ประกอบสำคัญที่อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดได้แก่กรรมพันธุ์อ้วนขาดการออกกำลังกายหากบุคคลใด มีปัจจัยเสี่ยงมากย่อมมี่โอกาสที่จะเป็นเบาหวานมากขึ้นปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้แสดงข้างล่างนี้ คำแนะนำ 1. รับประทานอาหารให้ถูกต้องตามที่กำหนดให้และรู้จักวิธีใช้อาหารที่สามารถทดแทนกันได้ 2. ใช้อินซูลินหรือยาเม็ดให้ถูกต้องตามเวลา 3. ระวังรักษาสุขภาพอย่าตรากตรำเกินไป 4. รักษาร่างกายให้สะอาดและระวังอย่าให้เกิดบาดแผล 5. หมั่นตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ 6. ออกกำลังกายแต่พอควรสม่ำเสมอ 7. ถ้ามีอาการอ่อนเพลียตกใจหวิวใจสั่นเหงื่อออกหรือมีอาการปวดศรีษะตามัวให้รับประทานน้ำหวานหรือน้ำตาลเข้าทันที ทั้งนี้เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เพียงพอกับยาแต่ถ้าได้รับประทานอาหารที่น้ำตาลมากเกินไปและได้อินซูลินหรือยาน้อยผู้ป่วยจะมีอาการง่วงผิวหนังร้อนผ่าวคลื่นไส้อาเจียนหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้ถ้าทิ้วไว้อาจทำให้ไม่รู้สึกตัวต้องรีบตามแพทย์ทันที 8. ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรมีบัตรบ่งชี้ว่าเป็นเบาหวานและกำลังรักษาด้วยยาชนิดใดอยู่เสมอและควรมีขนมติดตัวไว้ด้วย 9. อย่าปล่วยตัวให้อ้วนเพราะ 80% ของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากการอ้วนมาก่อน 10. อย่าวิตกกังวลหรือเครียดมากเกินไป 11. เบาหวานเป็นกรรมพันธุ์ได้หากสงสัยว่าเป็นเบาหวานควรได้รับการตรวจเลือดจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น 12. ต้องระมัดระวังเมื่ออายุเกิน 40 ปีควรตรวจเลือดดูเบาหวานทุกปีเพราะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่าย

  2. โรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้หรือโรคแพ้ (Allergy) หมายถึงโรคที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งซึ่งสามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้ ( Allergen ) ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป โรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัยเด็กอายุ 5 ถึง 15 ปีมักพบว่าเป็นบ่อยกว่าช่วงอายุอื่นๆเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออก หลังจากได้รับ “สิ่งกระตุ้น” มานานเพียงพออย่างไรก็บางคนอาจเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้ โรคภูมิแพ้นั้นมิใช่โรคติดต่อแต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากรุ่นคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายคุณพ่อคุณแม่มาสู่ลูกหลานได้ อาจพบว่าในครอบครัวนั้นมีสมาชิกป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หลายคน ตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้เรียกกว่าสารก่อภูมิแพ้ (Allergens) หรือสิ่งกระตุ้นซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ การรับประทานอาหารการสัมผัสทางผิวหนังทางตาทางหูทางจมูกหรือโดยการฉีดหรือถูกกัดต่อยผ่านผิวหนังตัวการ ที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้มีอยู่รอบตัวสามารถกระตุ้นอวัยวะต่างๆจนก่อให้เกิดอาการแพ้ได้เช่น ทางลมหายใจ ถ้าสิ่งกระตุ้นผ่านเข้ามาทางลมหายใจตั้งแต่รูจมูกลงไปยังปอดก็จะทำให้เป็นหวัดคัดจมูกจามน้ำมูกไหลคันคอเจ็บคอไอ มีเสมหะเสียงแหบแห้งและลงไปยังหลอดลมทำให้หลอดลมตีบตันเป็นหอบหืด ทางผิวหนัง ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางผิวหนังจะทำให้เกิดผื่นคันน้ำเหลืองเสีย ทางอาหาร ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางอาหารจะทำให้ท้องเสียอาเจียนถ่ายเป็นเลือดเสียไข่ขาวในเลือดอาจทำให้เกิดอาการทางระบบอื่นๆได้ เช่นลมพิษหน้าตาบวม ทางตา ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางตาจะทำให้เกิดอาการแสบตาคันตาหนังตาบวมน้ำตาไหล สารก่อภูมิแพ้ที่พบทั่วๆไป สารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็น “ตัวการ” ของโรคภูมิแพ้ที่มักพบบ่อยๆได้แก่ ฝุ่นบ้านตัวไรฝุ่นบ้าน มักปะปนอยู่ในฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มม. มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เชื้อรา มักปะปนอยู่ในบรรยากาศตามห้องที่มีลักษณะอับชื้น

  3. โรคภูมิแพ้. อาหารบางประเภท อาหารบางอย่างจะเป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกอาหารทะเลเช่นกุ้งหอยปูปลาอาหารอีกจำพวก ที่พบได้บ่อยคือแมงดาทะเลปลาหมึกอาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันได้บ่อยๆเด็กบางคนอาจแพ้ไข่แมงดาทะเลอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้มีอาการบวมตามตัวหายใจไม่ออกเป็นต้น อาหารประเภทหมักดองเช่นผักกาดดองเต้าเจี้ยวน้ำปลาเป็นต้นเด็กบางคนอาจแพ้เห็ดซึ่งจัดว่าเป็นราขนาดใหญ่ เด็กบางคนแพ้ไข่ขาวอาจทำให้เกิดอาการผื่นคันบนใบหน้าได้บางคนอาจจะแพ้ผลไม้จำพวกที่มีรสเปรี้ยวจัดกลิ่นฉุนจัด เช่นทุเรียนลำใจสตรอเบอรี่กล้วยหอมและอื่นๆ ยาแก้อักเสบ ยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อยๆนั้นได้แก่ยาปฎิชีวนะพวกเพนนิซฺลินเตตราไวคลินนอกจากนั้นยังมีพวกซัลฟายาลดไข้แก้ปวด พวกแอสไพรินไดไพโรนยาระงับปวดข้อปวดกระดูกอาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันจองผิวหน้าพวกเซรุ่มหรือวัคซีนเป็นกันโรค โดยเฉพาะวัคซีนสกัดจากเลือดม้าเช่นเซรุ่มต้านพิษงูแพ้พิษสุนัขบ้าเป็นต้น แมลงต่างๆ แมลงที่มักอาศัยอยู่ภายในบ้านเช่นแมลงสาบแมงมุมมดยุงปลวกและแมลงที่อาศัยอยู่นอกบ้านเช่นผึ้งแตนต่อมดนานาชนิดเป็นต้น เกสรดอกหญ้าดอกไม้ตอกข้าววัชพืช สิ่งเหล่านี้มักปลิวอยู่ในอากาศตามกระแสลมซึ่งสามารถพัดลอยไปได้ไกลๆหรืออาจเป็นลักษณะขุยๆติดตามมุ้งลวดหน้าต่าง เกสรดอกหญ้าที่ปลิวมาตามสายลม ขนสัตว์ ขนของสัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้เช่นขนแมวขนสุนัขขนนกขนเป็ดขนไก่ขนกระต่างขนนกหรือขนเป็ด ขนไก่ที่ตากแห้งใช้ยัดที่นอนและหมอนสำหรับนุ่นฟองน้ำยางพาราใยมะพร้าวเมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานก็จะสามารถ เป็นสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกันครับ การตรวจหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ ขนไก่ที่ตากแห้งใช้ยัดที่นอนและหมอนสำหรับนุ่นฟองน้ำยางพาราใยมะพร้าวเมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานาน ก็จะสามารถเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกันครับ การสอบประวัติและวิเคราะห์โรค แพทย์จะทำการสอบถามประวัติและอาการของโรคพร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบๆตัวเช่นบ้านรถยนต์โรงเรียน สัตว์เลี้ยงงานอดิเรกเพื่อเป็นแนวทางที่จะทราบว่าผู้ป่วยมีอาการณสถานที่ใดได้บ้าง

  4. โรคภูมิแพ้. ทดสอบทางผิวหนัง แพทย์จึงใช้วิธีทดสอบทางผิวหนัง ( Skin Tests ) ซึ่งวิธีนี้จะนำเอาน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้ทางอ้อมโดยนำน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้ มาหยอดลงบนผิวหนังบริเวณท้องแขนซึ่งทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์น้ำสกัดนั้นมาจากสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยๆเช่นฝุ่นบ้าน ไรฝุ่นเชื้อราในบรรยากาศแมลงต่างๆในบ้านเช่นแมลงสาบยุงเกสรดอกไม้และอื่นๆเมื่อหยอดน้ำสกัดบนท้องแขนแล้ว ใช้ปลายเข็มที่สะอาดกดลงบนผิวหนังเพื่อให้น้ำยาซึมซับลงไปแล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีตุ่มใดที่ผู้ป่วยแพ้ก็จะเป็นรอยนูน คล้ายรอยยุงกัดแพทย์จะทำการวัดรอยนูนและรอยแดงของแต่ละตุ่มที่ปรากฏซึ่งทำให้ทราบได้ทันทีว่าเจ้าตัวเล็กแพ้สารใดบ้าง ตุ่มใดที่ไม่แพ้ก็จะไม่มีรอยนูนแดงสำหรับวิธีทดสอบทางผิวหนังทำได้ตั้งแต่เจ้าตัวเล็กอายุได้ไม่กี่เดือนจนถึงเป็นผู้ใหญ่ หมายเหตุก่อนที่ผู้ป่วยจะทำการทดสอบต้องหยุดรับประทานยาแก้แพ้จำพวกยาด้านฮิสตามีนก่อนการทดสอบอย่างน้อย 48 ชั่วโมง มิฉะนั้นฤทธิ์ยาแก้แพ้จะไปบดบังทำให้หาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ไม่พบ วิธีการรักษาโรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกระบบของร่างกายบางคนอาจมีอาการภูมิแพ้ในระบบใดระบบหนึ่งหรือหลายระบบโรคภูมิแพ้นั้นเป็นโรคที่สามารถพิสูจน์หาสาเหตุของโรคและสามารถรักษาให้หายได้ผู้ป่วยบางคนเริ่มจากอาการแพ้อากาศเรื้อรังเยื่อจมูกอักเสบเมื่อไม่ได้ใส่ใจรักษาต่อมาอาจกลายเป็นโรคหอบหืดโรคผื่นคันผิวหนังเช่นเป็นลมพิษปวดศีรษะเรื้อรังโรคอ่อนเพลียต่างๆเป็นต้น บางคนเชื่อว่าถ้าเด็กเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เล็กพอโตขึ้นอาจหายไปเองได้และไม่จำเป็นต้องรักษาอย่างจริงจังซึ่ง เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนักเพราะโรคนี้อาจทำให้เค้าเจริญเติบโตช้าการปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อนๆ และสภาพแวดล้อมได้ไม่ดีเกิดปมด้อยเจ้าตัวเล็กอาจขาดความมั่นในส่วนเด็กที่แพ้อากาศถ้าไม่รักษาต่อมาก็อาจกลายเป็น โรคหอบหืดที่มีอาการของโรคแรงขึ้นเรื่อยๆได้ครับ หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าเจ้าตัวเล็กนั้นเป็นโรคภูมิแพ้คุณควรจะนำเค้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาว่าเค้าแพ้อะไรบ้างการดูแลรักษาเค้า ในเบื้องต้นนั้นทำได้โดยการพยายามหลีกเลี่ยงสารที่เค้าแพ้ครับซึ่งจะทำให้อาการของโรคนั้นลดลงหรือหมดไปได้ครับ ปัจจุบันยารักษาโรคภูมิแพ้ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยนั้นมีหลายประเภททั้งยารับประทานยาสูดเข้าหลอดลมยาพ่นจมูกยาหยอดตา และยาทาผิวหนัง หาต้นเหตุและหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ทีดีที่สุดคือการค้นหาสาเหตุของการแพ้นั้นให้พบเช่นการสอบถามประวัติและอาการของโรคพร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบๆตัวเช่นบ้านรถยนต์โรงเรียนสัตว์เลี้ยงงานอดิเรกตรวจร่างกายและทดสอบทางผิวหนังเมื่อทราบว่าแพ้สารใดแล้วควรหลีกเลี่ยงสารที่ให้เกิดภูมิแพ้ที่ถูกต้องและอาการของโรคภูมิแพ้ก็จะทุเลา ในทางปฏิบัตินั้นการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้นทำได้ยากเพราะชีวิตประจำวันนั้นต้องเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้กระจายอยู่รอบๆตัวเช่นฝุ่นบ้านไรฝุ่นเชื้อราและอื่นๆเมื่อเป็นเช่นนี้การรักษาอาการของโรคอันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นและได้มักจะได้ผลดีแพทย์อาจให้รับประทานยาแพ้แพ้แก้หอบแก้ไอร่วมด้วยเป็นต้น ฉีดวัคซีนให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทาน มีวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้อีกประการหนึ่งที่เป็นการรักษาได้ผลดีพอสมควรได้แก่การหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ให้พบแล้วนำสารก่อภูมิแพ้ที่ตรวจพบนี้นำมาผลิตวัคซีนให้ผู้ป่วยเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสารที่แพ้ ( อิมมูโนบำบัด ) คือรักษาให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานสารที่แพ้หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการรักษาเพื่อลดภูมิไวคือให้ร่างกายลดความไวต่อสารที่ก่อให้เกิดโรค

  5. โรคเกาท์ เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่มีอาการปวดข้อเรื้อรังพบได้ไม่น้อยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 9-10 เท่าส่วนมากจะพบในผู้ชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไปส่วนผู้หญิงพบได้น้อยถ้าพบมักจะเป็นหลังวัยหมดประจำเดือนเป็นโรคที่มีทางรักษาให้หายได้แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ อาการ มีอาการปวดข้อรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันทีข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหวผิวหนังในบริเวณนั้นจะตึงร้อนและแดงจากนั้นผิวหนังในบริเวณที่ปวดจะลอกและคันมักมีอาการปวดตอนกลางคืนและมักจะเป็นหลังดื่มเหล้าหรือเบียร์ (ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง) ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาในระยะแรกๆอาจกำเริบทุก 1-2 ปีโดยเป็นที่ข้อเดิมแต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อยๆเช่นทุก 4-6 เดือนแล้วเป็นทุก 2-3 เดือนจนกระทั่งทุกเดือนหรือเดือนละหลายครั้งและระยะการปวดจะนานวันขึ้นเรื่อยๆเช่นกลายเป็น 7-14 วันจนกระทั่งหลายสัปดาห์หรือปวดตลอดเวลาส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ (เช่นข้อมือข้อศอกข้อเข่าข้อเท้านิ้วมือนิ้วเท้า) จนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อในระยะหลังเมื่อข้ออักเสบหลายข้อผู้ป่วยมักสังเกตว่ามีปุ่มก้อนขึ้นที่บริเวณที่เคยอักเสบบ่อยๆเช่นข้อนิ้วเท้าข้อนิ้วมือข้อศอกข้อเข่ารวมทั้งที่หูเรียกว่าตุ่มโทฟัส (tophus/tophi) ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของสารยูริกปุ่มก้อนนี้จะโตขึ้นเรื่อยๆจนบางครั้งแตกออกมีสารขาวๆคล้ายช็อล์กหรือยาสีฟันไหลออกมากลายเป็นแผลเรื้อรังหายช้าในที่สุดข้อต่างๆจะค่อยๆพิการและใช้งานไม่ได้ สาเหตุ เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ทำให้มีกรดยูริกคั่งอยู่ในร่างกายมากผิดปกติซึ่งจะตกผลึกสะสมอยู่ตามข้อผิวหนังไตและอวัยวะอื่นๆทำให้เกิดอาการปวดบวมแดงร้อนและอาจมีสาเหตุจากร่างกายมีการสลายตัวของเซลล์มากเกินไปเช่นโรคทาลัสซีเมีย, มะเร็งในเม็ดเลือดขาว , การใช้ยารักษามะเร็งหรือฉายรังสีเป็นต้นหรืออาจเกิดจากไตขับกรดยูริกได้น้อยลงเช่นภาวะไตวายตะกั่วเป็นพิษ , ผลจากการใช้ยาไทอาไซด์เป็นต้น คำแนะนำ 1. ดื่มน้ำสะอาดมากๆช่วยป้องกันการสะสมผลึกกรดยูริกซึ่งอาจทำให้เกิดนิ่วในไต 2. ควรกินผักผลไม้มากขึ้นเช่นส้มกล้วยองุ่นซึ่งจะช่วยให้ปัสสาวะมีภาวะเป็นด่างและกรดยูริกถูกขับออกมากขึ้น 3. ควรทานผักใบเขียวที่มีธาตุเหล็กสูงเพื่อทดแทนธาตุเหล็กที่ขาดเนื่องจากการงดทานเนื้อสัตว์ 4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 5. งดอาหารที่มีสารพิวรินสูงได้แก่เครื่องในสัตว์น้ำซุปเนื้อสัตว์กุ้งหอยปูปลาซาร์ดีนกะปิซึ่งจะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น 6. ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันสูงเพราะอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ควรงดเครื่องดื่มพวกโกโกช็อคโกแลตควรทานนมพร่องมันเนย 7. ยาบางชนิดอาจมีผลต่อการรักษาโรคนี้เช่นแอสไพรินหรือยาขับปัสสาวะไทอาไซด์อาจทำให้ร่างกายขับกรดยูริกได้น้อยลงดังนั้นจึงไม่ควรซื้อยากินเองควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะใช้ยา

  6. โรคไมเกรน เป็นโรคที่เกิดจากการบีบตัวและคลายตัวของหลอดเลือดในสมองมากกว่าปกติทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วพร้อมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในบางรายอาจมีอาการตาพร่ามัวหรือเห็นแสงระยิบระยับร่วมด้วยพบมากในช่วงอายุ 10-30 ปีโดยเฉพาะผู้หญิงมักเป็นมากกว่าผู้ชาย อาการ 1. ปวดศีรษะครึ่งซีกอาจเป็นบริเวณขมับหรือท้ายทอยแต่บางครั้งก็อาจเป็นสองข้างพร้อมกันหรือสลับข้างกันได้ 2. ลักษณะการปวดศีรษะส่วนมากมักจะปวดตุ๊บๆนานครั้งหนึ่งเกิน 20 นาทีผู้ป่วยบางรายอาจมีปวดตื้อๆสลับกับปวดตุ๊บๆในสมองก็ได้ 3. อาการปวดศีรษะมักเป็นรุนแรงและส่วนมากจะคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยเสมอโดยอาจเป็นขณะปวดศีรษะก่อนหรือหลังปวดศีรษะก็ได้ 4. อาการนำจะเป็นอาการทางสายตาโดยจะมีอาการนำมาก่อนปวดศีรษะราว 10-20 นาทีเช่นเห็นแสงเป็นเส้นๆระยิบระยับแสงจ้าสะท้อนหรือเห็นภาพบิดเบี้ยวก่อนปวด สาเหตุ 1. สาเหตุที่อยู่ภายในร่างกายเช่นพันธุกรรมความเครียดสาเหตุเหล่านี้ไม่สามารถจะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ 2. สาเหตุที่มาจากภายนอกร่างกายสามารถที่จะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้เป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้เกิดโรคขึ้นได้แก่การอดนอนหรือการทำงานหนักมากเกินไปขาดการพักผ่อนหรือมีความเครียดการดื่มเหล้ากาแฟยาคุมกำเนิด (บางคนเป็นและเมื่อหยุดยาคุมก็จะลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้) อาหารบางชนิดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมองเพื่อกระตุ้นเส้นเลือดในสมองหดตัวและขยายตัวทำให้มีอาการปวดหัวได้อาหารเหล่านี้ได้แก่กล้วยหอมช็อคโคแลตเนยแข็งเบียร์ไวน์ คำแนะนำ 1. การนอนไม่พอการอดนอน 2. การดื่มสุรามากเกินไปจะทำให้ปวดไมเกรนมากขึ้นแต่ถ้าปวดศีรษะแบบตึงเครียดอาการปวดจะบรรเทาลงด้วยการดื่มเหล้า 3. การตรากตรำทำงานมากเกินไปทำให้ต้องอดอาหารบางมื้อรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดต่ำอาการปวดศีรษะไมเกรนจะเป็นได้ง่ายขึ้น 4. การตื่นเต้นมากๆโดยเฉพาะในเด็กที่ไปงานเลี้ยง 5. การเล่นกีฬาที่หักโหมจนเหนื่อยอ่อนแต่ถ้าเล่นกีฬาเบาๆจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย 6. การมองแสงที่มีความจ้ามากๆเช่นแสงอาทิตย์ที่รุนแรงแสงที่กระพริบมากๆเช่นไฟนีออนที่เสียหรือแสงระยิบระยับในดิสโก้เทค 7. เสียงดัง 8. กลิ่นน้ำหอมบางชนิดกลิ่นซิการ์กลิ่นสารเคมีบางอย่างกลิ่นท่อไอเสียรถยนต์ 9. อาหารบางชนิด 10. อากาศร้อนจัดอากาศเย็นจัด 11. ในระหว่างที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนควรจะนอนพักผ่อนในห้องที่เงียบรับประทานยาแก้ปวดธรรมดาถ้ามียานอนหลับก็รับประทานยาให้หลับหรือกดเส้นเลือดที่กำลังเต้นอยู่ที่ขมับข้างที่ปวดศีรษะก็จะช่วยลดอาการปวดศีรษะได้หรืออาจจะใช้น้ำแข็งประคบ

  7. โรคสมองเสื่อม โรคสมองเสื่อม (DEMENTIA ) เป็นคำที่เรียกใช้กลุ่มอาการต่างๆซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานของสมองที่เสื่อมลงอาการที่พบได้บ่อยคือในด้านที่เกี่ยวกับความจำุการใช้ความคิดและการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆนอกจากนี้ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพร่วมด้วยได้เช่นหงุดหงิดง่ายุเฉื่อยชาหรือเมินเฉยเป็นต้นการเสื่อมของสมองนี้จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆซึ่งในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันทั้งในด้านอาชีพการงานและชีวิตส่วนตัว โรคสมองเสื่อมไม่ใช่ภาวะปกติของคนที่มีอายุในบางครั้งเวลาที่เรามีอายุมากขึ้นเราอาจมีอาการหลงๆลืมๆได้บ้างแต่อาการหลงลืมในโรคสมองเสื่อมนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไปกล่าวคืออาการหลงลืมจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อยๆและจะจำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลยไม่เพียงแต่จำรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เท่านั้นคนที่เป็นโรคสมองเสื่อมจะจำเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลยรวมทั้งสิ่งที่ตัวเองกระทำเองลงไปด้วยและถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อยๆคนผู้นั้นอาจจำไม่ได้ว่าใส่เสื้ออย่างไรอาบน้ำอย่างไรหรือแม้กระทั่งไม่สามารถพูดได้เป็นประโยค อะไรคือสาเหตุของโรคสมองเสื่อม อาการต่างๆของโรคสมองเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer ) นั้นเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดคือประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมส่วนโรคสมองเสื่อมจากเส้นเลือดในสมอง ( Vascular dementia ) นั้นเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยรองลงมานอกจากนี้สาเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมที่พบได้คือโรค Parkinson , Frontal Lobe Dementia , จาก alcohol และจาก AIDS เป็นต้น ใครจะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมได้บ้าง โรคสมองเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศและทุกวัยแต่จะพบได้น้อยมากในคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปีส่วนใหญ่แล้วมักจะพบในคนสูงอายุแต่พึงตระหนักไว้ว่าโรคสมองเสื่อมนั้นไม่ใช่สภาวะปกติของผู้ที่มีอายุมากเพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้นก็มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคได้มากขึ้นโดยคร่าวๆนั้นประมาณ 1 ใน 1000 ของคนที่อายุน้อยกว่า 65 ปีจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้ประมาณ 1 ใน 70 ของคนที่อายุระหว่าง 65-70 ปีุ 1 ใน 25 ของคนที่มีอายุระหว่าง 70-80 ปีและ 1 ใน 5 ของคนที่มีอายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมนี้ไดโดยประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมนั้นมีสาเหตุมาจากโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer's Disease ) ความสำคัญในการตรวจร่างกาย เนื่องจากสาเหตุของโรคสมองเสื่อมนั้นมีมากมายหลายสาเหตุดังนั้นการพบแพทย์เพื่อรับการปรึกษาและตรวจร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะนอกจากจะทำให้ทราบว่าเราป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่แล้วยังทำให้พอทราบได้ว่าสาเหตุนั้นมาจากอะไรซึ่งจะมีผลต่อแนวทางการรักษาต่อไป

  8. โรคมะเร็ง มะเร็งคือกลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติที่ DNA หรือสารพันธุกรรมส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโตมีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์รวดเร็วและมากกว่าปกติดังนั้นจึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติและในที่สุดก็จะทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้นเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงเพราะการเจริญเติบโตของหลอดเลือดถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะเรียกชื่อมะเร็งตามอวัยวะนั้นเช่นมะเร็งปอดมะเร็งสมองมะเร็งเต้านมมะเร็งปากมดลูกมะเร็งเม็ดเลือดขาวมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งผิวหนังเป็นต้น โรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศชาย 10 อันดับแรกคือ มะเร็งตับ 8,189 ราย มะเร็งปอด 5,500 ราย มะเร็งลำไส้ใหญ่ 2,191 ราย มะเร็งช่องปาก 1,094 ราย มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ 1,057 ราย มะเร็งกระเพาะอาหาร 1,041 ราย มะเร็งเม็ดเลือดขาว 891 ราย มะเร็งต่อมน้ำเหลือง 881 ราย มะเร็งหลังโพรงจมูก 855 ราย มะเร็งหลอดอาหาร 748 ราย โรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศหญิง 10 อันดับแรก มะเร็งปากมดลูก 5,462 ราย มะเร็งเต้านม 4,223 ราย มะเร็งตับ 3,679 ราย มะเร็งปอด 2,608 ราย มะเร็งลำไส้ใหญ่ 1,789 ราย มะเร็งรังไข่ 1,252 ราย มะเร็งช่องปาก 953 ราย มะเร็งต่อมธัยรอยด์ 885 ราย มะเร็งกระเพาะอาหาร 723 ราย มะเร็งคอมดลูก 703 ราย

  9. โรคมะเร็ง. สาเหตุ สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญคือ 1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือภายนอกร่างกายซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็งส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุได้แก่ สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่มเช่นสารพิษจากเชื้อราที่มีชื่ออัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้งย่างพวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอมอาหารชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า รังสีเอ็กซเรย์อุลตราไวโอเลตจากแสงแดดเชื้อไวรัส ไวรัสตับอักเสบบีไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ จากพฤติกรรมบางอย่างเช่นการสูบบุหรี่และดื่มสุราเป็นต้น 2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกายซึ่งมีเป็นส่วนน้อยเช่นเด็กที่มีความพิการมาแต่กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเป็นต้นการมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะทุพโภชนาการเช่นการขาดไวตามินบางชนิดเช่นไวตามินเอซีเป็นต้นจะเห็นว่ามะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อมดังนั้นมะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987) ถ้าประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็งและสารช่วยหรือให้เกิดมะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้นเช่นงดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณที่มีควันบุหรี่เป็นต้นสำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ทราบว่าตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่มอื่นๆดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไปกรณีที่เป็นมะเร็งได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี อาการ 1. ไม่มีอาการใดเลยในช่วงแรกขณะที่ร่างกายมีเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนน้อย 2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตราย 8 ประการที่เป็นสัญญาณเตือนว่าควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจค้นหาโรคมะเร็งหรือสาเหตุอื่นๆที่ทำให้มีสัญญาณเหล่านี้เพื่อการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็งหรือเป็นมะเร็งระยะลุกลาม 3. มีอาการป่วยของโรคทั่วไปเช่นอ่อนเพลียเบื่ออาหารน้ำหนักลดร่างกายทรุดโทรมไม่สดชื่นและไม่แจ่มใส 4. มีอาการที่บ่งบอกว่ามะเร็งอยู่ในระยะลุกลามหรือเป็นมากขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งชนิดใดและมีการกระจายของโรคอยู่ที่ส่วนใดของร่างกายที่สำคัญที่สุดของอาการในกลุ่มนี้ได้แก่อาการเจ็บปวดที่แสนทุกข์ทรมาน คำแนะนำ 1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มากเช่นกะหล่ำปลีกะหล่ำดอกผักคะน้าหัวผักกาดบรอคโคลี่ฯลฯ 2.รับประทานอาหารที่มีกากมากเช่นผักผลไม้ข้าวข้าวโพดและเมล็ดธัญพืชอื่นๆ 3.รับประทานอาหารที่มีเบต้า- แคโรทีนและไวตามินเอสูงเช่นผักผลไม้สีเขียว-เหลือง 4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูงเช่นผักผลไม้ต่างๆ 5. ควบคุมน้ำหนักตัว 6.ไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น 7. ลดอาหารไขมัน 8.ลดอาหารดองเค็มอาหารปิ้ง-ย่างรมควันและอาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท- ไนไตร์ท 9.ไม่รับประทานอาหารสุกๆดิบๆเช่นก้อยปลาปลาจ่อมฯลฯ 10.หยุดหรือลดการสูบบุหรี่ 11.ลดการดื่มแอลกอฮอล์ 12. อย่าตากแดดจัดมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง

  10. โรคไต หมายถึงโรคอะไรก็ได้ที่มีความผิดปกติหรือที่เรียกว่าพยาธิสภาพเกิดที่บริเวณไตที่พบมากได้แก่ โรคไตวายฉับพลันจากเหตุต่างๆ โรคไตวายเรื้อรังเกิดตามหลังโรคเบาหวานโรคไตอักเสบหรือโรคความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบเนโฟรติก โรคไตอักเสบจากภาวะภูมิคุ้มกันสับสน (โรคเอส.แอล.อี.) โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic Kidney Disease) อาการ ปัสสาวะเป็นเลือดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคไตแต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้โดยจะปัสสาวะเป็นเลือดอาจเป็นเลือดสดๆเลือดเป็นลิ่มๆปัสสาวะเป็นสีแดงสีน้ำล้างเนื้อสีชาแก่ๆหรือปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้มก็ได้ ปัสสาวะเป็นฟองมากเพราะมีalbumin หรือโปรตีนออกมามากจะทำให้ปัสสาวะมีฟองขาวๆเหมือนฟองสบู่ การมีปัสสาวะเป็นเลือดพร้อมกับมีไข่ขาว-โปรตีนออกมาในปัสสาวะพร้อมๆกันเป็นข้อสัญนิฐานที่มีน้ำหนักมากว่าจะเป็นโรคไต ปัสสาวะขุ่นอาจเกิดจากมีเม็ดเลือดแดง (ปัสสาวะเป็นเลือด) เม็ดเลือดขาว(มีการอักเสบ) มีเชื้อแบคทีเรีย (แสดงว่ามีการติดเชื้อ) หรืออาจเกิดจากสิ่งที่ร่างกายขับออกจากไตแต่ละลายได้ไม่ดีเช่นพวกผลึกคริสตัลต่างๆเป็นต้น การผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะเช่นการถ่ายปัสสาวะบ่อยปัสสาวะแสบปัสสาวะราดเบ่งปัสสาวะอาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะเช่นกระเพาะปัสสาวะต่อมลูกหมากและท่อทางเดินปัสสาวะ การปวดท้องอย่างรุนแรง (colicky pain) ร่วมกับการมีปัสสาวะเป็นเลือดปัสสาวะขุ่นหรือมีกรวดทรายแสดงว่าเป็นนิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะ การมีก้อนบริเวณไตหรือบริเวณบั้นเอวทั้ง 2 ข้างอาจเป็นโรคไตเป็นถุงน้ำการอุดตันของไตหรือเนื้องอกของไต การปวดหลังในกรณีที่เป็นกรวยไตอักเสบจะมีอาการไข้หนาวสั่นและปวดหลังบิเวณไตคือบริเวณสันหลังใต้ซี่โครงซีกสุดท้าย อาการบวมโดยเฉพาะการบวมที่บริเวณหนังตาในตอนเช้าหรือหน้าบวมซึ่งถ้าเป็นมากจะมีอาการบวมทั่วตัวอาจเกิดได้ในโรคไตหลายชนิดแต่ที่พบได้บ่อยโรคไตอักเสบชนิดเนฟโฟรติคซินโดรม (Nephrotic Syndrome) ความดันโลหิตสูงเนื่องจากไตสร้างสารควบคุมความดันโลหิตประกอบกับไตมีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกายเพราะฉะนั้นความดันโลหิตสูงอาจเป็นจากโรคไตโดยตรงหรือในระยะไตวายมากๆความดันโลหิตก็จะสูงได้

  11. โรคไต. ซีดหรือโลหิตจางเช่นเดียวกับความดันโลหิตสูงสาเหตุของโลหิตจางมีได้หลายชนิดแต่สาเหตุที่เกี่ยวกับโรคไตก็คือโรคไตวายเรื้อรัง (Chronic renal failure) เนื่องจากปกติไตจะสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) เพื่อไปกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงเมื่อเกิดไตวายเรื้อรังไตจะไม่สามารถสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) ไปกระตุ้นไขกระดูกทำให้ซีดหรือโลหิตจางมีอาการอ่อนเพลียเหนื่อยง่ายหน้ามือเป็นลมบ่อยๆ อย่างไรก็ตามควรต้องไปพบแพทย์ทำการซักประวัติตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการเช่นตรวจปัสสาวะตรวจเลือดเอ็กซ์เรย์จึงจะพอบอกได้แน่นอนขึ้นว่าเป็นโรคไตหรือไม่ สาเหตุ เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) เช่นมีไตข้างเดียวหรือไตมีขนาดไม่เท่ากันโรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic kidney disease) ซึ่งเป็นกรรมพันธุ์ด้วยเป็นต้น เกิดจากการอักเสบ (Inflammation) เช่นโรคของกลุ่มเลือดฝอยของไตอักเสบ (glomerulonephritis) เกิดจากการติดเชื้อ (Infection) เกิดจากเชื้อแบคที่เรียเป็นส่วนใหญ่เช่นกรวยไตอักเสบไตเป็นหนองกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (จากเชื้อโรค) เป็นต้น เกิดจากการอุดตัน (Obstruction) เช่นจากนิ่วต่อมลูกหมากโตมะเร็งมดลูกไปกดท่อไตเป็นต้น เนื้องอกของไตซึ่งมีได้หลายชนิด คำแนะนำ 1. กินอาหารโปรตีนต่ำหรืออาหารโปรตีนต่ำมากร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็นโดยกินอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูงซึ่งหมายถึงโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิดจำนวน 0.6 กรัมของโปรตีน / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วันโดยไม่ต้องให้กรดอะมิโนจำเป็นหรือกรดคีโต (Keto Acid) เสริมเพราะอาหารโปรตีนในขนาดดังกล่าวข้างต้นให้กรดอมิโนจำเป็นในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกายอยู่แล้วตัวอย่างเช่นผู้ป่วยซึ่งมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยประมาณ 50-60 กิโลกรัมควรกินอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูงประมาณ 30-60 กรัม / วันอาจจำกัดอาหารโปรตีนเพื่อชะลอการเสื่อมหน้าที่ของไตได้อีกวิธีหนึ่งโดยให้ผุ้ป่วยกินอาหารโปรตีนต่ำมาก (0.4 กรัม / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน) ร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็นหรืออนุพันธ์คีโต (Keto Analog) ของกรดอะมิโนจำเป็นในกรณีผู้ป่วยมีน้ำหนักเฉลี่ยน 50-60 กิโลกรัมควรกินโปรตีนประมาณ 20-25 กรัม / วันเสริมด้วยกรดอะมิโนจำเป็นหรืออนุพันธ์ครีโตของกรดอะมิโนจำเป็น 10-12 กรัม / วัน 2. กินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำโดยผุ้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังควรควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหารแต่ละวันไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัม / วันด้วยการจำกัดอาหารที่มีโคเลสเตอรอลมากเช่นไข่แดงเครื่องในสัตว์ทุกชนิดและนมเป็นต้น 3. งดกินอาหารที่มีฟอสเฟตสูงฟอสเฟตมักพบในอาหารที่มีโปรตีนสูงเช่นเนื้อสัตว์ไข่แดงนมและเมล็ดพืชต่างๆเช่นถั่วลิสงเม็ดทานตะวันเม็ดมะม่วงหิมพานต์เมล็ดอัลมอนด์ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าวพบว่าอาหารที่มีฟอสเฟตสูงจะเร่งการเสื่อมของโรคไตวายเรื้อรังให้รุนแรงมากขึ้นและมีความรุนแรงของการมีโปรตีนรั่วทางปัสสาวะมากขึ้นนอกเหนือจากผลเสียต่อระบบกระดูกดังกล่าวข้างต้น 4. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ไม่มีอาการบวมการกินเกลือในปริมาณไม่มากนักโดยไม่ต้องถึงกับงดเกลือโดยสิ้นเชิงแต่ไม่ควรกินเกลือเพื่อการปรุงรสเพิ่มผู้ป่วยที่มีอาการบวกร่วมด้วยควรจำกัดปริมาณเกลือที่กินต่อวันให้น้อยกว่า 3 กรัมของน้ำหนักเกลือแกง (เกลือโซเดียมคลอไรด์) ต่อวันซึ่งทำได้โดยกินอาหารที่มีรสชาดจืดงดอาหารที่มีปริมาณเกลือมากได้แก่เนื้อสัตว์ทำเค็มหรือหวานเค็มเช่นเนื้อเค็มปลาแห้งกุ้งแห้งรวมถึงหมูแฮมหมูเบคอนไส้กรอกปลาริวกิวหมูสวรรค์หมูหยองหมูแผ่นปลาส้มปลาเจ่าเต้าเจี้ยวงดอาหารบรรจุกระป๋องเช่นปลากระป๋องเนื้อกระป๋อง 5. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่มีน้ำหนักเกินน้ำหนักจริงที่ควรเป็น (Ideal Weight for Height) ในคนปกติควรจำกัดปริมาณแคลอรีให้พอเพียงในแต่ละวันเท่านั้นคือประมาณ 30-35 กิโลแคลอรี / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน

  12. โรคหัวใจ ชนิดและสาเหตุของโรคหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดความผิดปกตินี้อาจเกิดขึ้นกับทุกส่วนของหัวใจเช่นหลอดเลือดหัวใจลิ้นหัวใจผนังกั้นห้องหัวใจหรือตัวห้องหัวใจเองมีสภาพไม่สมบูรณ์ โรคลิ้นหัวใจลิ้นหัวใจพิการอาจเป็นแต่กำเนิดหรือมาเป็นภายหลังได้ที่มาเป็นภายหลังส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อคออักเสบและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านหัวใจตัวเองเกิดการอักเสบของลิ้นหัวใจและเกิดลิ้นหัวใจพิการ (ตีบรั่ว) ตามมานอกจากนั้นลิ้นหัวใจพิการยังอาจเกิดจากการติดเชื้อที่หัวใจโดยตรงหรือเกิดจากการเสื่อมของลิ้นหัวใจเองโดยมากแล้วเราสามารถผ่าตัดแก้ไขได้ โรคกล้ามเนื้อหัวใจกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติไม่ว่าจะบีบหรือคลายตัวกล้ามเนื้อหัวใจหนากว่าปกติเป็นต้นโรคที่พบบ่อยคือกล้ามเนื้อหัวใจเสียเนื่องจากความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษามานานกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วนเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันเป็นต้น โรคหลอดเลือดหัวใจโรคหัวใจขาดเลือดเป็นโรคกลุ่มเดียวกันเพราะหลอดเลือดหัวใจจะนำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเมื่อหลอดเลือดผิดปกติจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดการทำงานจึงผิดปกติโรคของหลอดเลือดหัวใจอาจเกิดจากหลายสาเหตุแต่ที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากการสะสมของไขมันที่ผนังทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบและตันในที่สุด (ไม่ใช่มีก้อนไขมันในเลือดลอยไปอุดตันตามที่เข้าใจกัน) โรคเยื่อหุ้มหัวใจเป็นโรคที่พบไม่บ่อยส่วนใหญ่เกิดการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียหรือเชื้อวัณโรคโรคนี้ส่วนใหญ่รักษาได้ยกเว้นกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายมายังเยื่อหุ้มหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะกลุ่มนี้มีหลายชนิดมากบางชนิดไม่เป็นอันตรายบางชนิดอันตรายมาก (ส่วนใหญ่ของกลุ่มที่ร้ายแรงมักมีความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจหลอดเลือดหัวใจด้วย) สาเหตุเกิดจากระบบไฟฟ้าในหัวใจทำงานผิดปกติไปเช่นมีจุดกำเนิดไฟฟ้าแปลกปลอมขึ้นหรือเกิดทางลัด (เรียกง่ายๆว่าไฟช็อต) ในระบบเป็นต้น การติดเชื้อที่หัวใจพบได้บ่อยในผู้ป่วยภูมิต้านทานต่ำหรือติดยาเสพติดชนิดฉีดโดยมากเกิดการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจซึ่งจะเป็นปัญหาในการรักษาอย่างมากโรคหัวใจในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีลักษณะของโรคหลากหลายมาก

  13. โรคหัวใจ. อาการ เจ็บหน้าอก 1. เจ็บแน่นๆอึดอัดบริเวณกลางหน้าอกอาจจะเป็นด้านซ้ายหรือทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไปที่แขนซ้ายหรือทั้งสองข้างหรือจุกแน่นที่คอบางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟันเกิดขึ้นขณะออกกำลังเช่นเดินเร็วๆรีบหรือขึ้นบันไดวิ่งโกรธโมโหอาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกกำลัง 2. เจ็บแหลมๆคล้ายเข็มแทงเจ็บแปล๊บๆเจ็บจุดเดียวกดเจ็บบริเวณหน้าอก อาการหอบเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง ใจสั่นหมายถึงการที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติผิดจังหวะหรือเต้นไม่สม่ำเสมอเต้นๆหยุดๆ ขาบวมเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลงเลือดจากขาไม่สามารถไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวกจึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น เป็นลมวูบหมายถึงการหมดสติหรือเกือบหมดสติชั่วขณะโดยอาจรู้สึกหน้ามืดจะเป็นลมตาลายมองไม่เห็นภาพชัดเจนโดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ คำแนะนำ 1. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง 2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม 3. เน้นอาหารที่มีเส้นใย (fiber) 4. เลิกบุหรี่ 5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 6. ควบคุมเบาหวานและความดันโลหิตสูง 7. ทำจิตใจให้ผ่องใส

  14. โรคกระดูกพรุน คือภาวะที่เนื้อกระดูกของร่างกายลดลงอย่างมากและเป็นผลให้โครงสร้างของกระดูกไม่แข็งแรงทำให้ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ดีเช่นเดิมโรคกระดูกพรุนเป็นโรคของผู้สูงอายุโดยปกติร่างกายเราจะมีกระบวนสร้างและสลายกระดูกเกิดขึ้นตลอดเวลาเมื่ออายุมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเกิน 40 ปีกระบวนสร้างจะไม่สามารถไล่ทันกระบวนสลายได้นอกจากนั้นเมื่ออายุมากขึ้นการดูดซึมของทางเดินอาหารจะเสื่อมลงทำให้ร่างกายต้องดึงสารแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ผลคือร่างกายต้องสูญเสียปริมาณเนื้อกระดูกมากขึ้น ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน - หญิงวัยหมดประจำเดือน -- การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้กระดูกสลายตัวในอัตราที่เร็วขึ้น - ผู้สูงอายุ - ชาวเอเซียและคนผิวขาว -- โรคกระดูกพรุนถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ตามสถิติพบว่าสองชนชาตินี้ มีโอกาสเป็นโรคได้มากกว่าคนผิวดำ - รูปร่างเล็กผอม - รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ - ออกกำลังน้อยไป - สูบบุหรี่ดื่มสุราชากาแฟ - ใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อการสลายเซลล์กระดูกเช่นสเตียรอยด์ - เป็นโรคเรื้อรังเช่นไขข้ออักเสบโรคไต - รับประทานอาหารจำพวกโปรตีนและอาหารมีกากมากเกินไป - รับประทานอาหารเค็มจัด

  15. โรคกระดูกพรุน อาการของโรคกระดูกพรุน ระยะแรกมักไม่มีอาการเมื่อเริ่มมีอาการแสดงว่าเป็นโรคมากแล้วอาการสำคัญของโรคได้แก่ปวดตามกระดูกส่วนกลางที่รับน้ำหนักเช่นกระดูกสันหลังกระดูกสะโพกและอาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วยต่อมาความสูงของลำตัวจะค่อยๆลดลงหลังจะโก่งค่อมหากหลังโก่งค่อมมากๆจะทำให้ปวดหลังมากเสียบุคลิกเคลื่อนไหวลำบากระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารถูกรบกวนเมื่อเป็นโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจจะหายยากระบบย่อยอาหารผิดปกติท้องอืดเฟ้อและท้องผูกเป็นประจำ โรคแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดของโรคกระดูกพรุนคือกระดูกหักบริเวณที่พบมากได้แก่กระดูกสันหลังกระดูกสะโพกและกระดูกข้อมือซึ่งหากที่กระดูกสันหลังหักจะทำให้เกิดอาการปวดมากจนไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้ การป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน วิธีที่ดีที่สุดคือการเสริมสร้างเนื้อกระดูกของร่างกายให้มากที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างไรก็ตามคนทุกวัยควรให้ความสนใจในการป้องกันโรคกระดูกพรุนด้วยการปฏิบัติตนดังนี้ รับประทานอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ตามหลักโภชนาการ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นนมโยเกิร์ตกุ้งแห้งตัวเล็กกุ้งฝอย ไม่รับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป เลี่ยงอาหารเค็มจัด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการสร้างกระดูกและทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง การทรงตัวดีป้องกันการหกล้มได้ หลีกเลี่ยงบุหรี่สุราชากาแฟ เลี่ยงยาบางชนิดเช่นสเตียรอยด์ ระมัดระวังตนเองไม่ให้หกล้ม การใช้ยาในการป้องกันและรักษาจะแตกต่างกันตามปัจจัยต่างๆในผู้ป่วยแต่ละรายเช่นอายุเพศ และระยะเวลาหลังการหมดประจำเดือน การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน การวินิจฉัยโรคนี้ในระยะเริ่มแรกทำได้โดยการตรวจความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่องวัดความหนาแน่นของกระดูก (BoneDensitometer) การตรวจนี้เป็นการตรวจโดยใช้แสงเอกซเรย์ที่มีปริมาณน้อยมากส่องตามจุดต่างๆที่ต้องการตรวจแล้วใช้คอมพิวเตอร์คำนวณหาค่าความหนาแน่นของกระดูกบริเวณต่างๆเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานสตรีอายุ 40 ปีขึ้นไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งบางรายที่มีความเสี่ยงได้แก่รูปร่างผอมดื่มเหล้ากาแฟสูบบุหรี่ทานอาหารที่มีแคลเซียมน้อยไม่ออกกำลังเป็นประจำหรือรับประทานยาสเตียรอยด์ควรเข้ารับการตรวจความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำทุกปี

  16. อัมพฤกษ์ อัมพาต จากโรคหลอดเลือดในสมอง โรคหลอดเลือดในสมองเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับ 3 รองจากโรคหัวใจและมะเร็ง ซึ่งหากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีชีวิตอยู่ก็มักจะมีความพิการหลงเหลืออยู่ ได้แก่อัมพฤกษ์อัมพาตนั่นเอง ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองแบ่งเป็น 2 ลักษณะได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขและควบคุมได้มักสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงโรคเบาหวาน และโรคหัวใจไขมันในเลือดสูงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผสมอยู่ขาดการออกกำลังกายสูบบุหรี่ความเครียดความอ้วน ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขไม่ได้ได้แก่อายุจากการศึกษาพบว่าโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองจะมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นเพศเชื้อชาติและกรรมพันธุ์ อาการเริ่มต้นของอัมพฤกษ์ที่สังเกตได้และควรไปพบแพทย์ดังนี้คือ 1. เกิดอาการชาหรือไม่มีแรงตามใบหน้าแขนขาข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย 2. พูดไม่ได้ชั่วขณะหรือลำบากในการพยายามพูด 3. ตาข้างใดข้างหนึ่งพร่ามัวไปชั่วขณะ 4. เวียนศีรษะโดยไม่มีสาเหตุหรือทรงตัวไม่ได้ โรคหลอดเลือดในสมองป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงและควบคุมปัจจัยเสี่ยงดังนี้คือ 1. การรับประทานอาหารที่ถูกต้องโดยรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและมีปริมาณเพียงพอลดอาหารเค็มหรือเกลือมากซึ่งจะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดแข็งได้รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเป็นประจำเช่นผักผลไม้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมากโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวเช่นมันหมูมันไก่ไข่แดงและกะทิมะพร้าวรวมทั้งอาหารที่หวานจัดต่างๆเป็นต้นซึ่งจะทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงได้ 2. งดสูบบุหรี่เนื่องจากบุหรี่มีสารนิโคตินซึ่งสารนี้จะทำให้หัวใจเต้นเร็วหลอดเลือดหดตัวความดันโลหิตสูงทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงเบาหวานและโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้วจะทำให้เกิดอันตรายได้ 3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพราะช่วยคลายเครียดลดไขมันและลดความดันโลหิตนอกจากนี้ยังทำให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย 4. การควบคุมน้ำหนักความอ้วนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้หลายอย่างเช่นไขมันในเลือดสูงความดันสูงและทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ 5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 6. ควรไปตรวจสุขภาพเป็นประจำหากพบว่าท่านป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเบาหวานโรคหัวใจ

  17. โรคโลหิตจาง เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับเฮโมโกลบินในเลือดต่ำกว่าปกติพบได้ในทุกอายุและทั้งสองเพศ อาการ ถ้าเป็นน้อยๆอาจมีอาการเหนื่อนง่ายรู้สึกเพลียๆแต่ถ้าเป็นรุนแรงจะมีอาการไม่มีแรงซีดเซียวหัวใจเต้นเร้วหายใจไม่ออกมึนงงเท้าบวมและปวดขา สาเหตุ 1. เกิดจากการขาดธาตุเหล็กซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบิน (ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปตามกระแสเลือด) มักเกิดในกลุ่มเด็กวัยรุ่น 2. การสูญเสียเลือดมากๆในช่วงมีประจำเดือน 3. มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร 4. เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก 5. เกิดภาวะผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดแดง 6. ร่างกายไม่ดูดซึมวิตามินบี 12 ( pernicious anaemia ) คำแนะนำ 1. รัประทานเนื้อสัตว์เป็ดไก่ตับสัตว์เลือดสัตว์ถั่วและผักใบเขียวเข้มเป็นแหล่งที่มีธาตุเหล็กมากที่สุด 2. รัประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเพื่อให้ได้วิตามินซีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชได้ดีขึ้น 3. งดการดื่มน้ำชาระหว่างมื้ออาหารสารแทนนินที่มีอยู่ในน้ำชาจะไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กได้ 4. งดการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทรำสำเร็จรูปมากเกินไปเนื่องจากกรดไฟติกที่มีอยู่ในรำข้าวสาลีและข้าวกล้องจะไปยัยยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กได้

  18. โรคกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะเป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่งบางท่านอาจเรียกโรคกระเพาะอาหารเพราะอาการปวดท้องที่เป็นมักสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารความหมายของโรคกระเพาะนั้นโดยทั่วไปหมายถึงโรคแผลในกระเพาะอาหารแต่ที่จริงแล้วโรคกระเพาะยังหมายรวมถึงโรคแผลที่ลำไส้เล็ก, โรคกระเพาะอาหารอักเสบและโรคลำไส้อักเสบอีกด้วย สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารนั้นมีมากมายซึ่งแต่ละสาเหตุจะทำให้เกิดภาวะที่มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไปเช่นการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาการรับประทานยาแก้ปวดจำพวก Aspirin ในขณะท้องว่างการรับประทานยาแก้อักเสบหรือแก้ปวดจำพวกยาที่ใช้กันในโรคกระดูกและข้อการดื่มสุราและการสูบบุหรี่นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการตรวจพบว่ามี bacteria ชนิดหนึ่งซึ่งสามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของคนเราได้ bacteria ตัวนี้พบว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะได้ อาการโรคกระเพาะที่พบบ่อยคือมีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่แต่บางคนอาจมีอาการแน่นท้องบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยผลข้างเคียงของโรคกระเพาะที่มีอันตรายได้แก่อาเจียนเป็นเลือดถ่ายอุจจาระเป็นสีดำและกระเพาะอาหารที่เป็นแผลทะลุทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงได้ ในกรณีที่ท่านมีอาการปวดท้องและสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะท่านควรรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เนื่องจากสาเหตุของการปวดท้องมีมากมายหากยังไม่มีความแน่ใจท่านควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์จะซักประวัติของท่านอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้นมีการตรวจร่างกายเพื่อว่าจะหาสาเหตุที่แท้จริงแพทย์อาจให้การรักษาโดยให้ยาลดกรดในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กหรือในบางกรณีอาจมีการตรวจเพิ่มเติมโดยแพทย์อาจพิจารณาใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหารหนือให้กลืนแป้งแล้วเอ็กซเรย์เพื่อดูให้เห็นร่องรอยของแผลในกระเพาะอาหารหรือในลำไส้เล็กส่วนต้นจะทำให้การวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น ่การรักษาที่สำคัญที่สุดของโรคกระเพาะคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคกระเพาะนั่นเองโดยท่านต้องรับประทานให้ตามเวลาการหลีกเลี่ยงการดื่มสุราการสูบบุหรี่และการระมัดระวังการรับประทานยาที่อาจมีผลต่อการทำให้มีกรดในกระเพาะอาหารมากยิ่งขึ้นตลอดจนการระมัดระวังเรื่องความเครียดความวิตกกังวลซึ่งก็มีส่วนในการทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกัน

  19. โรคผมร่วง สาเหตุของผมร่วงมีหลายอย่างมากที่พบบ่อยๆเช่น 1. ผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areate) ซึ่งจะร่วงเป็นวงกลมๆคล้ายเหรียญบาทหรือใหญ่กว่า 2. ผมร่วงหลังคลอดหรือไข้สูง (Telogen effluvin) พวกนี้ผมจะร่วงวันละเป็นร้อยๆเส้นเวลาจูงผมจะติดมือออกมาเลย ทั้ง 1 + 2 อาจจะหายเองได้ดังนั้นจะมีคนไข้บางคนเข้าใจผิดว่าใช้ยาทาตัวนั้นตัวนี้แล้วทำให้ผมขึ้นได้ (ซึ่งจริงๆแล้วผมมันขึ้นเอง) สาเหตุของผมร่วมที่พบบ่อยอีกอย่างคือผมร่วงจากกรรมพันธุ์(Androgenetic alopecia) พวกนี้จะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แต่จะไม่เกิดกับลูกหลานทุกคน (จะเป็นแต่บางคน) ผมร่วงลักษณะนี้เป็นได้ทั้งหญิงและชายผู้หญิงจะร่วงบริเวณกลางกระหม่อม ส่วนผู้ชายจะร่วงบริเวณกลางกระหม่อมด้านหน้า (หัวเถิก) การรักษาผมร่วงจากกรรมพันธุ์แบบเดิมๆก็คือการใช้ยา Minoxidil กินและทา การทาจะได้ผลเพียง 30% ส่วนการกินจะได้ผล 90% แต่ข้อเสียของการทานยาคือ เวลาหยุดยาแล้วผมจะร่วงเหมือนเดิมและการทานยานานๆ (6 เดือนขึ้นไป) จะมีอาการดื้อยา ผมจะร่วงได้ทั้งๆที่รับประทานยาอยู่ ขณะนี้มียาตัวใหม่ชื่อ Finasteride ซึ่งจะไปยับยั้ง enzyme ทำให้การผลิต Hormone เพศชาย Dilaydrotestosterone (DHT) ลดลงซึ่งคิดกันว่าตัว DHT นี้แหละ เป็นสาเหตุของการทำให้ผู้ชายผมร่วงถ้ามีมากเกินไป (ซึ่งผู้ชายที่ผมร่วงจากกรรมพันธุ์มักจะพบ Hormone DHT สูงกว่าปกติ) แต่ข้อเสียของยาตัวนี้ก็คือ 1. ห้ามใช้ในผู้หญิง 2. อาจทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลงได้ 3. เวลาหยุดยาอาจทำให้ผมร่วงเหมือนยา Minoxidil ได้ สุดท้ายถ้าการกินยาและทายาไม่ได้ผลก็ต้องทำศัลยกรรมโดยแพทย์ศัลยกรรมตกแต่งซึ่งจะย้ายเส้นผม มาปลูกเป็นเส้นๆเลยได้ผลดีทีเดียวแต่ค่าใช้จ่ายก็สูงพอสมควร ส่วนการถักทอเส้นผมที่บางเต็มนั้นเทียบแล้วเหมือนการใส่วิกนั่นแหละ การฝังเข็มและผลิตภัณฑ์จากรกแกะไม่น่าได้ผล

  20. โรคข้อเข่าเสื่อม อาการปวดที่เกิดขึ้นบริเวณข้อเข่าอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุแต่ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีมักเกิดจากการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติของกระดูกและกระดูกอ่อนผิวข้อ อาการสำคัญของโรคข้อเข่าเสื่อม ปวดข้อเข่ารู้สึกเมื่อยตึงที่น่องและข้อพับเข่า รู้สึกว่าข้อเข่าขัดๆเคลื่อนไหวข้อได้ไม่เต็มที่ มีเสียงดังในข้อเวลาขยับเคลื่อนไหวข้อเข่า ข้อเข่าบวมมีน้ำในข้อ เข่าคดผิดรูปร่างหรือเข่าโก่ง ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะพบบางข้อหรือหลายข้อพร้อมกันก็ได้ในระยะแรกอาการเหล่านี้มักจะค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆและเป็นๆหายๆ เมื่อโรคเป็นมากขึ้นก็จะมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นบ่อยขึ้นและอาจจะมีอาการตลอดเวลา การเอ๊กซเรย์ข้อเข่าก็จะพบว่ามี ช่องของข้อเข่าแคบลง มีกระดูกงอกตามขอบของกระดูกเข่าและกระดูกสะบ้า ข้อเข่าคดงอผิดรูปเข่าโก่ง ซึ่งลักษณะที่พบนี้ก็อาจพบได้ในข้อเข่าของผู้สูงอายุปกติทั่วไปโดยที่ไม่มีอาการเลยก็ได้ ดังนั้นการจะบอกว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไม่โดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์สามารถบอกได้จากประวัติของความเจ็บป่วยอาการอาการแสดงที่เป็นอยู่และการตรวจร่างกายโดยไม่จำเป็นต้องเอ๊กซเรย์ การเอ๊กซเรย์จะทำก็ต่อเมื่อแพทย์สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคอื่นสงสัยว่าอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนหรือในกรณีที่ต้องทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด แนวทางรักษามีอยู่หลายวิธีเช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ทำกายภาพบำบัด การกินยาแก้ปวดลดการอักเสบ การผ่าตัดเพื่อจัดแนวกระดูกใหม่ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้จุดมุ่งหมายในการรักษาทุกวิธีก็คือลดอาการปวดทำให้เคลื่อนไหวข้อได้ดีขึ้นป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปร่างของข้อเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันหรือทำงานได้เป็นปกติ การกินยาแก้ปวดหรือการผ่าตัดถือว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุถ้าผู้ป่วยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันและไม่บริหารข้อเข่าผลการรักษาก็จะไม่ดีเท่าที่ควร

  21. โรคข้อเข่าเสื่อม วิธีการรักษาที่ได้ผลดีเสียค่าใช้จ่ายน้อยทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเองคือ การลดน้ำหนัก การบริหารข้อและ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน ข้อแนะนำในการรักษาด้วยตนเองดังนี้ 1 ลดน้ำหนักตัวเพราะเมื่อเดินจะมีน้ำหนักลงที่เข่าแต่ละข้างประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตัวแต่ถ้าวิ่งน้ำหนักจะลงที่เข่าเพิ่มเป็น 5 เท่าของน้ำหนักตัว ดังนั้นถ้าลดน้ำหนักตัวได้ก็จะทำให้เข่าแบกรับน้ำหนักน้อยลงการเสื่อมของเข่าก็จะช้าลงด้วย 2 ท่านั่งควรนั่งบนเก้าอี้ที่สูงระดับเข่าซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาแล้วฝ่าเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี ไม่ควรนั่งพับเพียบนั่งขัดสมาธินั่งคุกเข่านั่งยองๆหรือนั่งราบบนพื้นเพราะท่านั่งดังกล่าวจะทำให้ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมากขึ้นข้อเข่าก็จะเสื่อมเร็วขึ้น 3 เวลาเข้าห้องน้ำควรนั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครกหรือใช้เก้าอี้ที่มีรูต้องกลางวางไว้เหนือคอห่านไม่ควรนั่งยองๆเพราะทำให้ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมากและเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขาถูกกดทับเลือดจะไปเลี้ยงขาได้ไม่ดีทำให้ขาชาและมีอาการอ่อนแรงได้ ควรทำที่จับยึดบริเวณด้านข้างโถนั่งหรือใช้เชือกห้อยจากเพดานเหนือโถนั่งเพื่อใช้จับพยุงตัวเวลาจะลงนั่งหรือจะลุกขึ้นยืน 4 นอนบนเตียงซึ่งมีความสูงระดับเข่าซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงแล้วฝ่าเท้าจะแตะพื้นพอดี ไม่ควรนอนราบบนพื้นเพราะต้องงอเข่าเวลาจะนอนหรือจะลุกขึ้นทำให้ผิวข้อเสียดสีกันมากขึ้น 5 หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได 6 หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งในท่าเดียวนานๆถ้าจำเป็นก็ให้ขยับเปลี่ยนท่าหรือขยับเหยียด-งอข้อเข่าเป็นช่วงๆ 7 การยืนควรยืนตรงให้น้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่าๆกัน ไม่ควรยืนเอียงลงน้ำหนักตัวบนขาข้างใดข้าง-หนึ่งเพราะจะทำให้เข่าที่รับน้ำหนักมากกว่าเกิดอาการปวดและข้อเข่าโก่งผิดรูปได้ 8 การเดินควรเดินบนพื้นราบใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย(สูงไม่เกิน 1 นิ้ว) หรือแบบที่ไม่มีส้นรองเท้าพื้นรองเท้านุ่มพอสมควรและมีขนาดที่พอเหมาะเวลาสวมรองเท้าเดินแล้วรู้สึกว่ากระชับพอดีไม่หลวมหรือคับเกินไป ไม่ควรเดินบนพื้นที่ไม่เสมอกันเช่นบันไดทางลาดเอียงที่ชันมากหรือทางเดินที่ขรุขระเพราะจะทำให้น้ำหนักตัวที่ลงไปที่เข่าเพิ่มมากขึ้นและอาจจะเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่าย 9 ควรใช้ไม้เท้าเมื่อจะยืนหรือเดินโดยเฉพาะผู้ที่มีอาการปวดมากหรือมีข้อเข่าโก่งผิดรูปเพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวที่ลงบนข้อเข่าและช่วยพยุงตัวเมื่อจะล้มแต่ก็มีผู้ป่วยที่ไม่ยอมใช้ไม้เท้าโดยบอกว่ารู้สึกอายที่ต้องถือไม้เท้าและไม่สะดวกทำให้เกิดผลเสียตามมาคือข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นและเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหกล้ม สำหรับวิธีการถือไม้เท้านั้น ถ้าปวดเข่ามากข้างเดียวให้ถือไม้เท้าในมือด้านตรงข้ามกับเข่าที่ปวดแต่ถ้าปวดเข่าทั้งสองข้างให้ถือในมือข้างที่ถนัด 10 บริหารกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่าให้แข็งแรงเพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อได้ดีขึ้นและสามารถทรงตัวได้ดีขึ้นเวลายืนหรือเดินการออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนักที่เข่ามากนักเช่นการเดินการขี่จักรยานการว่ายน้ำเป็นต้น โรคข้อเข่าเสื่อมรักษาไม่หายขาดแต่ก็มีวิธีที่ทำให้อาการดีขึ้นและชะลอความเสื่อมให้ช้าลงทำให้ท่านสามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งจะทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความตั้งใจของท่านเองเป็นสำคัญ

  22. โรคสิว กะ ฝ้า สิวแบ่งเป็น 2 ชนิด 1.สิวไม่อักเสบเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน (COMEDONE) แบ่งเป็น 2 ชนิด 1.1 สิวหัวปิดเห็นเป็นตุ่มเล็กๆหัวขาวๆ 1.2 สิวหัวเปิดหรือสิวหัวดำ 2.สิวอักเสบคือสิวที่หัวแดงๆหรือเป็นหนองพวกนี้ก็คือ (COMEDONE) ที่มีการติดเชื้อ(BACTERIA) แทรกซ้อน ดังนั้นถ้าเป็นสิวอักเสบการทำความสะอาดใบหน้าด้วยสบู่อ่อนๆและการป้องกันไม่ให้มีการอุดตันที่รูขุมขน (COMEDONE) โดยการใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในตอนกลางวันก็พอจะช่วยให้สิวลดลงหรือป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบคงต้องปรึกษาแพทย์เพราะต้องใช้ปฏิชีวนะ (กินหรือทาแล้วแต่ความรุนแรงของสิว) สิวอักเสบควรจะต้องรีบรักษาถ้าไปแกะหรือบีบหนองออกจะเป็นรอยแผลเป็นบุ๋มตลอดไปรักษายากมาก การนอนดึกทำให้สิวเพิ่มขึ้นได้ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบอาจเป็นเพราะ 1.ร่างกายอ่อนแอเชื้อ Becteria ในสิวทำให้มีการอักเสบมากขึ้น 2.Hormone เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในผู้หญิงตัวอย่างเช่นบางคนประจำเดือนหรือขณะตั้งครรภ์ จะมีสิวเพิ่มขึ้น การรักษาสิวมีหลักง่ายๆ 2 วิธีคือ 1. ถ้าเป็นสิวเม็ดเล็กๆจำนวนไม่มากก็ทำความสะอาดผิวหนังและใช้ยาทารักษาสิวบ้างเป็นบางครั้ง 2. ถ้าเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ๆหลายๆเม็ดก็ต้องรับประทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย การจะใช้ยาทาหรือยารับประทานแบบไหนคงต้องปรึกษาแพทย์อีกครั้งหนึ่ง ฝ้าแบ่งง่ายๆเป็น 2 ชนิด 1. แบบตื้น (Superficial type) ลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัดขึ้นเร็วหายเร็วรักษาโดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆและยากันแดด สามารถหายได้ 2. แบบลึก (Deep type) ลักษณะเป็นสีม่วงๆอมน้ำเงินขอบเขตไม่ชัดไม่หายขาด การทายาฝ้าอ่อนๆและยากันแดดพอทำให้ดีขึ้นได้ ข้อแนะนำ 1. คนเป็นฝ้าไม่ควรใช้ยาเองเพราะอาจได้รับยาฝ้าที่แรงเกินไปทำให้เกิดผลข้างเคียงและเกิดการติดยา หยุดยาไม่ได้ 2. แสงแดดทำให้เป็นฝ้าและทำให้ฝ้าเห่อขึ้นได้เพราะฉะนั้นคนเป็นฝ้าต้องใช้ยากันแดด (SPF > 15 เป็นอย่างน้อยและหลีกเลี่ยงแสงแดดเสมอ ส่วนพวกที่ว่าหายแล้วเป็นใหม่แสดงว่าหายเพราะทายาพอหมดฤทธิ์ยาก็กลับเป็นใหม่พวกนี้เป็นชนิดที่ต้องใช้ยาทาไปเรื่อยๆส่วนเรื่องฤทธิ์แทรกซ้อนจากการใช้ยาขึ้นอยู่กับใช้ยาชนิดใดบางชนิดใช้แล้วหน้าแดงและเป็นสิวปัจจุบันมียาที่มีฤทธิ์แทรกซ้อนน้อยลง

  23. โรคสิว กะ ฝ้า สาเหตุของการเกิดฝ้าคือ จากพันธุกรรมขึ้นอยู่กับเชื้อชาติและสีผิวชนชาติผิวขาวเช่นคนยุโรปไม่ค่อยเป็นฝ้าส่วนคนผิวคล้ำเช่นคนนิโกรคนอินเดียไม่พบปัญหาเรื่องฝ้าถึงเป็นก็คงมองไม่เห็นเพราะผิวสีคล้ำอยู่แล้ว เป็นผลจากฮอร์โมนส่วนใหญ่เป็นในคนอายุกลางคนเลยวัยรุ่นไปแล้วยิ่งอายุมากขึ้นมีโอกาสที่เป็นมากขึ้นผลจากฮอร์โมนที่เห็นได้ชัดคือการเกิดฝ้าในคนท้องหรือขณะกินยาคุมภายหลังคลอดหรือหยุดยาฝ้าจะค่อยๆจางลงแต่มีบางรายถึงแม้สาเหตุหมดไปแล้วแต่ฝ้ายังคงอยู่ เป็นผลจากแสงแดดเนื่องจากแดดมีฤทธิ์เป็นตัวกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้นแสงแดดอาจไม่ใช่สาเหตุของฝ้าโดยตรงผู้ที่ตากแดดจัดบางคนก็ไม่เกิดฝ้าแต่แสงแดดมีผลทำให้ฝ้าเป็นมากขึ้นคือสีเข้มขึ้น เป็นผลจากการใช้เครื่องสำอางเครื่องสำอางบางชนิดมีสารที่ทำให้ผิวดำเมื่อถูกแสงได้แก่สารโซลาเรนสารดังกล่าวพบอยู่ในน้ำหอมบางชนิดในเครื่องสำอางสมุนไพรการรักษาฝ้าให้หายขาดจึงขึ้นอยู่กับชนิดและสาเหตุถ้าเป็นฝ้าชนิดพันธุกรรมและฮอร์โมนจะเป็นชนิดที่รักษายากถ้าเป็นชนิดเกิดจากฮอร์โมนในหญิงมีครรภ์ยาคุมแสงแดดและเครื่องสำอางอาจรักษาให้หายขาดได้ หลักการรักษาฝ้า ในปัจจุบันนิยมใช้ตัวยาฟอกสีผิวร่วมกับสารป้องกันแสงแดดยาฟอกสีผิวมีหลายชนิดเช่นไฮโดรควิโนนกรดวิตามินเอกรดอาเซลิกกรดโคจิกบีเอชเอเอเอชเอสารเหล่านี้ทำให้ฝ้าจางลงแต่เมื่อใช้ไปนานๆอาจมีฤทธิ์แทรกซ้อนมีหน้าแดงจัดถ้ายิ่งโดนแดดจะกลับหน้าดำและเกิดจุดด่างขาวและมีสิวขึ้นสารบีเอชเอหรือเอเอชเอมีฤทธิ์ทำให้เซลล์ชั้นนอกของผิวหลุดลอกออกทำให้สีผิวจางลงได้ผลดีชั่วคราวเมื่อหยุดฤทธิ์ยาก็จะกลับสภาพเดิมทำให้ต้องลอกบ่อยๆถ้าใช้ความเข้มข้นสูงทำให้ระคายเคืองมาก สมัยหนึ่งมีผู้นิยมใช้สารคอร์ติโคสตีรอยด์ซึ่งทำให้ฝ้าจางลงได้ก็จริงแต่เมื่อใช้ไปสักพักจะมีฤทธิ์แทรกซ้อนทำให้เกิดเป็นสิวผิวหน้าบางลงจนเห็นเส้นเลือดเป็นร่างแหอยู่ใต้ผิวและมีขนขึ้นบริเวณที่ทายาเนื่องจากฤทธิ์แทรกซ้อนดังกล่าวยาตัวนี้จึงไม่ควรนำมาใช้บนใบหน้าการใช้สารป้องกันแดดเป็นการช่วยป้องกันฝ้าได้มาก ผู้ที่เป็นฝ้าเล็กน้อยอาจใช้ยากันแดดอย่างเดียวฝ้าจะจางลงได้ขณะเดียวกันจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดมีฝ้าขึ้นมาใหม่การใช้ยาลอกฝ้าที่มีฤทธิ์รุนแรงอาจทำให้ผิวเสียได้มากถ้ารักษาไม่หายอาจหันมาใช้วิธีปกปิดรอยฝ้าด้วยเครื่องสำอางซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาคุณภาพจนใช้ประโยชน์ได้ดีและไม่ทำลายผิวพรรณ

  24. โรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูงหรือโรคแรงดันเลือดสูงภาษาอังกฤษเรียก Hypertension ภาษาชาวบ้านเรียกง่ายๆว่า “โรคความดัน” ซึ่งเป็นโรคที่รู้จักกันมากโรคหนึ่งแต่เชื่อไหมครับจากการศึกษาพบว่าชาวอเมริกันร้อยละ 68.4 เท่านั้นที่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูงและมีเพียงร้อยละ 53.6 ที่รับการรักษาและในกลุ่มนี้มีเพียงร้อยละ 27.4 ที่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดีนั่นเป็นสถิติต่างประเทศสำหรับบ้านเรายังล้าหลังเรื่องข้อมูลพวกนี้อยู่มากผู้เขียนหวังว่าบทความนี้คงช่วยให้ผู้อ่านมีความเข้าใจและเห็นความสำคัญของการรักษาความดันโลหิตสูงมากขึ้น ความดันโลหิตคืออะไร ลองนึกภาพสายยางรดน้ำต้นไม้มีน้ำไหลเป็นจังหวะการปิดเปิดของก๊อกเมื่อเปิดน้ำเต็มที่น้ำไหลผ่านสายยางย่อมทำให้เกิดแรงดันน้ำขึ้นในสายยางนั้นและเมื่อปิดหรือหรี่ก๊อกน้ำไหลน้อยลงแรงดันในสายยางก็ลดลงด้วยระบบหัวใจและหลอดเลือดก็เป็นระบบไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกายโดยมีหัวใจทำหน้าที่คล้ายก๊อกหรือปั๊มน้ำคอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายเลือดไหลแรงดีความดันก็ดีหากหัวใจบีบตัวไม่ดีเลือดไหลอ่อนความดันก็ลดลงนอกจากนั้นแล้วความดันในหลอดเลือดยังขึ้นกับสภาพของหลอดเลือดด้วยหากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดีจะปรับความดันได้ดีไม่ให้สูงเกินไปแต่หากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่นหรือแข็งตัวก็จะทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงไปด้วย ค่าความดันโลหิตจะมีสองค่าเสมอเรียกว่า “ตัวบน” และ “ตัวล่าง” ค่าแรกเป็นความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัวไล่เลือดออกจากหัวใจส่วนตัวล่างคือความดันของเลือดที่ยังค้างอยู่ในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรจำค่าทั้งสองไว้เพราะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ความดันโลหิตเท่าไรเรียกว่าปกติ ปัจจุบันความดันโลหิตที่เรียกว่า “เหมาะสม” ในผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปีคือตัวบนไม่เกิน 120 มม.ปรอทและตัวล่างไม่เกิน 80 มม.ปรอทเรียกสั้นๆว่า 120/80 ความดันโลหิตที่ “อยู่ในเกณฑ์ปกติ” คือต่ำกว่า 130/85 มม.ปรอทความดันโลหิตสูงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 130-139/85-89 มม.ปรอทจะเรียกได้ว่ามีความดันโลหิตสูงเมื่อความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 และตัวล่างมากกว่า (หรือเท่ากับ) 90 มม.ปรอทอย่างไรก็ตามก่อนที่จะเรียกว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงได้นั้นแพทย์จะต้องวัดซ้ำหลายๆครั้งหลังจากให้ผู้ป่วยพักแล้ววัดซ้ำจนกว่าจะแน่ใจว่าสูงจริงและที่สำคัญเทคนิคการวัดต้องถูกต้องด้วย การวัดความดันโลหิตที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เครื่องมือที่ใช้วัดความดันโลหิตที่เป็นมาตราฐานคือผ้าที่มีถุงลมพันที่แขนและใช้ปรอทในขณะวัดความดันโลหิตผู้ถูกวัดความดันโลหิตควรจะอยู่ในท่านั่งสบายๆวัดหลังจากนั่งพักแล้ว 5 นาทีไม่วัดหลังจากดื่มกาแฟหรือสูบบุหรี่ขนาดของผ้าพันแขนก็ต้องเหมาะสมกับแขนผู้ถูกวัดด้วยหากอ้วนมากแล้วใช้ผ้าพันแขนขนาดปกติค่าที่ได้จะสูงกว่าความเป็นจริงการปล่อยลมออกจากที่พันแขนก็มีความสำคัญอย่างมากและเป็นที่ละเลยกันมากที่สุดคือจะต้องปล่อยลมออกช้าๆไม่ใช่ปล่อยพรวดพราดดังที่เห็นหลายๆแห่งทำอยู่การทำเช่นนั้นทำให้ได้ค่าที่ผิดไปจากความเป็นจริงมากเครื่องวัดความดันก็ต้องได้มาตราฐานไม่ใช่เครื่องเก่ามากหรือมีลมรั่วเป็นต้นตำแหน่งของเครื่องวัดก็ควรอยู่ระดับเดียวกับหัวใจและต้องวัดซ้ำๆเพื่อหาค่าเฉลี่ย ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ออกแบบมาให้วัดความดันโลหิตได้ง่ายและสะดวกขึ้นโดยผู้วัดไม่จำเป็นต้องมีความรู้เลยเพียงแค่ใส่ถ่านพันแขนและกดปุ่มเครื่องจะวัดให้เสร็จอ่านค่าเป็นตัวเลขเครื่องแบบนี้มีขายตามศูนย์การค้าทั่วไปโดยทั่วไปแล้วใช้งานได้ดี (แบบพันแขน) แต่ก็ต้องนำเครื่องมาตรวจสอบความถูกต้องเป็นครั้งคราวผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรมีเครื่องชนิดนี้ไว้วัดที่บ้านด้วยในอนาคตเครื่องวัดความดันโลหิตแบบปรอทอาจจะเลิกใช้ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลทางสิ่งแวดล้อม(ปรอทเป็นสารอันตราย) และอีกเหตุผลหนึ่งคือใช้เทคนิคมากในการวัดให้ถูกต้อง

  25. ข้อที่ควรทราบบางประการเกี่ยวกับความดันโลหิตข้อที่ควรทราบบางประการเกี่ยวกับความดันโลหิต ประการแรกคือความดันโลหิตเป็นค่าไม่คงที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทุกวินาทีจึงไม่แปลกที่วัดซ้ำในเวลาที่ใกล้เคียงกันแล้วได้คนละค่าแต่ก็ไม่ควรจะแตกต่างกันนักความดันโลหิตยังขึ้นกับท่าของผู้ถูกวัดด้วยท่านอนความดันโลหิตมักจะสูงกว่าท่ายืนนอกจากนั้นแล้วยังขึ้นกับสิ่งกระตุ้นต่างๆเช่นอาหารบุหรี่อากาศกิจกรรมที่ทำอยู่รวมทั้งจิตใจด้วย ประการต่อมาคือภาวะความดันโลหิตสูงปลอมหมายความว่าจริงๆแล้วผู้ป่วยไม่ได้มีความดันโลหิตสูงแต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบเมื่อมาวัดความดันโลหิตที่คลินิกแพทย์หรือโรงพยาบาลจะวัดได้สูงกว่าปกติทุกครั้งแต่เมื่อวัดโดยเครื่องวัดความดันโลหิต 24 ชั่วโมงหรือวัดด้วยเครื่องอิเลคโทรนิคเองที่บ้านกลับพบว่าความดันปกติเรียกภาวะเช่นนี้ว่า White coat hypertension หรือ Isolated clinic hypertension กลุ่มนี้มีอันตรายน้อยกว่าความดันโลหิตสูงจริงๆ ความดันโลหิตสูงเกิดจากอะไรและมีอาการอย่างไร จนถึงปัจจุบันนี้ความดันโลหิตสูงก็ยังเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุเป็นส่วนใหญ่มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้องทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมเช่นอาหารรสเค็มเชื้อชาติส่วนน้อยเกิด (น้อยกว่าร้อยละ 5) จากความผิดปกติของหลอดเลือดไตวายหรือเนื้องอกบางชนิดความดันโลหิตสูงได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรเงียบเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติไม่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูงหรือแม้จะทราบแต่ละเลยไม่สนใจรักษาเพราะรู้สึกปกติสบายดีทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่างๆตามมาภายหลังผู้ป่วยส่วนน้อยที่มีอาการปวดศีรษะมึนศีรษะ ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรักษาความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุการรับประทานยาเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาตลอดไปหากหยุดยาความดันโลหิตอาจกลับมาสูงอีกได้ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติแม้ความดันโลหิตจะสูงมากๆก็ตามดังนั้นจึงไม่สามารถใช้อาการมาพิจารณาว่าวันนี้จะรับประทานยาหรือไม่เช่นวันนี้สบายดีจะไม่รับประทานยาเช่นนั้นไม่ได้ การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลาเป็นระยะเวลานานจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคแทรกทางสมองหัวใจไตและหลอดเลือดได้ การรักษาแบ่งเป็น 2 ส่วนคือการไม่ใช้ยากับการใช้ยาการไม่ใช้ยาหมายถึงการลดน้ำหนักออกกำลังกายสม่ำเสมองดบุหรี่และหลีกเลี่ยงอาหารเค็มในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูงเล็กน้อยอาจเริ่มการรักษาโดยไม่ใช้ยาแต่หากมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจอยู่ด้วยก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาร่วมด้วย ปัจจุบันมียาลดความดันโลหิตอยู่หลายกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกันไปราคาก็ต่างกันมากตั้งเม็ดละ 50 สตางค์ถึง 50 บาทยาลดความดันโลหิตที่ดีควรจะออกฤทธิ์ช้าๆไม่ทำให้ความดันโลหิตแกว่งขึ้นลงมากจนเกินไปสามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดีตลอด 24 ชั่วโมงโดยการรับประทานเพียงวันละ 1 ครั้งมีผลแทรกซ้อนน้อยแต่น่าเสียดายว่ายังไม่มียาใดที่วิเศษขนาดนั้นยาทุกตัวล้วนก็มีข้อดีข้อด้อยและผลแทรกซ้อนทั้งสิ้นอย่าลืมว่าการปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่นานๆก็เป็นผลเสียร้ายแรงเช่นกันจึงควรติดตามการรักษาโดยการวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอไม่ควรซื้อยารับประทานเองหากมีผลแทรกซ้อนควรปรึกษาแพทย์ท่านเดิมเพื่อปรับเปลี่ยนยาไม่ควรเปลี่ยนแพทย์ไปเรื่อยๆเพราะทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง การรักษาความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยสูงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นต้องรักษาแต่ต้องรักษาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเนื่องจากหากลดความดันโลหิตมากเกินไปก็อาจเกิดผลเสียขึ้นได้ นอกจากการรับประทานยาแล้วการควบคุมน้ำหนักออกกำลังกายสม่ำเสมอทำจิตใจให้ผ่องใสงดอาหารเค็มก็จะช่วยให้ควบคุมความดันโลหิตได้ดียิ่งขึ้น โรคความดันโลหิตต่ำเป็นอย่างไรรักษาโดยดื่มเบียร์จริงหรือ ความจริงแล้วไม่มี “โรคความดันต่ำ” มีแต่ภาวะความดันโลหิตต่ำที่เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดสารน้ำเช่นท้องเสียอาเจียนเสียเลือดอากาศร้อนจัดหรือจากยาบางชนิดความดันโลหิตที่วัดได้ 90/60 มม.ปรอทไม่ได้หมายความว่าเป็นความดันโลหิตที่ต่ำกว่าปกติคนจำนวนมากมีความดันโลหิตขนาดนี้โดยไม่มีอาการผิดปกติอาการหน้ามืดเวียนศีรษะบ่อยๆที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นจาก "ความดันต่ำ" นั้นอาจเกิดจากหลายสาเหตุมักจะเกิดจากการขาดการออกกำลังกายมากกว่าที่จะเกิดจากภาวะความดันโลหิตต่ำการรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำต้องรักษาที่สาเหตุไม่ใช่การดื่มเบียร์อย่างที่เข้าใจกัน โรคความดันโลหิตสูง

  26. โรคเอดส์ โรคเอดส์มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome มีชื่อโดยย่อว่า AIDS = เอดส์ โรคเอดส์คือโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดโรคต่างๆที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายกว่าคนปกติ ขณะนี้โรคเอดส์กำลังระบาดในทวีปอเมริกายุโรปอาฟริกาแคนนาดาโรคนี้ได้ติดต่อมาถึงบางประเทศในเอเชียรวมทั้งประเทศไทย โรคเอดส์เกิดจากอะไร โรคเอดส์เกิดจากเชื้อไวรัสมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) โรคเอดส์เป็นกับใครบ้าง โรคเอดส์ส่วนใหญ่ที่พบในประเทศไทยมักเกิดในพวกรักร่วมเพศชายที่เปลี่ยนคู่บ่อยๆปัจจุบันพบว่าเกิดในพวกรักต่างเพศได้โดยเฉพาะในเพศชายที่ชอบเที่ยวโสเภณี โรคเอดส์ติดต่อกันได้อย่างไร โรคเอดส์ติดต่อกันได้หลายทางแต่ที่สำคัญและพบบ่อยได้แก่ การร่วมเพศกับผู้ป่วยโรคเอดส์หรือมีเชื้อโรคเอดส์ การรับถ่ายเลือดจากผู้ป่วยโรคเอดส์หรือมีเชื้อโรคเอดส์ การใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาดหรือร่วมกับผู้ป่วยโรคเอดส์ จากแม่ที่ตั้งครรภ์ป่วยเป็นโรคเอดส์ติดต่อไปถึงลูกที่อยู่ในครรภ์ โรคเอดส์ไม่ติดต่อโดยการเล่นด้วยกันรับประทานอาหารร่วมกันเรียนร่วมกันไปเที่ยวด้วยกันหรืออยู่ในครัวเรือนเดียวกันหากไม่มีความเกี่ยวข้องทางเพศ

  27. โรคเอดส์ อาการของโรค หลังจากได้รับเชื้อโรคเอดส์เข้าไปในร่างกายแล้วจะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 เดือนจึงตรวจพบเลือดบวกต่อโรคเอดส์ผู้ที่ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกคนระยะฟักตัวก่อนมีอาการแตกต่างกันมากจาก 2-3 เดือนถึง 5-6 ปีประมาณกันว่า 25-30% ของผู้ที่ติดเชื้อจะแสดงอาการภายใน 5 ปีอีก 70% จะไม่มีอาการแต่จะเป็นพาหะของโรคและแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ อาการที่พบในผู้ป่วยโรคเอดส์ อ่อนเพลียเบื่ออาหารน้ำหนักลด มีไข้นานเป็นเดือนๆ ต่อมน้ำเหลืองโต ท้องเดินเรื้อรังจากโรคพยาธิ มีแผลในปากและตามผิวหนัง มีอาการทางสมองเช่นชักอัมพาต โรคติดเชื้อต่างๆโดยเฉพาะปอดบวมจากพยาธิเชื้อราวัณโรคฯลฯ มะเร็งของต่อมน้ำเหลืองเม็ดเลือดและสมองฯลฯ การวินิจฉัย โรคเอดส์วินิจฉัยได้จากอาการข้างต้นประกอบกับการตรวจเลือดบวกต่อโรคเอดส์วิธีการตรวจเลือดมี 2 วิธีวิธีแรกเรียกว่า Elisa ถ้าพบว่าเลือดบวกจะตรวจยืนยันโดยวิธี Western Blot การตรวจเลือดนี้ไม่จำเป็นต้องทำในคนทั่วไปแต่ควรตรวจในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคนี้สูงซึ่งได้แก่พวกรักร่วมเพศผู้หญิงและชายบริการผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดบ่อยๆผู้ติดยาทางเส้นเลือด การรักษา ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้การรักษาจึงเป็นการรักษาโรคติดเชื้ออื่นๆที่แทรกซ้อนซึ่งไม่ค่อยได้ผลนักเพราะผู้ป่วยขาดภูมิต้านทานและมักเสียชีวิตเนื่องจากโรคติดเชื้อ การป้องกัน ไม่สำส่อนทางเพศควรสวมถุงยางอนามัยเวลาร่วมเพศกับคนแปลกหน้าพยายามอย่าเปลี่ยนคู่นอนในหมู่รักร่วมเพศอย่าร่วมเพศกับผู้ป่วยหรือสงสัยว่าเป็นโรคเอดส์ ก่อนรับการถ่ายเลือดควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้บริจาคเลือดไม่มีเชื้อโรคเอดส์ อย่าใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาดหรือร่วมกับผู้ติดยาเสพติด

  28. โรคไซนัสอักเสบ หมายถึงการอักเสบของโพรงอากาศ (sinus) รอบๆจมูกและตาซึ่งมีสาเหตุมากจาการอุดตันของโพรงอากาศจากการติดเชื้อแพ้หรือระคายเคือง (เช่นควันบุหรี่) แบคทีเรียเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อนี้ อาการ น้ำมูกเรื้อรังนานเกิน 10 วันน้ำมูกอาจมีลักษณะเหลืองเขียวในเด็กมักมีอาการไอร่วมด้วยบางคนลมหายใจเหม็นในรายที่มีอาการมากอาจมีไข้บวมบริเวณรอบขอบตาและปวดบริเวณโหนกแก้ม สาเหตุ เมื่อเป็๋นหวัดหรือมีแผลติดเชื้ออักเสบที่ฟันบนเชื้อโรคจะเข้าสู่ท่อเล็กๆที่เชื่อมต่อระหว่างโพรงอากาศ(sinus) ทำให้มีการติดเชื้อและอักเสบของเยื่อบุภายในในโพรงอากาศท่อต่อเชื่อมตีบตันทำให้มูกจึงไหลออกมาไม่ได้หรืออาจเกิดจากการแพ้อาหารบางชนิดการแพ้สารบางชนิดเช่นควันบุหรี่ฝุ่นละอองขนสัตว์ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสาเหตุให้แน่ชัด คำแนะนำ 1. หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำลายสุขภาพเมื่อมีความผิดปกติในจมูกควรปรึกษาแพทย์ควรงดการว่ายน้ำดำน้ำเมื่อเป็นหวัดหรือโรคภูมิแพ้ของจมูก 2. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอโดยเฉพาะในฤดูหนาว 3. ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงทุกวัน 4. หลีกเลี่ยงจากสิ่งมีพิษในอากาศเช่นฝุ่นละออง, สารเคมีต่างๆเช่นยาฆ่าแมลง, ควันบุหรี่, ทินเนอร์ผสมสีเป็นต้น 5. เมื่อเป็นหวัดอย่าปล่อยไว้นานเกิน 1 สัปดาห์ควรรีบปรึกษาแพทย์ 6. ในกรณีที่มีฟันผุโดยเฉพาะฟันบนพึงระวังว่าจะมีโอกาสติดเชื้อเข้าสู่ไซนัสได้ 7. รักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้ดีอยู่เสมอ 8. ออกกำลังกายพอสมควรโดยสม่ำเสมอ 9. รับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบถ้วนและไม่มากหรือน้อยเกินไป 10. ถ้ามีโรคประจำตัวอยู่ควรได้รับการรักษาแพทย์โดยสม่ำเสมอ

  29. โรคริดสีดวง คือการโป่งพองของหลอดเลือดดำบริเวณส่วนล่างสุดของไส้ตรงและช่องทวารหนักและเมื่อมีกากอาหารหรืออุจจาระผ่านก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองอาจมีเลือดออกคันบริเวณทวารหนักหรือปวดขณะขับถ่ายริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ ริดสีดวงภายใน จะอยู่ภายในไส้ตรงซึ่งจะไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกได้และมักจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเนื่องจากมีเส้นประสาทมาเลี้ยงน้อยบางครั้งริดสีดวงภายในอาจยื่นออกมาด้านนอกซึ่งจะทำให้มองเห็นได้และจะมีอาการเจ็บปวดริดสีดวงภายในแบ่งออกเป็น 4 ระยะคือ 1.ไม่มีก้อนยื่นออกมานอกทวารหนัก 2.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระและหดกลับเข้าไปได้เอง 3.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระแต่ไม่หดกลับเข้าไปต้องใช้มือช่วยดันเข้าไป 4.มีก้อนยื่นออกมาและไม่สามารถใช้มือดันเข้าไปได้ ริดสีดวงภายนอก จะอยู่บริเวณทวารหนักมักจะมีอาการเจ็บปวดสามารถมองเห็นและรู้สึกได้ อาการ 1.ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสดลักษณะจะเป็นดังนี้คือจะถ่ายอุจจาระออกมาก่อน ( ระหว่างถ่ายอาจจะเจ็บหรือไม่ก็ได้) จากนั้นจะมีเลือดสดๆหยดออกมาตามหลังจากอุจจาระเลือดจะเป็นเลือดสดจริงๆมักไม่มีมูกเลือดปน 2.มีก้อนออกมาระหว่างถ่ายอุจจาระขณะที่เบ่งอุจจาระจะมีก้อนยื่นออกมาหรือมีก้อนออกมาตลอดเวลาขึ้นกับระยะที่เป็น 3.เจ็บและคันบริเวณทวารหนักปกติริดสีดวงจะไม่เจ็บจะเจ็บในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนเช่นเส้นเลือดอุดตัน(Thrombosis) หรือมีเนื้อเยื่อตาย(Necrosis) สาเหตุ 1. กรรมพันธุ์ 2. การตั้งครรภ์ 3. การที่ต้องนั่งหรือยืนนานๆ 4. ป่วยเป็นโรคที่ทำให้เกิดความดันในช่องท้องสูงตัวอย่างเช่นโรคตับเรื้อรัง, โรคก้อนเนื้อในช่องท้องเป็นต้น 5. ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง คำแนะนำ 1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเช่นผักและผลไม้ 2. ฝึกหัดการขับถ่ายให้เป็นเวลาหลีกเลี่ยงอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเดินบ่อยๆ 3. ดื่มน้ำให้มากพออย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว

  30. โรคหอบหืด คือโรคของระบบทางเดินหายใจซึ่งเกิดจากความไวผิดปกติของหลอดลมต่อสิ่งกระตุ้นทำให้ท่อทางหายใจเกิดการตีบแคบและทำให้หายใจลำบาก อาการ เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นหลอดลมจะเกิดอาการอักเสบเยื่อบุหลอดลมจะบวมทำให้หลอดลมตีบแคบลงขณะเดียวกันการอักเสบทำให้หลอดลมมีความไวต่อการกระตุ้นและตอบสนองโดยการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมทำให้หลอดลมตีบแคบลงไปอีกนอกจากนี้หลอดลมที่อักเสบจะมีการหลั่งเมือกออกมามากทำให้ท่อทางเดินหายใจตีบแคบนอกจากนี้กล้ามเนื้อท่อทางเดินหายใจยังเกิดการหดตัวทั้งหมดนี้ทำให้เกิดอาการหายใจลำบากไอหายใจมีเสียงวี๊ซหายใจถี่และรู้สึกแน่นหน้าอกในรายที่มีอาการรุนแรงอาจพบริมฝีปากและเล็บมีสีเขียวคล้ำ สาเหตุ หลอดลมของผู้เป็นโรคหอบหืดมีความไวผิดปกติต่อสิ่งกระตุ้น (STIMULI) สิ่งกระตุ้นส่งเสริมให้เกิดอาการหอบหืดได้แก่ สารก่อภูมิแพ้เช่นฝุ่น , ไรฝุ่น , ขนสัตว์ , ละอองเกสร สารระคายเคืองเช่นควันบุหรี่ , มลพิษในอากาศ , กลิ่น , ควัน การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เช่นความเครียด , ความโกรธ , ความกลัว , ความดีใจ การออกกำลังกาย การเปลี่ยนแปลงของอากาศ การติดเชื้อไวรัสของระบบทางเดินหายใจ ยาเช่นยาแอสไพริน , ยาลดความดันบางกลุ่ม อาหารเช่นอาหารทะเล , ถั่ว , ไข่ , นม , ปลา , สารผสมในอาหารเป็นต้น คำแนะนำ 1. เด็กควรกินปลาที่มีไขมันมากเป็นประจำเช่นปลาค็อดจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นหอบหืด 2. รับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงได้แก่เมล็ดทานตะวัน 3. ค้นหาว่าแพ้อะไรและพยายามหลีกเลี่ยง 4. งดอาหารที่กระตุ้นอาการหอบหืดขึ้นอยู่กับแต่ละคนเช่นอาหารที่ใส่สารกันบูดเช่นเบนโซเอทซัลไฟท์ 5. งดอาหารที่ใส่สีสังเคราะห์เช่น tartrazine , brilliant blue 6. งดนมวัวธัญพืชไข่ปลาถั่วลิสง 7. รับประทานยาและออกกำลังกายตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ

  31. โรคสมองเสื่อม โรคสมองเสื่อม (DEMENTIA ) เป็นคำที่เรียกใช้กลุ่มอาการต่างๆซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานของสมองที่เสื่อมลงอาการที่พบได้บ่อยคือในด้านที่เกี่ยวกับความจำุการใช้ความคิดและการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆนอกจากนี้ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพร่วมด้วยได้เช่นหงุดหงิดง่ายุเฉื่อยชาหรือเมินเฉยเป็นต้นการเสื่อมของสมองนี้จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆซึ่งในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันทั้งในด้านอาชีพการงานและชีวิตส่วนตัว โรคสมองเสื่อมไม่ใช่ภาวะปกติของคนที่มีอายุในบางครั้งเวลาที่เรามีอายุมากขึ้นเราอาจมีอาการหลงๆลืมๆได้บ้างแต่อาการหลงลืมในโรคสมองเสื่อมนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไปกล่าวคืออาการหลงลืมจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อยๆและจะจำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลยไม่เพียงแต่จำรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เท่านั้นคนที่เป็นโรคสมองเสื่อมจะจำเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลยรวมทั้งสิ่งที่ตัวเองกระทำเองลงไปด้วยและถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อยๆคนผู้นั้นอาจจำไม่ได้ว่าใส่เสื้ออย่างไรอาบน้ำอย่างไรหรือแม้กระทั่งไม่สามารถพูดได้เป็นประโยค อะไรคือสาเหตุของโรคสมองเสื่อม อาการต่างๆของโรคสมองเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer ) นั้นเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดคือประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมส่วนโรคสมองเสื่อมจากเส้นเลือดในสมอง ( Vascular dementia ) นั้นเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยรองลงมานอกจากนี้สาเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมที่พบได้คือโรค Parkinson , Frontal Lobe Dementia , จาก alcohol และจาก AIDS เป็นต้น ใครจะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมได้บ้าง โรคสมองเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศและทุกวัยแต่จะพบได้น้อยมากในคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปีส่วนใหญ่แล้วมักจะพบในคนสูงอายุแต่พึงตระหนักไว้ว่าโรคสมองเสื่อมนั้นไม่ใช่สภาวะปกติของผู้ที่มีอายุมากเพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้นก็มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคได้มากขึ้นโดยคร่าวๆนั้นประมาณ 1 ใน 1000 ของคนที่อายุน้อยกว่า 65 ปีจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้ประมาณ 1 ใน 70 ของคนที่อายุระหว่าง 65-70 ปีุ 1 ใน 25 ของคนที่มีอายุระหว่าง 70-80 ปีและ 1 ใน 5 ของคนที่มีอายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมนี้ไดโดยประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมนั้นมีสาเหตุมาจากโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer's Disease ) ความสำคัญในการตรวจร่างกาย เนื่องจากสาเหตุของโรคสมองเสื่อมนั้นมีมากมายหลายสาเหตุดังนั้นการพบแพทย์เพื่อรับการปรึกษาและตรวจร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะนอกจากจะทำให้ทราบว่าเราป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่แล้วยังทำให้พอทราบได้ว่าสาเหตุนั้นมาจากอะไรซึ่งจะมีผลต่อแนวทางการรักษาต่อไป

  32. โรคนอนไม่หลับ อาการ อาการนอนไม่หลับแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ 1. เมื่อเข้านอนแล้วต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะนอนหลับได้พบมากในผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวลเครียดหรือกำลังมีปัญหาที่คิดไม่ตก 2. เมื่อเข้านอนแล้วหลับได้ทันทีแต่จะตื่นเร็วกว่าที่ควรเช่นตื่นตอนตี 2 ตี 3แล้วนอนไม่หลับอีกไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตามพบมากในผู้ที่มีอาการซึมเศร้าหรือผู้ที่มีประวัติดื่มเหล้าเป็นต้น 3. เมื่อเข้านอนแล้วนอนหลับได้ตามปกติแต่จะตื่นบ่อยๆเป็นระยะๆเช่นตื่นทุกสองสามชั่วโมงทั้งคืนพบได้ในผู้ที่มีโรคทางกาย สาเหตุ 1. จิตใจที่มีความวิตกกังวลซึมเศร้าเครียด 2. อาการขาไม่อยู่นิ่งขณะหลับเนื่องจากร่างกายขาดธาตุเหล็ก 3. เป็นโรคกระดูกเสื่อมทำให้ปวดตามตัวปวดขาท้องเฟ้อโรคความดันโลหิตโรคหัวใจโรคเบาหวานและโรคต่อมลูกหมากโตเป็นต้น 4. ก่อนนอนรับประทานอาหารมากเกินไปอาหารไม่ย่อยจุกเสียดท้องอืด คำแนะนำ 1. เข้านอนให้ตรงเวลาทุกวันเพื่อให้เกิดสุขนิสัยที่ดีในการนอน 2. จัดกิจกรรมในตอนกลางวันให้มีการออกกำลังกายการทำงานอดิเรกและไม่ควรนอนตอนกลางวัน 3. ก่อนนอนหนึ่งชั่วโมงครึ่งควรงดน้ำเพื่อป้องกันการตื่นมาปัสสาวะในตอนดึก 4. จัดสถานที่ห้องนอนให้สะอาดเงียบและอากาศถ่ายเทได้ดีไม่ควรทำงานในห้องนอนไม่ควรเอาโทรทัศน์และโทรศัพท์ไว้ในห้องนอน 5. เมื่อหลับแล้วไม่ควรปลุกถ้าไม่จำเป็นมาก 6. ถ้ามีโรคทางกายควรกินยาให้สม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายปกติก็จะสามารถนอนหลับได้อย่างต่อเนื่อง 7. ดื่มนมอุ่นๆหรือเครื่องดื่มผสมน้ำผึ้งอุ่นๆก่อนนอนจะช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย 8. รับประทานอาหารมื้อเย็นประเภทแป้งเช่นข้าวขนมปังเผือกมันนอกจากให้พลังงานแล้วยังช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย 9. งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนเช่นชากาแฟเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนขนมช็อกโกแลต 10. งดอาหารมื้อดึกที่มีโปรตีนมันรสจัด

  33. โรคต่อมลูกหมาก โรคของผู้ชายสูงอายุซึ่งจะเป็นกันมากก็คือโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโรคที่เป็นมีตั้งแต่เบาๆขนาดต่อมลูกหมากโตต่อมลูกหมากอักเสบไปจนกระทั่งถึงหนักที่สุดคือมะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ชายอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปมีโอกาสเป็นต่อมลูกหมากอักเสบได้และถ้าอายุ 50 ปีขึ้นไปก็มักจะเป็นต่อมลูกหมากโตและทั้งสองอย่างมีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ทั้งสิ้น อาการขนาดเบาๆคือปัสสาวะกะปริบกะปรอยคุณผู้ชายบางคนที่เคยภาคภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชายหรือความเป็นชายฉกรรจ์ของตนอาจจะรู้สึกเหมือนเทวดาตกสวรรค์ลงมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างถังขยะโดยไม่รู้ตัวเมื่ออยู่ๆก็พบว่ามีปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะคือปัสสาวะได้ไม่สุดทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยเข้าห้องน้ำแล้วรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวน้ำปัสสาวะออกโล่งโถงเบาในกระเพาะปัสสาวะแต่คราวนี้กลับออกได้ไม่หมดมิหนำซ้ำปัสสาวะยังไหลกระท่อนกระแท่นเหมือนมีถุงทรายใบเล็กๆห้อยอยู่ในกระเพาะปัสสาวะข้างล่างพอเดินออกมานอกห้องน้ำก้มลงมองดูข้างล่างก็ใจหายวาบเพราะกางเกงเปียกเป็นหย่อมๆขายหน้าสาวๆอีกต่างหากตอนนี้ความเป็ขชายฉกรรจ์ชักจะหดหายไปหมด ต่อมาอาการกะปริบกะปรอยก็เริ่มจะมีมากขึ้นจนเกิดความรักโถส้วมมากขึ้นปัสสาวะทีก็ต้องยืนกระบิดกระบวนอยู่หน้าโถส้วมเป็นนานสองนานพอต่อๆไปอาการก็เริ่มจะแปรปรวนตอนกลางคืนต้องเข้าห้องน้ำ 3-4 ครั้งบางคนมากกว่านั้นเข้าเกือบทุกชั่วโมงเลยก็มี อาการอีกอย่างก็คือเวลาปัสสาวะบางคนจะรู้สึกแสบๆปัสสาวะสีแก่จัดและขุ่นข้นที่ร้ายไปกว่านั้น ( หรืออาจจะร้ายที่สุดสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าเป็นชายฉกรรจ์ ) คุณผู้ชายบางคนเตะปีบไม่ดังเอาดื้อๆอาการซึ่งเริ่มจะไม่ดีจนถึงขั้นเป็นมะเร็งได้ก็คือเริ่มมีไข้และรู้สึกหนาวเป็นบางครั้งมีอาการปวดบริเวณสามเหลี่ยมระหว่างใต้ลูกอัณฑะกับทวารหนักปวดหลังปวดเอวบางครั้งฉี่ไม่ออกเลยหรือไม่ก็จะมีเลือดออกปนมากับน้ำปัสสาวะด้วย ทั้งหมดนี้เป็นอาการรวมๆตั้งแต่น้อยไปหามากและถึงแม้ว่าอาการต่อมลูกหมากโตจะไม่เกี่ยวกับการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากแต่อาการจากน้อยไปหามากก็จะมีเหมือนๆกันแม้ว่าอาการเจ็บป่วยของต่อมลูกหมากจะเป็นเพียงอาการเบาๆแต่ก็เป็นการทรมาณทางกายมากพอดูความทรมาณที่สาหัสสากรรจ์ที่สุดอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีใครมองเห็นแม้แต่แพทย์ผู้รักษาก็คือความทรมาณทางจิตใจของคุณผู้ชายซึ่งเป็นเทวดาตกสวรรค์นั่นเองยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมฮอร์โมนด้วยคือการผลิตฮอร์โมนของร่างกายจะผิดปกติบางตัวขาดบางตัวเกินและมีผลทำให้เกิดอาการหงุดหงิดหรือซึมเศร้าได้และยิ่งถ้าอาการร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งด้วยแล้วก็ยิ่งจะมีความเครียดและความซึมเศร้ามากขึ้นจนถึงขั้นอยากตายเลยก็ได้ ฉะนั้นจะถือได้ว่าปัญหาซ่อนเร้นที่สำคัญนั้นก็คือปัญหาด้านจิตใจที่ผู้ป่วยจะรู้สึกคับแค้นใจและทุกข์ทรมาณมากกว่าการเจ็บป่วยทางกายหลายเท่านัก

  34. โรคต่อมลูกหมาก สำหรับการรักษาทางการแพทย์ในปัจจุบันจะต้องอาศัยการผ่าตัดเป็นส่วนใหญ่โดยมีเทคนิคและเครื่องมือใหม่ๆมาใช้อย่างมากมายซึ่งในที่นี้เราจะไม่ขอกล่าวถึงวิธีการรักษาของโรงพยาบาลหรือตามคลินิกแต่จะขอกล่าวถึงการรักษาด้วยวิธีผสมผสานและด้วยวิธีธรรมชาติซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยป้องกันมิให้เป็นโรคที่แสนทรมาณโรคนี้แผนการป้องกันที่ดีที่สุดซึ่งพิสูจน์มาแล้วทั้งในแผนปัจจุบันและแผนผสมผสานก็คือการใช้อาหารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับต่อมลูกหมากได้แก่อาหารที่มีธาตุสังกะสี ( Zinc ) ซึ่งอาหารที่มีธาตุสังกะสีมากที่สุดก็คือฟักทองและเมล็ดฟักทองนอกจากนั้นธาตุสังกะสียังมีอยู่ในอาหารอย่างอื่นอีกเช่นจมูกข้าว ( ได้ทั้งจากข้าวสาลีข้าวสารและข้าวอื่นๆ ) และมัสตาร์ดผง ในขณะเดียวกันก็ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆซึ่งจะไปช่วยส่งเสริมการทำงานของธาตุสังกะสีในทางกลับกันธาตุสังกะสีจะช่วยสนับสนุนวิตามินและแร่ธาตุต่างๆนั้นด้วยเรียกว่าร่วมมือร่วมใจกันทำงานให้ประโยชน์แกร่างกายอย่างเต็มที่ วิตามินและแร่ธาตุต่างๆนั้นได้แก่ วิตามิน A อาหารซึ่งมีวิตามินเอได้แก่ตับปลาแครอตผักผลไม้ที่มีสีเหลืองเช่นฟักทองมะละกอสุกเป็นต้น วิตามิน B คอมเพล็กซ์มีอยู่ในอาหารพวกถั่วรำข้าวข้าวโอ้ตผักสีเขียวต่างๆยีสต์แห้งปลาไข่แคนตาลูปกะหล่ำปลีโมลาส วิตามิน C มีอยู่ในผลไม้และผักรสเปรี้ยวผักใบเขียวดอกกะหล่ำมันฝรั่งมันเทศ วิตามิน E มีอยู่ในจมูกข้าวถั่วเหลืองน้ำมันพืชบร็อคเคอรี่ผักโขมข้าวสาลีข้าวซ้อมมือไข่ วิตามิน F และเลคซิทิน ( ไขมันจำเป็น Essential Fatty Acids ) มีอยู่ในเมล็ดฟักทองเมล็ดทานตะวันและงา แมกนีเซียมมีอยู่ในลูกมะเดื่อมะนาวส้มโอข้าวโพดเหลืองถั่วอัลมอนด์ถั่วต่างๆผักใบเขียวจัดแอ็ปเปิ้ล เกสรผึ้ง ( Bee Pollen ) ในเกสรผึ้งมีแร่ธาตุและฮอร์โมนหลายชนิดได้มีการทดลองในทางการแพทย์หลายครั้งพบว่าแร่ธาตุและฮอร์โมนในเกสรผึ้งมีประโยชน์ต่อต่อมลูกหมากโดยตรง เหล่านี้คืออาหารซึ่งจะช่วยให้ต่อมลูกหมากดีขึ้นและช่วยป้องกันการอักเสบของต่อมลูกหมากได้แต่ในกรณีที่เกิดการอักเสบขึ้นแล้วทั้งอาหารและอาหารเสริมก็ยังช่วยได้และช่วยได้ดีขึ้นถ้าจะเพิ่มปริมาณ ( Dose ) ของวิตามิน-แร่ธาตุให้มากขึ้นโดยใช้วิตามิน-แร่ธาตุเหล่านี้ในลักษณะของเม็ดยาซึ่งสกัดมาแล้วคือเพิ่มขึ้นตามปริมาณต่อไปนี้ วิตามินเอ 10,000-25,000 I.U. ต่อวัน วิตามินบี1 , 6 , 12 อย่างละ 50 มก. ต่อวัน เกสรผึ้ง 3-9 เม็ดต่อวัน วิตามินซี 3,000-5,000 มก. ต่อวัน วิตามินอี 800 I.U. ต่อวัน แมกนีเซียม 500 มก. ต่อวัน Zinc 200 มก. ต่อวัน และควรจะงดเหล้า - บุหรี่พร้องทั้งลองเปลี่ยนจากการนั่งเก้าอี้เบาะมาเป็นนั่งเก้าอี้แข็งถ้าจะให้ดีควรเสริมท่าบริหารด้วยการนอนหงายงอเข่าเท้าทั้งสองชิดกันแล้วแยกเข่าออกสองข้างช้าๆยกกลับคืนท่าเดิมทำอย่างนี้เช้า-เย็นอย่างน้อยได้สัก 20 ครั้งจะดีมาก

  35. สตรีวัยทอง หรือสตรีวัยหมดประจำเดือนหรือวัยหมดระดูคือสตรีในวัยที่มีการสิ้นสุดของการมีประจำเดือนอย่างถาวรเนื่องจากรังไข่หยุดทำงานมีสาเหตุมากจากการที่จำนวนไข่ใบเล็กๆในรังไข่มีปริมาณลดลงซึ่งมีผลทำให้การสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงจนหยุดการสร้างไปในที่สุด วัยทองเป็นระยะซึ่งสตรีส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านครอบครัวหน้าที่การงานและฐานะความเป็นอยู่โดยเฉลี่ยสตรีไทยเริ่มเข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดระดูโดยธรรมชาติเมื่ออายุประมาณ 50 ปีในกรณีที่หมดระดูเมื่ออายุน้อยกว่า 40 ปีเรียกว่าหมดระดูก่อนเวลาอันควรซึ่งจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆมากขึ้นเช่นเดียวกับสตรีที่หมดระดูจากการผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้างอายุขัยเฉลี่ยของสตรีไทยประมาณ 71 ปีดังนั้นช่วงเวลาที่สตรีต้องอยู่ในสภาวะวัยหมดระดูนั้นมีประมาณ 1 ใน 3 ของช่วงชีวิตทั้งหมดของสตรีซึ่งเป็นระยะเวลานานกว่า 20 ปี มีอาการอย่างไร ? เมื่อสตรีย่างเข้าสู่วัยทองอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกายและจิตใจซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเพศคือเอสโตรเจนเช่น รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมออาจห่างออกไปหรือสั้นเข้าอาจมีเลือดประจำเดือนน้อยลงหรือมากขึ้น เกิดอาการซึมเศร้า, หงุดหงิด, กังวลใจ, ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง, ความจำเสื่อม, ความต้องการทางเพศหรือการตอบสนองทางเพศลดลง ช่องคลอดแห้ง, คันบริเวณปากช่องคลอด, มีการอักเสบของช่องคลอด, เจ็บเวลาร่วมเพศ, อาจมีการหย่อนยานของมดลูกและช่องคลอด, มีการหย่อนของกระเพาะปัสสาวะ, ปัสสาวะบ่อย, กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ขณะไอหรือจามหรือขณะยกของหนัก ผิวหนังแห้ง, เหี่ยวย่น, คัน, ช้ำและเป็นแผลได้ง่าย, ผมแห้ง, ผมร่วง เต้านมมีขนาดเล็กลง, หย่อน, นุ่มกว่าเดิม เกิดโรคของระบบหัวใจและหลอดเลือดพบว่าสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือนอัตราส่วนของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันในชายจะสูงกว่าหญิงในอัตรา 9:3 แต่เมื่อสตรีเข้าสู่วัยหมดระดูจะเริ่มมีอัตราการเกิดโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นจนมีอัตราไกล้เคียงกับชายเมื่ออายุ 70 ปีทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรีวัยทองซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน การขาดเอสโตรเจนโดยเฉพาะในระยะแรกของวัยหมดระดูอาจทำให้มีการสูยเสียเนื้อกระดูกได้ถึงร้อยละ 3-5 ต่อปีจนทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนและอาจมีการหักของกระดูกในส่วนต่างๆได้แก่กระดูกข้อมมือ, กระดูกสันหลัง, กระดูกสะโพกเป็นต้น การดูแลตัวเอง สตรีควรตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในวัยนี้ควรหาความรู้เพิ่มเติมพร้อมดูแลตนเองให้มีสุขภาพกายและใจที่ดีโดย ควรรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับวัยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงโดยเฉพาะไขมันสัตว์หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์คาเฟอีนและบุหรี่ควรได้รับแคลเซียมประมาณวันละ 1,000-1,500 มิลลิกรัมอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นกุ้งแห้ง, ปลาเล็กปลาน้อย, ผักใบเขียวรับประทานอาหารที่มีเอสโตรเจนธรรมชาติเช่นถั่วเหลือง, ข้าวโพด, ข้าวโอ๊ด, ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เล่ย์, มันฝรั่ง, มันเทศ, มะละกอเป็นต้น การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรกระทำในสตรีวัยหมดระดูเพราะมีผลต่อการสร้างเนื้อกระดูกมีผลดีต่อการลดไขมันและการแข็งตัวของเลือดนอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าการออกกำลังกายสามารถลดอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติและภาวะซึมเศร้าในวัยหมดระดูได้ ในรายที่มีอาการต่างๆรุนแรงได้รับความทุกข์ทรมานรบกวนความสุขในชีวิตหรือมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคกระดูกพรุนควรพบแพทย์เพื่อพิจารณาการให้ฮอร์โมนทดแทน

  36. ชายวัยทอง ภาวะการพร่องฮอร์โมนใน...ชายวัยทอง ความเชื่อที่มีกันมานานว่าผู้ชายจะคงความเป็นชายหรือมีการสร้างฮอร์โมนเพศชายไปตลอดชีวิตส่วนผู้หญิงนั้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วรังไข่จะหยุดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงทำให้เกิดกลุ่มอาการต่างๆทั้งทางด้านร่างกายจิตใจและอารมณ์ แท้ที่จริงแล้วเมื่ออายุย่างเข้าวัย 40 ปีขึ้นไปการสร้างฮอร์โมนเพศชายจะลดลงอย่างสม่ำเสมอทุกปีเมื่อระดับของฮอร์โมนเพศชายลดลงถึงระดับหนึ่งจะเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายไปบางส่วนทำให้เกิดอาการต่างๆคล้ายกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ภาวะการพร่องฮอร์โมนเพศชายดังกล่าวมักจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อผู้ชายย่างเข้าสู่วัยกลางคนและอาการต่างๆจะแสดงออกเมื่อระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงกว่าระดับปกติของร่างกายประมาณ 20 เปอร์เซนต์การพร่องฮอร์โมนเพศชายไปบางส่วนนี้จึงมีชื่อเรียกว่า " พา - ดาม " ตรงกับคำในภาษาอังกฤษคือ PADAM ซึ่งย่อมาจากคำว่า PARTIAL ANDROGEN DEFICIENCY OF THE AGING MALE ผลการศึกษาวิจัยที่เชื่อถือได้มาจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตันประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าเมื่อผู้ชายอายุย่างเข้า 40 ปีการสร้างฮอร์โมนเพศชายจะลดลงปีละ 1 เปอร์เซนต์และอาการต่างๆอันเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเพศชายนั้นจะค่อยเป็นค่อยไปไม่เกิดขึ้นรวดเร็วและอาการมากเหมือนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อาการ ! ที่บ่งบอกถึง " ภาวะการพร่องฮอร์โมนเพศชาย " อาการระยะแรก : เมื่อร่างกายเริ่มพร่องฮอร์โมนเพศชายอวัยวะต่างๆที่มีส่วนสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศชายจะเริ่มเสื่อมลงทำงานลดลงและเกิดอาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ตามมา อาการทางด้านร่างกาย : จะมีอาการอ่อนเพลียเบื่ออาหารปวดเมื่อยตามตัวโดยไม่มีสาเหตุไม่กระฉับกระเฉงกล้ามเนื้อต่างๆลดขนาดลงไม่มีแรงและอวัยวะเพศเริ่มไม่แข็งตัวในช่วงตื่นตอนเช้า อาการทางด้านสติปัญญาและอารมณ์ : เครียดและหงุดหงิดง่ายโกรธง่ายเฉื่อยชาขาดสมาธิในการทำงานความจำลดลงโดยเฉพาะความจำระยะสั้น อาการทางด้านระบบไหลเวียนโลหิต : บางคนอาจมีอาการร้อนวูบวาบหรือมีเหงื่อออกในตอนกลางคืน อาการทางด้านจิตและเพศ : จะมีอาการนอนไม่หลับตื่นตกใจง่ายสมรรถภาพทางเพศและความต้องการทางเพศลดลงหรือไม่มีอารมณ์เพศบางคนเกิดอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วยปัจจุบันพบว่าชายไทยหลังอายุ 40 ปีไปแล้วมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้นเพราะไม่มีอารมณ์เพศเนื่องจากฮอร์โมนเพศชายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอารมณ์เพศเมื่อระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงจึงไม่เกิดอารมณ์ที่จะมีเพศสัมพันธ์รวมทั้งอวัยวะเพศชายเมื่อขาดฮอร์โมนเพศชายไปกระตุ้นแล้วก็มักจะเสื่อมลงตามไปด้วย .... ภัย...ที่รุกรานในระยะยาว ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ผลของการขาดฮอร์โมนเพศชายจะทำให้กระดูกบางลงเป็นโรคกระดูกพรุนได้เช่นเดียวกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนทำให้เกิดกระดูกหักในผู้ชายสูงวัยได้นอกจากนี้กล้ามเนื้อจะค่อยๆลดขนาดลงโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกายมีผลให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง สมรรถภาพทางเพศ มื่อร่างกายขาดฮอร์โมนเพศชายไปนานๆเข้านอกจากอารมณ์เพศและการตอบสนองทางเพศลดลงแล้วความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ความถี่ในการถึงจุดสุดยอดรวมทั้งความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์จะลดลงไปตามระดับของฮอร์โมนเพศชายที่ขาดหายไปรวมทั้งระยะเวลาที่ขาดหายไปด้วย เตรียมกายเตรียมใจเข้าสู่วัยทอง การเตรียมตัวที่ดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งบางคนกล่าวว่าชีวิตเริ่มต้นเมื่อพ้นสี่สิบในวัยทองนี้จะต้องหมั่นรักษาสุขภาพกายสุขภาพใจให้ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขุมรอบคอบเดินสายกลางปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้เหมาะสมทั้งการทำงานการพักผ่อนสันทนาการการออกกำลังกายรวมทั้งการทำจิตใจให้สงบควบคุมอาหารการกินให้ได้สัดส่วนและเหมาะสมกับวัยและแน่นอนว่าถ้าระดับฮอร์โมนเพศชายที่ลดลงไปนั้นทำให้คุณภาพชีวิตเลวลงแล้วการไปขอคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและรับฮอร์โมนเพศชายเสริมให้ได้ระดับปกติอาจทำให้อาการต่างๆอันไม่พึงประสงค์หมดไปและคุณภาพชีวิตดีขึ้น

  37. โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในปัจจุบันหมายถึงโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในเพศชายคือการที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือการแข็งตัวไม่สมบูรณ์ของอวัยวะเพศคำเดิมที่ใช้คือการหมดสมรรถภาพทางเพศ สาเหตุ มีหลายระดับหากไม่นับโรคทางกายเช่นอัมพฤกอัมพาตโรคเกี่ยวกับระบบเส้นเลือดเบาหวานความดันโลหิตสูงหัวใจโรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการเสื่อมได้ทั้งสิ้นเนื่องจากสุขภาพทางกายไม่แข็งแรง ในคนปกติทั่วไปหากมีโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเกิดขึ้นมีปัจจัยทั้งด้านจิตใจและสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องในการวิจัยที่ต่างประเทศ การเสื่อมในผู้ชายที่แข็งแรงอายุเฉลี่ย 40-60 ปีพบว่าการเสื่อมมีสูงถึงประมาณใกล้เคียง 50 % คือ 1 ใน 2 คนมีภาวะเสื่อมการเสื่อมมีหลายระดับเช่นเสื่อมเล็กน้อยหรือเสื่อมบางครั้งบางคราวเสื่อมปานกลางคือเริ่มมีกิจกรรมทางเพศไม่ได้และการเสื่อมสมบูรณ์แบบคือไม่สามารถมีกิจกรรมทางเพศได้อีกเลยเป็นที่น่าสังเกตว่าการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเริ่มแฝงตัวในคนปกติมากขึ้นเรื่อยๆ วิธีรักษา แพทย์จะซักประวัติผู้ป่วยทั้งประวัติส่วนตัวประวัติการเจ็บป่วยประวัติการผ่าตัดแพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อดูระบบประสาทระบบกล้ามเนื้อตรวจอวัยวะเพศเพื่อหาความผิดปกติอะไรที่มีส่วนเกี่ยวข้องบางครั้งมีการเจาะเลือดเอ็กซเรย์เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับแพทย์ในการเลือก

  38. โรคตับอักเสบ อาจเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่างเช่นจากการติดเชื้อไวรัสแบคทีเรียเชื้อราโปรโตซัวหรือหนอนพยาธินอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการได้รับยาหรือสารพิษบางอย่างด้วยแต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือการติดเชื้อไวรัสมีไวรัสหลายชนิดทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้โรคตับอักเสบมี 2 ชนิด โรคตับอักเสบเฉียบพลัน [acute hepatitis] หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หายผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3 สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2 เดือนผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรังและบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต โรคตับอักเสบเรื้อรัง [chronic hepatitis] หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด chronic persistent เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก chronic active hepatitisมีการอักเสบของตับและตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง อาการ ตับอักเสบเฉียบพลันผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อยคืออ่อนเพลียปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อปวดข้อคลื่นไส้อาเจียนเบื่ออาหารอาจจะพบผื่นตามตัวหรืออาการท้องเสียบางรายปัสสาวะสีเข้มตัวเหลืองตาเหลืองซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป 1-4 สัปดาห์แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือนส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติโรคไวรัสตับอักเสบบีพบว่าร้อยละ 5-10 เป็นตับอักเสบเรื้อรังส่วนไวรัสตับอักเสบซีร้อยละ 85 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับอักเสบเรื้อรังผู้ป่วยมักไม่มีอาการแต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็งและเป็นมะเร็งตับในที่สุด สาเหตุ ตับอักเสบเฉียบพลันผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อยคืออ่อนเพลียปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อปวดข้อคลื่นไส้อาเจียนเบื่ออาหารอาจจะพบผื่นตามตัวหรืออาการท้องเสียบางรายปัสสาวะสีเข้มตัวเหลืองตาเหลืองซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป 1-4 สัปดาห์แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือนส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติโรคไวรัสตับอักเสบบีพบว่าร้อยละ 5-10 เป็นตับอักเสบเรื้อรังส่วนไวรัสตับอักเสบซีร้อยละ 85 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับอักเสบเรื้อรังผู้ป่วยมักไม่มีอาการแต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็งและเป็นมะเร็งตับในที่สุด คำแนะนำ 1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้โดยเฉพาะในเด็ก 2. ควรแยกอุปกรณ์เครื่องใช้กับผู้ที่ติดเชื้อเช่นแก้วน้ำจานช้อนซ่อมเป็นต้น 3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่มีการอักเสบของตับแต่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอในตับอักเสบเรื้อรังสามารถทำได้ 4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างพอเพียงไม่ต้องดื่มน้ำหวานมากๆเพราะทำให้ไขมันสะสมที่ตับเพิ่มขึ้น

More Related