E N D
บทที่ 5 หน่วยระบบ (The System Unit)
หน่วยระบบ 1. หน่วยระบบเดสก์ท็อป (Desktop System Unit) ประกอบด้วยชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์หน่วยความจำสำรอง แต่สำหรับอุปกรณ์รับเข้าและส่งออกข้อมูล เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด จอภาพ จะอยู่ภายนอกหน่วยระบบ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบแนวนอนและแบบแนวตั้ง บางครั้งเรียกแบบแนวตั้งว่า แบบทาวเวอร์ (Tower Model) หน่วยระบบ (System Unit) อาจเรียกได้อีกอย่างว่า ตู้ระบบ (System Cabinet) หรือ แชสซี (Chassis) บรรจุส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก
หน่วยระบบ (ต่อ) 2. หน่วยระบบโน้ตบุ๊ก (Notebook System Unit) โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายและมีขนาดเล็ก หน่วยระบบชนิดนี้ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์หน่วยความจำสำรอง และอุปกรณ์รับเข้า (คีย์บอร์ดและอุปกรณ์ชี้) ซึ่งอยู่ภายในหน่วยระบบ ในขณะที่จอภาพจะอยู่ภายนอกหน่วยระบบ และเชื่อมต่อกับตัวเครื่องด้วยบานพับ
หน่วยระบบ (ต่อ) 3. หน่วยระบบแท็บเล็ตพีซี (Tablet PC System Unit) คล้ายกับหน่วยระบบแบบโน้ตบุ๊ก หากแต่มีปากกา (Stylus) อำนวยความสะดวกในการป้อนคำสั่งหรือข้อมูลเพิ่มมาให้ 4. หน่วยระบบคอมพิวเตอร์มือถือ (Handheld Computer System) เป็นหน่วยระบบขนาดเล็กที่สุด ประกอบด้วยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์หน่วยความจำสำรอง รวมถึงอุปกรณ์รับเข้าและส่งออกข้อมูล
ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และคำสั่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และคำสั่ง คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ได้เหมือนกับที่มนุษย์เข้าใจ โดยปกติสัญญาณเสียงจะเป็นสัญญาณอนาล็อก (Analog) แต่สัญญาณที่ใช้กับคอมพิวเตอร์คือ สัญญาณดิจิทัล (Digital) ดังนั้นการประมวลผลใด ๆ ที่หน่วยระบบ จะต้องทำการแปลงสัญญาณให้อยู่ในรูปสัญญาณที่คอมพิวเตอร์เข้าใจก่อน ระบบเลขฐานสิบประกอบด้วยเลข 0 – 9 ส่วนระบบเลขฐานสอง (Binary System) ประกอบด้วยตัวเลข 2 ตัว คือ 0 และ 1 และเรียกข้อมูลหนึ่งหลักซึ่งอาจเป็น 0 หรือ 1 ว่า บิต (Bit) สำหรับหน่วยระบบ เลข 0 ใช้แทนสัญญาณทางไฟฟ้าที่อยู่ในสถานะปิด และเลข 1 ใช้แทนสัญญาณทางไฟฟ้าที่อยู่ในสถานะเปิด การแทนข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นตัวเลขหรืออักขระ 1 ตัว ต้องใช้กลุ่มของบิตจำนวน 8 บิต หรือ 1 ไบต์ (Byte)
รูปแบบการเข้ารหัสเลขฐานสองรูปแบบการเข้ารหัสเลขฐานสอง 1. แอสกี (American Standard Code for Information Interchange : ASCII) เป็นรหัสเลขฐานสองซึ่งนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในไมโครคอมพิวเตอร์ 2. เอบซีดิก (Extended Binary Code Decimal Interchange : EBCDIC) เป็นรหัสเลขฐานสองที่พัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็ม ใช้สำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ 3. ยูนิโค้ด (Unicode) เป็นรหัสเลขฐานสองที่มีขนาด 16 บิต รหัสนี้ถูกออกแบบให้สามารถสนับสนุนภาษาต่าง ๆ ได้ทั่วโลก เช่น ภาษาจีน และ ญี่ปุ่น เนื่องจากภาษาเหล่านี้มีตัวอักขระมากเกินกว่าที่จะสามารถใช้รหัสแอสกีและเอบซีดิกได้
ส่วนประกอบพื้นฐานของหน่วยระบบส่วนประกอบพื้นฐานของหน่วยระบบ แผงวงจรหลัก (System Board) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เมนบอร์ด (Mainboard) หรือ มาเธอร์บอร์ด (Mother board) ส่วนประกอบทั้งหมดของหน่วยระบบจะต้องเชื่อมต่อเข้ากับแผงวงจรหลักนี้ โดยเป็นเสมือนเส้นทางเดินของข้อมูลที่ทำให้ส่วนประกอบต่าง ๆ สามารถติดต่อกันได้ อุปกรณ์ภายนอกต่าง ๆ เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอภาพ จะไม่สามารถติดต่อกับหน่วยระบบได้ถ้าปราศจากแผงวงจรหลัก
ส่วนประกอบพื้นฐานของหน่วยระบบ (ต่อ) แผงวงจรหลักนี้ของเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์มีลักษณะแบนใหญ่ ประกอบด้วยส่วนประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมถึง ซ็อกเก็ต สล็อต และเส้นทางบัส ซ็อกเก็ต (Socket) เป็นส่วนที่ใช้ยึดติดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า ชิป (Chip) เข้ากับแผงวงจรหลัก
ส่วนประกอบพื้นฐานของหน่วยระบบ (ต่อ) สล็อต (Slot) เป็นจุดเชื่อมต่อสำหรับการ์ดหรือแผงวงจรไฟฟ้า การ์ดเหล่านี้ช่วยขยายความสามารถของระบบคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่น การ์ดโมเด็ม จะเสียบเข้ากับสล็อตบนแผงวงจรหลักเพื่อทำให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เส้นทางบัส (Bus Line) เป็นเส้นทางเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ภายในหรือติดอยู่กับแผงวงจรหลัก
ไมโครโพรเซสเซอร์ ในระบบไมโครคอมพิวเตอร์ หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หรือที่นิยมเรียกว่า ซีพียู (CPU) หรือ โพรเซสเซอร์ (Processor) ถูกบรรจุอยู่ในชิปที่เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ซึ่งอาจจะอยู่กับส่วนเชื่อมต่อสำหรับส่งข้อมูลซึ่งเสียบเข้ากับแผงวงจรหลัก หรือบรรจุอยู่ในตลับที่เสียบเข้ากับสล็อตพิเศษบนแผงวงจรหลัก
ไมโครโพรเซสเซอร์ (ต่อ) ไมโครโพรเซสเซอร์เป็นสมองของระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้ 1. หน่วยควบคุม (Control Unit) บางครั้งเรียกว่า CU บอกให้ระบบคอมพิวเตอร์ทราบว่าจะต้องประมวลผลคำสั่งอย่างไร หน่วยนี้จะควบคุมการเคลื่อนที่ของสัญญาณไฟฟ้าระหว่างหน่วยความจำ (ซึ่งบรรจุข้อมูล คำสั่ง และสารสนเทศหลังจากประมวลผล) กับหน่วยคำนวณและตรรกะ อีกทั้งยังควบคุมสัญญาณระหว่างซีพียูและอุปกรณ์รับเข้าและส่งออกด้วย
ไมโครโพรเซสเซอร์ (ต่อ) 2. หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic-Logic Unit) บางครั้งเรียกว่า ALU ทำหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ การดำเนินการทางคณิตศาสตร์ (ArithmeticOperations) ทำงานเกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น การบวก ลบ คูณ และหาร การดำเนินการทางตรรกะ (Logical Operations) ทำงานในลักษณะเปรียบเทียบข้อมูล 2 ส่วนที่เข้ามาว่า เท่ากับ น้อยกว่า หรือมากกว่า เป็นต้น
หน่วยความจำ หน่วยความจำ (Memory) เป็นพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล คำสั่ง และสารสนเทศต่าง ๆ ประกอบด้วยชิปที่เชื่อมต่อเข้ากับแผงวงจรหลักเหมือนกับไมโครโพรเซสเซอร์ ชิปหน่วยความจำที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปมี 3 ชนิด คือ 1. หน่วยความจำแรม (Random Access Memory : RAM) เป็นหน่วยความจำสำหรับเก็บโปรแกรมและข้อมูลต่าง ๆ ในขณะที่ซีพียูกำลังประมวลผลอยู่ เป็นหน่วยความจำแบบชั่วคราวหรือเป็นหน่วยเก็บแบบลบเลือน (Volatile Storage) เพราะทุกอย่างที่อยู่ในหน่วยความจำแรมจะสูญหายไปเมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือกรณีไฟฟ้าดับ
หน่วยความจำ (ต่อ) หน่วยความจำแคช (Cache Memory) หรือเรียกอีกอย่างว่า แรมแคช (RAM Cache) เป็นพื้นที่เก็บข้อมูลชั่วคราวที่มีความเร็วสูง โดยคอมพิวเตอร์จะตรวจสอบว่าข้อมูลใดในแรมที่มีการใช้งานบ่อย ๆ แล้วคัดลอกคำสั่งนั้นมาเก็บไว้ในหน่วยความจำแคช เมื่อซีพียูจะใช้ข้อมูลนั้นก็จะไปนำมาจากหน่วยความจำแคชเพื่อใช้งาน ด้วยวิธีการนี้ทำให้ซีพียูเข้าถึงคำสั่งต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น แฟลชแรม (Flash RAM) หรือหน่วยความจำแฟลช (Flash Memory) สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดเวลาแม้จะไม่มีกระแสไฟฟ้าก็ตาม หน่วยความจำแบบนี้มีราคาแพงและมักใช้เป็นหน่วยความจำสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทกล้องวิดีโอดิจิทัล โทรศัพท์มือถือ และพีดีเอ
หน่วยความจำ (ต่อ) 2. หน่วยความจำรอม (Read-Only Memory : ROM) เป็นหน่วยความจำที่มีโปรแกรมบรรจุอยู่ภายในมาจากโรงงานผลิต เป็นหน่วยความจำแบบไม่ลบเลือนและผู้ใช้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ภายในได้ซีพียูสามารถอ่านโปรแกรมที่ถูกเขียนไว้ในหน่วยความจำรอมมาใช้งานได้ แต่ไม่สามารถเขียนหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลและคำสั่งต่าง ๆ ที่อยู่ในรอมได้
หน่วยความจำ (ต่อ) 3. หน่วยความจำซีมอส (Complementary Metal-Oxide Semiconductor : CMOS) เป็นหน่วยความจำที่สามารถปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับระบบคอมพิวเตอร์ได้ ภายในหน่วยความจำซีมอสประกอบด้วยข้อมูลสำคัญที่ระบบคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องใช้งานทุกครั้งเมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่เก็บไว้ในหน่วยความจำชนิดนี้ เช่น วันที่และเวลาปัจจุบัน ขนาดของหน่วยความจำแรม ชนิดของคีย์บอร์ด เมาส์ และจอภาพ หน่วยความจำชนิดนี้ไม่เหมือนกับหน่วยความจำแรมคือ เมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หน่วยความจำชนิดนี้จะยังคงจำข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ภายในได้โดยอาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และไม่เหมือนกับหน่วยความจำรอมคือ ข้อมูลภายในสามารถเปลี่ยนแปลงตามอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานในระบบคอมพิวเตอร์ เช่น การเพิ่มขนาดหน่วยความจำแรมหรือการเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ ๆ
การ์ดและสล็อตเพิ่มขยายการ์ดและสล็อตเพิ่มขยาย สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ สถาปัตยกรรมแบบปิด (Closed Architecture) ซึ่งผู้ใช้ไม่สามารถเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ ๆ เพื่อใช้งานร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นได้โดยง่าย อีกแบบคือ สถาปัตยกรรมแบบเปิด (Open Architecture) ไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยมีสล็อตเพิ่มขยาย (Expansion Slot) อยู่หลายช่องบนแผงวงจรหลัก ผู้ใช้เพียงแต่เสียบอุปกรณ์ที่เรียกว่า การ์ดเพิ่มขยาย (Expansion Card) ลงในสล็อตนี้
การ์ดและสล็อตเพิ่มขยาย (ต่อ) การ์ดเพิ่มขยายเหล่านี้มีชื่อเรียกได้หลายอย่าง เช่น แผงปลั๊กอิน (Plug-in Board) การ์ดควบคุม (Controller Card) การ์ดอะแด็ปเตอร์ (Adapter Card) และการ์ดอินเทอร์เฟส (Interface Card) พอร์ตบนการ์ดนี้จะทำหน้าที่เชื่อมต่อการ์ดเพิ่มขยายกับอุปกรณ์ภายนอกหน่วยระบบ มีการ์ดเพิ่มขยายอยู่หลายชนิดที่เป็นที่รู้จักกันมาก ได้แก่ การ์ดแสดงผลภาพ (Video Card) หรือรู้จักกันในชื่อ กราฟิกการ์ด (Graphic Card) เป็นการ์ดที่เชื่อมต่อแผงวงจรหลักเข้ากับจอภาพของคอมพิวเตอร์ การ์ดชนิดนี้จะแปลงสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามาเป็นสัญญาณภาพ ทำให้สามารถแสดงผลบนจอภาพได้
การ์ดและสล็อตเพิ่มขยาย (ต่อ) การ์ดเสียง (Sound Card) ทำหน้าที่รับสัญญาณเสียงจากอุปกรณ์รับเสียง เช่น ไมโครโฟน ซึ่งเป็นสัญญาณอนาล็อกแล้วแปลงให้เป็นสัญญาณดิจิทัล และในทางตรงกันข้ามก็ทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอนาล็อกแล้วส่งไปให้อุปกรณ์ส่งออกเสียง เช่น ลำโพง การ์ดโมเด็ม (Modem Card) ซึ่งรู้จักกันในชื่อ โมเด็มภายใน (Internal Modem) เป็นการ์ดที่คอมพิวเตอร์ใช้ติดต่อกับคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง โดยการ์ดชนิดนี้จะแปลงสัญญาณจากหน่วยระบบไปเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเดินทางผ่านสายโทรศัพท์ได้
การ์ดและสล็อตเพิ่มขยาย (ต่อ) การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card : NIC) บางครั้งเรียกว่า การ์ดเน็ทเวิร์คอะแด็ปเตอร์ (Network Adapter Card) ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งเข้ากับคอมพิวเตอร์อีกหลาย ๆ ตัว ทำให้เกิดการเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ข้อมูล โปรแกรม อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ร่วมกันได้ การ์ดรับสัญญาณโทรทัศน์ (TV Tuner Card) ทำให้สามารถดูโทรทัศน์ หรือบันทึกภาพวิดีโอในขณะใช้คอมพิวเตอร์ การ์ดนี้ประกอบด้วยส่วนรับสัญญาณโทรทัศน์และส่วนแปลงสัญญาณ ทำให้สัญญาณโทรทัศน์ที่เข้ามาสามารถแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์ได้ พีซีการ์ด (PC Card) เป็นการ์ดเพิ่มขยายที่มีขนาดประมาณเท่าบัตรเครดิต ใช้สำหรับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์มือถือ สามารถใส่และถอดออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่าย
เส้นทางบัส เส้นทางบัส (Bus Line) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า บัส (Bus) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อส่วนต่าง ๆ ของซีพียูเข้าไว้ด้วยกัน และยังเชื่อมต่อซีพียูเข้ากับส่วนประกอบอื่น ๆ ของแผงวงจรหลัก บัสเป็นเส้นทางสำหรับบิตที่แสดงข้อมูลและคำสั่ง จำนวนของบิตที่สามารถวิ่งได้ในเส้นทางบัสหนึ่งเรียกว่า ความกว้างบัส (Bus Width)
เส้นทางบัส (ต่อ) โดยทั่วไประบบคอมพิวเตอร์จะประกอบด้วยบัสหลายชนิด แต่สำหรับบัสพื้นฐาน ได้แก่ บัสไอเอสเอ (Industry Standard Architecture : ISA) พัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็ม เริ่มแรกบัสชนิดนี้มีความกว้างเพียง 8 บิต แต่ต่อมาได้ขยายเป็น 16 บิต ถึงแม้ว่าบัสชนิดนี้จะขนส่งข้อมูลค่อนข้างช้าสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงมีการใช้งานอยู่
เส้นทางบัส (ต่อ) บัสพีซีไอ (Peripheral Component Interconnect : PCI) บัสชนิดนี้ เป็นบัสที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูง สามารถส่งข้อมูลได้สองแบบ คือ 32 บิต กับแบบ 64 บิต ซึ่งความเร็วในการส่งข้อมูลสูงกว่าบัสไอเอสเอกว่า 20 เท่า บัสเอจีพี (Accelerated Graphics Port : AGP) เป็นบัสที่มีความเร็วสูงกว่าบัสพีซีไอมากกว่า 2 เท่า ในขณะที่บัสพีซีไอสามารถใช้ส่งข้อมูลได้หลายชนิด แต่บัสเอจีพีนั้นใช้สำหรับเร่งความเร็วในการแสดงผลด้านกราฟิกเท่านั้น ดังนั้นบัสเอจีพีจึงนิยมนำไปใช้สำหรับการแสดงผลภาพสามมิติ
เส้นทางบัส (ต่อ) บัสยูเอสบี (Universal Serial Bus : USB) จะทำงานร่วมกับบัสพีซีไอบนแผงวงจรหลักเพื่อสนับสนุนการทำงานกับอุปกรณ์ภายนอกโดยไม่ต้องใช้การ์ดหรือสล็อตเพิ่มขยาย อุปกรณ์ยูเอสบีจะเชื่อมต่อกับบัสยูเอสบีที่ติดอยู่กับบัสพีซีไอบนแผงวงจรหลัก บัสเอชพีเอสบี (High Performance Serial Bus : HPSB) เรียกอีกอย่างว่า บัสไฟร์ไวร์ (FireWire Bus) การทำงานจะคล้ายกับบัสยูเอสบี และมีความเร็วพอ ๆ กับบัสยูเอสบี ซึ่งจะใช้กับงานประยุกต์พิเศษบางอย่าง เช่น การบันทึกภาพเคลื่อนไหวโดยกล้องดิจิทัลและซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอ
พอร์ต พอร์ต (Port) คือ ซ็อกเก็ตสำหรับอุปกรณ์ภายนอกเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับหน่วยระบบได้ พอร์ตบางชนิดเชื่อมต่อโดยตรงกับแผงวงจร ในขณะที่พอร์ตบางอย่างเชื่อมต่อกับการ์ดที่เสียบเข้าไปในสล็อตของแผงวงจรหลัก
พอร์ต (ต่อ) พอร์ตมาตรฐาน พอร์ตอนุกรม (Serial Port) เป็นพอร์ตที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง และมีอุปกรณ์หลายหลายที่ใช้พอร์ตชนิดนี้ เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด โมเด็ม และอุปกรณ์อื่น ๆ โดยใช้ในการเชื่อมต่อกับหน่วยระบบ พอร์ตอนุกรมจะมีลักษณะการส่งข้อมูลเรียงกันไปทีละบิต เหมาะสำหรับส่งข้อมูลเป็นระยะทางไกล ๆ ได้ พอร์ตขนาน (Parallel Port) ใช้สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกที่ต้องรับ – ส่งข้อมูลเป็นระยะทางสั้น ๆ พอร์ตชนิดนี้สามารถส่งข้อมูลได้จำนวน 8 บิต พร้อมกันโดยใช้สายเชื่อมต่อแบบขนาน พอร์ตแบบนี้นิยมใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ประเภทเครื่องพิมพ์เข้ากับหน่วยระบบ
พอร์ต (ต่อ) พอร์ตยูเอสบี (Universal Serial Bus Port : USB) เป็นพอร์ตที่เริ่มเข้ามาแทนพอร์ตอนุกรมและพอร์ตขนาน พอร์ตชนิดนี้จะมีความเร็วในการส่งข้อมูลสูง และสามารถใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายประเภทเข้ากับหน่วยระบบ พอร์ตเอชพีเอสบี (High Performance Serial Bus Port : HPSB) เรียกอีกอย่างว่า พอร์ตไฟร์ไวร์ (FireWire Port) พอร์ตชนิดนี้ส่งข้อมูลได้เร็วกว่าพอร์ตยูเอสบี มักใช้กับอุปกรณ์พิเศษ เช่น กล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวแบบดิจิทัล
พอร์ต (ต่อ) พอร์ตชนิดพิเศษ พอร์ตมิดี้ (Musical Instrument Digital Interface : MIDI) เป็นพอร์ตอนุกรมชนิดพิเศษที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ดนตรีเข้ากับการ์ดเสียง หลังจากนั้นการ์ดเสียงจะแปลงเสียงดนตรีเป็นสัญญาณดิจิทัลที่คอมพิวเตอร์สามารถนำมาประมวลผลต่อได้ พอร์ตสกัสซี่ (Small Computer System Interface : SCSI) เป็นพอร์ตขนานความเร็วสูงชนิดพิเศษสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์สกัสซี่ เช่น ฮาร์ดดิสก์ ซีดีไดร์ฟ สแกนเนอร์ เป็นต้น เข้ากับการ์ดควบคุมทำให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์หลาย ๆ ชนิดเข้ากับหน่วยระบบผ่านสล็อตเดียวบนเมนบอร์ด
พอร์ต (ต่อ) พอร์ตไออาร์ดีเอ (Infrared Data Association : IrDA) เป็นพอร์ตที่ใช้คลื่นสัญญาณอินฟราเรดในการโอนถ่ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์แบบไร้สายแทนการใช้สายเคเบิล นิยมใช้สำหรับโอนถ่ายข้อมูลจากโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์หรือคอมพิวเตอร์มือถือไปยังเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ เคเบิล (Cable) คือสายที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกเข้ากับหน่วยระบบผ่านทางพอร์ตต่าง ๆ โดยสายข้างหนึ่งของเคเบิลจะติดอยู่กับอุปกรณ์ และอีกข้างหนึ่งจะมีตัวเชื่อมต่อกับพอร์ต
พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply) เดสท็อปคอมพิวเตอร์ทำงานโดยใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current) หรือ ไฟดีซี (DC) เพื่อให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ สามารถทำงานและแสดงข้อมูลหรือคำสั่งได้ ไฟดีซีสามารถได้จากการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current) หรือ ไฟเอซี (AC) จากปลั๊กไฟหรือได้โดยตรงจากแบตเตอรี่ เดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์มีพาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply) อยู่ภายในหน่วยระบบ โดยจะต่อกับปลั๊กไฟภายนอกเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสสลับให้กลายเป็นไฟฟ้ากระแสตรง และจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ในหน่วยระบบให้สามารถทำงานได้
พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply) (ต่อ) โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ใช้เอซีอะแด็ปเตอร์ (AC Adapter) ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ภายนอกหน่วยระบบ เอซีอะแด็ปเตอร์จะถูกเสียบเข้ากับปลั๊กไฟภายนอกแล้วเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสสลับให้กลายเป็นไฟฟ้ากระแสตรง และจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ในหน่วยระบบ รวมถึงสามารถชาร์จไฟแบตเตอรี่ได้ด้วย โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ทั้งการใช้ไฟฟ้ากระแสสลับจากปลั๊กไฟภายนอกหรือใช้แบตเตอรี่ โดยปกติแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ จะสามารถใช้งานได้เพียง 2 – 4 ชั่วโมง คอมพิวเตอร์มือถือเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กคือ ใช้เอซีอะแด็ปเตอร์ที่อยู่ภายนอกหน่วยระบบ แต่อย่างไรก็ตามโดยปกติคอมพิวเตอร์มือถือจะทำงานได้โดยใช้ไฟจากแบตเตอรี่ สำหรับเอซีอะแด็ปเตอร์จะไว้สำหรับการชาร์จไฟแบตเตอรี่ใหม่เท่านั้น
เอกสารอ้างอิง รศ.ยาใจ โรจนวงศ์ชัยและคณะ. (2550). คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่. สำนักพิมพ์แมคกรอ-ฮิล.