1 / 73

การสื่อสาร ข้อมูลและระบบเครือข่ายทางธุรกิจ

การสื่อสาร ข้อมูลและระบบเครือข่ายทางธุรกิจ. บทที่ 2 สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลและอุปกรณ์สื่อสาร. สื่อประเภทเหนี่ยวนำ (Conducted Media). สายโคแอคเชียล (Coaxial cable) สายคู่บิดเกลียว (Twisted pair wire) แบบไม่มีฉนวนหุ้ม (Unshielded Twisted Pair: UTP)

kat
Download Presentation

การสื่อสาร ข้อมูลและระบบเครือข่ายทางธุรกิจ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่ายทางธุรกิจการสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่ายทางธุรกิจ บทที่ 2 สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลและอุปกรณ์สื่อสาร

  2. สื่อประเภทเหนี่ยวนำ (Conducted Media) • สายโคแอคเชียล (Coaxial cable) • สายคู่บิดเกลียว (Twisted pair wire) • แบบไม่มีฉนวนหุ้ม (Unshielded Twisted Pair: UTP) • แบบมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair: STP) • สายใยแก้วนำแสง (Fiber-Optic cable)

  3. สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) • เป็นสายสัญญาณประเภทแรกที่ใช้ และเป็นที่นิยมมากในเครือข่ายคอมพิวเตอร์สมัยแรกๆ • ในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นสายที่ล้าสมัยสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามยังมีระบบเครือข่ายบางประเภทที่ยังใช้สายประเภทนี้อยู่

  4. ส่วนประกอบของสายโคแอ็กเชียลส่วนประกอบของสายโคแอ็กเชียล สายทองแดง ฉนวน ใยโลหะถักเปียหรือโลหะบางๆ ฉนวนและวัสดุป้องกันสายสัญญาณ

  5. สายโคแอ็กเชียลแบบบาง (Thin Coaxial Cable) • เป็นสายที่มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.64 cm • เนื่องจากสายประเภทนี้มีขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นสูงจึงสามารถใช้ได้กับการติดตั้งเครือข่ายเกือบทุกประเภท • สามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 185 เมตร ก่อนที่สัญญาณจะเริ่มอ่อนกำลังลง

  6. สายโคแอ็กเชียลแบบหนา (Thick Coaxial Cable) • เป็นสายโคแอ็กซ์ที่ค่อนข้างแข็ง และขนาดใหญ่กว่าสายโคแอ็กซ์แบบบาง โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.27 cm • ส่วนแกนกลางที่เป็นสายทองแดงของสายโคแอ็กซ์แบบหนาจะมีขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงสามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 500 เมตร • นิยมใช้ในการเชื่อมต่อเส้นทางหลักของข้อมูล หรือ แบ็คโบน (Backbone) ของเครือข่ายสมัยแรกๆ

  7. หัวเชื่อมต่อที่ใช้กับกับสายโคแอ็กเชียลหัวเชื่อมต่อที่ใช้กับกับสายโคแอ็กเชียล BNC Cable Connector BNC T-Connector BNC Barrel Connector BNC Terminator

  8. สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pairs Cable) • เมื่อก่อนเป็นสายสัญญาณที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นมาตรฐานสายสัญญาณที่เชื่อมต่อในเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) • สายคู่บิดเกลียวหนึ่งคู่ประกอบด้วยสายทองแดงขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.016-0.035 นิ้ว หุ้มด้วยฉนวนแล้วบิดเป็นเกลียวเป็นคู่ • การบิดเป็นเกลียวของสายแต่ละคู่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยลดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่รบกวนซึ่งกันและกัน • สายคู่บิดเกลียวที่มีขายในท้องตลาดอาจประกอบด้วยสายคู่บิดเกลียวตั้งแต่หนึ่งคู่ไปจนถึง 600 คู่ในสายขนาดใหญ่ สายคู่บิดเกลียวที่ใช้กับเครือข่าย LAN จะประกอบด้วย 4 คู่

  9. สายคู่บิดเกลียวหุ้มฉนวน(Shielded Twisted Pairs : STP) • มีส่วนที่ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก • ชั้นป้องกันนี้อาจเป็นแผ่นโลหะบางๆ หรือใยโลหะที่ถักเปียเป็นตาข่าย ซึ่งชั้นป้องกันนี้จะห่อหุ้มสายคู่บิดเกลียวทั้งหมด

  10. สายคู่บิดเกลียวไม่หุ้มฉนวน(Unshielded Twisted Pairs : UTP) • สายสัญญาณที่นิยมใช้กันมากที่สุดในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน • การใช้สายนี้ความยาวต้องไมเกิน 100 เมตร

  11. คุณสมบัติพิเศษของสายคู่บิดเกลียว • การใช้สายคู่บิดเกลียวในการรับส่งสัญญาณนั้นจำเป็นต้องใช้สายหนึ่งคู่ในการส่งสัญญาณ และอีกหนึ่งคู่ในการรับสัญญาณ ซึ่งในแต่ละคู่สายจะมีทั้งขั้วบวกและขั้วลบ • ในการทำเช่นนี้เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในการรับส่งข้อมูลที่เรียกว่า "Differential Signaling" ซึ่งเทคนิคนี้คิดค้นขึ้นมาเพื่อจะกำจัดคลื่นรบกวน (Electromagnetic Noise) ที่เกิดกับสัญญาณข้อมูล • เมื่อเกิดคลื่นรบกวนขึ้นกับสายสัญญาณแล้วจะทำให้สัญญาณข้อมูลยากต่อการอ่านหรือแปลความหมาย

  12. มาตรฐานสายสัญญาณ (EIA/TIA 568)* * EIA = Electronics Industries Association,TIA = Telecommunication Industries Association

  13. หัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายคู่บิดเกลียวหัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายคู่บิดเกลียว RJ-45 Jack RJ-45 Plug

  14. Network Interface Card (NIC)

  15. สายใยแก้วนำแสง (Fiber-Optic Cable) • ใช้สัญญาณแสงในการส่งสัญญาณไฟฟ้า ทำให้การส่งสัญญาณไม่ถูกรบกวนจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าต่าง ๆ ทั้งยังคงทนต่อสภาพแวดล้อม อีกด้วย • ตัวกลางที่ใช้สำหรับการส่งสัญญาณแสงก็คือใยแก้วซึ่งมีขนาดเล็กและบาง ทำให้ประหยัดพื้นที่ไปได้มาก • สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลโดยมีการสูญเสียของสัญญาณน้อย ทั้งยังให้อัตราข้อมูล (Bandwidth) ที่สูงยิ่งกว่าสายแบบโลหะหลายเท่าตัว

  16. โครงสร้างของใยแก้วนำแสง

  17. ส่วนประกอบของสายใยแก้วนำแสงส่วนประกอบของสายใยแก้วนำแสง

  18. วิธีการรับ - ส่งข้อมูลของสายใยแก้วนำแสง • สายใยแก้วนำแสงใช้แสงเป็นตัวส่งสัญญาณ • ซึ่งมี LED (Light Emitting Diode) หรือ ILD(Injection Laser Diode) เป็นต้นกำเนิดแสง (แปลงจากสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณแสง) • เมื่อถึงปลายทางก็จะมี Photo Diode แปลงจากสัญญาณแสงให้กลับเป็นสัญญาณไฟฟ้าเหมือนเดิม

  19. LED & ILD LED Photo Diode ILD

  20. เปรียบเทียบระหว่าง LED และ ILD

  21. วิธีการส่งสัญญาณในสายใยแก้วนำแสงวิธีการส่งสัญญาณในสายใยแก้วนำแสง • Multimode Step Index • Multimode Graded Index • Single Mode

  22. Multimode Step Index

  23. Multimode Graded Index

  24. Single Mode

  25. หัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายใยแก้วนำแสงหัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายใยแก้วนำแสง

  26. สื่อประเภทกระจายคลื่นหรือสื่อประเภทไร้สายสื่อประเภทกระจายคลื่นหรือสื่อประเภทไร้สาย • คลื่นวิทยุ (Broadcast Radio) • สัญญาณไมโครเวฟ (Microwave) • แบบภาคพื้นดิน (Terrestrial Microwave) • แบบดาวเทียม (Satellite Microwave) • วิทยุเซลลูลาร์ (Cellular Radio) • วิทยุสเปรดสเปกตรัม (Spread Spectrum Radio) • สัญญาณอินฟราเรด (Infrared)

  27. คลื่นวิทยุ (Broadcast Radio) • มีการแพร่กระจายออกอากาศโดยทั่วไปทั้งในระบบ AM และ FM • มีความถี่อยู่ในช่วง 30 – 300 MHz • การแพร่กระจายคลื่นหรือการส่งออกอากาศจะเกิดขึ้นในทุกทิศทาง (Omni directional) • แม้ว่ารูปแบบของการแพร่คลื่นสัญญาณทั่วไปจะเป็นแบบวงกลม แต่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้าช่วยจะสามารถสร้างรูปทรงแบบวงรีขึ้นมาได้ เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ทับซ้อนของสัญญาณจากสถานีข้างเคียง

  28. การแพร่กระจายคลื่น

  29. ย่านความถี่ของสัญญาณ (1)

  30. ย่านความถี่ของสัญญาณ (2)

  31. ข้อดีของคลื่นวิทยุ • ติดตั้งง่าย อุปกรณ์ราคาไม่แพงมากนัก • สามารถทะลุสิ่งกีดขวางได้ • แพร่กระจายสัญญาณแบบวงกลมหรือวงรี ทำให้เครื่องรับสัญญาณที่อยู่ในระยะสามารถรับสัญญาณได้ โดยไม่ต้องหันหน้าอุปกรณ์ให้ตรงกัน (ยกเว้นเสาอากาศโทรทัศน์)

  32. ข้อเสียของคลื่นวิทยุ • อัตราการส่งข้อมูลต่ำ • สามารถถูกคลื่นสัญญาณอื่น รวมทั้งสภาพอากาศ และอุณหภูมิรบกวนได้ • ต้องขออนุญาตใช้ความถี่จากหน่วยงานที่รับผิดชอบก่อน

  33. ไมโครเวฟ (Microwave) • คลื่นไมโครเวฟที่ใช้ถ่ายทอดสัญญาณมีความถี่สูงมาก (3-30 GHz)ทำให้สามารถส่งข้อมูลออกไปด้วยอัตราความเร็วที่สูงมาก • สัญญาณเดินทางเป็นแนวเส้นตรง (Line-of-Sight Transmission) จึงเรียกว่าเป็นสัญญาณทิศทางเดียว (Unidirectional) • ไมโครเวฟแบ่งออกเป็น 2 ชนิด • ไมโครเวฟชนิดตั้งบนพื้นดิน (Terrestrial Microwave) • ไมโครเวฟชนิดดาวเทียม (Satellite Microwave)

  34. ไมโครเวฟชนิดตั้งบนพื้นดินไมโครเวฟชนิดตั้งบนพื้นดิน • ส่งสัญญาณแลกเปลี่ยนกันระหว่างสถานีบนพื้นดิน (Earth Station) สองสถานี • โดยปกติขนาดของจานรับ-ส่งสัญญาณ (Dish) จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ฟุต • โดยปกติสถานีบนพื้นดินตั้งอยู่ห่างกันไม่เกิน 40-48 กิโลเมตร และอาจไกลถึง 88 กิโลเมตร ถ้าสถานีทั้งสองตั้งอยู่ห่างจากพื้นดินมากๆ • ระหว่างสองสถานีจะต้องไม่มีวัตถุใดๆ ขวางกั้นระหว่างสองสถานี

  35. การถ่ายทอดสัญญาณไมโครเวฟสถานีภาคพื้นดินการถ่ายทอดสัญญาณไมโครเวฟสถานีภาคพื้นดิน

  36. ข้อดีของไมโครเวฟชนิดตั้งบนพื้นดินข้อดีของไมโครเวฟชนิดตั้งบนพื้นดิน • กำลังส่งสูง ครอบคลุมพื้นที่สื่อสารได้กว้าง โดยจะส่งเป็นทอดๆ • อัตราในการส่งข้อมูลสูง • ใช้ย่านความถี่สูงทำให้ถูกรบกวนจากสัญญาณอื่นได้ยาก • ช่วยขจัดปัญหาในเรื่องสถานที่ตั้ง หรือภูมิประเทศที่ยากต่อการเชื่อมต่อสายสื่อสาร

  37. ข้อเสียของไมโครเวฟชนิดตั้งบนพื้นดินข้อเสียของไมโครเวฟชนิดตั้งบนพื้นดิน • ถูกรบกวนได้ง่ายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อุณหภูมิ และภูมิอากาศ • อุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมีราคาแพง • ต้องขออนุญาตใช้ความถี่จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ • ต้องอาศัยผู้มีความเชี่ยวชาญในการติดตั้ง และบำรุงรักษา

  38. ไมโครเวฟชนิดดาวเทียม • ประกอบด้วยดาวเทียมหนึ่งดวง ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับสถานีพื้นดินตั้งแต่สองสถานีขึ้นไป • สถานีพื้นดินถูกนำมาใช้เพื่อการรับและส่งสัญญาณไปยังดาวเทียม • ดาวเทียมทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ทวนสัญญาณ ซึ่งจะถูกส่งกลับลงมาบนพื้นโลก • ดาวเทียมส่วนใหญ่ลอยอยู่เหนือพื้นโลกประมาณ 35,680 กิโลเมตร ตามแนวเส้นศูนย์สูตร • เรียกว่าดาวเทียมวงโคจรสถิตย์ (Geosynchronous Orbiting Satellites: GEOS)

  39. การสื่อสารผ่านดาวเทียมการสื่อสารผ่านดาวเทียม

  40. พื้นที่รับสัญญาณ (Footprint) • เนื่องจากสัญญาณดาวเทียมเดินทางเป็นเส้นตรงเท่านั้น ทำให้สัญญาณที่ส่งมาบนพื้นโลกมีพื้นที่เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่สามารถรับสัญญาณได้ เรียกว่า “พื้นที่รับสัญญาณ”(Footprint) • Footprint อาจมีอาณาเขตกว้างปกคลุมพื้นที่ของหลายประเทศ หรืออาจเป็นพื้นที่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 2-3 กิโลเมตรก็ได้ • ดังนั้นการใช้ดาวเทียม GEOS เพียง 3 ดวงก็สามารถถ่ายทอดสัญญาณได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก

  41. พื้นที่รับสัญญาณ (Footprint)

  42. การรับ-ส่งสัญญาณของดาวเทียมการรับ-ส่งสัญญาณของดาวเทียม • ดาวเทียมใช้เสาอากาศรับสัญญาณที่ส่งขึ้นไปจากพื้นโลก (Uplink) • จากนั้นจะทำการขยายสัญญาณให้มีความชัดเจนมากขึ้น และเปลี่ยนขนาดความถี่คลื่น • แล้วจึงใช้อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณ (Transponder) เพื่อส่งสัญญาณกลับลงมายังพื้นโลก (Downlink) • การแยกคลื่นความถี่ของ Uplink และ Downlink เพื่อไม่ให้รบกวน ซึ่งกันและกัน

  43. การหน่วงเวลา (Propagation Delay) • เนื่องจากดาวเทียมมีระยะทางห่างจากพื้นโลกมาก การส่งสัญญาณจากพื้นโลกขึ้นไป หรือการส่งสัญญาณจากดาวเทียมลงมาจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง • ระยะเวลาการหน่วงเวลาของดาวเทียมจะมีตั้งแต่ครึ่งวินาทีสำหรับการถ่ายทอดข้อมูลคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงสามวินาทีสำหรับการถ่ายทอดสัญญาณเสียงและโทรทัศน์

  44. ดาวเทียมแบบวงโคจรต่ำ • Low Earth Orbiting Satellite (LEOS) • มีรัศมีโคจรเพียง 520 – 1600 กิโลเมตร จากผิวโลก • ใช้เวลาในการโคจรรอบโลกเพียง 90 – 100 นาที • ข้อดีคืออุปกรณ์ในการรับ-ส่งสัญญาณไม่ต้องมีกำลังมากนัก และสามารถกำหนดวงโคจรตามแนวขั้วโลกเหนือ-ใต้ได้ • ในการใช้งานจึงจำเป็นต้องใช้ดาวเทียมมากถึง 12 ดวง จึงจะครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก

  45. ดาวเทียมวงโคจรระยะกลางดาวเทียมวงโคจรระยะกลาง • Medium Earth Orbiting Satellite (MEOS) • โคจรห่างผิวโลกประมาณ 9,600 – 16,000 กิโลเมตร • มีคุณสมบัติผสมระหว่างดาวเทียม GEOS และ LEOS • การใช้งานสื่อสารขอบเขตให้ครอบคลุมทั่วโลกต้องใช้ดาวเทียม 6 ดวง

  46. การนำดาวเทียมมาประยุกต์ใช้งานการนำดาวเทียมมาประยุกต์ใช้งาน • นำมาใช้ในการสื่อสารไร้สายสำหรับโทรศัพท์และอุปกรณ์สื่อสารข้อมูลประเภทพกพา (Mobile Satellite Service) • การแพร่สัญญาณคลื่นผ่านดาวเทียม (Direct Broadcast Satellite) • ระบบชี้ตำแหน่ง (Global Positioning System: GPS)

  47. ข้อดีของไมโครเวฟแบบดาวเทียมข้อดีของไมโครเวฟแบบดาวเทียม • มีอัตราการส่งข้อมูลสูง • สามารถครอบคลุมพื้นที่การสื่อสารได้ทั่วโลก

  48. ข้อเสียของไมโครเวฟแบบดาวเทียมข้อเสียของไมโครเวฟแบบดาวเทียม • ต้องลงทุนมากนับหมื่นล้านบาท • การติดตั้งระบบ และดูแลรักษาต้องใช้ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ • มีการหน่วงเวลา ทำให้ไม่เหมาะกับงานแบบที่ต้องการผลลัพธ์ทันที • ถูกรบกวนจากสภาพภูมิอากาศได้

  49. วิทยุเซลลูลาร์ (Cellular Radio) • ใช้ในการรับ-ส่งสัญญาณเสียงสนทนาหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ที่อาศัยสื่อประเภทคลื่นสัญญาณวิทยุ • มีระยะการรับ-ส่งสัญญาณที่จำกัดอยู่ภายในพื้นที่หนึ่ง เรียกว่า “เซลล์”(Cell)

  50. เซลล์ (Cell) • เซลล์แต่ละเซลล์จะมีเสาอากาศสำหรับรับและส่งสัญญาณเป็นของตนเอง • เนื่องจากเซลล์มีอาณาเขตติดต่อกับเซลล์อื่นที่อยู่ติดกันทุกด้าน จึงจำเป็นต้องใช้คลื่นสัญญาณที่มีพลังงานต่ำ • เมื่อผู้ใช้นำอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณข้ามเขตจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง เรียกว่า “การโอนการติดต่อ”(Roaming)

More Related