1 / 63

304417

304417. ดร.ศิริชัย ตันรัตนวงศ์. เหล็กกล้าคาร์บอน. ท่อนเหล็กรูปพรรณ เหล็กแผ่น. วิเคราะห์โครงสร้าง ออกแบบโครงสร้าง. หมุดย้ำ สลักเกลียว เชื่อม. ประกอบและยึด. รับน้ำหนักบรรทุก ตามต้องการ. โครงสร้างเหล็ก. ออกแบบสถาปัตยกรรม. อาคารแบบผสม : คอนกรีตเสริมเหล็ก & เหล็กรูปพรรณ

marcos
Download Presentation

304417

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 304417 ดร.ศิริชัย ตันรัตนวงศ์

  2. เหล็กกล้าคาร์บอน ท่อนเหล็กรูปพรรณ เหล็กแผ่น • วิเคราะห์โครงสร้าง • ออกแบบโครงสร้าง • หมุดย้ำ • สลักเกลียว • เชื่อม ประกอบและยึด รับน้ำหนักบรรทุก ตามต้องการ โครงสร้างเหล็ก • ออกแบบสถาปัตยกรรม

  3. อาคารแบบผสม: คอนกรีตเสริมเหล็ก & เหล็กรูปพรรณ • ฐานรากของอาคาร: คอนกรีตเสริมเหล็ก • คานและเสา : เหล็กรูปพรรณหรือเหล็กรูปตัดที่ประกอบ • รอยต่อ : เชื่อม / ขันด้วยสลักเกลียวกำลังสูง / หล่อหุ้มด้วยคอนกรีต • พื้น : เหล็กแผ่น / พื้นคอนกรีตเทกับที่ / พื้นคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป • ผนัง : ก่ออิฐฉาบปูน / อื่นๆ

  4. โครงสร้างเหล็ก vs. โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก • ระยะเวลาการก่อสร้าง (การประกอบและติดตั้ง) น้อยกว่า • มีกำลังต้านทานต่อแรงดึงและแรงอัดได้สูงกว่า • น้ำหนักเบากว่าโครงสร้างเมื่อต้องการรับน้ำหนักบรรทุกเท่ากัน • คุณสมบัติคงทนสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา • ความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการกระแทกหรือเปลี่ยนรูปร่างก่อนเกิดการวิบัติได้มากกว่า • ทนต่อการผุกร่อนจากปฏิกิริยาออกซิเดชันได้ดี เมื่อบำรุงรักษาสม่ำเสมอ • สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกภายหลังการรื้อถอน • ราคาค่าวัสดุก่อสร้างแพงกว่า • เป็นสนิม • ไม่ทนไฟ • ทาสีป้องกัน • หุ้มด้วยคอนกรีต • เสริมด้วยลวดตาข่าย & ฉาบปูนทรายหนา4-5 ซม. • พ่นด้วยสารเคมีที่มีคุณสมบัติทนไฟ

  5. 1.2 เหล็กโครงสร้าง • เหล็กโครงสร้าง เป็นเหล็กกล้าที่ผลิตขึ้นจากส่วนผสม • แร่เหล็ก • คาร์บอน • ธาตุอื่น เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน ซิลิกอน แมงกานีส ทองแดง นิกเกิลวานาเดียม โครเมียม โคลัมเบียม โมลิดินัม เป็นต้น • เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการใช้งานด้านต่าง ๆ • เพิ่งกำลังแรง • การเชื่อมต่อดีขึ้น • ทนต่อการผุกร่อนจากปฏิกิริยาออกซิเดชันมากขึ้น • มีความเหนียวและยืดหยุ่นตัวได้มากขึ้น

  6. คุณสมบัติที่สำคัญทางวิศวกรรมของเหล็กโครงสร้างคุณสมบัติที่สำคัญทางวิศวกรรมของเหล็กโครงสร้าง • หน่วยแรงดึงที่จุดคราก • หน่วยแรงดึงประลัย • ความเหนียวหรือการยืดหดตัว • ก่อนเกิดการชำรุดเสียหาย ขึ้นกับปริมาณของคาร์บอน และความหนาของเหล็ก เหล็กที่มีปริมาณของคาร์บอนมากขึ้นและความหนาน้อย จะมีกำลังแรงดึงและความแข็งมากขึ้น แต่การยืดหดตัวจะลดลงหรือมีความเปราะมากขึ้น

  7. การพิจารณาหาคุณสมบัติด้านรับแรงดึงของเหล็กโครงสร้างการพิจารณาหาคุณสมบัติด้านรับแรงดึงของเหล็กโครงสร้าง นำท่อนหรือแท่งเหล็กที่มีขนาดตามมาตรฐานกำหนด (เช่น ASTM) มาทดสอบรับแรงดึง โดยอาศัยเครื่องทดสอบหากำลังต้านทานของวัสดุ (Testing Machine) P : แรงดึง A : เนื้อที่หน้าตัดชิ้นทดสอบ L : ความยาวเดิม L : ความยาวเมื่อเหล็กเกิดการยืดตัว หน่วยแรงดึงที่เกิดขึ้น : f = P/A หน่วยการยืดตัวที่เกิดขึ้น : = L/L

  8. คุณสมบัติของเหล็กโครงสร้าง:คุณสมบัติของเหล็กโครงสร้าง: จากพฤติกรรมการรับแรงดึงของเหล็ก- เขียนความสัมพันธ์ระหว่าง หน่วยแรงดึง(tensile stress) และหน่วยการยืดตัว (tensile strain) ตั้งแต่เหล็กเริ่มรับแรงกระทำ จนกระทั่งสภาวะประลัยที่เหล็กเกิดการวิบัติ d หน่วยแรงดึง e c b a E 1 o หน่วยการยืดตัวของเหล็ก

  9. พฤติกรรมทั่วไปของเหล็กโครงสร้าง พฤติกรรมทั่วไปของเหล็กโครงสร้าง • ช่วง o ถึง a • หน่วยแรงดึงเป็นสัดส่วนโดยตรงกับหน่วยการยืดตัวตามกฎของฮุค เพราะในช่วงนี้เหล็กมีคุณสมบัติยืดหยุ่น • หน่วยแรงดึงที่จุด aเรียกว่า หน่วยแรงดึงที่ขีดพิกัดยืดหยุ่น (Proportional Limit) • ค่าความชันในช่วง oaเรียกว่าโมดูลัสของความยืดหยุ่น (Modulus of Elasticity) หรือโมดูลัสของยังก์(Young’s Modulus)ถือว่าเป็นค่าคงที่ในช่วงนี้ • E สำหรับเหล็กกล้าคาร์บอนหรือเหล็กกล้ากำลังสูง: 2000 - 2100 ตันต่อตร.ซม. • การยืดตัวของเหล็กในช่วงยืดหยุ่นนี้ค่อนข้างน้อย และสามารถหดกลับลงมาตามแนวเดิมได้เมื่อเลิกดึง • เมื่อพ้นจากจุด a • เหล็กเริ่มคราก

  10. ช่วง a ถึง b • การยืดของเหล็กมักจะไม่เป็นไปตามกฎของฮุค • เหล็กจะเริ่มคราก หรือล้า (yield) • หน่วยแรงดึงที่จุดครากของเหล็ก (Yield Strength: Fy) • หน่วยการยืดตัวจะเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หน่วยแรงดึงมีค่าเกือบคงที่ • การยืดตัวในช่วง bc ถือว่าเป็นช่วงพลาสติก ปกติมีค่ามากกว่าการยืดตัวในช่วงยืดหยุ่นหรืออิลาสติก ประมาณ 10 ถึง 12 เท่า แสดงถึงความเหนียวของเหล็กโครงสร้างทั่วไป

  11. จุด C • เหล็กเริ่มมีพฤติกรรมใหม่เรียกว่าการแข็งตัวเพิ่ม (strain hardening) • เมื่อเพิ่มแรงกระทำต่อไปอีกจะได้ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยแรงดึง และหน่วยการยืดตัวตามรูป • จุด dเหล็กสามารถรับแรงดึงได้มากที่สุด เรียกว่า หน่วยแรงดึงประลัย (ultimate tensile strength : Fu) • จุด d - e • หน่วยแรงดึงในเหล็กจะเริ่มลดลง • หน้าตัดของเหล็กที่ถูกดึงก็เริ่มมีคอคอดเกิดขึ้น • จุด eเหล็กจะถูกดึงและขาดออกจากกัน • เรียกจุดนี้ว่า หน่วยแรงดึงที่ จุดขาดของเหล็ก

  12. X 100 LO LO : ระยะวัดการยืดตัว/ความยาวพิกัด (gage length) ของเหล็กก่อนรับแรงดึง Lf : ความยาวของเหล็กที่จุดเหล็กขาดระหว่างจุดพิกัด เปอร์เซ็นต์การยืดตัว (elongation) ของเหล็กก่อนที่จะขาด = (Lf – LO) สำหรับเหล็กที่มีกำลังจุดครากสูงมาก ตำแหน่งของจุดคราก อาจไม่ปรากฏชัดเจน ASTM ให้หาหน่วยแรงที่จุดครากจากจุดที่หน่วยการยืดตัวเท่ากับ 0.002 (0.20% off-set) : จากจุดที่หน่วยการยืดตัวเท่ากับ 0.002 ให้ลากเส้นขนานกับความชันขึ้นไป ตัดเส้นแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยแรงดึงกับหน่วยการยืดตัว จุดตัด=หน่วยแรงที่จุดครากของเหล็ก หรือ หน่วยแรงดึงพิสูจน์ (proof stress) ที่ 0.20%

  13. ประเภทของเหล็กโครงสร้างแบบรีดร้อนประเภทของเหล็กโครงสร้างแบบรีดร้อน • (เหล็กรูปพรรณ เหล็กแผ่น และท่อนหรือท่อเหล็ก) • ตามมาตรฐาน ASTM: • 1. เหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon Steel): • สำหรับโครงสร้างเหล็กทั่วไปที่สามารถทำรอยต่อโดยใช้ตัวยึดหรือโดยการเชื่อม • มีปริมาณคาร์บอนสูงสุดไม่เกิน 1.70% • ASTM A 36 (ปริมาณคาร์บอน0.25-0.29% ขึ้นกับความหนา) A 53, A 500, A 501 และ A529 • กำลังจุดครากประมาณ 2500 ksc. ถึง 29000 ksc. • การยืดตัวประมาณ 20%

  14. 2. เหล็กกล้าประสมบาง-กำลังสูง (High Strength Low-Alloy steel) • เหล็กกล้าคาร์บอน (ใช้ปริมาณคาร์บอนไม่เกิน 0.2%) ผสมโลหะอื่น เช่น โครเมียม โคลัมเบียม โมลิดินัม นิกเกิล วานาเดียม ซิลิกอนและทองแดง รวมกันในปริมาณไม่เกิน 5% • มีกำลังจุดครากสูงกว่าประเภทแรก (มีค่าระหว่าง 2750 ถึง 4500 ksc.) • บางชนิดทนต่อการผุกร่อนสูงกว่าเหล็กประเภทแรก • เหล็กชนิด ASTM A 242, A441, A 572, A 588, A 607 และ A618 • การยืดตัวประมาณ 15-19 %

  15. 3. เหล็กกล้าประสม-ชุบแข็ง (Heat-treated Constructional Alloy Steel) • เหล็กกล้าประสมบาง • ได้จากการชุบแข็ง (โดยทำให้เย็นลงทันที หรือ นำมาอบ เพิ่มที่อุณหภูมิสูงแล้ว ปล่อยให้เย็นตัวตามธรรมชาติ) • มีกำลังจุดครากสูงขึ้นมากประมาณ 6200 ถึง 6900 ksc. • การยืดตัวประมาณ 17-18% ที่มีความยาวพิกัดเท่ากับ 5 ซม. • ทนต่อการผุกร่อนสูงกว่าเหล็กชนิด A36 ถึง 4 เท่า • เหล็กชนิด ASTM A 514 • เป็นเหล็กแผ่นไม่แสดงกำลังที่จุดครากชัดเจน พิจารณาที่กำลังพิสูจน์ 0.20%

  16. เหล็กโครงสร้างที่นิยมใช้มากที่สุดเหล็กโครงสร้างที่นิยมใช้มากที่สุด • เหล็ก ASTM A36: • กำลังจุดคราก ประมาณ 2500 ksc. • สามารถรับน้ำหนักหรือแรงที่กระทำได้ดีพอควร • ไม่มีปัญหาในเรื่องสติฟเนสของส่วนโครงสร้างตามข้อกำหนดของ AISC • หากใช้เหล็กที่มีกำลังจุดครากสูงขึ้น ราคาแพงขึ้น • แม้ว่าขนาดของหน้าตัดจะเล็กลง • แต่จะมีปัญหาในเรื่องสติฟเนสของส่วนโครงสร้างตามข้อกำหนด AISC ซึ่งในที่สุดอาจต้องใช้ขนาดของหน้าตัดเท่ากับขนาดที่ต้องใช้ในเหล็กA36 • ทำให้ไม่ประหยัดแต่อย่างใด

  17. ประเทศไทย: มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) • กำหนดเหล็กโครงสร้างไว้ 2 ชั้นคุณภาพ • Fe 24 : เหล็กกล้าคาร์บอน • กำลังจุดคราก 2400 ksc. • มีกำลังต้านทานแรงดึงประลัย 4100 ksc. • การยืดตัวไม่น้อยกว่า 23% • เครื่องหมายด้วยสีขาว • Fe 30: เหล็กกล้าคาร์บอน • กำลังจุดครากเท่ากับ 3000 ksc. • มีกำลังต้านทานแรงดึงประลัย 5000 ksc. • การยืดตัวไม่น้อยกว่า 23% • เครื่องหมายด้วยสีเขียว

  18. ตารางที่ 1.1 คุณสมบัติทางกลของเหล็กโครงสร้าง

  19. ตารางที่ 1.1 คุณสมบัติทางกลของเหล็กโครงสร้าง * ความยาวพิกัด 20 ซม. ** ความยาวพิกัด 5 ซม. Note: เมื่อเหล็กมีความหนามากขึ้น กำลังจุดครากจะลดลง

  20. 1.3 เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ • เหล็กตัดที่ผลิตขึ้นโดยมีขนาดและน้ำหนักตามที่มาตรฐานกำหนด • ความยาวขนาดมาตรฐานท่อนละ 6 เมตร • การผลิต • แบบรีดร้อน (hot rolled): ทำส่วนของโครงสร้างหลัก มีรูปตัดต่าง ๆ กัน • เช่น รูปตัดฉาก (Angle, L) แบบ S (ตัว I เดิม), แบบปีกกว้าง (Wide Flange, W), • แบบตัว T, ท่อเหล็กกลมหรือสี่เหลี่ยม เป็นต้น • แบบรีดเย็น (cold rolled): หรือเหล็กไลท์เกจ จะบางและมีน้ำหนักเบากว่าแบบรีดร้อน เพราะได้จากการนำแผ่นเหล็กที่มีความกว้างพอเหมาะมาเข้าเครื่องพับทำเป็นรูปตัด ต่าง ๆ เช่นรูปตัว L ตัว C เป็นต้น เมื่อทำรอยต่อโดยการเชื่อมต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเชื่อมทะลุเนื่องจากชิ้นส่วนบางเกินไป ทำให้เหล็กเกิดสนิมในภายหลัง

  21. การออกแบบ พิจารณาเลือกใช้เหล็กรูปพรรณ ที่มีรูปตัดที่ให้ค่าโมดูลัสอิลาสติก/พลาสติกของหน้าตัดมาก เมื่อเทียบกับพื้นที่หน้าตัดหรือน้ำหนัก นั่นคือพยายามเลือกใช้เหล็กรูปพรรณแบบต่าง ๆ เช่น ขนาด น้ำหนัก พื้นที่หรือเนื้อที่หน้าตัด โมเมนต์อินเนอร์เชีย รัศมีไจเรชัน และโมดูลัสอิลาสติก/พลาสติกของหน้าตัด ซึ่งต้องใช้ในการออกแบบ

  22. การระบุขนาดและชนิดของเหล็กรูปพรรณซึ่งใช้กันเป็นมาตรฐานสากลทั่วไปการระบุขนาดและชนิดของเหล็กรูปพรรณซึ่งใช้กันเป็นมาตรฐานสากลทั่วไป • W หรือ WF 350 x 49.6 : เหล็กรูปพรรณที่มีรูปตัดแบบปีกกว้าง (wide flange) • มีความลึกโดยประมาณเท่ากับ 350 มม. • มีน้ำหนักเท่ากับ 49.6 กิโลกรัมต่อเมตร • C 125x13.4 : เหล็กรูปพรรณที่มีรูปตัดแบบเหล็กราง หรือ ร่อง (channel) • มีความลึกโดยประมาณเท่ากับ 125 มม. • มีน้ำหนักเท่ากับ 13.4 กิโลกรัมต่อเมตร • L 90 x 60 x 12 : เหล็กรูปพรรณตัดฉากที่มีขาด้านยาวเท่ากับ 90 มม. • ขาด้านสั้นเท่ากับ 60 มม.และมีความหนาเท่ากับ 12 มม. • WT 150 x 47 : เหล็กรูปพรรณที่มีรูปตัดแบบตัวที (Tee) • ซึ่งได้จากการตัดครึ่งที่เหล็กแผ่นตั้งของเหล็กW 300 x94 • เหล็กรูปพรรณแบบนี้เรียกว่า Structural Tee

  23. 1.4 การออกแบบโครงสร้างเหล็ก: คำนวณเพื่อ • เลือกชนิดและขนาดของเหล็กรูปพรรณที่เหมาะสมซึ่งมีอยู่แล้ว • พิจารณานำรูปตัดต่าง ๆ ของเหล็กรูปพรรณและเหล็กแผ่นที่มีอยู่แล้ว • มาประกอบร่วมกัน (built-up section) • เพื่อให้สามารถต้านทานต่อแรงหรือน้ำหนักบรรทุกที่กระทำได้โดยปลอดภัย • ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

  24. การออกแบบโครงสร้างเหล็กการออกแบบโครงสร้างเหล็ก • มีวิธีการเฉพาะสำหรับแต่ละส่วนโครงสร้าง • ขึ้นกับแรงหรือโมเมนต์ที่ส่วนโครงสร้างนั้นต้องรับหรือต้านทาน • แรงหรือโมเมนต์ที่กระทำต่อส่วนของโครงสร้าง • คำนวณหาค่าได้จากการวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีโครงสร้าง • ส่วนของโครงสร้างเหล็กที่ต้องพิจารณาออกแบบ • ส่วนโครงสร้างที่รับแรงตามแนวแกน ซึ่งอาจเป็นแรงดึงหรือแรงอัด • ส่วนโครงสร้างที่รับโมเมนต์ดัดและแรงเฉือน • ส่วนโครงสร้างที่รับแรงตามแนวแกนและโมเมนต์ดัดร่วมกัน • รอยต่อของส่วนโครงสร้าง

  25. มาตรฐานหรือข้อบัญญัติ (Specifications) • ในการคำนวณและออกแบบโครงสร้างใด ๆ • วิศวกรผู้ออกแบบ ต้องพิจารณาออกแบบส่วนของโครงสร้างนั้น ๆ • ให้สอดคล้องเป็นไปตามมาตรฐานหรือข้อบัญญัติที่กำหนดไว้ • มาตรฐานหรือข้อบัญญัติส่วนใหญ่ได้มาจากผลของการวิเคราะห์และวิจัย • มาตรฐานสำหรับการออกแบบโครงสร้างเหล็ก: • สำหรับโครงสร้างเหล็กที่เป็นส่วนของโครงอาคาร (building structures) • มาตรฐาน AISC (American Institute of Steel Construction): • สำหรับการคำนวณและออกแบบโครงสร้างเหล็กที่มิได้เป็นส่วนของโครงอาคาร • มาตรฐาน AASHTO (American Association of State Highway & Transportation Officials) • มาตรฐาน AREA (American Railway Engineering Association) • มาตรฐานกำหนดของประเทศไทย: มาตรฐาน ว.ส.ท. (คล้ายกับมาตรฐาน AISC)

  26. มาตรฐาน AISC : 3 วิธี • วิธีอิลาสติก (Allowable Stress Design : ASD) : ปี1989 • ใช้หน่วยแรงที่ยอมให้เมื่อโครงสร้างรับน้ำหนักบรรทุกใช้งาน (Working Load) • วิธีพลาสติก (Plastic Design: PD): • ใช้กำลังต้านทานสูงสุดเมื่อโครงสร้างนั้นถูกสมมุติให้ต้องรับน้ำหนักบรรทุกใช้งานที่เพิ่มค่าแล้ว (Factored Load) • วิธี Load Resistance Factor Design : LRFD : ปี 1994 • พิจารณาในสภาวะที่ส่วนโครงสร้างใกล้จะวิบัติ โดยอนุญาตให้ทำการวิเคราะห์โครงสร้างโดยวิธีอิลาสติกหรือวิธีพลาสติกเมื่อส่วนของโครงสร้างนั้นถูกสมมุติให้ต้องรับน้ำหนักบรรทุกใช้งานที่ทำเพิ่มค่าแล้ว (Factored Load) หรือน้ำหนักประลัย • พิจารณาออกแบบส่วนของโครงสร้างโดยใช้กำลังที่ใช้ออกแบบ (Design Strength) หรือกำลังต้านทานแรงประลัย ซึ่งเป็นกำลังต้านทานระบุ (Nominal Strength) ของส่วนโครงสร้างนั้นที่ลดค่าแล้วด้วยตัวคูณลดกำลัง (Resistance Factor) • การออกแบบโดยวิธี LRFD จะคล้ายกับวิธีการออกแบบโครงอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก • ด้วยทฤษฎีกำลังประลัย (Ultimate Strength Design :USD) ซึ่งต่อมาเรียกว่าวิธีกำลัง (Strength Design)

  27. การออกแบบโดยวิธี ASD หลักเกณฑ์: หน่วยแรงที่เกิดขึ้น (actual stress: f ) บนรูปตัดของส่วนโครงสร้าง ที่พิจารณาเลือกใช้ เมื่อรับน้ำหนักบรรทุกใช้งาน ต้องมีค่าไม่เกินกว่า ค่าหน่วยแรงใช้งานที่ยอมให้ (allowable stress : F) f  F

  28. น้ำหนักบรรทุกใช้งาน (working load) คือน้ำหนักหรือแรงกระทำต่าง ๆ • ที่คาดว่าส่วนโครงสร้างนั้นจะต้องรับหรือต้านทาน • น้ำหนักบรรทุกคงที่ (dead load : D) • น้ำหนักบรรทุกจร (live load : L) • แรงลม (wind load : W) • แรงจากแผ่นดินไหว (earthquake load : E) • ในการออกแบบต้องพิจารณาจัดรวมน้ำหนักหรือแรงกระทำต่าง ๆ • เพื่อให้ได้น้ำหนักบรรทุกใช้งานสูงสุดที่กระทำต่อส่วนของโครงสร้าง • น้ำหนักบรรทุกใช้งาน = D • หรือ = D+L • หรือ = 0.75 [D+L+(W หรือ E)] • น้ำหนักบรรทุกใช้งานสูงสุดที่ได้จาก 3 กรณีข้างต้น • เป็นน้ำหนักบรรทุกใช้งานที่จะนำไปออกแบบต่อไป

  29. หน่วยแรงที่เกิดขึ้นจริง (actual stress) : ค่าที่ได้จากการหารค่าแรงหรือโมเมนต์ตัดที่กระทำ ด้วยคุณสมบัติของรูปตัด (เช่น เนื้อที่หน้าตัด หรือ โมดูลัสอิลาสติกของหน้าตัด) หน่วยแรงใช้งานที่ยอมให้ (allowable stress)/ หน่วยแรงที่ยอมให้ : ค่าที่ได้จากนำ ค่ากำลังที่จุดครากหรือหน่วยแรงสูงสุดของวัสดุ หารด้วยค่าอัตราส่วนความปลอดภัย (Factor of Safety) Note: ค่าอัตราส่วนความปลอดภัยจะขึ้นอยู่กับประเภทของส่วนโครงสร้าง

  30. ในการออกแบบโดยวิธี ASD ที่กล่าวต่อไป จะพบว่า มาตรฐาน AISC กำหนดหน่วยแรงชนิดต่างๆที่ยอมให้ เป็นค่าร้อยละของกำลังที่จุดครากของเหล็ก เช่น หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ เท่ากับ 60% ของกำลังจุดครากของเหล็ก หน่วยแรงเฉือนที่ยอมให้ เท่ากับ 40% ของกำลังจุดครากของเหล็ก ฉะนั้น สามารถหาค่าอัตราส่วนความปลอดภัยที่ใช้สำหรับโครงสร้างส่วนต่าง ๆ เช่น ส่วนโครงสร้างที่รับแรงดึง มีอัตราส่วนความปลอดภัยเท่ากับ1.67 [หารกำลังจุดครากของเหล็ก (Fy) ด้วยหน่วยแรงดึงที่ยอมให้ 0.6 Fy]

More Related