510 likes | 852 Views
บทที่ 7 . การวางแผนและการควบคุมบริหารพัสดุคงคลัง Inventory Planning and Inventory Control Management . การจัดซื้อ. Materials and Parts Receiving. Parts Storage. Product Assembly. Materials Storage. Parts Fabrication. Product Storage And Shipping.
E N D
บทที่ 7 การวางแผนและการควบคุมบริหารพัสดุคงคลัง Inventory Planning and Inventory Control Management
การจัดซื้อ Materials and Parts Receiving Parts Storage Product Assembly Materials Storage Parts Fabrication Product Storage And Shipping
การบริหารการจัดซื้อ (Purchasing Management) คือ การจัดการที่เกี่ยวกับการจัดซื้อที่มีเป้าหมายคือทำการจัดซื้อวัสดุที่ทำให้เกิดต้นทุนวัสดุต่ำสุดโดยที่คุณภาพของวัสดุจะต้องเท่ากับความต้องการหรือดีกว่าความต้องการ ดังนั้นการจัดซื้อ(Purchasing) จึงหมายถึงการได้มาซึ่งวัตถุดิบหรือวัสดุหรือบริการหรืออุปกรณ์เครื่องจักรตามที่ต้องการบุคลากรที่จะรับผิดชอบการจัดซื้อจะจัดอยู่ในหน่วยงานที่เรียกว่าฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing department)
7.1 การวางแผนและการควบคุมพัสดุ(Inventory Planning and Inventory Control) การควบคุมพัสดุคือการทำให้มีวัสดุตามที่ต้องการในปริมาณที่ต้องการและคุณภาพที่ถูกต้องโดยต้องให้เกิดในเวลาและสถานที่ที่ถูกต้องด้วย
ประเภทของพัสดุคงคลัง (Inventory Classifications) • วัตถุดิบ (Raw Material) • ชิ้นส่วนสำเร็จ (Purchased Parts) • งานระหว่างผลิต (Work-in-Process :WIP) • ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Finished Goods) • วัสดุสิ้นเปลือง (Supplies) • สินค้าอื่นๆเช่นสินค้าที่ส่งคืน
7.2 ค่าใช้จ่ายในการบริหารพัสดุคงคลัง 1. ค่าเก็บรักษาวัสดุ (Inventory Carrying Cost or Holding Cost ; CH) ค่าเก็บรักษาวัสดุจะแปรผันโดยตรงกับปริมาณวัสดุที่เก็บรักษาและขนาดของพัสดุคงคลัง 2. ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ (Ordering Cost or Purchasing Cost ; CP) ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อเป็นค่าแปรผันตามจำนวนครั้งของการสั่งซื้อ 3. ค่าร้างพัสดุหรือค่ารับใบสั่งซื้อล่วงหน้า (Shortage or Back-order Cost ; CS) ค่าใช้จ่ายที่ประเมินจากการที่จะต้องหยุดผลิตเมื่อขาดวัสดุ
ค่าใช้จ่ายรวม ค่าเก็บรักษา ค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่ำสุด ค่าร้างพัสดุ ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ ปริมาณการสั่งซื้อ/ครั้ง ปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสม 7.3 ตัวแบบของพัสดุคงคลัง (Inventory Model) ค่าใช้จ่ายทั้งหมด (Total Cost; TC) จึงเท่ากับผลรวมของ CP ,CHและ CSกำหนดว่าในการศึกษาตัวแบบขั้นพื้นฐานจะให้ CSมีค่าเป็นศูนย์
7.4 การกำหนดขนาดการสั่งซื้อ ตัวแบบการวิเคราะห์ส่วนเพิ่ม (Marginal Analysis) - พัสดุนี้มีอุปสงค์(Demand) ที่แน่นอนเป็นปริมาณเท่าไร - มีรูปแบบที่มีการสั่งมาเก็บเพียงครั้งเดียว CU : ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) CO : ค่าเก็บพัสดุเกิน (Overstocking Cost)
จุดที่เป็นขนาดการสั่งซื้อที่เหมาะสมคือจุดที่ค่าความน่าจะเป็นสะสมมีค่าเท่ากับหรือมากกว่าค่าความน่าจะเป็นวิกฤตจุดที่เป็นขนาดการสั่งซื้อที่เหมาะสมคือจุดที่ค่าความน่าจะเป็นสะสมมีค่าเท่ากับหรือมากกว่าค่าความน่าจะเป็นวิกฤต
ตัวอย่างร้านบางมดทำการซื้อโต๊ะตัวละ 280 บาทมาทำการขายในราคา 400 บาทโดยมีช่วงการขายสินค้าตัวนี้ในระยะเวลาฉลองครบรอบ 5 ปีของการเปิดร้านและถ้าขายไม่หมดในช่วงเวลานี้ร้านจะทำการลดราคาขายให้เหลือ 210 บาท
ความต้องการ ( ตัว ) สัดส่วนค่าความน่าจะเป็นที่แต่ละจุดความต้องการ (P(D)) ค่าความน่าจะเป็นสะสม Pcum(D) 48 หรือน้อยกว่า 60 72 84 96 108 120 132 144 หรือมากกว่า 0 0.10 0.15 0.25 0.20 0.15 0.10 0.05 0 1.00 1.00 0.90 0.75 0.50 0.30 0.15 0.05 0 ฝ่ายจัดซื้อได้มีการทำนายความต้องการในรูปโอกาสไว้ดังนี้ CU = 400 - 280 = 120, CO = 280 - 210 = 70 , P*(D) = 70 / (120 + 70) = 0.37 จำนวนการสั่งซื้อที่เหมาะสมที่จะทำให้ Pcum(D) P*(D) คือ 96 ตัว
ตัวแบบพื้นฐานการสั่งซื้ออย่างประหยัดตัวแบบพื้นฐานการสั่งซื้ออย่างประหยัด มีข้อสมมติฐานในการคำนวณคือ 1. ค่าความต้องการมีค่าตัวเลขแน่นอนและมีค่าคงที่ 2. ราคาวัสดุที่สั่งซื้อมาไม่มีการเปลี่ยนตามขนาดของการสั่งซื้อ 3. การสั่งหนึ่งครั้งมีการส่งมอบของให้เพียงครั้งเดียว (ไม่มีการทยอยการส่งมอบ) 4. ไม่มีช่วงเวลานำ (Lead time) 5. ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อคงที่ไม่ว่าขนาดการสั่งซื้อจะเป็นปริมาณเท่าใดก็ตาม 6. ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาพัสดุแปรผันตามปริมาณพัสดุที่เก็บรักษา
ปริมาณพัสดุคงคลัง -r (อัตราความต้องการหรือการใช้) q q/2 เวลา q = ปริมาณการสั่งในแต่ละครั้ง R = ปริมาณความต้องการรวมตลอดทั้งปี r = อัตราการใช้ต่อวัน CP = ค่าสั่งซื้อ (บาท / ครั้ง ) CH = ค่าเก็บรักษา (บาท / ชิ้น / ปี) TC = ค่าใช้จ่ายรวมได้จากค่าสั่งซื้อรวมกับค่าเก็บรักษา
TC = CP (จำนวนการสั่งทั้งปี) + CH (ปริมาณการเก็บเฉลี่ยทั้งปี) จำนวนการสั่ง = R/q ปริมาณการเก็บเฉลี่ย = ปริมาณสินค้าคงเหลือสูงสุด + ปริมาณสินค้าคงเหลือต่ำสุด 2
ตัวอย่างโรงงานผลิตผ้าม่านพลาสติกแห่งหนึ่งพยากรณ์ว่าต้องใช้แผ่นพลาสติกเกรดเอเป็นวัตถุดิบในการผลิตปีละ 361,000 ตารางเมตรราคาตารางเมตรละ 8 บาทถ้าค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อหนึ่งครั้งเท่ากับ 250 บาทและค่าใช้จ่ายในในการเก็บรักษาต่อปีเท่ากับร้อยละ 25 ของราคาที่ซื้อมาโรงงานทำงานทั้งหมด 342 วันช่วงเวลานำเป็นศูนย์จงหา
ก. ปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัด วิธีทำ ตารางเมตร/ครั้ง
ข. ความถี่ในการสั่งซื้อภายใน 1 ปีและระยะเวลาในการสั่งซื้อ 1 ครั้ง วิธีทำความถี่ในการสั่งซื้อภายใน 1 ปี = R = 361,000 ตรม./ปี = 38 ครั้ง/ปี q 9,500 ตรม./ครั้ง ระยะเวลาในการสั่งซื้อ 1 ครั้ง = 342 วัน 9 วัน /ครั้ง 38 ครั้ง
ค. ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อตลอดทั้งปี วิธีทำ จากสมการจะได้ ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อตลอดทั้งปี = 9500 บาท
ง. ค่าเก็บรักษาตลอดทั้งปี วิธีทำจากสมการจะได้ ค่าเก็บรักษาตลอดทั้งปี = 9500 บาท
จ. ค่าใช้จ่ายทั้งหมด วิธีทำจากสมการจะได้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด = TC = 9,500 + 9,500 = 19,000 บาท
9500 วัน 9 18 ฉ. กราฟของปริมาณพัสดุคงคลัง วิธีทำปริมาณพัสดุคงคลัง
ตัวแบบการสั่งซื้ออย่างประหยัดเมื่อมีการทยอยส่งมอบตัวแบบการสั่งซื้ออย่างประหยัดเมื่อมีการทยอยส่งมอบ (Economic Lot size with Replenishment ) กรณีนี้จะตัดสมมุติฐานข้อ 3 ออกจึงเป็นกรณีที่สินค้าที่สั่งซื้อหรือสั่งผลิตไม่ได้ส่งเข้ามาพร้อมๆกันแต่ส่งมาหรือผลิตด้วยอัตราคงที่แน่นอนอัตราหนึ่งโดยที่อัตราการส่งสินค้า ( p; ชิ้น/วัน)ต้องสูงกว่าอัตราการใช้หรือจำหน่ายสินค้า ( r; ชิ้น/วัน) เช่นเมื่อมีการทยอยส่งมอบส่งของจำนวน 100 ชิ้นโดยมีอัตราการส่งมอบของเข้าคลัง 25 ชิ้น/วัน (p) และอัตราความต้องการ 5 ชิ้น/ วัน ( r )
วันที่ ปริมาณพัสดุคงคลัง Q 1 2 3 4** 5 6 : : 25 - 5 = 20 20 + ( 25 - 5 ) = 40 40 + ( 25 - 5 ) = 60 60 + ( 25 –5 ) = 80 (80-5) = 75 (75-5) = 70 : : หมายเหตุ ** วันที่ส่งของครบ 100 ชิ้น
ปริมาณพัสดุคงคลัง qmax (ปริมาณพัสดุ คงคลังสูงสุด) ความชัน = -r ความชัน = p-r h’ h’/2 θ θ’ เวลา t’ t” P = อัตราการส่งมอบ (ชิ้น/ปี) p = อัตราการส่งมอบ (ชิ้น/วัน) q = ปริมาณการสั่งในแต่ละครั้ง R = ปริมาณความต้องการรวมตลอดทั้งปี r = อัตราการใช้ (ชิ้น/วัน) CP = ค่าสั่งซื้อ (บาท / ครั้ง ) CH = ค่าเก็บรักษา (บาท / ชิ้น / ปี)
TC = ค่าสั่ง + ค่าเก็บ = CP (จำนวนการสั่งทั้งปี) + CH (ปริมาณการเก็บเฉลี่ยทั้งปี) จำนวนการสั่ง = R/q ปริมาณการเก็บเฉลี่ยทั้งปีจะได้ว่าเป็นความสูง h’/2
ตัวอย่างโรงงานประกอบผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งพยากรณ์ว่าจะต้องใช้ชิ้นงานอะไหล่ชนิดหนึ่งจำนวน 25,000 หน่วย/ปีถ้าสั่งโรงงานในเครือผลิตจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการสั่งผลิตครั้งละ 100 บาทถ้ากำลังการผลิตเป็น 150 หน่วย / วัน (ใน 1 ปีทำงาน 250 วัน) แต่ละชิ้นมีราคาส่งมอบ 40 บาท / ชิ้นและโรงงานมีค่าเก็บรักษาคิดเป็นร้อยละ 25 ของราคาส่งมอบสินค้าจงหา
ก. ปริมาณการผลิตที่ประหยัด วิธีทำ 1225 หน่วย
ข. ภายใน 1 ปีควรสั่งผลิตกี่ครั้ง วิธีทำ 20 ครั้ง
ค. ค่าใช้จ่ายในการสั่งผลิตตลอดทั้งปี วิธีทำ 2042 บาท
ง. ค่าเก็บรักษาตลอดทั้งปี วิธีทำ 2042 บาท
จ. ค่าใช้จ่ายทั้งหมด วิธีทำ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด = TC = 2042 + 2042 = 4084 บาท
ปริมาณพัสดุคงคลัง 408.5 θ’ วัน 4.08 8.17 ฉ. วาดกราฟปริมาณพัสดุคงคลัง วิธีทำ
ค่าใช้จ่าย TC ของต้นทุน 30 บาท/หน่วย TC ของต้นทุน 25 บาท/หน่วย TC ของต้นทุน 20 บาท/หน่วย ปริมาณการสั่งซื้อ 31 55 การเลือกจำนวนการสั่งซื้อเมื่อมีการเสนอส่วนลดทางด้านราคา (Price - Break Order quantity) ในกรณีที่มีการเสนอส่วนลดทางด้านราคาเมื่อปริมาณการสั่งที่แตกต่าง กันเรียกว่า Quantity Discounts
กรณีที่ 1ค่าเก็บรักษามีค่าคงที่ไม่ขึ้นกับต้นทุนสินค้า ; CHคงที่ จุด EOQ จะมีเพียงจุดเดียวไม่ว่าระดับต้นทุนสินค้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร 1. หา q* แล้วพิจารณาว่าสามารถซื้อในระดับราคาสินค้าที่ต่ำสุดหรือไม่ ถ้าได้แสดงว่า q* นั้นก็เป็นปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัด ถ้าไม่ได้ให้ทำข้อ 2 2. หา TC ของ q* ที่คำนวณได้นั้นและ TC ของจุดที่มีการเสนอลดราคา(Price-break) ที่มีราคาต่ำกว่าระดับราคาของ q * นำ TC มาเปรียบเทียบกันเลือกปริมาณการสั่งซื้อที่ให้ค่า TC ต่ำที่สุด
ตัวอย่างโรงพยาบาลแห่งหนึ่งต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดปีละ 816 แกลลอนค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อครั้งละ 120 บาทค่าเก็บรักษามีค่า 40 บาท/แกลลอน/ปีต้นทุนของน้ำยาทำความสะอาดนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณการสั่งซื้อในแต่ละครั้งถ้าสั่งน้อยกว่า 50 แกลลอนต้นทุนจะเท่ากับ 200 บาท/แกลลอนถ้าสั่งซื้อครั้งละ 50-79 แกลลอนต้นทุนเท่ากับ 180 บาทต่อแกลลอนถ้าสั่งซื้อครั้งละ 80-99 แกลลอนจะได้ต้นทุนแกลลอนละ 170 บาทและถ้าสั่งซื้อครั้ง 100 แกลลอนขึ้นไปต้นทุนแกลลอนละ 160 บาท
วิธีทำจากโจทย์ R = 816 แกลลอน/ปี Cp= 120 บาท/ครั้ง CH= 40 บาท/แกลลอน/ปี = 69.97 70 แกลลอน q* = 70 แกลลอนไม่ได้อยู่ในช่วงระดับต้นทุนสินค้าต่ำสุด เมื่อq* = 70 แกลลอนราคาแกลลอนละ 180 บาทจะได้ = 149,679 บาท
เมื่อสั่งซื้อที่ปริมาณ 80 แกลลอนราคาแกลลอนละ 170 บาทจะได้ = 141,544 บาท เมื่อสั่งซื้อปริมาณ 100 แกลลอนราคาแกลลอนละ 160 บาทจะได้ = 133,539 บาท ดังนั้นค่าใช้จ่ายรวมต่ำสุดคือที่ปริมาณการสั่งซื้อครั้งละ 100 แกลลอน
ค่าใช้จ่าย TC ของต้นทุน 200 บาท/หน่วย(50 แกล.) TC ของต้นทุน180 บาท/หน่วย(50-79 แกล.) TC ของต้นทุน 170 บาท/หน่วย(80-99 แกล.) TC ของต้นทุน 160 บาท/หน่วย(100 แกล.) 149,679 141,544 133,539 ปริมาณการสั่งซื้อ (แกลลอน) 50 70 80 100 กราฟแสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมด
กรณีที่ 2ค่าเก็บรักษาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของต้นทุนสินค้า ; CHไม่คงที่แปรตามราคาสินค้า จุด EOQ จะเปลี่ยนแปลงไปตามระดับของราคาสินค้า 1.หา q* ของแต่ละระดับราคาโดยเริ่มจากระดับราคาต่ำที่สุดก่อนจากนั้นพิจารณา q* ที่เป็นไปได้ ถ้า q* ที่เป็นไปได้สามารถซื้อได้ในระดับราคาที่ต่ำที่สุด q* นั้นก็เป็นปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดแต่ถ้า q* ที่ได้ไม่สามารถซื้อได้ในระดับราคาที่ต่ำที่สุดให้ทำข้อ 2 2. หา TC ของ q* ที่เป็นไปได้นั้นและ TC ของจุดที่มีการเสนอลดราคา(Price-break) ที่มีราคาต่ำกว่าระดับราคาของ q * นั้นจากนั้นนำ TC มาเปรียบเทียบกันเลือกปริมาณการสั่งซื้อที่ให้ค่า TC ต่ำที่สุด
ตัวอย่างโรงงานผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าแห่งหนึ่งมีความต้องการใช้สวิตช์ปีละ 4,000 หน่วยโดยมีเงื่อนไขการซื้อขายดังต่อไปนี้ ถ้าซื้อคราวละ 1-499 หน่วยราคาหน่วยละ 0.90 บาท ถ้าซื้อคราวละ 500-999 หน่วยราคาหน่วยละ 0.85 บาท ถ้าซื้อคราวละ 1,000 หน่วยขึ้นไปราคาหน่วยละ 0.80 บาท และมีค่าสั่งซื้อครั้งละ 30 บาทค่าเก็บรักษาที่คิดต่อหน่วยตลอดทั้งปีเท่ากับร้อยละ 40 ของราคาสวิทช์ จงหาปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสม
วิธีทำ1. - วิเคราะห์ q* ที่ราคาสวิทช์ละ 0.80 บาท = 866 หน่วยไม่สามารถสั่งซื้อ 866 หน่วยในราคา 0.80 บาท/หน่วย - วิเคราะห์ q* ที่ราคาสวิทช์ละ 0.85 บาท = 840 หน่วยสามารถสั่งซื้อ 840 หน่วยในราคา 0.85 บาท/หน่วย
2. หา TC ของ q* = 840 หน่วยและ TC ของจุด Price-break ที่มีราคาต่ำกว่า 0.85 บาท / หน่วย - TC ของ q* = 840 หน่วย = 3,686 บาท - TC ของ q = 1000 หน่วยระดับราคา 0.80 บาท/หน่วย = 3,480 บาท ปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมคือ 1,000 หน่วย / ครั้ง
ค่าใช้จ่าย TC ของต้นทุน 0.90บาท/หน่วย (1-499หน่วย) TC ของต้นทุน 0.85บาท/หน่วย (500-999หน่วย) 3,686 TC ของต้นทุน 0.80บาท/หน่วย (1000 หน่วย) 3,480 ปริมาณการสั่งซื้อ (แกลลอน) 500 840 1000 กราฟแสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ปริมาณพัสดุคงคลัง อัตราความต้องการหรือการใช้ 9,500 - r จุดสั่งซื้อ(Recorder Point) 3,167 เวลา เวลาที่สั่งซื้อหรือสั่งผลิต เวลานำ (tL) (Lead Time) เวลาที่ได้รับสินค้า กรณีที่มีเวลานำ จุดสั่งซื้อ = Lead time x ปริมาณความต้องการสินค้าเฉลี่ยแต่ละวัน (r) จุดสั่งซื้อ = 3 x (361,000/342) = 3,166.7 ( 3,167 ตารางเมตร) หมายความว่าจะมีการสั่งซื้อครั้งต่อไปเมื่อมีสินค้าเหลือในคลังจำนวน 3,167 ตร.ม.
ปริมาณพัสดุคงคลัง 11,000 4,667 1,500 เวลา 6 3 จุดสั่งซื้อ = Lead time x ปริมาณความต้องการสินค้าเฉลี่ยแต่ละวัน (r) + Safety stock = 3,167 + 1,500 = 4,667 ตารางเมตร
ตัวอย่างกิจการแห่งหนึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงคลังดังนี้ตัวอย่างกิจการแห่งหนึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงคลังดังนี้ EOQ 500 หน่วย Lead time 3 สัปดาห์ ปริมาณความต้องการเฉลี่ย 50 หน่วย/วัน Safety Stock 45 หน่วย จงวาดกราฟปริมาณพัสดุคงคลัง
ปริมาณพัสดุคงคลัง 545 195 45 เวลา 7 สป. 3 สป. วิธีทำจุดสั่งซื้อ = (3 x 500 x 50) + 45 = 195 หน่วย
7.5 การควบคุมพัสดุคงคลัง 1. ระบบถังเดี่ยว (Single-Bin System) เป็นระบบที่มีการทำให้วัสดุในคลังมีปริมาณเต็มที่ตามความจุของคลังที่เป็นไปได้โดยมีการนำมาเพิ่มเติมเป็นระยะๆ 2. ระบบถังคู่ (Two-Bin System) ในระบบนี้จะเปรียบเหมือนการมีถังบรรจุ 2 ถังแต่ในการเปิดใช้วัสดุจะกระทำทีละถังและเมื่อมีการใช้วัสดุในถังที่ 1 หมดจึงเปิดใช้วัสดุในถังที่ 2 พร้อมกันนั้นก็จะมีการสั่งของหรือเติมปริมาณวัสดุลงในถังที่ 1 จนเต็มเหมือนเดิม 3. ระบบบัตรบันทึกรายการ (Card-file System) ระบบนี้จะมีการกระดาษหนึ่งแผ่นในการบันทึกวัสดุคงคลังหนึ่งรายการ
7. 6 แนวความคิดระบบทันเวลาพอดี (Just -In- Time Concept) ระบบทันเวลาพอดี (Just In Time : JIT) หมายถึงการส่งมอบที่ต้องการในเวลาที่ต้องการและในปริมาณที่ต้องการในแต่ละขั้นตอนการผลิต วัตถุประสงค์หลักของระบบทันเวลาพอดีคือการมีวัสดุในกระบวนการถัดไปเมื่อเวลาที่ต้องการทำให้หมายถึงไม่มีสินค้าคงคลัง (no inventory)