1 / 36

Methods, Time Study, and Wage Payment Today

Methods, Time Study, and Wage Payment Today. The Importance of Productivity. Increase profitability is by increasing productivity. Productivity improvement : increase in output per work-hour or time expended. Productivity ผลิตภาพ (การเพิ่มผลผลิต). คืออัตราส่วนของการผลผลิตต่อปัจจัยนำเข้า

Download Presentation

Methods, Time Study, and Wage Payment Today

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. Methods, Time Study, and Wage Payment Today

  2. The Importance of Productivity • Increase profitability is by increasing productivity. • Productivity improvement : increase in output per work-hour or time expended

  3. Productivity ผลิตภาพ (การเพิ่มผลผลิต) • คืออัตราส่วนของการผลผลิตต่อปัจจัยนำเข้า • คือ อัตราส่วนระหว่างผลลัพธ์กับทรัพยากรที่ใช้/ที่ทำให้เกิดผล • Output / Input • Labor Productivity ผลิตภาพด้านแรงงาน • Capital Productivity ผลิตภาพเชิงการลงทุน • Material Productivity ผลิตภาพเชิงวัตถุดิบ

  4. Labor Productivity ผลิตภาพด้านแรงงาน • คือ ผลผลิตต่อหน่วยเวลา • คือ ผลผลิตต่อชั่วโมงการทำงาน ผลผลิตที่เกิดจากการทำงาน ชั่วโมงการทำงาน • Ex โรงงานมีพนักงาน 100 คน ผลิตงานได้ 3000 หน่วยต่อวัน • ชั่วโมงการทำงาน = คน x เวลาทำงาน • = 100 x 1 วัน =100 คน-วัน(man-days) • LP = 3000 หน่วย / 100 คน-วัน = • = 30 หน่วย ต่อ คนต่อวัน

  5. Labor Productivity ผลิตภาพด้านแรงงาน • Ex โรงงานเพิ่มพนักงาน 120 คน ผลิตงานได้ 4000 หน่วยต่อวัน ชั่วโมงการทำงาน = คน x เวลาทำงาน • = 120 x 1 วัน =120 คน-วัน(man-days) • = 4000 หน่วย / 120 คน-วัน • = 33.33 หน่วย ต่อ คนต่อวัน

  6. Productivity Improvement / Performance Index • ถ้าคิดจากฐาน ผลิตภาพเดิม เป็น 100 % แล้ว ผลิตภาพใหม่จะมีค่าเท่ากับ • ผลิตภาพใหม่ / ผลิตภาพเดิม x 100 • หมายถึง ผลิตภาพที่ปรับปรุงแล้ว (PI) มีค่าเพิ่มขึ้นจากผลิตภาพเดิม • EX จากตัวอย่างที่แล้ว P I มีค่าเท่ากับ = 33.33/30 x 100 = 111.11 %

  7. Capital Productivity ผลิตภาพเชิงการลงทุน • ในด้านการลงทุน เรื่อง อุปกรณ์ เครื่องจักร ฯลฯ ที่เป็นมูลค่า เงินลงทุน แล้วมี ผลิตภาพเท่าไร • = ผลผลิต / การลงทุน(เงินลงทุน) • EX โรงรีดเหล็ก ใช้คนงาน 8 คนต่อกะ คิดเป็นค่าใช้จ่ายการผลิต = 4500 บาทต่อชั่วโมง ผลิตได้ 10 ตันต่อชั่วโมง = 10 ตันต่อชั่วโมง / 4500 บาทต่อชั่วโมง = 2.22 ก.ก/ บาท = 0.45 บาทต่อก.ก.

  8. Capital Productivity ผลิตภาพเชิงการลงทุน • EX โรงรีดเหล็กปรัปปรุงการผลิต ใช้คนงาน 20 คนต่อกะ คิดเป็นค่าใช้จ่ายการผลิต = 8500 บาทต่อชั่วโมง ผลิตได้ 20 ตันต่อชั่วโมง = 20 ตันต่อชั่วโมง / 8500 บาทต่อชั่วโมง = 2.35 ก.ก/ บาท = 0.425 บาทต่อก.ก. • PI = 2.35 / 2.22 =1.058 x 100 = 105.8 %

  9. Material Productivity ผลิตภาพเชิงวัตถุดิบ • หมายถึง การที่สามารถผลผลิตได้โดยใช้จำนวนวัตถุดิบปริมาณหนึ่ง • อัตราส่วนของ ผลผลิตที่ได้ ต่อวัตถดิบที่ใช้ • EX โรงรีดเหล็กผลิต ผลิตเหล็กแท่งได้ 20 ตันต่อชั่วโมง โดยใช้วัตถุดิบ 21 ตัน ต่อชั่วโมง M P = 20 ตันต่อชั่วโมง / 21 ตันต่อชั่วโมง x 100 • = 95 %

  10. Material Productivity ผลิตภาพเชิงวัตถุดิบ • EX โรงรีดเหล็กปรัปปรุงการผลิต ผลิตได้ 20.5 ตันต่อชั่วโมง MP = 20.5 ตันต่อชั่วโมง / 21 บาทต่อชั่วโมง x 100 =97.6 % • PI = 97.6 / 95 =1.027 x 100 = 102.7 %

  11. ประวัติของการศึกษางานประวัติของการศึกษางาน • F.W. Taylor == > ศึกษาเวลา 1881 • The Gilbreths => Frank B. Gilbreths & Lillian M. Gilbreths • ==> ศึกษาการทำงาน Motion Study 1885

  12. Work Study • Work study การศึกษางาน • 1. Motion Study การศึกษาการเคลื่อนไหว • Work method design การออกแบบวิธีการทำงาน • Method Study การศึกษาวิธีการ • 2. Time Study การศึกษาเวลา • Work measurement การวัดงาน

  13. Motion Study การศึกษาการเคลื่อนไหว • คือ การหาวิธีการที่เหมาะสมที่ดีในการทำงาน • อาจเป็นวิธีทางอุดมคติ (Ideal) แต่ต้องใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด

  14. Time Study การศึกษาเวลา • การหาเวลามาตรฐานในการทำงาน(การทำงานนั้นต้องผ่านการศึกษงานมาแล้ว) • หาเวลามาตรฐาน เพื่อ • คำนวณค่าใช่จ่าย • การวางแผนการผลิต

  15. ขั้นตอนหลักของการศึกษางาน Work Study • แบ่งได้เป็น 4 ขั้นหลัก คือ • ๑. การพัฒนาวิธีการที่เหมาะสม ที่น่าจะเป็น สำหรับการทำงานหนึ่งๆ ==> ออกแบบการทำงาน design • ===> ประเมินวิธีการนั้น evaluation • ๒. การสร้างมาตรฐานการทำงาน • ==> เขียนมาตรฐานการปฏิบัติงาน Work Instruction- WI • Work Standard- WS

  16. ขั้นตอนหลักของการศึกษางาน Work Study • แบ่งได้เป็น 4 ขั้นหลัก คือ • ๓. การหาเวลามาตรฐานของการทำงานนั้น • ==> จับเวลา การสุ่มงาน ฯลฯ • ๔. การฝึกอบรมพนักงาน

  17. การพัฒนาวิธีการที่เหมาะสม ที่น่าจะเป็น การทำการศึกษางานที่เริ่มจากการพัฒนาวิธีการที่เหมาะสมนั้น แบ่งได้เป็น 1. การพัฒนาวิธีการทำงานเดิม 2. การออกแบบวิธีการสำหรับงานใหม่ ดังนั้น ควรจะเริ่มจาก ปัญหาในการทำงานเดิม ว่ามีอะไรบ้างแล้วทำการพัฒนาให้ดีขึ้น

  18. กระบวนการแก้ไขปัญหา Problem-Solving Process ประกอบด้วย • 1. การกำหนดปัญหา Problem Definition • 2. การวิเคราะห์ปัญหา Analysis of Problem • 3. การหาวิธีแก้ไขที่เป็นได้ Search for possible solutions • 4. การประเมินทางเลือก/วิธีการแก้ไข Evaluation of alternatives • 5. การแนะนำให้เกิดการปฏิบัติ Recommendation for Action

  19. 1. การกำหนดปัญหา Problem Definition • คือการค้นหาว่า วิธีการเดิมมีปัญหาอะไร และสิ่งใดเป็นปัญหาหลักที่สมควรเข้าแก้ไขก่อน ในทางการศึกษางานเราคำนึงปัญหาที่ทำให้เกิด • ค่าใช้จ่ายที่มาก • เสียเวลามาก • สิ่งเปลืองทรัพยกรมาก

  20. 1. การกำหนดปัญหา Problem Definition • เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการช่วยกำหนดปัญหาได้แก่ • แผนภุมิ พาเรโต Pareto diagram • แผนภูมิ ก้างปลา Fish- Bone Diagram • Grantt Chart • Network & Critical Path

  21. 1. การกำหนดปัญหา Problem Definition • เครื่องมือกำหนดปัญหา แผนภูมิ พาเรโต Pareto diagram จากหลักการของนักเศรษฐศาสตร์ ชาวอิตาลี คนจำนวนเล็กน้อยมรายได้จำนวนมาก ในขณะที่คนส่วนใหญ่(จำนวนมาก) มีรายได้เพียงเล็กน้อยเช่น คนรวยเพียง 20% มีรายได้รวมกันถึง 80 % ในขณะที่ คนที่เหลืออีก 80 % มีรายได้รวมกันแค่ 20% • ข้อบกพร่อง ส่วนใหญ่จำนวนมาก เกิดจาก ปัญหา/ต้นเหตุ จำนวนน้อย

  22. แผนภูมิ พาเรโต Pareto diagram Cost /เสียเวลา/เปลืองวัตถุดิบ A --> 75% B --> 15% C --> 7 % D --> 3%

  23. ตัวอย่าง Patato

  24. Machine Man ปัญหา Method Material การกำหนดปัญหา ด้วย แผนภูมิก้างปลา

  25. การกำหนดปัญหา ด้วย แผนภูมิก้างปลา Machine เครื่อง Man คน ขาดการฝึกอบรม ขาดการบำรุงรักษา ทำงานเสีย ทำของเสีย เสียบ่อยๆ ไม่มีทักษะ ปัญหา A การผลิตล่าช้า ขาดเครื่องมือ ส่งมาช้า ไม่มีมาตรฐาน สั่งซื้อช้า ไม่ได้มาตรฐาน วิธีการโบราณ วิธีการ วัตถุดิบ

  26. Grantt Chart • คือ แผนภูมิ/ตารางกำหนดเวลา อาจเรียกว่า Bar Chart • ปกติใช้ในการวางแผนการทำงาน • สามารถใช้ในการติดตามงาน • ในการใช้กำหนดปัญหา เราพิจารณา งานใดใน Chart ที่ล่าช้ามาก แสดงงานนั้นมีปัญหาในการผลิตมาก

  27. จัดถ้วยชา 8 จัดจานรอง 3 จัดช้อนชา รินน้ำชา วางชุดถ้วยชา 9 17 15 1 เติมน้ำร้อน 20 เติมน้ำ 10 เสียบไฟ 6 5 ใส่ใบชา วางชุดน้ำตาลนม 11 ใส่นมลงในถ้วย 12 ใส่น้ำตาลลงในถ้วย 13 Network & Critical Path

  28. 2.การวิเคราะห์ปัญหา Analysis of Problem • การวิเคราะห์ คือการแยกแยะให้เห็นรายละเอียด แยกให้เห็นส่วนย่อยๆของปัญหา • ใช้เครื่องในการวิเคราะห์ปัญหาในการศึกษางาน ได้แก่ • วิเคราะห์กระบวนการ Process Analysis เช่น Operation Process Chart, Flow Process Chart • วิเคราะห์ คน-เครื่องจักร เช่น Man-Machine Chart • วิเคราะห์การทำงาน Operation Analysis เช่น Two-hand Chart, Two-hand Process Chart • วิเคราะห์การเคลื่อนไหวจุลภาค Micro-Motion Study

  29. 3. การหาวิธีแก้ไขที่เป็นได้ Search for possible solutions การหาวิธีการเพื่อแก้ไข สามารถหาวิธีการได้หลายวิธีด้วยกัน ซึ่งแต่ละวิธีสามารถทำได้โดยการใช้เทคนิคต่างๆ ได้แก่ • เทคนิคการตั้งคำถาม 5 W 2H • เทคนิค ECCS

  30. เทคนิคการตั้งคำถาม 5 W 2H การตั้งคำถาม ใช้เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา คำถามได้แก่ • What = อะไร => ทำงานอะไร จุดประสงค์ของการทำงานนี้คืออะไร • Who = ใคร => ใครเป็นคนทำงานนี้ • Where =ที่ไหน => งานนี้ทำที่ไหน ตรงไหน • When =เมื่อไร => ทำงานนี้เมื่อไร • How = อย่างไร => ทำงานนี้อย่างไร • How much = เท่าไร => เสียค่าใช้จ่ายเท่าไร • Why =ทำไม => ทำไมต้องทำงานนี้ ทำไมต้องคนนี้ทำ ทำไมต้องทำตรงนี้ ทำไมทำเวลานี้ ทำไมทำวิธีนี้

  31. เทคนิคการตั้งคำถาม 5 W 2H ตัวอย่างคำถามได้แก่ • What = อะไร => ทำงานอะไร จุดประสงค์ของการทำงานนี้คืออะไร • Who = ใคร => ใครเป็นคนทำงานนี้ • Where =ที่ไหน => งานนี้ทำที่ไหน ตรงไหน • When =เมื่อไร => ทำงานนี้เมื่อไร • How = อย่างไร => ทำงานนี้อย่างไร • How much = เท่าไร => เสียค่าใช้จ่ายเท่าไร • Why =ทำไม => ทำไมต้องทำงานนี้ ทำไมต้องคนนี้ทำ ทำไมต้องทำตรงนี้ ทำไมทำเวลานี้ ทำไมทำวิธีนี้

  32. เทคนิค ECCS เทคนิคเพื่อการปรับปรุงงาน ประกอบด้วย E=Eliminate all unnecessary work ขจัดงานที่ไม่จำเป็นออกให้หมด C= Combine operation or element รวมการทำงานหรืองานย่อยเข้าด้วยกัน C= Change the sequence of operation ลำดับขั้นการทำงานใหม่ S=Simplify the necessary operation ทำงานที่จำเป็นให้ง่ายขึ้น

  33. เทคนิค ECCS E=Eliminate all unnecessary work ขจัดงานที่ไม่จำเป็นออกให้หมด การตัดงานที่ไม่จำเป็นในการทำงาน โดยการหาสาเหตุและตั้งคำถามสำหรับงานนั้น เช่น การตัดกระดาษก่อนเข้าเล่ม ซึ่งอาจเป็นงานที่ไม่จำเป็น เราอาจตั้งคำถาม ว่า ทำไมต้องตัดกระดาษ ก่อนเข้าเล่ม ถ้ามีคำตอบที่แสดงความจำเป็น ก็ไม่สามารถตัดงานนั้นได้ แต่ ถ้าไม่มีเหตุในการทำงานนั้น ๆ ก็แสดงว่าเป็นงานที่สามารถตัดทิ้งได้

  34. เทคนิค ECCS C= Combine operation or element รวมการทำงานหรืองานย่อยเข้าด้วยกัน งานบางชนิดสามารถรวมเข้าด้วยกันได้ เช่น • การจัดเก็บและนับจำนวนไปในเวลาเดียวกัน

  35. เทคนิค ECCS S=Simplify the necessary operation ทำงานที่จำเป็นให้ง่ายขึ้น พิจารณางานที่จำเป็นทำจริงให้ทำงานได้ง่ายขึ้นเช่น • การมีอุปกรณ์ช่วย

  36. เทคนิค ECCS C= Change the sequence of operation ลำดับขั้นการทำงานใหม่ เมื่อขจัดงานที่ไม่จำเป็น หรือรวมขั้นการทำงานแล้ว อาจต้องมีการลำดับการทำงานนั้นใหม่

More Related