530 likes | 656 Views
แนวทางการให้บริการจัดหางาน ตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐. พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐. ได้กำหนดทางเลือกให้นายจ้าง/สถานประกอบการ/หน่วยงานของรัฐไว้ ๓ ทางเลือก หรือที่เรียกว่า ๓จ จ.๑ = จ้างงานคนพิการตามมาตรา ๓๓
E N D
แนวทางการให้บริการจัดหางานตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐
พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ • ได้กำหนดทางเลือกให้นายจ้าง/สถานประกอบการ/หน่วยงานของรัฐไว้ ๓ ทางเลือก หรือที่เรียกว่า ๓จ • จ.๑ = จ้างงานคนพิการตามมาตรา ๓๓ • จ.๒ = จัดสัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใด แก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการตามมาตรา ๓๕ • จ.๓ = จ่ายเงินเข้ากองทุนฯ ตามมาตรา ๓๔
จ.๑ = การจ้างงานคนพิการพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๓ กำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับคนพิการเข้าทำงานตามลักษณะ ของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถาน ประกอบการหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงกำหนดจำนวนที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้อง รับคนพิการเข้าทำงาน
การดำเนินการออกกฎกระทรวงฯ พ.ศ. ๒๕๕๔ • ป.รง แต่งตั้ง คณะทำงานยกร่างอนุบัญญัติที่ออกตามพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐ/นายจ้าง/ลูกจ้าง/องค์กรคนพิการ - ยกร่าง -รับฟังความเห็นร่างกฎกระทรวง • เสนอคณะรัฐมนตรี อนุมัติ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงนาม วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ • ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ • มีผลบังคับใช้ วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ทางเอกสาร/ทางเว็ปไซต์/ ทางการสัมมนาระดมความคิดเห็น
มีผลบังคับใคร? มีหน้าที่ตามกฎหมายอย่างไร? • หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ หรือ พระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ • ภาคเอกชน ได้แก่ นายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบการ • หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีผู้ปฏิบัติงาน/ลูกจ้าง ตั้งแต่ ๑๐๐ คน ขึ้นไปมีหน้าที่รับคนพิการเข้าทำงานในอัตรา ผู้ปฏิบัติงาน/ลูกจ้างทุก ๑๐๐ คนให้รับคนพิการเข้าทำงาน ๑ คน เศษของ ๑๐๐ คน หากเกิน ๕๐ คน ให้รับคนพิการเข้าทำงาน เพิ่มอีก ๑ คน
มีผลบังคับใคร? มีหน้าที่ตามกฎหมายอย่างไร? • ส่งเงินเข้ากองทุนคนพิการเป็นรายปี (เฉพาะกรณีภาคเอกชนไม่ประสงค์รับคนพิการเข้าทำงาน) • “ส่งเงินรายปี” โดยคำนวณจากอัตราต่ำสุดของอัตราค่าจ้างขั้นตาม กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานที่ใช้บังคับครั้งหลังสุดในปีก่อนที่มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ คูณด้วยสามร้อยหกสิบห้าและคูณด้วยจำนวน คนพิการที่ไม่ได้รับเข้าทำงาน เงินที่ต้องส่ง = อัตราค่าจ้างต่ำสุด x ๓๖๕ x จำนวนคนพิการที่ต้องจ้าง
วิธีการนับจำนวนผู้ปฏิบัติงาน (หน่วยงานของรัฐ) • ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ของทุกปีเป็นหน้าที่ ภาครัฐและภาคเอกชนต้องนับจำนวนผู้ปฏิบัติงาน/ลูกจ้าง เพื่อคำนวณหาจำนวนคนพิการที่จะต้องรับเข้าทำงานโดย “ผู้ปฏิบัติงาน” ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงาน หรือผู้ปฏิบัติงานซึ่งเรียกชื่ออย่างอื่นของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งปฏิบัติงานประจำในหน่วยงานของรัฐนั้น และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งปฏิบัติงาน อยู่ต่างประเทศ และผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการลาโดยได้รับเงินเดือนด้วย แต่ไม่หมายความถึง ลูกจ้างชั่งคราว หรือพนักงานจ้างเหมา ที่ปฏิบัติงานโดยมีกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้าง
วิธีการนับจำนวนลูกจ้าง (ภาคเอกชน) • ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ของทุกปีเป็นหน้าที่ ภาครัฐและภาคเอกชนต้องนับจำนวนผู้ปฏิบัติงาน/ลูกจ้าง เพื่อคำนวณหาจำนวนคนพิการที่จะต้องรับเข้าทำงาน “ลูกจ้าง” หมายความว่า ผู้ที่ตกลงทำงานให้แก่นายจ้างโดยได้รับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร (ม.๕ แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑) ได้แก่ ลูกจ้างทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างทดลองงาน ลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน ลูกจ้างที่ทำงานไม่เต็มเวลา ลูกจ้างสัญญาพิเศษ และรวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านด้วย
วิธีการนับจำนวนลูกจ้างวิธีการนับจำนวนลูกจ้าง กรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการผู้ใดมีหน่วยงานหรือสำนักงานสาขาในจังหวัดเดียวกันให้นับรวมลูกจ้างของหน่วยงานหรือสำนักงานสาขาทุกแห่งในจังหวัดนั้น เข้าด้วยกัน
วิธีการคำนวณ Ex สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มีลูกจ้าง 35 คน มีสำนักงานสาขาตั้งอยู่ • จังหวัดนนทบุรี มีลูกจ้าง 125 คน • จังหวัดสมุทรปราการ มีลูกจ้าง 151 คน • จังหวัดนครปฐม มีลูกจ้าง 45 คน วิธีการนับให้เอาสำนักงานใหญ่+ทุกสาขา = 356/100 = 3.56 คน *เศษของหนึ่งร้อยคนถ้าเกินห้าสิบคนต้องรับคนพิการเพิ่มอีกหนึ่งคน =สรุปต้องจ้างงานคนพิการ เท่ากับ 4 คน
จ.๒ กิจกรรมตามมาตรา ๓๕ กรณีไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงาน มีทางเลือกอื่นหรือไม่? • มาตรา ๓๕ กรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงาน ของรัฐ ไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงาน ตามมาตรา ๓๓และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา ๓๔ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐ อาจให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทนก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนดในระเบียบ
อนุบัญญัติตามมาตรา ๓๕ คือ? ระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ ให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่วยสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๒
๑. การให้สัมปทาน การให้สิทธิแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ ครอบครองหรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรหรือทรัพย์สินใดๆ เพื่อให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้ใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ มีระยะเวลาดำเนินงานไม่น้อยกว่าหนึ่งปี มูลค่าเท่ากับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในท้องที่นั้นคูณ 365 คูณจำนวนคนพิการที่ต้องรับเข้าทำงาน
๒. การจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ การจัดสถานที่บริเวณองค์กรหรือภายนอกองค์กร เพื่อให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้ใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ มีระยะเวลาดำเนินงานไม่น้อยกว่าหนึ่งปี มูลค่าเท่ากับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในท้องที่นั้นคูณด้วย 365 คูณจำนวนคนพิการที่ต้องรับเข้าทำงาน
๓. การจัดจ้างเหมาช่วงงาน การให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐหรือสถานประกอบการ โดยรับจะดำเนินงานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนของงาน และมีระยะเวลาดำเนินการไม่น้อยกว่า ๖ เดือน มีมูลค่าต้องไม่น้อยกว่าห้าเท่าของอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำในท้องที่นั้นคูณด้วยสามร้อยหกสิบห้าต่อคนพิการหนึ่งคนที่ต้องรับเข้าทำงาน
๔. การฝึกงาน กระบวนการเพิ่มความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่การประกอบอาชีพ มีการถ่ายทอดวิทยาการ เทคโนโลยี กระบวนการผลิต หรือองค์ความรู้ขององค์กรให้แก่คนพิการโดยองค์กรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด มีระยะเวลาฝึกงานไม่น้อยกว่า 6 เดือน และไม่น้อยกว่า 600 ชั่วโมง จ่ายเบี้ยเลี้ยงตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตลอดระยะเวลาการฝึกงาน มูลค่าการฝึกงานต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่าปีละอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในท้องที่นั้นคูณด้วยสามร้อยหกสิบห้าต่อคนพิการที่ต้องรับเข้าทำงาน
๕. การให้การช่วยเหลืออื่นใด • การช่วยเหลืออื่นใด ได้แก่ เงินทุน หรือวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ ไม่รวมเงินบริจาคต่าง ๆ หรือจ้างผู้ดูแลคนพิการทำงานแทนคนพิการ
ขั้นตอนการแจ้งขอใช้สิทธิตามมาตรา ๓๕(หน่วยงานของรัฐ/สถานประกอบการ) ๑. สถานประกอบการติดต่อขอทำบัตรนายจ้าง ส่วนกลาง ณ สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ ๑-๑๐ ส่วนภูมิภาค ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด
ขั้นตอนการแจ้งขอใช้สิทธิตามมาตรา ๓๕(หน่วยงานของรัฐ/สถานประกอบการ) ๒. กรอกแบบฟอร์มแจ้งทะเบียนขอใช้สิทธิตามมาตรา ๓๕ (สถานประกอบการ/หน่วยงานของรัฐ) หรือที่เรียกว่า แบบ กกจ.พก.๒
หน้าที่ของสถานประกอบการหน้าที่ของสถานประกอบการ • เมื่อสถานประกอบการตกลงเข้าทำสัญญากับคนพิการ/ผู้ดูแลคนพิการที่ขอใช้สิทธิตามมาตรา ๓๕ แล้ว ให้สถานประกอบการส่งเอกสาร ผลการดำเนินงาน หรือ สำเนาสัญญาพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง ส่วนภูมิภาค ให้ส่งที่ สจจ. และ พมจ. ส่วนกลาง ให้ส่งที่ สจก. และ พก. ภายใน ๓๐ วันนับตั้งแต่วันที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ (ตามระเบียบข้อ ๑๔ แห่งระเบียบ คกก.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการให้สัมปทานฯ)
จ.๓ = การจ่ายเงินเข้ากองทุน มาตรา ๓๔ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่มิได้รับ คนพิการเข้าทำงานตามจำนวนที่กำหนดตามมาตรา ๓๓ ให้ส่งเงินเข้ากองทุน นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องส่งเงินเข้า กองทุนตามวรรคหนึ่ง แต่มิได้ส่ง ส่งล่าช้าหรือส่งเงินไม่ครบถ้วน ให้เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินที่ยัง ไม่ได้ส่งเข้ากองทุน
วิธีการคำนวณ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำสุด x 365 x จำนวนคนพิการ ที่ไม่ได้รับเข้าทำงาน ปี 2555 (159x365x1) = 58,035 บาท ปี 2556 (222x365x1) = 81,030 บาท ปี 2557 (300x365x1) = 109,500 บาท
มาตรการลงโทษ มาตรา 36 ให้เลขาธิการพก.มีอำนาจออกคำสั่งอายัดทรัพย์สิน เพื่อบังคับเอากับทรัพย์สินของนายจ้าง ภายใต้อายุความ 10 ปี มาตรา 39 ให้เลขาธิการพก.มีอำนาจออกประกาศโฆษณาข้อมูลการไม่ปฏิบัติตามต่อสาธารณะอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง (เป็นมาตราลงโทษทางสังคม social sanctions)
สิทธิทางภาษี • หักค่าจ้างงานคนพิการตาม ม.๓๓ ได้ ๒ เท่า • จัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการหักได้ ๒ เท่า • จ้างคนพิการมากกว่าร้อยละ ๖๐ หักได้ ๓ เท่า • จ่ายเงินเข้ากองทุนฯ หักได้เท่าที่จ่ายจริง
สรุปผลการดำเนินงานตามกฎกระทรวงฯสรุปผลการดำเนินงานตามกฎกระทรวงฯ • สถานประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย 8,143 แห่ง • ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย 6,756 แห่ง • ปฏิบัติไม่ครบ 28 แห่ง • คนพิการได้รับการจ้างงาน (ม.33) 16,900 คน • คนพิการได้ใช้สิทธิตาม (ม.35) 229 คน • สถานประกอบการส่งเงินเข้ากองทุนฯ 1,082,493,271.61 บาท • ที่มาข้อมูล : สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ณ วันที่ 23 พ.ค. 2555
ตัวอย่างทางเลือกตามมาตรา 35 • สัมปทาน 1. ให้สัมปทานคนพิการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัท 2. ให้พันธุ์พืช/ระบบงานต่าง ๆ เพื่อทำกสิกรรม 3. ให้รถยนต์เพื่อประกอบอาชีพ 4. ให้เครื่องคอมพิวเตอร์, เครื่องถ่ายเอกสาร, ตู้เติมเงินอัตโนมัติ 5. ให้สัมปทานร้านกาแฟในบริเวณองค์กร 6. ให้ใช้ช่องสัญญาณวิทยุ/โทรทัศน์เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าและ บริการ
ตัวอย่างทางเลือกตามมาตรา 35 • จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ 1. สถานประกอบการเปิดโซนพื้นที่โรงอาหารให้คนพิการ ดำเนินการขายอาหาร 2. โรงแรมจัดพื้นที่ให้คนพิการเปิดบริการร้านนวดแผนไทย/ ขายของที่ระลึก 4. สถานประกอบการจัดสรรพื้นที่ให้คนพิการดำเนินการรับฝากรถ 5. โรงเรียนจัดพื้นที่ให้คนพิการเปิดร้านขายเครื่องเขียนแบบเรียน
ตัวอย่างทางเลือกตามมาตรา 35 • จัดจ้างเหมาช่วงงาน 1. ซื้อผลิตภัณฑ์จากคนพิการ เช่น ชุดของขวัญ ชุดอาหารว่าง เพื่อจัดประชุม/อบรม 2. จ้างเหมาคนพิการออกแบบ Design สื่อประชาสัมพันธ์ 3. จ้างเหมาจัดทำชุดฟอร์มของพนักงานภายในโรงงาน 4. จ้างเหมาจัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 5. บริษัทจ้างเหมาพนักงานทำความสะอาดที่มีลูกจ้างเป็นคนพิการ (Outsource Service Center)
ตัวอย่างทางเลือกตามมาตรา 35 • การฝึกงาน 1. หลักสูตรนวดสปา และนวดแผนไทย 2. หลักสูตรการทำอาหารยุโรป 3. หลักสูตรการเย็บเครื่องหนัง 4. หลักสูตรเขียนแอปพลิเคชั่นในมือถือ 5. หลักสูตรการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
ตัวอย่างทางเลือกตามมาตรา 35 • การให้ความช่วยเหลืออื่นใด 1. องค์กรเกี่ยวกับโทรคมนาคม จัดตั้งศูนย์ Call Center ร่วมกับองค์กรคนพิการเพื่อรับบริการลูกค้าในฟังก์ชั่นพิเศษ 2. องค์การจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า จัดตั้งศูนย์ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับองค์กรคนพิการเพื่อรับบริการซ่อมสินค้า 3. องค์กรจัดสรรทุนช่วยเหลือสำหรับการตั้งต้นเปิดร้านขายสินค้า ให้แก่คนพิการ/ผู้ดูแลคนพิการ
ปัญหาในทางปฏิบัติตามมาตรา 33 • กรณีที่นายจ้างเป็นคนพิการสามารถนำตัวนายจ้างมาหักเป็นการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 ได้หรือไม่ • ลูกจ้างที่เป็นคนต่างด้าวนับรวมด้วยหรือไม่
ปัญหาในทางปฏิบัติตามมาตรา 33 • ลูกจ้างต่างด้าวที่พิการสามารถนำมาหักเป็นการจ้างงานตามมาตรา 33 ได้หรือไม่ • กรณีสถานประกอบการมีสาขาอยู่ในต่างจังหวัด จะนับจำนวนลูกจ้างอย่างไร
ปัญหาในทางปฏิบัติตามมาตรา 33 • กรณีสถานประกอบการได้ดำเนินการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 ภายในวันที่ 31 ม.ค.ของแต่ละปีแล้ว ต่อมาคนพิการได้ออกจากงาน สถานประกอบการยังจะต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ อีกหรือไม่
ปัญหาในทางปฏิบัติของสถานประกอบการปัญหาในทางปฏิบัติของสถานประกอบการ • สถานประกอบการจะหาคนพิการได้จากไหน 1. สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด/สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ /ศูนย์ส่งเสริมอาชีพคนพิการ 2. สมาคม/องค์กรคนพิการ 3. พนักงานในสถานประกอบการ 4. อบต./อบจ. 5. Websiteต่าง ๆ เช่น ห้องตลาดงานคนพิการ, Jobคนพิการ
ปัญหาที่ได้รับการสอบถามปัญหาที่ได้รับการสอบถาม • คนพิการที่จะขอใช้สิทธิตามมาตรา 35 จะต้องมีอายุเท่าไร และต้องมีบัตรประจำตัวคนพิการหรือไม่
ปัญหาที่ได้รับการสอบถามปัญหาที่ได้รับการสอบถาม • คนพิการที่มีงานทำตามมาตรา 33 อยู่แล้ว จะให้ผู้ดูแลมาขอใช้สิทธิตามมาตรา 35 ได้หรือไม่ • ผู้ดูแลมีงานทำอยู่แล้ว ผู้ดูแลจะขอใช้สิทธิตามมาตรา 35 แทนคนพิการได้อีกหรือไม่ • องค์กรคนพิการจะขอใช้สิทธิแทนคนพิการที่อยู่ในความดูแลได้หรือไม่
ปัญหาที่ได้รับการสอบถามปัญหาที่ได้รับการสอบถาม • กรณีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ประสงค์จะให้สำนักงานสาขาซึ่งตั้งอยู่ต่างจังหวัด ดำเนินการจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าให้แก่ คนพิการ/ผู้ดูแลคนพิการ จะให้ สนง.ใหญ่ หรือ สนง.สาขา เป็นผู้แจ้งขอใช้สิทธิตามมาตรา 35
ผู้สูงอายุ หมายถึง บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปี บริบูรณ์ขึ้นไป และมีสัญชาติไทย แนวทางการจ้างงานผู้สูงอายุ
-ร้อยละ 51 ต้องการหารายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว -ร้อยละ 36.5 เห็นว่าตนยังแข็งแรงสามารถทำงานได้ -ร้อยละ 12.5 ต้องส่งเสียบุตร-หลาน มีหนี้สิน เป็นงานประจำไม่มีผู้ทำแทน เช่น ค้าขาย เกษตรกรรม สาเหตุที่ผู้สูงอายุต้องการทำงาน
อับดับ 1 อุตสาหกรรมขายส่ง ขายปลีก ซ่อมเเซม รถจักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน อันดับ 2 อุตสาหกรรมการผลิต อันดับ 3 อุตสาหกรรมโรงแรมและภัตตาคาร ประเภทอุตสาหกรรม
อันดับ 1 อาชีพการบริการ อันดับ 2 อาชีพพื้นฐาน ได้แก่ รับจ้างทั่วไป อันดับ 3 ความสามารถทางฝีมือ ได้แก่ งานหัตถกรรม งานที่อาศัยความชำนาญเฉพาะด้าน ประเภทอาชีพที่มีผู้สูงอายุทำมากที่สุด
ผู้รับงานไปทำที่บ้าน หมายถึง บุคคลซึ่งรับงานจากเจ้าของงานหรือผู้ซึ่งรับมอบงานจากเจ้าของงาน ไปผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม หรือแปรรูปสิ่งของตามที่ได้ตกลงในบ้านของตนเอง หรือสถานที่ที่มิใช่สถานประกอบกิจการของเจ้าของงาน หรือผู้ซึ่งรับมอบงานจากเจ้าของงานเพื่อรับค่าจ้าง การส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน
กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน หมายถึง ผู้รับงาน ไปทำที่บ้าน ซึ่งรวมตัวกันไม่ต่ำกว่า 5 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับงานประเภทเดียวกัน ไปทำที่บ้าน การส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน
คุณสมบัติของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านคุณสมบัติของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน มีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 5 คน สมาชิกมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ มีวัตถุประสงค์ของกลุ่ม มีผู้นำกลุ่ม การส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน
การยื่นขอจดทะเบียนกลุ่มฯการยื่นขอจดทะเบียนกลุ่มฯ ให้ผู้นำกลุ่มยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 การส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน
กองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เป็นกองทุนหมุนเวียนในการให้ผู้รับงานไปทำที่บ้าน ได้กู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบ และอุปกรณ์ในการผลิต หรือขยายการผลิต เพื่อสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับผู้รับงานไปทำที่บ้าน การส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน
การให้กู้ยืม คุณสมบัติของผู้กู้ เป็นกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน เป็นกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านที่มีการบริหารจัดการที่ชัดเจน และมีการดำเนินการร่วมกันมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 3 ปี การส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน
การให้กู้ยืม คุณสมบัติของผู้กู้ 3. เป็นกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านที่มีทรัพย์สิน หรือ เงินทุนรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท 4. มีสถานประกอบการที่สามารถติดต่อได้ การส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน
วงเงินการให้กู้ยืม การกู้เงินไม่เกิน 50,000 บาท กำหนดชำระเงินคืนภายใน 2 ปี ระยะเวลาพักชำระหนี้เงินต้นไม่เกิน 4 เดือน การกู้เงินตั้งแต่ 50,001 บาท แก่ไม่เกิน 100,000 บาท กำหนดชำระเงินคืนภายใน 4 ปี ระยะเวลาพักชำระหนี้เงินต้นไม่เกิน 4 เดือน การส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน