400 likes | 1.34k Views
บทที่ 8 การกำหนดราคาและผลผลิตในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Price and Output Determination Under Perfect Competition). ความหมายของตลาด ลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ลักษณะของเส้นอุปสงค์ เส้นรายรับเฉลี่ย และเส้นรายรับ หน่วยท้ายสุด การหาผลผลิตที่ทำให้ได้กำไรสูงสุด ดุลยภาพในระยะสั้นของผู้ผลิต
E N D
บทที่ 8การกำหนดราคาและผลผลิตในตลาดแข่งขันสมบูรณ์(Price and Output Determination Under Perfect Competition) • ความหมายของตลาด • ลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ • ลักษณะของเส้นอุปสงค์ เส้นรายรับเฉลี่ย และเส้นรายรับ หน่วยท้ายสุด • การหาผลผลิตที่ทำให้ได้กำไรสูงสุด • ดุลยภาพในระยะสั้นของผู้ผลิต • ดุลยภาพระยะยาวของผู้ผลิต • ผลของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ
8.1 ความหมายของตลาด • ในทางเศรษฐศาสตร์ ตลาดหมายถึง การที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงซื้อขายสินค้าและบริการซึ่งกันและกัน โดยไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ในการซื้อขาย หรือไม่ต้องพบเจอกัน • ประเภทของตลาดจำแนกได้หลายลักษณะ แล้วแต่ใช้อะไรมาจำแนกประเภท เช่น จำแนกตามสถานที่ จำแนกตามเวลา จำแนกตามชนิดสินค้า จำแนกตามผลผลิต • ในการวิเคราะห์เรื่องการกำหนดราคาสินค้าในตลาด นักเศรษฐศาสตร์แบ่งตลาดออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ • ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ • ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ แบ่งออกเป็น ตลาดผูกขาดแท้จริง ตลาดผู้ขายน้อยราย และตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด
โครงสร้างของตลาดและการกำหนดราคาในทางทฤษฎีโครงสร้างของตลาดและการกำหนดราคาในทางทฤษฎี โครงสร้างตลาดแบ่งตามผู้ขาย ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (perfectly competitive market) ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (imperfectly competitive market) ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) ตลาดผูกขาดแท้จริง (Pure Monopoly)
8.2 ลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ • มีผู้ซื้อและผู้ขายเป็นจำนวนมาก ผู้ซื้อและผู้ขายเป็น Price taker • สินค้าที่นำมาขายในตลาดจะมีลักษณะที่เหมือนกัน • ผู้ผลิตและผู้ขายสามารถเข้าออกจากตลาดโดยเสรี • สินค้าและปัจจัยการผลิตสามารถโยกย้ายได้อย่างเสรี • ผู้ซื้อและผู้ขายมีความรู้ และรับทราบข่าวสารและข้อมูลเป็นอย่างดี
8.3 ลักษณะของเส้นอุปสงค์ เส้นรายรับเฉลี่ยและเส้นรายรับหน่วยท้ายสุด P P S E1 P1 P1 D1=P1=AR1=MR1 E P P D=P=AR=MR D1 D 0 Q 0 Q อุปสงค์ของผู้ขายแต่ละราย อุปสงค์ของตลาด
8.4 การหาผลผลิตที่ทำให้ได้กำไรสูงสุด • การหาผลผลิตที่ทำให้กำไรสูงสุดในระยะสั้น • การหาผลผลิตที่ทำให้กำไรสูงสุดในระยะยาว • ทั้งระยะสั้นและระยะยาวจะแยกพิจารณาได้ 2 กรณี คือ • วิธีรวม (Total Approach) • วิธีส่วนเพิ่ม (Marginal Approach) 1) การหาผลผลิตที่ทำให้กำไรสูงสุดในระยะสั้น กำไรของผู้ผลิต คือการที่ผู้ผลิตมีรายรับรวมมากกว่าต้นทุนรวม = TR – TC โดยที่= กำไร TR = รายรับรวม TC = ต้นทุนรวม ระดับผลผลิตที่กำไรสูงสุด เป็นดุลยภาพของผู้ผลิต เมื่อผู้ผลิตแต่ละรายได้ดุลยภาพ ตลาดของสินค้า/อุตสาหกรรม ก็จะได้ดุลยภาพด้วย
กำไร = TR – TC หาระดับผลผลิตซึ่ง TR ห่าง จาก TC มากที่สุด ช่วงที่ TR>TC มากที่สุดกำไรสูงสุด slope TR= slope TC โดย TR อยู่ เหนือ TC หรือ MR= MC ต้นุทนรวมอยู่ในช่วงที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้น วิธีรวม (Total Approach) รายรับ, ต้นทุน TC TR A B Q 0 Q2 Q Q1 กำไร 0 Q Q2 Q1 Q
ในกรณีที่เส้น TR อยู่ต่ำกว่าเส้น TC ทั้งเส้น แสดงว่าผู้ผลิตขาดทุน หากผู้ผลิตทำการผลิตต่อไป ควรผลิตที่ระดับผลผลิตที่ขาดทุนน้อยที่สุด คือ TR อยู่ต่ำกว่า TC และห่างกันน้อยที่สุด ระดับผลผลิตที่ขาดทุนน้อยที่สุด อยู่ที่ OQ1หน่วย slope TR = slope TC เส้นกำไร () อยู่ต่ำกว่าแกนนอนคือเป็นลบ ที่ Q1หน่วย เส้นกำไรอยู่ใกล้แกนนอนมากที่สุด คือ ขาดทุนน้อยที่สุดหากมีการผลิต วิธีรวม (Total Approach) TR, TC TC TR A B Q 0 Q1 Q กำไร 0 Q Q1 Q
ระดับการผลิตที่ได้กำไรสูงสุด คือ การผลิตที่ MC=MR ในช่วงที่ MC กำลังเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตมีกำไรสูงสุดที่ OQ2หน่วย ซึ่ง MC=MR ขณะที่ MC กำลังเพิ่มขึ้น ขณะที่ MR>MC ผู้ผลิตจะได้กำไรหากขยายการผลิตออกไป แต่ถ้าเลยระดับ OQ2 กำไรจะ หากยังทำการผลิตอยู่ ส่วนการผลิตที่ OQ1 หน่วย MC=MR แต่เป็นปริมาณผลผลิตที่ขาดทุนมากที่สุด วิธีส่วนเพิ่ม (Margimal Approach) MC, MR MC P D=AR=MR=P Q 0 Q2 Q1
2) การหาผลผลิตที่ทำให้กำไรสูงสุดในระยะยาว วิธีรวม (Total Approach) ผลผลิตที่ผู้ผลิตมีกำไรสูงสุด อยู่ ณ ปริมาณผลผลิตที่ TR ห่างจาก TC มากที่สุดและ slope TR = slope TC LTC รายรับ, ต้นทุน TR A B Q 0 Q การผลิตที่ได้กำไรสูงสุด คือ OQ หน่วย กำไร=AB ซึ่ง ณ Q นี้ slope TR= slope LTC และห่างกันมากที่สุด
วิธีส่วนเพิ่ม(Marginal Approach) ระดับการผลิตที่ได้กำไรสูงสุดในระยะยาว คือที่ LMC=MR ในช่วงที่ LMC กำลังเพิ่มขึ้น รายรับ, ต้นทุน LMC D = AR = MR = P P 0 Q Q ปริมาณการผลิตที่ได้กำไรสูงสุดคือ OQ หน่วย
8.5 ดุลยภาพในระยะสั้นของผู้ผลิต ดุลยภาพในระยะสั้น พิจารณาโดยวิธี Marginal Approach ปริมาณผลผลิตที่กำไรสูงสุด คือ ณ ผลผลิตที่ MC = MR การกำหนดปริมาณผลผลิตที่กำไรสูงสุด ราคา, รายรับ, ต้นทุน MC AC P E D=AR=MR=P P0 F 0 Q Q ดุลยภาพในระยะสั้นของผู้ผลิต คือ จุดที่ MC=MR ที่ปริมาณผลผลิต OQ หน่วย ณ ระดับนี้ ผู้ผลิตได้กำไรสูงสุด TR = OPEQ TC = OP0FQ กำไร = TR–TC = OPEQ– OP0FQ= P0PEF
กำไรปกติและกำไรเกินปกติกำไรปกติและกำไรเกินปกติ กำไรทางเศรษฐศาสตร์ • กำไรปกติ (Normal Profit) • เป็นกำไรซึ่งนำเอาต้นทุนค่าเสียโอกาสมาคิดรวมในต้นทุน • หาก TR = TC เรียกว่ามีกำไรปกติ (Normal Profit) หรือกำไรทางเศรษฐศาสตร์เท่ากับ 0 เพราะได้รวมกำไรที่ควรได้รับในฐานะผู้ประกอบการเข้าไว้แล้วในต้นทุน • ในระยะสั้นแม้ผู้ผลิตไม่มีกำไรปกติ ก็อาจทำการผลิตต่อเพราะจะช่วยลดการขาดทุนต้นทุนคงที่บางส่วน • ในระยะยาว ถ้าผู้ผลผลิตไม่ได้กำไรปกติ จะเลิกทำการผลิต • กำไรเกินปกติ (Excess Profit) • เป็นกำไรที่แท้จริงทางเศรษฐศาสตร์ เกิดเมื่อ TR > TC เรียกว่ามีกำไรทางเศรษฐศาสตร์ • ในระยะสั้น ตลาดแข่งขันสมบูรณ์จะมี Excess Profit • แต่ในระยะยาว กำไรเกินปกติจะทำให้ผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาแข่งขัน กำไรเกินปกติจึงหมดไป ผู้ผลิตได้รับเพียงกำไรปกติเท่านั้น
ราคา, รายรับ, ต้นทุน ราคา, รายรับ, ต้นทุน MC AC MC AC E E P D=AR=MR P D=AR=MR P1 F Break - even Point Q Q 0 0 Q Q ผู้ผลิตได้กำไรปกติ ผลิตที่ OQ หน่วย (MC=MR ที่จุด E) TR=TC = OPEQ ผู้ผลิตจึงมีเพียงกำไรปกติจุดผลิตนี้เรียกว่า จุดคุ้มทุน (Break-even Point) ซึ่งอยู่ ณ จุดต่ำสุดของ AC ผู้ผลิตมีกำไรเกินปกติ ผลิตที่ OQ หน่วย (MC=MR ที่จุด E) TR=OPEQ และ TC=OP1FQ TR>TC ผู้ผลิตจึงมี Excess Profit =P1PEF จุดการผลิตที่ MC=MR อยู่สูงกว่า AC หรือจุด Break-even
การตัดสินใจหยุดผลิตในระยะสั้นเมื่อเกิดการขาดทุนการตัดสินใจหยุดผลิตในระยะสั้นเมื่อเกิดการขาดทุน • ในระยะสั้น ผู้ผลิตอาจขาดทุนหาก TR < TC ผู้ผลิตอาจผลิตต่อหรือเลิกผลิต หรือทำอย่างไรให้ขาดทุนน้อยที่สุด • ถ้า P=AR >AVC ผู้ผลิตยังคงทำการผลิตต่อไปแม้จะขาดทุน เพราะสามารถชดเชย TFC บางส่วน ทำให้ขาดทุนน้อยลงไปได้ • ถ้า P=AR <AVC ผู้ผลิตจะเลิกทำการผลิต เพราะหากทำการผลิตแล้วนอกจากขาดทุน TFC ยังขาดทุนไปถึง TVC ด้วย • ถ้า P=AR=AVC ผู้ผลิตทำการผลิตหรือไม่ก็ได้ เพราะผลิตหรือไม่ผลิตก็ขาดทุนเท่ากับ TFC ซึ่งเป็นจุดปิดโรงงาน (Shut-Down Point) จะอยู่ ณ จุดต่ำสุดของ AVC
ราคา, รายรับ, ต้นทุน AC MC AVC K P1 E P D=AR=MR=P P2 F Q 0 Q ผู้ผลิตขาดทุนแต่ยังผลิต เพราะสามารถชดเชยการขาดทุน TFC บางส่วนได้ ดุลยภาพอยู่ที่จุด E ทำการผลิต OQ หน่วย TR = OPEQ TC = OP1KQ ขาดทุน = PP1KE ซึ่งน้อยกว่า TFC ( P2P1KF)
ราคา, รายรับ, ต้นทุน AC MC AVC F P1 E D=AR=MR=P P Shut-down Point Q 0 Q เป็นกรณีที่ผู้ผลิตขาดทุน= TFC ดุลยภาพอยู่ที่จุด E ทำการผลิต OQ หน่วย TR = OPEQ TC = OP1FQ ขาดทุน = PP1FE = TFC การผลิต ณ จุด E นี้เป็นจุดที่เรียกว่าจุดปิดโรงงาน (shut-down point) อยู่ ณ จุดต่ำสุดของ AVC
เป็นกรณีที่ผู้ผลิตไม่ทำการผลิตเนื่องจากขาดทุน > TFC ดุลยภาพอยู่ที่จุด E ทำการผลิต OQ หน่วย TR = OPEQ TC = OP2KQ ขาดทุน= PP2KE > TFC (= P1P2KF) โดยขาดทุนมากกว่า TFC = PP1FE จุดการผลิตนี้อยู่ต่ำกว่าจุดปิดโรงงาน ราคา,รายรับ, ต้นทุน AC MC AVC K P2 F P1 P D=AR=MR=P E Q 0 Q
อุปทานของผู้ผลิตในระยะสั้น ระยะสั้นผู้ผลิตในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ทำการผลิตเพื่อได้กำไรสูงสุดที่ MC=MR ซึ่งอาจได้กำไรหรือขาดทุน จากดุลยภาพการผลิตต่างๆ สามารถสร้างเส้นอุปทานของผู้ผลิตแต่ละรายในระยะสั้นได้ ราคา,รายรับ,ต้นทุน P S MC AC P E D P AVC P1 E1 P1 D1 E2 P2 P2 D2 E3 P3 P3 D3 D D1 D3 D2 Q Q 0 0 Q2 Q3 Q Q1 ถ้า P ตลาด=OP เส้น D ที่ผู้ผลิตเผชิญคือเส้น D ดุลยภาพอยู่ที่จุด E ผลิตสินค้า OQ หน่วย ถ้า Dเป็น D1D3เส้น D ที่ผู้ผลิตเผชิญจะเปลี่ยนเป็น D1D3 ดุลยภาพการผลิตเปลี่ยนจาก EE3 Q เปลี่ยนจาก QQ3คือผลิตลดลง จุด E3เป็นจุด Shut-down Point หาก P ต่ำกว่าจุด E3ผู้ผลิตจะไม่ทำการผลิต ผู้ผลิตทำการผลิตตั้งแต่จุด E3ขึ้นไปตามเส้น MC เส้นอุปทานของผู้ผลิตในระยะสั้น จึงเป็น เส้น MC ที่อยู่เหนือจุดต่ำสุดของ AVC ขึ้นไป
เส้นอุปทานระยะสั้นของอุตสาหกรรมทำโดยรวม MC ของผู้ผลิตแต่ละรายเข้าด้วยกันตามแนวนอน P P P SM SMC1 SMC2 P P P Q Q Q Q1+Q2 0 0 Q2 Q1 0 ที่ราคาตลาด=OP บาท ผู้ผลิตรายที่ 1 ผลิต OQ1หน่วย ผู้ผลิตรายที่ 2 ผลิต OQ2หน่วย อุปทานระยะสั้นของอุตสาหกรรมที่ราคา OP บาท คือ OQ1+OQ2 เมื่อรวมอุปทานของผู้ผลิตทุกรายในแต่ละระดับราคา จะได้เส้นอุปทานของอุตสาหกรรม (สมมติว่าราคาปัจจัยการผลิตไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเพิ่มการผลิตในตลาด) แต่หากผู้ผลิตต้องการใช้ปัจจัย จนราคาปัจจัยสูงขึ้นเมื่อรวมอุปทานของหน่วยผลิตแต่ละรายเข้าด้วยกัน เส้นอุปทานของอุตสาหกรรมจะมีค่า slope มากกว่า (คือมีค่าความยืดหยุ่นของอุปทานน้อยกว่า) เส้นอุปทานในกรณีที่ราคาปัจจัยคงที่
8.6 ดุลยภาพระยะยาวของผู้ผลิต • ดุลยภาพระยะยาวของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ มีเงื่อนไข 2 ประการ • การได้กำไรสูงสุด ณ MC=MR ในระยะยาว ดุลยภาพอยู่ที่ LMC=MR=P • ผู้ผลิตสามารถเปลี่ยนแปลงขนาดของโรงงานได้ หรือจะเลิกผลิตถ้าเห็นว่าไม่คุ้มทุน ดังนั้นราคาสินค้าในระยะยาวต้องเท่ากับต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำสุดและผู้ผลิตจะใช้ขนาดของโรงงานที่เป็น Optimum Size ซึ่งอยู่ ณ จุดต่ำสุดของ LAC และ SMC=LMC • เมื่อได้ดุลยภาพระยะยาวจะต้องได้ดุลยภาพระยะสั้นด้วย • แต่การได้ดุลยภาพระยะสั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในดุลยภาพระยะยาว เพราะเมื่อ P>LAC ที่ต่ำสุดในระยะยาว ผู้ผลิตมีกำไรเกินปกติ (Excess Profit) จะจูงใจให้ผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาแข่งขันมากขึ้น ทำให้ราคา จนเท่ากับ LAC ต่ำสุด แต่ถ้า P< LAC ที่ต่ำสุด ผู้ผลิตบางรายจะออกจากอุตสาหกรรม จำนวนผู้ผลิต ทำให้ P จนเท่ากับ LAC ต่ำสุด ในระยะยาวจึงต้องผลิตที่จุดต่ำสุดของ LAC
ดุลยภาพระยะยาว • ผู้ผลิตใช้โรงงานที่มีขนาดที่เหมาะสม (LAC=SAC) • ผู้ผลิตทำการผลิต ณ ระดับผลผลิตที่เหมาะสมที่สุด • ผู้ผลิตได้รับเพียงกำไรปกติ ราคา, รายรับ, ต้นทุน LMC SMC LAC SAC E P D=AR=MR=P Q 0 Q ดุลยภาพระยะยาวเกิดขึ้นที่ LMC=MR=P คือจุด E โดยผลิต OQ หน่วย ณ จุดนี้ SMC=LMC=LAC=SAC=MR ขนาดของโรงงาน ณ จุดต่ำสุดของ LAC เป็น Optimum Size ผู้ผลิตมีเพียงกำไรปกติเท่านั้น โดย TR = TC = OPEQ
8.7 ผลของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ • หน่วยผลิตใช้ขนาดของโรงงานที่มี AC ต่ำสุดแสดงถึงความมีประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิต โดยผลิตที่จุดต่ำสุดของ LAC • ในระยะยาวหน่วยผลิตมีเพียงกำไรปกติ (P=LAC) ทำให้ทั้งหน่วยผลิตเดิมและหน่วยผลิตใหม่ไม่มีการโยกย้ายออกหรือเข้าจากอุตสาหกรรม ไม่มีการเคลื่อนย้ายปัจจัย การจัดสรรทรัพยากรจึงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ • ราคาสินค้าในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ P=MC (D=S) แสดงว่าจำนวนสินค้าที่ทำการผลิตเท่ากับความต้องการในการซื้อสินค้าพอดี คนในสังคมจึงได้รับประโยชน์สูงสุดเช่นกัน • ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ สินค้ามีลักษณะเป็น Homogenous Product หน่วยผลิตไม่จำเป็นต้องโฆษณาสินค้า จึงไม่เกิดการสิ้นเปลืองทรัพยากร