1.11k likes | 1.12k Views
กระบวนการยุติธรรมทางอาญา. พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวัน "นิติศาสตร์จุฬา" ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2512 ทรงเตือน นักกฎหมายและนักปกครอง
E N D
กระบวนการยุติธรรมทางอาญากระบวนการยุติธรรมทางอาญา
พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวัน "นิติศาสตร์จุฬา" ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2512 ทรงเตือน นักกฎหมายและนักปกครอง • "...กฎหมายกับความเป็นอยู่ที่เป็นจริงอาจขัดกัน และในกฎหมายก็มีช่องโหว่มิใช่น้อยเพราะเราปรับปรุงกฎหมายและการปกครองอย่างโดยอาศัยหลักการของต่างประเทศโดยมิได้คำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชนว่าที่ใด ควรเป็นอย่างไรร้ายกว่านั้นก็ไม่คำนึงถึงว่า การปกครองของทางราชการ บางทีไปไม่ถึงประชาชนด้วยซ้ำจึงทำให้ประชาชนต้องตั้งกฎหมายของตนเอง ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เลวเป็นแต่มีบางสิ่งบางอย่างขัดกับกฎหมายของบ้านเมือง..."
ทรงชี้ให้เห็นถึงสาเหตุประการหนึ่งที่ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมคือบทบัญญัติของกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังความตอนหนึ่งว่า"...แต่บังเอิญกฎหมายบอกว่า สงวนนั้น ใครบุกรุกไม่ได้ เขาจึงเดือดร้อน ป่าสงวนนั้นเราขีดเส้นบนแผนที่ เจ้าหน้าที่จะไปถึงได้หรือไม่ก็ช่างและส่วนมากก็ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ไปดังนั้นราษฎรจะทราบได้อย่างไรว่าที่ที่เขามาอาศัยอยู่เป็นป่าสงวน....."
"...เป็นหน้าที่ของผู้รู้กฎหมายที่จะต้องไปทำความเข้าใจ คือ ไม่ใช่ไปกดขี่ให้ใช้กฎหมายโดยเข้มงวดแต่ไปทำให้ต่างฝ่ายเข้าใจว่า เราอยู่ร่วมประเทศเดียวกัน ต้องอยู่ด้วยกันด้วยความอะลุ้มอล่วย ไม่ใช่กดขี่ซึ่งกันและกัน เมื่อไม่กี่วันมานี้ไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปพูดถึงคำว่า พอสมควรว่าเป็นหัวใจของประชาธิปไตยอธิบายว่าคนเรามีสิทธิเสรีภาพแต่ถ้าใช้สิทธิเสรีภาพของแต่ละคนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ต้องมีพอสมควรเสรีภาพต้องมีจำกัดในสังคม หรือในประเทศเสรีภาพของแต่ละคน จะต้องถูกจำกัดด้วยเสรีภาพของผู้อื่นจึงเห็นได้ว่า "พอสมควร" เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ "พอสมควร" ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราจะปกครองหรือช่วยให้บ้านเมืองมีขื่อมีแป เราจะปฏิบัติตรงตามกฎหมายทั้งหมดไม่ได้ .นักกฎหมายทั้งหลายรวมทั้ง นักกฎหมายในอนาคตด้วย จะต้องทราบว่ากฎหมายนั้นมีไว้ สำหรับให้มีช่องโหว่ในทางปฏิบัติไม่ใช่ว่าจะทำได้ตรงไปตรงมาตามตัวบท จำต้องใช้ความพินิจพิจารณาเสมอ...."
พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงาน "วันรพี" เมื่อวันพุธที่ 27 มิถุนายน 2516 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานซึ่งมีความบางตอนทรงเน้นถึงความสำคัญของกฎหมาย ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม และหน้าที่ของผู้รักษากฎหมาย ดังมีความบางตอนว่า“....กฎหมายมีไว้สำหรับให้มีความสงบสุขในบ้านเมือง มิใช่ว่ากฎหมายมีไว้สำหรับบังคับประชาชนถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการ กลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับกับบุคคลหมู่มากในทางตรงกันข้าม กฎหมายมีไว้สำหรับให้บุคคลส่วนมากมีเสรีและอยู่ได้ด้วยความสงบ...”
ทรงเน้นย้ำเสมอว่า กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้ในการรักษาความยุติธรรม ไม่ควรถือว่ากฎหมายสำคัญกว่าความยุติธรรมดังพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้ตาม หลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2520 • "...ท่านทั้งหลายศึกษาวิชากฎหมายมาได้ถึงเพียงนี้ย่อมเข้าใจได้ว่าต่างมีความตั้งใจที่จะประกอบการงานด้านกฎหมายเป็นหลักต่อไปกฎหมายไทยนั้นได้รับความเชื่อถือยกย่องทั่วไปในนานาประเทศ ว่าเป็นกฎหมายที่มีมาตรฐานสูง ....
...แต่หากนำไปใช้ให้ผิดวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์โดยการพลิกแพลงบิดพลิ้วให้ผันผวนไปด้วยความหลงผิดด้วยอคติ หรือด้วยเจตนาอันไม่สุจริตต่างๆ กฎหมายก็เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพลงทันทีและกลับกลายเป็นพิษเป็นภัยแก่ประชาชนอย่างใหญ่หลวงผู้ที่ต้องการจะใช้กฎหมายสร้างสรรค์ความผาสุกสงบและความเป็นปึกแผ่นก้าวหน้าของประชาชนและบ้านเมืองจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาวัตถุประสงค์อันจริงแท้ของกฎหมายแต่ละฉบับไว้ให้แน่วแน่เสมอไป อย่างไม่มีข้อแม้ประการใดๆพร้อมทั้งต้องรักษาอุดมคติ จรรยา ความสุจริต และมโนธรรมของ นักกฎหมายไว้โดยรอบคอบเคร่งครัด เสมอด้วยรักษาชีวิตของตนเองกฎหมายไทยจึงจะทรงคุณค่าอันสมบูรณ์บริบูรณ์ เป็นที่เชื่อถือยกย่องอยู่โดยตลอดได้ไม่ต้องกลายเป็นกฎหมายโบราณล้าสมัย ดังที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นในบางครั้งบางคราว"
ความยุติธรรมตามกฎหมาย (Justice according law) • กฎหมาย (legality) ต้องมีความชอบธรรม (legitimacy) • การใช้ดุลยพินิจของผู้บังคับใช้กฎหมายจะเป็นการแก้ไขคุณลักษณะที่ตายตัว (rigidity) และลดความแข็งกระด้างของกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม • หากกฎหมายขัดแย้งกับความยุติธรรมในลักษณะที่ตัวบทกฎหมายที่ถูกบัญญัติขึ้นไว้อย่างไม่ยุติธรรมหรือการที่ผู้บังคับใช้กฎหมายบังคับใช้ตัวบทกฎหมายที่ยุติธรรมอย่างไม่ยุติธรรม (Misconduct) การใช้ดุลยพินิจจะเป็นการบรรเทาเบาบางความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งในหลักการพื้นฐานต้องยึดไว้ในหลักความยุติธรรม
ความหมายของกระบวนการยุติธรรมความหมายของกระบวนการยุติธรรม • กระบวนการยุติธรรม หมายความถึง วิธีการดำเนินการแก่ผู้ที่ประพฤติฝ่าฝืนกฎหมาย โดยอาศัยองค์กร และบุคลากรที่กฎหมายให้อำนาจไว้ • กระบวนการยุติธรรมที่สำคัญ ได้แก่ กระบวนการยุติธรรมทางอาญา กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง กระบวนการยุติธรรมทางแรงงาน กระบวนการยุติธรรมในศาลเยาวชน และครอบครัวกลาง และกระบวนการยุติธรรมในศาลภาษีอากร
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาCRIMINAL PROCEDURE DUE PROCESS OF LAW • หมายถึง การดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ในการบังคับใช้กฎหมาย ทางอาญา เช่น หน่วยงานตำรวจ อัยการ ศาล หน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในการปฏิบัติตามกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายและการวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นไปตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็น กระบวนการชั้นสืบสวน สอบสวน พิจารณา พิพากษา หรือบังคับคดีหรือ กระบวนการอื่นใดเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม
หลักการของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหลักการของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา • มุ่งสร้างความเป็นระเบียบและความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน • ให้ความคุ้มครองแก่สิทธิ เสรีภาพของปัจเจกบุคคล • มีกระบวนการสอบสวนเป็นกระบวนการต้นทางของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ในการสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน และในการนำตัวผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตัดสินคดีและท้ายที่สุดคือการลงโทษ
แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรมทางอาญาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรมทางอาญา • อลัน อาร์คคอฟฟี่ (AlanR. Coffey) • การบริหารงานยุติธรรมทางอาญาเป็นระบบงานที่ประกอบด้วยระบบงานย่อยหลายระบบ ซึ่งมีลักษณะ แตกต่างจากระบบงานอื่นๆ และแตกต่างกันในหน้าที่และความรับผิดชอบ ระหว่างระบบยุติธรรมย่อยๆ ด้วยกันด้วย การบริหารงานยุติธรรมทางอาญา จึงมีกระบวนการพิเศษอีกมากมายหลายอย่าง
การบริหารงานยุติธรรมต้องประกอบด้วยการบริหารงานยุติธรรมต้องประกอบด้วย 1. ปัจจัยเหตุ(input) คือ อาชญากรรม หรือการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่มีโทษทางอาญา
- การกระทำที่เป็นความผิดในหรือโดยตัวของมันเอง (mala in se)เช่น ฆ่าผู้อื่น ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ชิงทรัพย์และ ปล้นทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งทุกประเทศหรือทุกสังคมบัญญัติเป็นความผิดทางอาญา - การกระทำที่โดยทั่วไปที่ไม่เป็นความผิด แต่รัฐหรือกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดทางอาญา (mala prohibita) เช่น ความผิดต่อ พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด พ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณีพ.ร.บ. การพนัน พ.ร.บ. ยาเสพติด ฯลฯ ซึ่งความผิดประเภทนี้บางประเทศอาจบัญญัติให้เป็นความผิดทางอาญา แต่อีกบางประเทศอาจไม่บัญญัติให้เป็นความผิดทางอาญา
2.กระบวนการ (process)คือ กระบวนการทำงาน ของตำรวจ ทนายความ อัยการ ศาล คุมประพฤติและราชทัณฑ์ • 3.ผลที่ได้ออกมา (output) คือ ป้องกันสังคมและการลดอาชญากรรมในสังคม
ข้อสังเกต กระบวนการยุติธรรมมีส่วนสัมพันธ์และสืบเนื่องต่อกัน ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการปฏิบัติงานในระบบหนึ่งระบบใด ผลของการเปลี่ยนแปลงในนโยบายนั้น อาจมีผลกระทบกระเทือนถึงระบบงานอื่นๆ ในกระบวนการยุติธรรมด้วยกัน เช่น ถ้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีนโยบายในการปราบปรามอาชญากรรมโดยระดมจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด ศาลย่อมจะมีคดีมากจนไม่สามารถจะพิจารณาให้เสร็จไปในเวลาอันสมควร และเรือนจำของกรมราชทัณฑ์จะมีผู้ต้องขังระหว่างสอบสวนและพิจารณาคดีมากมายจนล้นคุก
ทฤษฎีว่าด้วยหลักการปฏิบัติของหน่วยในกระบวนการยุติธรรม ในการอำนวยความยุติธรรม • 1. ทฤษฎีควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) ต้องการส่งเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม โดยมุ่งควบคุม ระงับและปราบปรามอาชญากรรมเป็นหลัก ทฤษฎีนี้เชื่อว่า การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถจะควบคุมและปราบปรามอาชญากรรม หรือจับกุมอาชญากรมาลงโทษตามกฎหมายได้ ย่อมเป็นการกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมและเสรีภาพของประชาชนผู้สุจริต ดังนั้น กระบวนการยุติธรรมที่ดีต้องมีสถิติการจับกุมสูงๆ เป็นหลักที่เน้นประสิทธิภาพ คือการประสบผลสำเร็จโดยการลงแรงและลงทุนน้อยที่สุดและการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่รัฐต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็วและเด็ดขาด โดยการค้นหาความจริงในกระบวนการยุติธรรมจะดำเนินการไปตามขั้นตอนต่างๆ ที่กำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอไม่หยุดชะงักดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นการปฏิบัติงานประจำ และเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมมีดุลยพินิจในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเต็มที่
2. ทฤษฎีกระบวนการนิติธรรม (Due Process Model) เป็นหลักที่ตรงข้ามกับทฤษฎีควบคุมอาชญากรรม คือ ในการปฏิบัติหน้าที่ต้องยึดหลักนิติธรรม เน้นการคุ้มครองสิทธิบางอย่างของประชาชน มากกว่าการพยายามป้องกันอาชญากรรม เป็นหลักการที่เน้นคุณภาพ คือ กระบวนการที่มีคุณภาพต้องเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน ซับซ้อนและสามารถแก้ไขจุดบกพร่องตัวเองได้และมีมาตรฐานเป็นเช่นเดียวกันทุกกรณี ดังนั้น กระบวนการยุติธรรมที่ดีต้องเน้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นหลัก ซึ่งต้องมีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม
หลักการตามรัฐธรรมนูญ • 1. หลักสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ • สิทธิ เป็นอำนาจที่กฎหมายรับรองคุ้มครองให้แก่บุคคลในอันที่จะเรียก ร้องให้บุคคลอื่นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง สิทธิจึงก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นด้วย • เสรีภาพเป็นสภาพการณ์ที่บุคคลมีอิสระในการที่จะกระทำการอย่างใด อย่างหนึ่งตามประสงค์ของตน (ไม่ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่น) • เหตุผลในการมีข้อจำกัดในสิทธิเสรีภาพ คือ เพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
2. หลักการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ • เป็นคุณค่าที่ไม่ขึ้นกับเวลาสถานที่ และต้องให้คุณค่าดังกล่าวมีผลตามกฎหมาย ต้องเคารพความในเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน การทำร้ายหรือทรมานอย่างทารุณโหดร้าย การลงโทษด้วยวิธีการใดๆ ที่เป็นการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์หรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่น การนำคนมาเป็นทาส การค้ามนุษย์ จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะยอมรับได้
ป.อาญา มาตรา 18 • โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หากผู้กระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีและต้องระวางโทษประหารชีวิตให้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปีแทน
ป.วิ.อาญา มาตรา 247 • หญิงใดจะต้องประหารชีวิต ถ้ามีครรภ์อยู่ให้รอไว้จนพ้นกำหนดสามปีนับแต่คลอดบุตรแล้ว ให้ลดโทษประหารชีวิตลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต เว้นแต่เมื่อบุตรถึงแก่ความตายก่อนพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว
ข้อสังเกต แม้ความจำเป็นของรัฐในการรักษาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นเหตุผลสำคัญที่รัฐสามารถใช้ในการบัญญัติกฎหมายที่มีโทษประหาร ชีวิตและจำกัดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานต่าง ๆ ของประชาชน แต่จะลงโทษโดยวิธีทารุณโหดร้ายหรือ ประหารชีวิตในลักษณะที่เป็นการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ไม่ได้ • เช่น การนำผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดแล้วมาแถลงข่าวประจานต่อหน้าสื่อมวลชนหรือบุคคลทั่วไป หรือการประหารชีวิตด้วยวิธีการทารุณโหดร้ายหรือลดคุณค่าความเป็นมนุษย์โดยการนำศีรษะเสียบประจานไม่ได้
3. หลักความเสมอภาค • บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมายเท่าเทียมกัน ซึ่งชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน เป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่ทำให้ประชาชนทุกคนได้รับการปฏิบัติจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน แบ่งได้ 4 ประการคือ เสมอภาคทั่วไปตามหลักกฎหมาย เสมอภาคเฉพาะเรื่อง เสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม และเสมอภาคในการรับบริการสาธารณะ
4. หลักประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรม (Effectiveness) • การที่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจะต้องดำเนินการอย่างมีความคุ้มทุนและคุ้มค่าทางเศรษฐกิจรวมถึงการใช้ทรัพยากร เช่น เจ้าหน้าที่วัสดุ อุปกรณ์ รวมทั้งด้านงบประมาณอย่างคุ้มค่ากับเวลาและสิทธิและเสรีภาพ ที่ประชาชนต้องนำมาเข้าแลกกับความยุติธรรม
5. หลักความโปร่งใสในการใช้อำนาจรัฐ • การที่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต้องสามารถที่จะตรวจสอบ การปฏิบัติงานหรือเหตุผลในการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สามารถมี ข้อสงสัยหรือข้อซักถามจากภาคประชาชน ภาคเอกชน เป็นต้น ต้องมีองค์กรที่มีความเป็นกลางหรือมีความเป็นอิสระที่สามารถเข้ามาดำเนินการ ตรวจสอบการปฏิบัติงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมได้
6. หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation) • การที่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมมีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการดำเนินการในหลายๆ ระดับ เช่น ระดับแรกสุดคือการถูกจัดการไปจนถึง ระดับสูงสุดคือระดับการกำหนดนโยบาย ซึ่งเป็นช่องทางที่จะทำให้ประชาชน เกิดความเชื่อถือเชื่อมั่น และเกิดความศรัทธาตามมาแก่หน่วยงานในกระบวนการ ยุติธรรมต่อไป
7.หลักการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา • รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ส่วนที่ 4 สิทธิในกระบวนการยุติธรรม มาตรา 39 • บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดและก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดไม่ได้ แต่มิได้หมายความว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เพียงแต่จะใช้วิธีการทรมานเพื่อให้ได้มาซึ่งคำรับสารภาพไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการลงโทษก่อนที่จะมีการพิจารณาและพิพากษา
สิทธิของผู้ต้องหาตาม ป. วิ.อาญา มีหลายมาตรา เช่น • ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิด เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา • ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม • ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ • พนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้ข้อหาและที่จะแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้ • ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนตักเตือน พูดให้ท้อใจหรือใช้กลอุบายอื่นเพื่อป้องกันมิให้บุคคลใดให้ถ้อยคำซึ่งอยากจะให้ด้วยความเต็มใจ • ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนทำหรือจัดให้ทำการใด ๆ ซึ่งเป็นการให้คำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำโดยมิชอบประการใด ๆ เพื่อจูงใจให้เขาให้การอย่างใด ๆ ในเรื่องที่ต้องหานั้น เป็นต้น
8. หลักการไม่ถูกดำเนินคดีหลายครั้ง (Ne Bis in Idem or Double Jeopardy) • การไม่ถูกดำเนินคดีหลายครั้ง หมายถึง ความคุ้มครองบุคคลจากการถูกดำเนินคดีในศาลมากกว่าหนึ่งครั้ง สำหรับการกระทำความผิดอันเป็นฐานแห่งการถูกดำเนินคดีที่ศาลได้พิพากษายกฟ้องแล้วหรือได้พิพากษาลงโทษในการกระทำที่ถูกกล่าวหานั้นแล้ว เพราะการดำเนินคดีหลายครั้งต่อผู้ถูกกล่าวหาในการกระทำครั้งเดิมที่ผู้ถูกพิจารณาและพิพากษาไปแล้วถือเป็นความไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกดำเนินคดี
เช่น ในกรณีที่การกระทำความผิดข้อหาทำร้ายร่างกายนั้นถูกฟ้องดำเนินคดีและมีคำพิพากษาลงโทษถึงที่สุดไปแล้ว ต่อมาภายหลังมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จะไปดำเนินคดี ข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัสอีกไม่ได้ • แต่การอุทธรณ์ต่อศาลสูงเพื่อพิพากษากลับแก้หรือยกเลิกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ถือว่าเป็นกรณีที่การพิจารณาคดีต่อจำเลยคนนั้นยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องยังไม่เสร็จสิ้น จึงไม่ถือว่าเป็น การละเมิดต่อหลักการ Ne Bis in Idem
ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) บัญญัติให้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปเมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องจะนำคดีมาฟ้องใหม่ไม่ได้ • กรณีจะถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง จะต้องปรากฏว่าจำเลยต้องถูกดำเนินคดีในคดีนั้นอย่างแท้จริงไม่ใช่เป็นการดำเนินคดีในลักษณะที่สมยอมกัน หากคดีก่อนเป็นการฟ้องร้องดำเนินคดีคดีกันอย่างสมยอมเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง โดยหวังผลป้องกันมิให้รัฐสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีต่อจำเลยได้อีกจึงไม่ใช่เป็นการดำเนินคดีแก่จำเลยอย่างแท้จริง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงยังไม่ระงับ
ป.อาญา มาตรา 10 บัญญัติว่า หากมีการดำเนินคดีผู้กระทำความผิดในต่างประเทศมาแล้วและการกระทำความผิดที่ถูกลงโทษนั้นเป็นความผิดตามมาตราต่าง ๆ ที่ระบุไว้ใน มาตรา 7(2) และ (3) มาตรา 8 และมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ห้ามมิให้ลงโทษผู้นั้นในราชอาณาจักรเพราะการกระทำนั้นอีกถ้าได้มีคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศอันถึงที่สุดให้ปล่อยตัวผู้นั้นหรือศาลในต่างประเทศพิพากษาให้ลงโทษและผู้นั้นได้พ้นโทษแล้ว
องค์ประกอบพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาองค์ประกอบพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา • 1. ผู้กระทำผิด (Offender) ประกอบด้วยผู้ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน คือ ผู้ที่ยังไม่ได้กระทำใด ๆ ที่ละเมิดบรรทัดฐานของสังคม และผู้ที่เป็นอาชญากร คือ ผู้ที่ได้กระทำใดๆ ที่ละเมิดบรรทัดฐานของสังคมโดยบรรทัดฐานของสังคม ในปัจจุบัน คือ กฎหมาย • 2. เหยื่ออาญากรรม (Victim) โดยเหยื่ออาชญากรรมแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ • ระดับปฐมภูมิได้แก่ เหยื่อที่เป็นผู้ถูกกระทำโดยตรง • ระดับทุติยภูมิได้แก่ เหยื่อที่เป็นผู้ที่ใกล้ชิดเหยื่อและได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมโดยอ้อม • ระดับตติยภูมิได้แก่ประชาชนในชุมชนที่อยู่บริเวณสถานที่ที่เป็นที่เกิดเหตุอาชญากรรม หรือสังคมโดยรวม
3. ระบบงานยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice System) ได้แก่ หน่วยงานตำรวจ หน่วยงานอัยการ หน่วยงานศาล และหน่วยงานในกระทรวง ยุติธรรม รวมถึงหน่วยปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดในชุมชน (Community Base Program) โดยใช้แนวทางยุติธรรมชุมชน ซึ่งจะเป็นการขัดเกลานิสัยความ ประพฤติเพื่อคืนคนดีสู่สังคม (Re-socialization) • 4. สังคม (Society) ประกอบไปด้วยภาคประชาชน ภาคเอกชนและ ภาคประชาสังคม ที่จะเป็นการส่งเสริมการสร้างความร่วมมือในกระบวนการ ยุติธรรม และมีกระบวนการการป้องกันการกระทำผิดซ้ำในสังคมด้วยการส่งบุคคลที่พ้นจากกระบวนการยุติธรรมสู่หน่วยงานที่ดูแลต่อในสังคม
องค์กรและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาองค์กรและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
1. ตำรวจหรือพนักงานสอบสวน • เป็นองค์กรที่สำคัญที่สุดองค์กรหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เพราะเป็นองค์กรแรกที่รับผิดชอบต่อกระบวนการยุติธรรมก่อนที่คดีหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ผ่านไปยังพนักงานอัยการ และเข้าสู่การพิจารณาของศาล
เป็นผู้จับกุมผู้กระทำความผิด และทำการรวบรวมพยานหลักฐานที่ได้จากการสอบสวนแล้วส่งเรื่องหรือสำนวนสอบสวนให้พนักงานอัยการ ซึ่งเป็นทนายของ แผ่นดิน ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล เมื่อศาลพิพากษาลงโทษแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัวผู้นั้นไว้ในเรือนจำเพื่ออบรม ดัดนิสัย และฝึกอาชีพต่อไป
ตำรวจ (Police) • “ตำรวจ” เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาเขมรคือคำว่า ตรวจตามที่ระบุไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2525 คือ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ตรวจตรารักษาความสงบ จับกุม และปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย” • ตำรวจก็คือ ผู้มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ คำว่า “พิทักษ์” แปลว่า ดูแลคุ้มครอง พลเมืองของประเทศ ดังนั้น ตำรวจจึงเป็นผู้ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงในการดูแลคุ้มครอง ให้เกิดความสงบสุขแก่พลเมืองของประเทศ
คำว่า โปลิศเป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษคือ Police ใช้เรียกผู้ทำหน้าที่ตำรวจที่จัดตั้งอย่างเป็นองค์กรเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยได้ทรงพระกรุณาฯโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้นายร้อยเอก แซมมวล โยเซฟ เบิร์ดเอมส์ เป็นผู้จัดตั้งกองโปลิศเมื่อ พ.ศ. 2403 มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศแทนข้าหลวงกองจับและกองตระเวนซ้ายขวา องค์กรตำรวจที่ตั้งขึ้นใหม่นี้โดยมากจ้างพวกแขกมลายูและแขกอินเดียมาเป็นตำรวจเรียกกองตำรวจนี้ว่ากองโปลิศคอนสเตเบิ้ลต่อมาจึงมาใช้คนไทย
คำว่า COP ย่อมาจาก ConstableofPatrolแปลว่า ตำรวจลาดตระเวน หรือ พลตระเวน โดยหลังจากที่ทรงพระกรุณาฯโปรดเกล้าฯตั้งกองโปลิศ เมื่อปี พ.ศ. 2403 แล้ว ต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อกองโปลิศ เป็นกองพลตระเวน ซึ่งในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ มีองค์กรที่ทำหน้าที่ตำรวจ 2 หน่วย คือ กองพลตระเวนขึ้นกับกระทรวงนครบาล กับกรมตำรวจภูธร ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ทั้ง 2 หน่วยนี้ต่างทำหน้าที่เป็นตำรวจเช่นเดียวกัน • ต่อมา พ.ศ. 2458 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ รวมกองพลตระเวนกับกรมตำรวจภูธร เรียกชื่อว่า "กรมตำรวจ"