180 likes | 446 Views
Basic Electronics for Automation Engineering. Student Name : Mr.Pattarapon Taosrichai Student ID : 53011216 (2S) Program : Automation Engineering Homework No. : 30 Date of Assignment : July 19, 2011 Date of Submission : August 8, 2011. ความแตกต่างระหว่าง IC OpAmp
E N D
Basic Electronics for Automation Engineering Student Name : Mr.Pattarapon Taosrichai Student ID : 53011216 (2S) Program : Automation Engineering Homework No. : 30 Date of Assignment: July 19, 2011 Date of Submission : August 8, 2011
ความแตกต่างระหว่าง IC OpAmp • Bipolar Transistor • MOSFET • JFET ไอซีออปแอมบ์เป็นอีกวงจรหนึ่งที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั้งในรูปแบบของวงจรขยายสัญญาณ วงจรเปรียบเทียบสัญญาณ โดยต่ออุปกรณ์ภายนอกเพิ่มเติมอีกไม่กี่ชิ้น ก็สามารถทำงานได้แล้ว
Bipolar Transistor Bipolar Transistor ใช้เป็นตัวขยาย สัญญาณไฟฟ้า หรือทำหน้าที่เป็นสวิตช์ การทำงานต้องอาศัยประจุไฟฟ้าสองชนิด คือ อิเล็กตรอนและโฮล จึงเรียกว่าไบโพลาร์ ทรานซิสเตอร์ ไบโพลาร์ทรานซิสเตอร์มีโครงสร้าง PNP หรือ NPN ไบโพลาร์ทรานซิสเตอร์ประกอบด้วยหัวต่อ PN จำนวน 2 หัวต่อ คือ หัวต่อระหว่าง อีมิตเตอร์(E) – เบส(B) และ เบส(B) – คอลเลคเตอร์(C)
แบบ NPN หัวต่อเบส - คอลเลคเตอร์ ถูกไบอัสกลับ ด้วยแรงดัน VCBเกิดกระแสคอลเลคเตอร์ IC ซึ่งมีค่าต่ำไหลในวงจรด้านคอลเลคเตอร์ เมื่อไบอัสตามหัวต่ออีมิตเตอร์ – เบส ด้วย แรงดัน VEBอิเล็กตรอนจะถูกปล่อยจากอีมิตเตอร์ สู่เบส (เรียกว่า กระแสอีมิตเตอร์) อิเล็กตรอนจำนวน หนึ่งจะไหลเป็นกระแสเบส แต่กระแสส่วนใหญ่ ไหลไปถึงหัวต่อเบส - คอลเลคเตอร์ และถูกสนามไฟฟ้าที่เกิดจากไบอัสย้อนกวาดเข้าไปเป็น กระแสคอลเลคเตอร์ จากลักษณะสมบัติเช่นนี้จึง เป็นการใช้กระแสเบสค่าน้อยเพื่อควบคุมกระแส คอลเลคเตอร์ที่มีค่าโต เรียกว่าการขยายสัญญาณ กระแส *ในกรณีทรานซิสเตอร์ชนิด PNP ก็ให้คิดในทำนองเดียวกันเพียงเปลี่ยนทิศทางของประจุไฟฟ้า
ตัวอย่าง Datasheet ของ Bipolar transistors เบอร์ 2N3251A
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้า (FET) เป็นทรานซิสเตอร์ที่ใช้สนามไฟฟ้าในการเปลี่ยนแปลงสภาพของสารกึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแตกต่างจากไบโพลาร์ทรานซิสเตอร์ คือใช้การทำงาน ของพาหะ ชนิดเดียว คือ อิเล็กตรอน หรือโฮล อย่างหนึ่ง อย่างใด จึงเป็นยูนิโพลาร์ทรานซิสเตอร์ ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบ่งตามวิธี การสร้างได้เป็น 2 ชนิดคือ - ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบบหัวต่อ (JFET) - ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบบ MOS (MOSFET) N-Channel Depletion P-Channel MOSFET Enhancement FET N-Channel JFET Depletion P-Channel
MOSFET MOSFET มาจาก M : Metal (โลหะ) O : Oxide (ออกไซด์) S : Semiconductor (สารกึ่งตัวนำ) F : Field (สนามไฟฟ้า) E : Effect (ผล) T : Transistor (ทรานซิสเตอร์) เป็นทรานซิสเตอร์ที่ใช้หลักการทำงานที่ แรงดันเกทควบคุมสภาพการ นำไฟฟ้าที่ชั้นบาง ๆ ที่บริเวณผิวของผลึกสารกึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้า แบบ MOS มี ส่วนสำคัญในการพัฒนาไอซีที่มีขนาดใหญ่ (LSI) MOSFET แตกต่างจาก JFET ที่โครงสร้างภายใน JFET นั้นระหว่างเกตกับช่วงทางเดินกระแสมีโครงสร้างเป็นรอยต่อ p-n แต่ MOSFET นั้นระหว่างเกตกับช่องทางเดินกระแสมีโครงสร้างเป็นชั้นของซิลิคอลออกไซด์(SiO2) MOSFET มี 2 ชนิดคือ1.ดีพีทชั่น (Depletion, D)2.เอนแฮนซ์เมนต์(Enhancement, E)
MOSFETชนิดดีพีทชั่น (Depletion MOSFET, D-MOSFET) จากรูปเป็นโครงสร้างพื้นฐานของ D-MOSFET เป็นชนิด(n-channel) • ช่องทางเดินกระแสระหว่างเดรน(D) และซอร์ส(S) จะเป็นสารกึ่งตัวนำ ชนิด n และวัสดุ • ฐานรอง(Substance) เป็นสารกึ่งตัวนำชนิด p ดังรูป (ก) • สำหรับ D-MOSFET ชนิด p-channel จะมีช่องทางเดินกระแสระหว่างเดรน • และซอร์สเป็นสารชนิด p และมีฐานรองเป็นสารชนิด n ดังรูป (ข) และมีเกตติดอยู่ระหว่าง • ช่องทางเดินกระแส โดยมีซิลิคอนออกไซด์(SiO2) เป็นฉนวนกั้นระหว่างเกต • และช่องทางเดินกระแส สัญลักษณ์ของD-MOSFET ชนิด(n-channel) และ(p-channel)
2. เอนแฮนซ์เมนมอสเฟต(Enhancement MOSFET , E-MOSFET) ทำงานได้ลักษณะของเอนแฮนซ์เมนโหมดเพียงอย่างเดียว โครงสร้าง E-MOSFET แตกต่างจาก D-MOSFET ที่ช่องทางเดินกระแสของ E-MOSFET จะถูกสร้างขึ้นโดยการไบอัสตรงที่เกต(G) ในสภาวะที่เกตไม่มีการไบอัสจะไม่มีช่องทางเดินกระแสเชื่อมต่อระหว่างเดรนกับซอร์ส ดังรูปที่ 15ก เป็น E-MOSFET (n-channel) ส่วนเดรนและซอร์สเป็นสารกึ่งตัวนำชนิด N แต่ไม่มี Chanel ต่อถึงกัน มีสารชนิด P เป็นวัสดุฐานรองและระหว่างเกตกับวัสดุฐานรองเป็น(SiO2) เป็นฉนวนกั้นกลาง โครงสร้างและการทำงานของE-MOSFET
การทำงานของ E-MOSFET ที่เพลตของเกตจะเกิดประจุบวก และวัสดุฐานรองของ E-MOSFET จะเกิดประจุลบ ทำให้เกิดประจุลบเหนี่ยวนำขึ้นเป็นช่องทางเดินกระแสเชื่อมต่อระหว่างเดรนกับซอร์ส ทำให้กระแสเดรน(ID) สามารถไหลข้ามช่องทางเดินกระแสซอร์สได้ จะไหลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของแรงดันไบอัสที่เกตของE-MOSFET เพราะขนาดของ Channel ขึ้นอยู่กับขนาดของ Vgg
3.วีมอสเฟต(V-MOSFET) เป็นE-MOSFET ชนิดหนึ่งออกแบบให้สามารถทนค่ากระแสเดรนสูง ๆ ได้ ใช้ในงานด้านอิเล็กทรอนิกส์กำลัง โครงสร้างของ V-MOSFET แตกต่างจาก E-MOSFET ที่เกตของ V-MOSFET ทำให้เป็นรูปตัววี แทนที่จะเป็นเพลทเหมือนกับ E-MOSFET มีความแตกต่างดังรูป
ตัวอย่าง Datasheet ของ MOSFET เบอร์ 2N3796 2N3797
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าชนิดรอยต่อ(JFET)ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าชนิดรอยต่อ(JFET) JFETมีโครงสร้างดังรูปคือ JFET(n-channel) และ JFET(p-channel)โดย JFET ทั้งสองมีขา 3 ขา คือ ขาเดรน(Drain, D), ขาเกต(Gate, G), ขาซอร์ส(Source, S) ลักษณะโครงสร้าง สัญลักษณ์ของJFETชนิดn-channel และ p-channel
การทำงานของ JFET JFETทำงานโดยป้อนแรงดันไบอัสตรง ที่เดรนและซอร์สโดยแหล่งจ่าย Vdd ให้ขั้วบวกกับเดรนและขั้วลบกับขาซอร์ส สำหรับเกตของเจเฟตจะให้ไบอัสกลับ โดยเจเฟตชนิด n-channel จะมีเกตเป็นp ดังนั้นแรงดันไบอัสที่เกต VGG ต้องให้ขั้วลบกับเกต และขั้วบวกกับซอร์ส ดังรูป รูปแสดง การไบอัสJFET(n-channel)
การทำงานของ JFET เมื่อให้ไบอัสกลับที่เกต (BGS= VGG) ดังรูป ก จะเกิดสนามไฟฟ้าที่รอยต่อ p-n จำนวนหนึ่ง ทำให้ช่องทางเดนของกระแสใน(n-channel) ระหว่างเดรนกับซอร์สแคบลง กระแสเดรน (ID) จะไหลจากเดรนไปยังซอร์ส ถ้าปรับค่าแรงดัน VGS ให้มีค่าไบอัสกลับมากขึ้น จะทำให้สนามไฟฟ้าที่รอยต่อ มีปริมาณมากขึ้น ทำให้ช่องทางเดินกระแสแคบลงกระแสเดรน (ID)ไหลผ่านได้น้อยลง ดังรูป ข แต่ในทางตรงข้ามปรับค่า VGS ให้มีค่าน้อยลงจะทำให้ช่องทางกระแสเดรน (ID) กว้างมากขึ้นทำให้กระแสเดรน(ID) ไหลผ่านมากขึ้นดังรูป
ตัวอย่าง Datasheet ของ JFET เบอร์ 2N2608
Bipolar Transistor ทำงานได้ดีโดยใช้กระแสที่มีอัตราการขยายสูง เหมาะสำหรับการใช้ ในวงจรอนาล็อกส่วนใหญ่นิยมใช้วงจรขยายสัญญาณ เช่น วงจรขยายเสียง,กระจายเสียง หรือ อุปกรณ์เครื่องมือวัดต่างๆ Field Effect Transistor (FET) เป็นอุปกรณ์ที่ทนแรงดัน สามารถทนความร้อนได้ดี เหมาะแก่การ ใช้งานในวงจรดิจิตอล