1 / 21

แก้ว

แก้ว. Glass. ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม. ชื่อ : แก้ว ( Glass ) ชื่อ แร่ : SiO 2 สูตร เคมี : SiO 2. คุณสมบัติ.

baakir
Download Presentation

แก้ว

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. แก้ว Glass ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม

  2. ชื่อ : แก้ว ( Glass ) ชื่อแร่ :SiO2 สูตรเคมี : SiO2

  3. คุณสมบัติ วัตถุดิบตัวสำคัญที่สุดในการทำแก้วได้แก่ ทรายแก้ว ซึ่งปกติแล้ว ทรายสำหรับทำแก้วควรจะเป็นทรายที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุด คือเกือบจะเป็น pure quartz เลยทีเดียว หรือมีสารมลทิน ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ปนอยู่เป็นจำนวนน้อย ดังนั้นมาตรฐานและคุณสมบัติของทรายทำแก้ว จึงมีมากมายขึ้นอยู่กับวิธีการทำแก้วเฉพาะแห่ง และการค้นคว้าในการฟอกสีแก้ว ( Decoloring )

  4. แหล่งที่พบ แหล่งทรายแก้วที่พบในประเทศไทย ได้มีการสำรวจพบแหล่งทรายแก้วในจังหวัดภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศ ดังต่อไปนี้ ภาคตะวันออก พบที่จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราดภาคใต้ พบที่จังหวัดชุมพร ภูเก็ต ตรัง นครศรีธรรมราช ปัตตานี และสงขลา แหล่งทรายแก้วภาคตะวันออก พบแหล่งทรายแก้วอยู่ 4 แห่ง ในภาคตะวันออกของประเทศ คือจังหวัดระยอง 1 แห่ง จันทบุรี 2 แห่ง และที่ตราด 1 แห่ง

  5. วัตถุดิบหลัก Glass formers: ทราย (sand) Introduction to Glass Science and Technology : July 25-26, 2013 ทรายแก้วที่นำมาใช้ควรมีซิลิกา (SiO2) อย่างน้อยร้อยละ 99.50 ปริมาณเหล็กออกไซด์ (Fe2O3) น้อยกว่าร้อยละ 0.04 ในทรายแก้วอาจมีสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ Fe2O3, Cr2O3 , TiO2 แก้วอาจมีสีเหลืองหากทรายแก้วที่นำมาใช้มีส่วนประกอบของคาร์บอนที่ปนเปื้อนมาในรูปอินทรียวัตถุมาก ควรมีความชื้น 4-5 % grain size ประมาณ 0.1-0.3 mm หรือ 20-200 เมช

  6. วัตถุดิบหลัก Intermediate อะลูมินา (Al2O3) เป็นวัตถุดิบที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงทางเคมีและเพิ่มการทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลันของแก้วได้มากขึ้น เนื่องจาก Al2O3มีบทบาทในการทำให้โครงข่ายแก้วมีความแข็งแรงของเพิ่มขึ้น โซดาแอช: ควรมี 99 % Na2CO3เป็นวัตถุดิบที่เป็นแหล่ง ของ Na2O ที่สามารถช่วยลดอุณหภูมิในการหลอมตัวของแก้วทำให้ใช้ พลังงานในการหลอมลดลง น้ำแก้ว ที่ได้มีความหนืดน้อยลงทำให้สามารถขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีรูปทรงซับซ้อนได้ง่ายขึ้น

  7. วัตถุดิบหลัก Limestone(CaCO3) ควรมี CaCO3 96% สิ่งเจือปนที่พบ คือ MgCO3และ SiO2เป็นวัตถุดิบที่ให้แคลเซียมออกไซด์ (CaO) ซึ่งมีบทบาทเป็นตัวช่วยลดอุณหภูมิในการหลอมตัวของแก้ว แต่มีข้อดีกว่าการเติมเฉพาะซิลิกาและโซดาแอชเนื่องจากแคลเซียมออกไซด์จะช่วยทำให้แก้วละลายนลดลง Dolomite(CaCO3.MgCO3) ควรมี CaCO3 50-54% ,MgCO3 40-46% , Fe2O3 < 0.1% เป็นวัตถุดิบที่เป็นแหล่งของแคลเซียมออกไซด์ (CaO) และแมกนีเซียมออกไซด์ (MgO) ซึ่งเป็นตัวช่วยลดอุณหภูมิการหลอม แต่สิ่งที่ควรระวังของการใช้โดโลไมต์ในสูตรแก้วคือ อาจทำให้แก้วมีสีเขียวเนื่องจากมีเหล็กออกไซด์ที่ปนเปื้อนมามากเกินไป

  8. วัตถุดิบหลัก Cullet: เศษแก้ว ใช้ประมาณ 40-70 % เศษแก้วถูกใช้เพื่อเป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาในการหลอมละลายของวัตถุดิบตัวอื่นๆ ขนาดของเศษแก้วที่นำมาใช้ควรอยู่ในช่วงระหว่าง 150-420 ไมครอน และจะต้องน้อยกว่า 1,000 ไมครอน เนื่องจากถ้าขนาดใหญ่เกินไปอาจหลอมละลายไม่หมด ทำให้เกิด เป็นตำหนิในภายหลังการขึ้นรูปได้

  9. การถลุง ทราย ผสม โซดาแอชหินปูน โดโลไมต์ สารประกอบคาร์บอเนตเปลี่ยนเป็นสารประกอบออกไซด์ ลดอุณหภูมิ ในช่วงต่างๆ น้ำแก้ว เพิ่มความหนืด ขึ้นรูป

  10. ประโยชน์ของแร่ ผลิตภัณฑ์แก้วที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เช่น กระจกแผ่น ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ตกแต่งอาคารและทำเครื่องใช้ต่างๆ การผลิตกระจกแผ่นอาจทำโดยการดึงและรีดน้ำแก้วที่มีความหนืดเหมาะสมต่อการขึ้นรูปอย่างต่อเนื่องไปตามแนวราบ แล้วให้กระจกแผ่นผ่านไปยังเตา ปรับสภาพเนื้อแก้วเพื่อให้เย็นตัวลงอย่างช้าๆ และผ่านไปยังเครื่องขัด จะได้กระจกแผ่นที่มีผิวเรียบไม่เป็นคลื่น มีความหนาสม่ำเสมอตลอดทั้งแผ่น คุณภาพของกระจกแผ่นจึงขึ้นอยู่กับกระบวนการทำให้เป็นแผ่น กระจกแผ่นที่ได้ มีการนำไปแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ตามสมบัติและลักษณะงานที่แตกต่างกัน เช่น กระจกเงา กระจกสะท้อนแสง กระจกนิรภัย กระจกฉนวน กระจกเสริมลวดและกระจกกันกระสุน

  11. แก้วสามารถจำแนกได้หลายประเภท เช่น จำแนกตามวิธีการผลิต การใช้งานหรือองค์ประกอบทางเคมี แต่ส่วนใหญ่มักจำแนกประเภทของแก้วตามองค์ประกอบทางเคมี เช่น แก้วโซดาไลม์มีองค์ประกอบหลักเป็นซิลิกาประมาณร้อยละ 71-75 โซเดียมออกไซด์ร้อยละ 12-16 แคลเซียมออกไซด์ร้อยละ 10-15 โดยมวล แก้วชนิดนี้ไม่ทนต่อสภาพความเป็นกรด-เบส แตกง่ายเมื่อได้รับความร้อน ยอมให้แสงขาวผ่านแต่ดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเลต เป็นแก้วที่พบได้โดยทั่วไป ตัวอย่างเช่น แก้วน้ำ ขวดน้ำ ภาชนะแก้ว กระจกแผ่น นอกจากนี้ยังสามารถทำให้แก้วมีสีต่างๆ ได้ โดยการเติมออกไซด์ของสารบางชนิดลงไป เช่น เติมออกไซด์ของแมงกานีสจะได้แก้วสีชาหรือสีน้ำตาล เติมออกไซด์ของ คอปเปอร์หรือโครเมียมจะได้แก้วสีเขียว เติมออกไซด์ของโคบอลต์ได้แก้วสีน้ำเงิน

  12. แก้วโบโรซิลิเกต เป็นแก้วที่มีซิลิกาอยู่ในส่วนผสมปริมาณที่ค่อนข้างสูง ส่วนโซเดียมออกไซด์และแคลเซียมออกไซด์มีปริมาณลดลง และมีการเติมออกไซด์ของโบรอน (B2O3) ลงไปด้วยเพื่อทำให้สัมประสิทธิ์การขยายตัวเนื่องจากความร้อนมีค่าลดลง ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ดี แก้วชนิดนี้ใช้ทำภาชนะสำหรับใช้ในเตาไมโครเวฟ เครื่องแก้ว ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์

  13. คริสตัล หรือ แก้วตะกั่ว เป็นแก้วที่มีซิลิกาประมาณร้อยละ 54-65 โดยมวล ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยกว่าแก้วโซดาไลม์ รวมทั้งมีออกไซด์ของตะกั่วกับโพแทสเซียมอยู่มากกว่าร้อยละ 24 โดยมวลและมีดัชนีหักเหแสงสูงมาก แก้วชนิดนี้เมื่อมีแสงมาตกกระทบจะสังเกตเห็นว่ามีประกายแวววาวสวยงาม สามารถแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ เพื่อใช้ทำเครื่องใช้ เครื่องประดับ แก้วคริสตัลมีราคาแพงเนื่องจากต้องใช้ต้องใช้ทรายแก้วที่มีปริมาณเหล็กเจือปนน้อยมากรวมทั้งต้องใช้ออกไซด์ของตะกั่วและโพแทสเซียมในปริมาณสูง ผลิตปริมาณน้อยและใช้ฝีมือในการเจียระไน

  14. แก้วโอปอล เป็นแก้วที่มีการเติมสารบางชนิด เช่น โซเดียมฟลูออไรด์หรือแคลเซียมฟลูออไรด์ เพื่อให้เกิดการตกผลึกหรือแยกชั้นในเนื้อแก้ว ทำให้แก้วมีความขุ่นและโปร่งแสง หลอมและขึ้นรูปได้ง่าย

  15. แก้วอลูมิโนซิลิเกต (Alumino silicate glass) มีอลูมินาและซิลิกาเป็นส่วนผสมหลัก มีค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัว เนื่องจากความร้อนต่ำ และมีจุดอ่อนตัวของแก้ว (softening point) สูง พอที่จะป้องกันการเสียรูปทรงเมื่อทำการอบ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ผลิตภัณฑ์

  16. กลาส-เซรามิกส์ (glass-ceramics) เป็นแก้วประเภทลิเธียมอลูมิโนซิลิเกตที่มี TiO2หรือ ZrO2ผสมอยู่เล็กน้อย ซึ่งจะทำให้เกิดผลึกในเนื้อแก้ว ซึ่งอาจทำให้แก้วมีความทึบแสงหรือโปร่งใส ขึ้นกับชนิดของผลึก กลาส-เซรามิกส์จะทนทาน และมีสัมประสิทธิ์การขยายตัวเนื่องจากความร้อนต่ำมาก สามารถนำไปใช้เป็นภาชนะหุงต้ม หรือเป็นแผ่นบนเตาหุงต้มได้

  17. แก้วอัลคาไลน์-เอิร์ทอลูมิโนซิลิเกต (alkaline-earth alumino silicate) มีส่วนผสมของแคมเซียมออกไซด์ หรือแบเรียมออกไซด์ ทำให้มีค่าดัชนีหักเหใกล้เคียงกับแก้วตะกั่ว แต่ผลิตง่ายกว่าและมีความทนทานต่อกรดและด่าง มากกว่าแก้วตะกั่วเล็กน้อย

  18. ใบงาน • จงเติมเครื่องหมาย  หรือ หน้าข้อความดังต่อไปนี้ • 1. ............. การผลิตแก้ว มีส่วนผสมของทราย โซดาแอช พลวง และหินปูน • 2. ............. ทรายที่ใช้ในการพ่นทรายควรมีลักษณะเนื้อละเอียดและแข็ง • 3. ............. โซดาไลม์ มีลักษณะที่แตกหักง่ายเมื่อได้รับความร้อน • 4. ............. ผลิตภัณฑ์แก้วคือซิลิกา ผสมกับสารประกอบคาร์บอนไดออกไซด์ • 5. ............. แก้วโบโรซิลิเกต มีลักษณะมีมวลและดัชนีหักเหแสงสูงมาก เมื่อมีแสงตก กระทบจะมีประกายแวววาว สวยงามสามารถแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ • 6. ............. แก้วคริสตัล มีลักษณะมีมวลและดัชนีหักเหแสงสูงมาก เมื่อมีแสงตก กระทบจะมีประกายแวววาวสวยงามสามารถแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ • 7. ............. แก้วโอปอลมีลักษณะมีความขุ่นและและไม่โปร่งแสง หลอมและขึ้นรูปได้ง่าย • 8. ............. แก้วโบโรซิลิเกต เป็นแก้วที่มีซิลิกาอยู่ในส่วนผสมปริมาณที่ค่อนข้างสูง ส่วนโซเดียมออกไซด์และแคลเซียมออกไซด์มีปริมาณลดลง และมีการ เติมออกไซด์ของโบรอน (B2O3) ลงไปด้วยเพื่อทำให้สัมประสิทธิ์การขยายตัว

  19. 9. ............. แก้วโซดาไลม์ เนื่องจากความร้อนมีค่าลดลง ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ได้ดี แก้วชนิดนี้ใช้ทำภาชนะสำหรับใช้ในเตาไมโครเวฟ เครื่องแก้ว ที่ใช้ใน ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์10. ............. เติมออกไซด์ของแมงกานีสจะได้แก้วสีชาหรือสีน้ำตาล เติมออกไซด์ของคอปเปอร์หรือโครเมียมจะได้ แก้วสีเขียว เติมออกไซด์ของโคบอลต์ได้แก้วสีน้ำเงิน • 11. ............. แหล่งทรายแก้วที่พบในประเทศไทย ในภาคตะวันออกของประเทศ คือ จังหวัดระยอง สุราษฏร์ธานี พังงา พัทลุง สงขลา จันทบุรี และตราด • 12. ............ แก้วคริสตัล เมื่อมีแสงมาตกกระทบจะสังเกตเห็นว่ามีประกายแวววาว สวยงาม สามารถแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ เพื่อใช้ทำเครื่องใช้ เครื่องประดับ • 13. ............ แก้วโอปอลมีดัชนีหักเหแสงสูงมาก 14. ............ ลักษณะของโซดาไลม์ ไม่ทนกรด – เบส ยอมให้แสงขาวผ่านแต่ดูดกลืนรังสี UV มีสีได้โดยการเติมสารประกอบออกไซด์บางชนิดลงไป เช่น Mn Cu Cr Co เป็นต้น • 15. ............ ขั้นตอนการผลิตแก้วคือ การนำวัตถุดิบมาผสมกัน ตากแห้ง เผาดิบ หลังจากนั้น ก็เคลือบแก้ว ให้ความร้อนแก่วัตถุดิบจนทำให้สารประกอบคาร์บอเนต เปลี่ยนเป็น สารประกอบออกไซด์ รวมเป็นเนื้อเดียวเรียกว่า น้าแก้ว ลดอุณหภูมิน้าแก้ว เพื่อให้มีความหนืดก่อนขึ้นรูป

  20. แหล่งที่มา http://www2.mtec.or.th/th/research/GSAT/glassweb/industry.html http://nakhamwit.ac.th/pingpong_web/m&c_web/Content_14.html www.chemicalceramicss.com/439362 www.scimath.org/socialnetwork/groups Sudarat Juaboon http://www.youtube.com/watch?v=vKPCHcwnryQ

  21. คณะผู้จัดทำ นายภาณุพงศ์ เขียวสะอาด เลขที่ 4 นายภัทรพงษ์ ใจแก้ว เลขที่ 6นางสาววิลาสินี คำหล้า เลขที่ 13นางสาวปาริชาติ นวลเสน เลขที่ 19นางสาวสมฤทัย สมทะนะ เลขที่ 22 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2เสนออาจารย์แสงหล้า คำหมั้นรายวิชาเคมี5 ว30225โรงเรียนเชียงของวิทยาคม

More Related