1 / 49

การมีส่วนร่วมทางการเมือง

การมีส่วนร่วมทางการเมือง. Political Participation. หัวข้อการบรรยาย. ความหมาย : การมีส่วนร่วมทางการ เมือง ลักษณะของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง ลักษณะของกิจกรรม ทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย

baris
Download Presentation

การมีส่วนร่วมทางการเมือง

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การมีส่วนร่วมทางการเมืองการมีส่วนร่วมทางการเมือง Political Participation

  2. หัวข้อการบรรยาย • ความหมาย : การมีส่วนร่วมทางการเมือง • ลักษณะของการมีส่วนร่วมทางการเมือง • ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง • ลักษณะของกิจกรรมทางการเมือง • การมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย • วิเคราะห์ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย

  3. การมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation) • Political Participation = การแสดงออกซึ่งกิจกรรมทางการเมืองของบุคคลในสังคมซึ่งก่อให้เกิด • ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคม • ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกับองค์กรทางการเมือง • ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐบาล

  4. ลักษณะของการมีส่วนร่วมทางการเมืองลักษณะของการมีส่วนร่วมทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบอำนาจนิยมหรือระบอบเผด็จการ การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

  5. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบอำนาจนิยมหรือระบอบเผด็จการการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบอำนาจนิยมหรือระบอบเผด็จการ ประชาชนจะแสดงบทบาททางการเมืองได้เฉพาะภายใต้กรอบที่ผู้ปกครองกำหนดให้เท่านั้น เป็นการแสดงออกทางการเมืองเพื่อสนับสนุนผู้ปกครองจากการระดมและการกำกับของผู้ปกครองโดยตรง เป็นไปในลักษณะของการระดมการมีส่วนร่วม (Mobilized Participation) ต้องเป็นไปในลักษณะของการสนับสนุนผู้นำเผด็จการเท่านั้น

  6. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย • ประชาชนสามารถสนับสนุนหรือคัดค้านรัฐบาลได้ • เป็นการแสดงออกที่เป็นอิสระจากการควบคุมหรือการกำกับของรัฐบาล • อาจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้

  7. การกำหนดตัวผู้ปกครอง • เป็นการแสดงออกซึ่งการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย • เพื่อยืนยันว่า รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน • ประชาชนมีสิทธิในการถอดถอนผู้นำทางการเมืองที่ประพฤติมิชอบ

  8. การผลักดันการตัดสินใจของรัฐบาลการผลักดันการตัดสินใจของรัฐบาล • สังคมประชาธิปไตยโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นสังคมพหุนิยม (Pluralist Society) • การดำเนินการของกลุ่มต่างๆจะมีผลต่อการผลักดันการตัดสินใจของรัฐบาลเพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายของกลุ่ม • การผลักดันของกลุ่มที่แสดงถึงบทบาทของการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับองค์กรประชาชนที่มีผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาล

  9. การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล • เป็นกลไกที่คอยควบคุม กำกับ และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล • ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารงานของระบบราชการให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างเสมอภาค • ทำให้เกิดประเด็นของการสนทนา/การถกเถียงกันทางการเมือง

  10. การชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง • เป็นการแสดงออกเพื่อให้รัฐบาลได้รับรู้ว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายหรือการกระทำของรัฐบาล • เพื่อแสดงการเรียกร้องให้รัฐบาลสนองตอบต่อความต้องการของประชาชน • เกิดขึ้นเมื่อการต่อรองกับรัฐบาลด้วยการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ • ต้องกระทำภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายที่เป็นประชาธิปไตย

  11. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง ปัจจัยอื่นๆ Other Factors

  12. 1. ระบบการเมือง (Political System) • ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยถือได้ว่าเป็นระบบการเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด โดยระบบอื่นๆ เช่น เผด็จการ และ คอมมิวนิสต์ มักจะกีดกั้นและพยายามไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง • อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า ประเทศที่เป็นเผด็จการ ประชาชนจะไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองเลย เพราะ การมีส่วนร่วมทางการเมืองเกิดขึ้นได้ในทุกสังคม

  13. 2. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจสังคม(Social-Economics) • ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา อายุ อาชีพ รายได้ ถิ่นที่อยู่ของบุคคล อันเป็นภูมิหลังของแต่ละคน ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อรูปแบบและระดับการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองที่แตกต่างกันออกไป

  14. 3. การกล่อมเกลาทางการเมือง (PoliticalSocialization) เป็นกระบวนการในการขัดเกลาให้แก่สมาชิกในสังคมได้เกิดการเรียนรู้ และเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง หรือแสดงพฤติกรรมทางการเมือง ยอมรับค่านิยม และบรรทัดฐานของสังคมนั้นๆ การกล่อมเกลาทางการเมืองเกิดขึ้นกับบุคคลโดยเริ่มต้นจาก ครอบครัว กลุ่มเพื่อน ระบบการศึกษาสื่อมวลชน

  15. 4.วัฒนธรรมทางการเมือง (PoliticalCulture) วัฒนธรรมทางการเมืองหมายถึง ความเชื่อ ค่านิยมภายในสังคมซึ่งเป็นบรรทัดฐานในระบบการเมือง โดยที่ลักษณะสำคัญๆ ของวัฒนธรรมทางการเมืองของแต่ละสังคม จะมีอิทธิพลต่อรูปแบบและพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในสังคม รวมทั้งประสิทธิภาพของระบบการเมืองของสังคมนั้นๆ อีกด้วย 5. ปัจจัยอื่นๆ (Other Factors)

  16. ลักษณะของกิจกรรมทางการเมือง(Characteristics of specific political acts) การรวมตัวกันเป็นกลุ่มผลประโยชน์ การริเริ่มกฎหมาย การชุมนุมประท้วง การปฏิรูป การทำรัฐประหาร การปฏิวัติ กบฏ การมีส่วนร่วมทางการเมืองภาคประชาชนหรือประชาสังคม การรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง การดำรงตำแหน่งทางการเมือง มติมหาชน การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง การบริจาคเงินให้พรรคการเมือง การรณรงค์หาเสียง การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านสื่อออนไลน์ การนัดหยุดงาน การเลือกตั้ง การทำประชาพิจารณ์ การถอดถอน การลงประชามติ

  17. หลักการของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยหลักการของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย 1. หลักทั่วไป (in general) 2. หลักอิสระ (freevoting) 3. หลักกำหนดระยะเวลา (periodicelection) 4. หลักการลงคะแนนลับ (secretvoting) 5. หลักหนึ่งคนหนึ่งเสียง (onemanonevote) 6. หลักบริสุทธิ์ (fairelection) การเลือกตั้ง (Election) การเลือกตั้ง เป็นกิจกรรมที่สำคัญในกระบวนการทางการเมือง และเป็นกิจกรรมที่มีอยู่ในเกือบทุกประเทศ ทั้งนี้ ไม่ว่าประเทศนั้นจะปกครองด้วยระบอบหรือลัทธิการเมืองใด โดยมีจุดประสงค์สำคัญเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครอง*** ดังนั้นการเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองในขั้นแรก ซึ่งเป็นการสร้างความชอบธรรมในการเลือกสรรและกำหนดตัวบุคคลที่จะเข้าไปทำหน้าที่แทนบุคคลทั่วประเทศในสภานิติบัญญัติและบริหาร

  18. ระบบการเลือกตั้ง ระบบเลือกตั้งตามเสียงข้างมาก (majority system) ระบบสัดส่วน (proportionalrepresentationsystems) ระบบที่ทุกพรรคมีโอกาสได้ที่นั่งในสภาตามสัดส่วนคะแนนเสียงที่ได้มาจากการออกเสียงของผู้เลือกตั้ง เป็นระบบที่ตัดสายใยระหว่างประชาชนผู้เลือกตั้งกับสมาชิกสภาเพราะพรรคการเมืองจะตรงกลางระหว่างทั้งสอง แต่ละพรรคมีโอกาสที่จะได้รับเลือกหรือได้ที่นั่งในสภาตามสัดส่วนคะแนนเสียงที่ประชาชนออกเสียงให้กับบัญชีรายชื่อของพรรค แม้จะไม่ได้เสียงข้างมากก็ตาม เป็นระบบที่นิยมใช้ทั่วโลกถึง 72 ประเทศ • หลักการ “หนึ่งคนหนึ่งเสียง” (one person, one vote) • ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ชนะ และได้ที่นั่งตำแหน่งนั้นไป โดยไม่คำนึงว่าจะได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่ • ผู้ชนะในการเลือกตั้งอาจชนะคู่แข่งขันด้วยคะแนนเสียงไม่มากนักในกรณีที่มีผู้สมัครจำนวนมากและคะแนนเสียงในการเลือกตั้งนั้นกระจายไปอย่างใกล้เคียงกัน • เช่น ในสหรัฐอเมริกา แคนนาดา อังกฤษ อินเดีย และญี่ปุ่น

  19. ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (จำนวน 500) แบบแบ่งเขต แบบบัญชีรายชื่อ มีจำนวน 125 คน คือ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ คือ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งในแบบบัญชีรายชื่อ โดยพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครไว้เพียงบัญชีเดียว เรียงลำดับจำนวนไม่เกิน 125 รายชื่อ รายชื่อใครจะอยู่ลำดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละพรรคจะดำเนินการ การเลือกตั้งแบบนี้ถือประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง หมายถึงทั้งประเทศ จะมีผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อชุดเดียวกัน • มีจำนวน 375 คน คือ ส.ส. ที่มาจากเขตเลือกตั้งโดยการแบ่งเขตเลือกตั้งทั่วประเทศออกเป็น 375 เขต ในแต่ละเขตเลือกตั้งมี ส.ส. ได้ 1 คน ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือกเป็น ส.ส.

  20. การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี พ.ศ.2550เป็นการเลือกตั้งแบบ “เขตเดียวสามเบอร์” คือ มีการแบ่งเขตเลือกตั้งโดยที่การแบ่งเขตนั้นแต่ละเขตจะมีจำนวนประชากรในเขตที่ต่างกัน ดังนั้นแต่ละเขตจะมีจำนวนผู้แทนได้ไม่เท่ากัน ตั้งแต่ 1-3คนตามขนาดของประชากรในเขต ซึ่งผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งสามารถกาบัตรเลือกผู้สมัครได้จำนวนเท่ากับจำนวนผู้แทนในเขตของตน ส่วนการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2554การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตได้มีการกำหนดรูปแบบการลงคะแนนเป็นแบบ “เขตเดียวเบอร์เดียว” คือ การเลือกตั้งจะแบ่งเป็น 375 เขตโดยยึดหลักให้แต่ละเขตนั้นมีจำนวนประชากรที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด ดังนั้นในแต่ละเขตจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คนอย่างเท่าเทียมกันและผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งสามารถกาบัตรเลือกผู้สมัครได้เพียงคนเดียว

  21. การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 1.แต่ละพรรคส่งบัญชีรายชื่อได้ 1บัญชี ซึ่งมีสมาชิกได้ไม่เกิน 125 คน ทั้งนี้แต่ละพรรคการเมืองต้องมีสัดส่วนของสมาชิกจากภาคต่างๆในประเทศอย่างเป็นธรรม สมาชิกในบัญชีรายชื่อต้องไม่ซ้ำกับบัญชีรายชื่อของพรรคอื่นและไม่ซ้ำกับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 2.ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะต้องไปเลือกบัญชีของพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งได้เพียงบัญชีเดียว (การเลือกพรรคไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคเดียวกันกับผู้สมัครในแบบแบ่งเขต) 3.หากพรรคใดได้คะแนนในแบบบัญชีรายชื่อนี้น้อยกว่า 5% ของจำนวนคะแนนทั้งหมดจะตัดทั้งพรรคและคะแนนออกไปไม่นำมาใช้ในคำนวณในการนับคะแนน 4.การนับคะแนนของส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมีหลักการคำนวณสส.ตามการเลือกตั้งตามสัดส่วน ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้ ขั้นตอนที่ 1เรียงลำดับพรรคที่ได้คะแนนจากมากไปหาน้อยและรวมคะแนนที่ได้ทั้งหมด พรรค ก. ได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 1 มีคะแนนรวม 1,200,000 คะแนน พรรค ข. ได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 2 มีคะแนนรวม 900,000 คะแนน พรรค ค. ได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 3 มีคะแนนรวม 800,000 คะแนน พรรค ง. ได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 4 มีคะแนนรวม 400,000 คะแนน พรรค จ. ได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 5 มีคะแนนรวม 200,000 คะแนน พรรค ฉ. ได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 6 มีคะแนนรวม 50,000 คะแนน พรรค ช. ได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 7 มีคะแนนรวม 20,000 คะแนน ได้คะแนนรวม 3,570,000 คะแนน

  22. การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ขั้นตอนที่ 2 ตัดพรรคการเมืองและคะแนนที่ได้คะแนนน้อยกว่า 5% ออกไปก่อนคือ 3,570,000x5%=178,500 ดังนั้นเราจะตัดพรรค ฉ และพรรค ช ออกไปก่อน ซึ่งทั้งสองพรรคมีคะแนนรวมกัน 70,000 คะแนน ดังนั้นคะแนนที่จะนำมาคำนวณในขั้นตอนที่ 3 จะมี 3,500,000 คะแนน ขั้นตอนที่ 3 นำจำนวนเสียงทั้งหมดที่ได้มาหาสัดส่วนว่าจำนวนสมาชิกสภา 1 คนจะมีคะแนนเสียงกี่คะแนน ในที่นี้คือนำคะแนนเสียงทั้งหมดมาหารด้วยจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่ต้องการสมมติว่าในที่นี้คือ 100คน 3,500,000/100=35,000 คะแนน ดังนั้นสมาชิกสภา 1 คน มีคะแนนเสียงเป็นสัดส่วน 35,000 คะแนน ขั้นตอนที่ 4 หาจำนวนสมาชิกสภารอบแรกโดยนำคะแนนที่ได้ไปหารกับคะแนนสัดส่วน หารได้เท่าใดคือจำนวนสมาชิกสภาที่ได้ เหลือเศษไว้คำนวณรอบ 2 พรรค ก. มีคะแนนรวม 1,200,000/35,000= ได้สมาชิก 34 คนเหลือเศษ 10,000 คะแนน พรรค ข. มีคะแนนรวม 90,000/35,000= ได้สมาชิก 25 คนเหลือเศษ 25,000 คะแนน พรรค ค. มีคะแนนรวม 800,000/35,000= ได้สมาชิก 22 คนเหลือเศษ 30,000 คะแนน พรรค ง. มีคะแนนรวม 400,000/35,000=ได้สมาชิก 11 คนเหลือเศษ 15,000 คะแนน พรรค จ. มีคะแนนรวม 200,000/35,000=ได้สมาชิก 5 คนเหลือเศษ 25,000 คะแนน ในขั้นตอนที่ 4 เราจะได้ส.ส.จำนวน 97 คน ขั้นตอนที่ 5 นำพรรคที่ได้เศษมากที่สุดเรียงไปหาพรรคที่ได้เศษน้อยที่สุด เพื่อหาสัดส่วนของจำนวนสมาชิกที่เหลือ พรรค ค. เหลือเศษ 30,000 พรรค จ. เหลือเศษ 25,000 พรรค ข. เหลือเศษ 25,000 พรรค ง. เหลือเศษ 15,000 พรรค ก. เหลือเศษ 10,000 เนื่องจากเราต้องการสมาชิกอีก 3 คน จึงเลือกจากพรรคการเมืองที่เหลือเศษ 3 อันดับแรกคือ พรรค ค. พรรค จ.และพรรค ข. พรรคละ 1 คน

  23. การเลือกตั้งในประเทศไทยการเลือกตั้งในประเทศไทย ผลการเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554 75.03 % ที่มา : http://www.ect.go.th/newweb/th/election/index4.php

  24. ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว(จำนวน 150 คน) การเลือกตั้ง การสรรหา มีจำนวน 74 คน ซึ่งคณะกรรมการสรรหาจะดำเนินการสรรหา ส.ว. จำนวนดังกล่าวจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรต่างๆ ในภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่นๆที่เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของวุฒิสภา • มีจำนวน 76 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในแต่ละจังหวัดๆ ละ 1 คน ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เพียงหมายเลขเดียว ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะได้รับเลือกเป็น ส.ว. ของแต่ละจังหวัด

  25. การรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองการรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง เป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผู้ที่แสดงพฤติกรรมดังกล่าวต้องมีความสนใจทางการเมือง ในระดับที่สูงกว่าการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง กล่าวคือ มีการติดตามข้อมูลข่าวสารทางการเมืองผ่านสื่อต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ จนเป็นกิจวัตรประจำวัน และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางการเมืองกับบุคคลอื่นได้จนกลายเป็นพฤติกรรม

  26. การดำรงตำแหน่งทางการเมืองการดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นการที่บุคคลได้เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง โดยผ่านกระบวนการการเมือง หรือกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้และได้รับการรับรองให้ได้ดำรงตำแหน่ง ผู้ที่มีบทบาทในด้านนี้จะมีผลต่อความศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชน ในระยะยาว หากสามารถทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็จะทำให้พรรคได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากยิ่งขึ้นและมีโอกาสได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

  27. ประชามติ (referendum) การที่รัฐบาลขอฟังเสียงจากประชาชนโดยรัฐสภาหรือผู้บริหารประเทศได้คืนสิทธิเสรีภาพในการออกเสียงรับรองหรือคัดค้านเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้แก่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าต้องการดำเนินการอย่างไรในกรณีใดกรณีหนึ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการออกกฎหมายธรรมดา

  28. ประชาพิจารณ์ (Public hearing) เป็นการแสดงความคิดเห็นของประชาชนต่อประเด็นปัญหาใดปัญหาหนึ่ง โดยการจัดทำประชาพิจารณ์อาจจะทำโดยองค์กรของรัฐหรือหน่วยงานอื่นๆเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในกรณีประชาชนเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

  29. การชุมนุมประท้วง (protests) เป็นการซึ่งแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วย หรือการคัดค้านต่อปรากฏการณ์เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น ด้วยการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมและวิธีการรูปแบบต่างๆ ทั้งอาจเป็นการใช้ความสงบ หรือด้วยวิธีการที่รุนแรง

  30. การถอดถอน (recall) เป็นวิธีการในระบอบการปกครองประชาธิปไตยโดยตรง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน โดยกำหนดให้ข้าราชการตำแหน่งสูงๆ ของรัฐทุกตำแหน่งหรือส่วนใหญ่ ต้องรับผิดชอบในงานของตนอย่างเต็มที่ และประชาชนอาจออกเสียงให้ออกจากตำแหน่งได้ ถ้าปฏิบัติงานบกพร่องหรือขัดต่อเจตนารมณ์ของราษฎร

  31. การปฏิรูป (reformation) เป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม ซึ่งมีขอบเขตค่อนข้างจำกัด ค่อยเป็นค่อยไป การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านกระบวนการบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลซึ่งเป็นผู้บริหาร ทั้งนี้โดยมีทิศทางที่ชัดเจนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในประเด็นใดบ้าง เช่น การปฏิรูประบบราชการ การปฏิรูประบบสุขภาพ การปฏิรูปการเมือง การปฏิรูปการศึกษา

  32. การปฏิวัติ (revolution) การเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นฐานทางสังคมด้วยความรุนแรง(มิใช่กระบวนการตามที่กฎหมายกำหนด) และรวมไปถึง การเปลี่ยนแปลงค่านิยม ความเชื่อทางการเมืองของประชาชน การเปลี่ยนแปลงสถาบันต่างๆ การเปลี่ยนโครงสร้างผู้นำในทางการเมือง นโยบาย การปฏิบัติต่างๆ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านที่ดีและไม่ดี

  33. รัฐประหาร (Coup d’ e tat) -การล้มอำนาจของรัฐบาล (การเปลี่ยนคณะผู้ปกครองประเทศ)โดยไม่ได้มีจุดประสงค์ของการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง -คณะรัฐประหารส่วนใหญ่จะมีความใกล้ชิดกับสถาบันการปกครอง คนกลุ่มนี้จึงมักเป็นพวกทหาร -การทำรัฐประหารมิจำเป็นต้องมีการใช้ความรุนแรงหรือนองเลือดเสมอไป -ปัจจัยที่นำไปสู่การทำรัฐประหารได้สำเร็จ

  34. กบฏ (rebel) เป็นการแสดงออกถึงการไม่ให้การยอมรับอำนาจหรือการกระทำของรัฐบาล โดยนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยใน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาจะหมายถึงการกระทำของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่การกระทำนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ

  35. การมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation) เป็นการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งมีหลายรูปแบบทั้งในทางสนับสนุน คัดค้าน และหลากหลายวิธีการทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การไปสิทธิเลือกตั้ง การออกเสียงประชามติ การเสนอร่างกฎหมาย ประชาพิจารณ์ มติมหาชน การชุมนุมประท้วง การดำรงตำแหน่งทางการเมืองการถอดถอน การปฏิรูปการปฏิวัติ การรัฐประหารและกบฎ

  36. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทยการมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย • ระบอบเผด็จการทหารและนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบเปิดประเทศตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ (พ.ศ.2501-2516) • หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 • การเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ • การเกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ • และสังคมแห่งชาติ • การต่อต้านคอมมิวนิสต์ • การให้การรับรองเวียดนามใต้ • การร่วมรบสงครามเกาหลี • สนธิสัญญา SEATO การต่อต้านคอมมิวนิสต์ สงครามอินโดจีน • การขยายตัวเศรษฐกิจ • การได้รับการสนับสนุนด้านการทหาร • ทุนนิยม • โครงสร้างพื้นฐาน • ระบบการศึกษา • กลุ่ม Technocrat • ปัญญาชนมีบทบาทในการต่อต้านอำนาจระบบราชการ/สถาบัน

  37. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทยการมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย -ความไม่สมดุลของการกระจายรายได้ -เศรษฐกิจของประเทศเติบโต -ความแตกต่างระหว่างชนบท และเมือง -ภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม -การเกิดชนชั้นกลาง / เกิดชนชั้นกระฏุมพีน้อย • -อำนาจนิยม -อำนาจทหาร –ทหารปกครองโดยไม่มีรัฐธรรมนูญ • - ระบบพ่อขุนอุปถัมภ์ • อำนาจของนายกผ่านมาตรา 17 • ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง • ไม่มีพรรคการเมือง /ไม่มีสหพันธ์แรงงาน การลุกฮือขึ้นของนักศึกษา 14 ตุลา

  38. สามทรราชย์: จอมพลถนอม กิตติขจร (นายกรัฐมนตรี) จอมพลประภาส จารุเสถียรและพันเอกณรงค์ กิตติขจร กลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาล :ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนนท.) เป็นผู้นำในการชี้ถึงปัญหาสังคม (การรณงค์ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น หันมาให้ความสำคัญกับสินค้าไทย การคัดค้านจนท.รัฐที่ใช้เฮลิคอปเตอร์ของราชการไปล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่ จ.กาญจนบุรี) แกนนำที่สำคัญเช่น เสกสรร ประเสริฐกุล และ ธีรยุทธ บุญมี -การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศ : -จีนเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติแทนไต้หวัน (2515) -การถอนทหารอเมริกันออกจากเวียดนาม การมีนายพระราชทานคนแรก นายสัญญา ธรรมศักดิ์ -การเรียกร้องให้รัฐบาลคณาธิปไตย ปล่อยนักศึกษา อาจารย์และนักการเมืองที่ทำการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ -วันที่ 9-12ตุลาคม:ชุมนุมประท้วงโดยสันติวิธี ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ -การปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง ในวันที่ 14-15 ตุลา -ประชาชนในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดลุกฮือโค่นล้ม ผู้นำคณาธิปไตย

  39. เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516

  40. เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 • คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และพลเรือน ภายใต้การนำของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ เข้ายึดอำนาจการปกครองจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ (23 กุมภาพันธ์ 2534) • ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ ตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี • การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม 2535 โดยพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากสุดคือ พรรคสามัคคีธรรม และมีพรรคร่วมรัฐบาลคือ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคราษฎร มีการเสนอชื่อ นายณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ได้รับการคัดค้านจากสหรัฐ • การขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของ พลเอกสุจินดา คราประยูร

  41. ผลจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ.2535 -การตื่นตัวทางการเมืองที่มีเพิ่มมากขึ้น -การปฏิเสธอำนาจรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมและเผด็จการทหาร -เกิดกลุ่มธุรกิจและชนชั้นกลาง ซึ่งนำไปสู่ พหุภาวะทางการเมือง (political pluralism) -การวิเคราะห์การเมืองแบบเศรษฐศาสตร์การเมืองแทนรัฐราชการ -พลังการเมืองนอกระบบราชการ โดยเฉพาะกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ -การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง

  42. เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 • การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน • การลดอำนาจรัฐแล้วหันมาเพิ่มอำนาจให้ประชาชน • การสร้างความเข้มแข็งให้กับการเมืองภาคประชาชน • การปฏิรูปการเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง • การปฏิรูปสื่อ

  43. วิเคราะห์ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทยวิเคราะห์ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย ยังไม่มีกระบวนการให้ความรู้ทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอที่จะสร้างความตระหนักถึงความสามารถทางการเมือง (Sense of Civic Competence or Sense of Political Efficiency) ระบบการศึกษาไทยยังมุ่งที่ปลูกฝังค่านิยมเก่าๆอันไม่เอื้ออำนวยหรือขัดแย้งกับพัฒนาการการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ค่านิยมที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการเมือง -การบูชาอำนาจ -การสร้างความจงรักภักดีส่วนบุคล -การยินยอมอย่างราบคาบ -การเคารพนับถือต่อบุคคลที่มีอำนาจ -การไม่ชอบการรวมตัวเป็นกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) เพื่อใช้อิทธิพลทางการเมือง

  44. วิเคราะห์ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทยวิเคราะห์ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย การตื่นตัวทางการเมืองส่วนใหญ่ยังขาดความสำนึกในความสามารถทางการเมือง (ขาดความสำนึกในสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบและในการคิดการปฏิบัติที่มีเหตุผลและเป็นระบบ) ระบบการเมืองไทยเป็น “ระบบการเมืองแบบนิ่งเฉยทางการเมือง (political passivity)” แก้ไขได้ด้วยการให้ความรู้ทางการเมือง (Political Socialization)+การแก้ไขเรื่องทัศนคติและความเชื่อที่ไม่ได้สร้างสำนึกในความสามารถทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน

  45. หนังสืออ้างอิง • นรนิติ เศรษฐบุตร .การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย .นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า,2551. • เสกสรร ประเสริฐกุล . การเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ : วิภาษา,2552. • ราม โชติคุต. เอกสารประกอบการสอนวิชา GOV127101 ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ Introduction to Political Science. • ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร. รัฐศาสตร์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2552. • ลิขิต ธีรเวคิณ.วิวัฒนาการการเมืองการปกครองของไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2553. • แหล่งออนไลน์ http://www.ect.go.th/newweb/th/election/index4.php

More Related