240 likes | 576 Views
Nitrofurans. เป็นยาที่นิยม ใช้ผสมอาหารสัตว์ และออกฤทธิ์ได้ดี โดยเฉพาะต่อ โรคติดเชื้อในลำไส้และโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แต่ค่อนข้างจะเป็นอันตรายทั้งในคนและในสัตว์ กลไกการออกฤทธิ์
E N D
Nitrofurans • เป็นยาที่นิยมใช้ผสมอาหารสัตว์และออกฤทธิ์ได้ดี โดยเฉพาะต่อโรคติดเชื้อในลำไส้และโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แต่ค่อนข้างจะเป็นอันตรายทั้งในคนและในสัตว์ กลไกการออกฤทธิ์ • ตัวยาในกลุ่มนี้จะต้องถูกสลายตัวโดยเอนซัยม์จากแบคทีเรียก่อน จึงจะสามารถออกฤทธิ์ต่อเชื้อแบคทีเรียได้โดยไปทำลายดีเอ็นเอของเชื้อ ออกฤทธิ์แบบ bactericide Nitrofurans
ขอบเขตการออกฤทธิ์ • ออกฤทธิ์กว้างต่อแบคทีเรียโดยเฉพาะแกรมลบ โปรโตซัว เช่นเชื้อบิด และเชื้อราบางชนิด • ยาในกลุ่มนี้ เช่น Nitrofurans Furatadone Nifuroquin และ Furasolidone ฤทธิ์ที่ไม่พึงประสงค์ • ยามีผลยับยั้งเอนซัยม์บางตัวของโฮสต์ นอกจากนี้มีแนวโน้มเป็นสารก่อมะเร็งและสารก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ในสัตว์ทดลอง • บางประเทศค่อนข้างจำกัดการใช้ยาในสัตว์ที่ใช้เป็นอาหาร Nitrofurans
Sulfonamides • กลุ่มยาซัลฟาเป็นกลุ่มยาที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในการรักษาโรคที่เกิดจากจุลชีพ ก่อนที่จะมีการค้นพบยากลุ่มเพนนิ-ซิลลินหรือยาปฏิชีวนะอื่นๆ • ปัจจุบันมียาซัลฟามากกว่า 5,400 ชนิดที่ผลิตขึ้นมาในหลายรูปแบบมากที่สุด ทั้งยากิน ยาฉีด ยาทาและยาผสมอาหารเพื่อป้องกันโรค Sulfanomides
คุณสมบัติทางเคมี • ผลึกสีขาว ไม่ละลายน้ำ • มักใช้ในรูปเกลือโซเดียม ซึ่งละลายน้ำได้ดีกว่ารูปเดิม • ออกฤทธิ์ที่ pH 4.78-8.56 Sulfanomides
กลไกการออกฤทธิ์ • ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการเจริญเติบโตและยับยั้งการขยายตัวของแบคทีเรีย เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วแบคทีเรียไม่สามารถใช้กรดโฟลิคจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเซล เช่น จากอาหาร แต่จำเป็นต้องสร้างจากกรดพาราอะมิโนเบนโซอิค การยับยั้งนี้จะไม่เกิดโดยทันทีทันใด แต่แบคทีเรียยังคงขยายตัวได้ระยะหนึ่งในระหว่างที่รอให้ยาออกฤทธิ์ ต่อมาจะพบว่าเมตาบอไลท์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของแบคทีเรียจะลดลงอย่างมากจนถึงระดับที่การเจริญของเชื้อถูกยับยั้ง • ดังนั้น ซัลฟา จึงมีกลไกการออกฤทธิ์ antimetabolites และออกฤทธิ์แบบ bacteriostatic Sulfanomides
(กรดโฟลิคสร้างจาก กรดกลูตามิค รวมกับ ไดไฮโดรพะเทอริดีนได้เป็นกรดไดไฮโดรพะเทอริอิค และกรดตัวนี้รวมตัวกับ กรดพาราอะมิโนเบนโซอิค (PABA) ได้เป็นกรดโฟลิค ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ DNA ของแบคทีเรีย) แต่ยามีสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงกับกรดพาราอะมิโนเบนโซอิคซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อการสร้างกรดโฟลิคของแบคทีเรีย จึงมีผลทำให้ยาไปแข่งขันกับกรดพาราอะมิโนเบนโซอิค ทำให้ไม่มีการสร้างกรดโฟลิคส่วนคนและสัตว์สามารถใช้กรดโฟลิคที่ได้จากอาหาร ไม่ต้องสังเคราะห์เองเหมือนแบคทีเรีย Sulfanomides
ภาพที่ แสดงกลไกการออกฤทธิ์ของยาซัลฟา Sulfanomides
ขอบเขตการออกฤทธิ์ • ยาออกฤทธิ์กว้าง มีผลทั้ง แบคทีเรียแกรมลบ และ แกรมบวก รวมทั้งโปรโตซัวเช่น เชื้อบิด พยาธิในเลือดบางชนิด • ยาไม่มีผลต่อ ไวรัสและเชื้อรา • Sulfa + Trimethoprim ในอัตราส่วน 5:1 ให้ผล synergism Sulfanomides
การแบ่งกลุ่มยา Sulfa • สามารถจำแนกได้ตามความสะดวกในการใช้ยาได้ดังนี้ • .กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดขึ้นในระบบต่างๆ • .ตัวอย่างยาที่นิยมใช้ในสัตว์ ได้แก่ Sulfathiazole, Sulfamerazine, Sulfadiazine, Sulfaethoxypyridazine, Sulfadimethoxine, Sulfamethosypyridazine • .กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อที่ระบบขับถ่ายปัสสาวะ ได้แก่ Sulfafisoxazole • .กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ Sulfaguanidine, Phthalylsulfathiazole, Phthalylsulfasetamide, Succinylsulfathiazole • .กลุ่มยาที่ใช้เฉพาะแห่ง ได้แก่ Sulfaacetamide, Mafenide Sulfanomides
นอกจากนี้ยังแบ่งได้เป็น 6 กลุ่มตามฤทธิ์ทางเภสัชจลนศาสตร์(สุวัฒน์, 2542) • 1. พวกออกฤทธิ์สั้น (ให้ทุก 4-6 ชม.) • ยากลุ่มนี้ถูกดูดซึมได้ดี สามารถผ่าน blood brain barrier ได้แต่ไม่จับกับโปรตีนในกระแสเลือด ทำให้ถูกขับออกทางไตได้เร็วมาก • เหมาะสำหรับใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทั่วไปและไตอักเสบ • ตัวอย่างเช่น Sulfadiazine, Sulfisoxazole, Sulfamerazine และ Sulfamethazine • นอกจากนี้มี Sulfonamide mixture ซึ่งเป็นการรวมยา Sulfa 2-3 ชนิดเข้าด้วยกันเพื่อลดการเกิด crystalluria โดยทำให้เกิดสภาวะเป็นด่างมากขึ้น และการรวมยาบางตัวเข้าด้วยกันจะออกฤทธิ์เป็นแบบ additive effect ด้วย Sulfanomides
2. พวกออกฤทธิ์นาน • ยาพวกนี้ถูกดูดซึมได้เร็วมาก แต่การขับถ่ายช้ามาก เนื่องจากยารวมกับโปรตีนได้สูง (ร้อยละ 85) ทำให้ไม่สามารถถูกขับออกทางไตได้ • ข้อดีคือ ยามีฤทธิ์อยู่ได้นาน ให้ยาเพียงวันละ 1-2 ครั้งและให้ในขนาดที่ไม่สูง เหมาะจะใช้ในรายติดโรคแบบเรื้อรัง แต่ข้อเสียคือไม่เหมาะจะใช้ในการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน และต้องระวังปัญหาจากผู้แพ้ยา รวมทั้งไม่ควรใช้ในรายไตเสื่อม • ตัวอย่างยาเช่น Sulfamethoxypyridazine, Sulfadimethoxine และ Sulfadoxine + pyrimethomine (ซึ่งใช้รักษาโรคมาเลเรีย) Sulfanomides
3. พวกออกฤทธิ์ปานกลาง • บางตำราจัดอยู่ในพวกออกฤทธิ์นาน แต่ดูดซึมและขับถ่ายช้ากว่า รวมทั้งละลายน้ำได้ยากกว่าด้วย • ยาพวกนี้ จะมีการนำไปใช้ร่วมกับ Trimethoprim ทำให้ออกฤทธิ์ดีขึ้นและแบคทีเรียดื้อยาได้น้อยลง • ตัวอย่างยาเช่น Sulfamethoxazole + Trimethoprim (Co-trimoxazole) Sulfanomides
4. .พวกถูกดูดซึมในระบบทางเดินอาหารได้น้อย • พวกนี้ถูกดูดซึมได้เพียงร้อยละ 5 จึงเหมาะจะใช้รักษาการติดเชื้อในลำไส้ แต่มีข้อเสียคือจะทำลาย normal flora ทำให้มีผลถึงการขาดไวตามิน K และไวตามิน B รวม • ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้เช่น Sulfaguanidine, Phthalylsulfathiazole, Succinyl sulfathiazole, Sulfasalazine เป็นต้น Sulfanomides
5. พวกที่ใช้เฉพาะที่ • ไม่ค่อยนิยมใช้ในปัจจุบัน เพราะทำให้เกิดการแพ้ยาแบบ sensitization • ตัวอย่างเช่น Sodium sulfacetamide ใช้เป็นยาหยอดตา Silver sulfadiazine ใช้เป็นยาทาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก • 6. พวกที่ใช้กับโรคเฉพาะ • ตัวอย่างเช่น Sulfapyridine ใช้รักษาผิวหนังอักเสบ Sulfasalazine ใช้รักษาลำไส้อักเสบเป็นแผลหลุม Sulfanomides
ฤทธิ์ยาทางเภสัชจลนศาสตร์ฤทธิ์ยาทางเภสัชจลนศาสตร์ • 1. การดูดซึม • ยาถูกดูดซึมได้ดีจากทางเดินอาหาร (ยกเว้นพวกที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่) มียาบางชนิดถูกดูดซึมในกระเพาะอาหารได้ แต่ประมาณ 70-100% ถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก ระดับยาจะสูงสุดในเลือดใช้เวลา 2-6 ชม. ขึ้นกับชนิดของยา Sulfanomides
2. การกระจาย • ยาจับกับโปรตีนได้สูง และขึ้นกับชนิดของยาด้วย (45-98%) หลังจากยาจับกับโปรตีนจนอิ่มตัวแล้วยาจึงสะสมในกระแสเลือดจนถึงขนาดที่ออกฤทธิ์ได้ • ยากระจายไปได้ทั่วร่างกายได้ดี รวมทั้งผ่าน blood-brain barrier ผ่าน placental barrier และออกมากับน้ำนมได้บ้าง Sulfanomides
3. การขับออก • ยาเกิด conjugation ที่ตับและถูกขับออกกับปัสสาวะ • sulfonamides ละลายน้ำได้น้อยจึงสามารถตกตะกอนที่ไต ทำให้เกิดผลึกในปัสสาวะเรียกว่าเกิดอาการ crystalluria ทำให้เกิดอันตรายต่อไตและอุดทางเดินปัสสาวะ • หากเพิ่ม pH (ด่าง) ของปัสสาวะจะเพิ่มการละลายของยา และ metabolites จะเพิ่มการขับออก (โดยให้ sodium bicarbonate, sodium citrate) • ส่วน carnivores, herbivores ปัสสาวะเป็นด่างอยู่แล้ว Sulfanomides
ฤทธิ์ที่ไม่พึงประสงค์ฤทธิ์ที่ไม่พึงประสงค์ • พิษต่อไตตามที่กล่าวมาแล้ว • ทำให้เกิดโลหิตจางเนื่องจากเกิดปฏิกริยาภูมิแพ้ในบางราย • มีรสขม สัตว์ไม่ชอบกิน • ไม่สามารถให้ร่วมกับการให้ไวตามินบี • ยาหลายชนิดมีการสะสมในผลิตภัณฑ์สัตว์ เช่น เนื้อ ไข่ นม • ยาซัลฟามักมีผลข้างเคียงทำให้ไข่ลด Sulfanomides
การใช้ยา • ยา sulfa ที่ผลิตเพื่อใช้ในสัตว์นั้นมีมากกว่ายาต้านจุลชีพกลุ่มอื่นๆ ตัวยาที่มีรูปแบบการผลิตมากและเป็นที่นิยมใช้สูงสุดคือ Sulfamethazine สามารถให้ได้ทั้งการฉีดและการกินในสัตว์ทุกชนิด แนะนำให้ยาครั้งแรกโดยฉีดเข้าหลอดเลือดในขนาด 100 มก./กก. แล้วตามด้วยการให้กินยาในขนาดที่ลดลงครึ่งหนึ่งคือ 50 มก./กก. ทุก 12 ชม. • ยามี side effects ดังนั้นจึงนิยมใช้ยาปฏิชีวนะชนิดอื่น ๆ ก่อน และควรใช้ยาในช่วงต้นของโรค เพราะหากโรคลุกลาม ยาจะแข่งกับ PABA ได้น้อยลง • ให้ได้ทั้ง parenterally, orally และ topically Sulfanomides
การฉีดยาเข้าหลอดเลือดการฉีดยาเข้าหลอดเลือด • มักให้ในกรณีมีการติดเชื้ออย่างรุนแรง • ต้องระวังในการฉีดยาเพราะยามักอยู่ในรูปของเกลือโซเดียมซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง หากเกิดยารั่วจากเส้นเลือด จะมีผลทำให้เกิดความระคายเคืองจนถึงเกิดเป็นเนื้อตายในบริเวณที่ฉีดได้ • ยาจะออกฤทธิ์เร็วมากและถูกขับออกอย่างรวดเร็ว • ยาที่ให้โดยวิธีนี้ต้องระวังเรื่องการเกิดตกผลึกในท่อไต โดยการเดินยาอย่างช้าๆ • ไม่แนะนำให้ยาโดยการฉีดเข้าหลอดเลือดหลายครั้งติดต่อกัน หลังจากที่ให้โดยการฉีดในครั้งแรกแล้ว ควรให้ยาโดยการกินในครั้งต่อๆไป Sulfanomides
การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนังการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนัง • ต้องเลือกยาที่มี pH เป็นกลาง หากใช้สารละลายที่มีฤทธิ์เป็นด่างจะระคายเคืองและเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด การฉีดยาเข้าช่องท้อง • จะต้องเป็นยาที่ดูดซึมเร็ว • ไม่ใช้ยาที่มีฤทธิ์เป็นด่าง Sulfanomides
การให้ยาเข้ามดลูก • ใช้ฉีดเข้าไปในรูปของสารละลายหรือสอดเข้าช่องคลอดในรูปของยาลูกกลอน ซึ่งมาลินี (2540) แนะนำให้ผสมยูเรียในตัวยาด้วยจะทำให้ยาซัลฟาสามารถละลายได้ดีขึ้นและลดการรวมตัวกับโปรตีนในเลือด ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น การให้ยาเฉพาะแห่ง • มักไม่ค่อยได้ผลเนื่องจาก เลือด น้ำหนอง ตลอดจนเนื้อตายสามารถทำลายฤทธิ์ยา ยกเว้น Sulfacetamideที่อยู่ในรูปสารละลายและขี้ผึ้งที่ได้มีการทดสอบแล้วว่าให้ผลดีต่อการรักษาการติดเชื้อที่นัยน์ตา Sulfanomides
การให้กินยา • เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดและสามารถดูดซึมได้ดีทั้งในสัตว์กระเพาะเดี่ยวและสัตว์กระเพาะรวม แต่ต้องระวังฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ในการทำลาย normal flora ในสัตว์กระเพาะรวม และการให้กินยานานๆจะทำให้สัตว์เกิดการขาดวิตามินเคและวิตามินบีได้ Sulfanomides
ตารางแสดงขนาดและวิธีให้ยาในกลุ่ม Sulfonamides(มาลินี, 2542) Sulfanomides