1 / 160

Quantum Theory

Quantum Theory. 1. Black Body Radiation. ทฤษฎีนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อแนวความคิด เกี่ยวกับโครงสร้างอะตอม ซึ่งที่มาของทฤษฎีนี้มาจากการ ทดลองให้ความร้อนแก่วัตถุดำ ซึ่งวัตถุดำจะมีคุณสมบัติใน การรับพลังงานได้ทุกความถี่ และปลดปล่อยพลังงานได้ ทุกความถี่เช่นกัน.

Download Presentation

Quantum Theory

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. Quantum Theory • 1. Black Body Radiation • ทฤษฎีนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อแนวความคิด • เกี่ยวกับโครงสร้างอะตอม ซึ่งที่มาของทฤษฎีนี้มาจากการ • ทดลองให้ความร้อนแก่วัตถุดำ ซึ่งวัตถุดำจะมีคุณสมบัติใน • การรับพลังงานได้ทุกความถี่ และปลดปล่อยพลังงานได้ • ทุกความถี่เช่นกัน

  2. ตามทฤษฎีรุ่นเก่า ( calssical theory )ของ electromagnetism • โดย J.C Maxwell ได้ว่า • พลังงาน ( E2max + H2max ) ความเข้มแสง • Emax , Hmaxเป็น Amplitudeของสนามไฟฟ้าและสนาม • แม่เหล็กตามลำดับ ซึ่งจะเห็นว่าพลังงานของแสงไม่ขึ้นอยู่กับความถี่หรือ ความยาวคลื่นแต่อย่างใด ทฤษฎีนี้ไม่สามารถอธิบายผล การทดลองเรื่อง Black Body Radiation ได้

  3. ปรากฏการณ์เกี่ยวกับ Black Body Radiation 1) ถ้าให้ความร้อนแก่วัตถุมาก วัตถุนั้นจะเปล่งรังสีออก มามากด้วย ทั้งในรูปของความร้อนและแสง ความเข้ม ของรังสีขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของวัตถุ 2) สีของรังสีที่วัตถุเปล่งออกมาขึ้นอยู่กับอุณหภูมิเช่น ( ดูรูปที่ 11 ) ใช้ไฟเผาแท่งเหล็กจะมีการเปลี่ยนสีของ แสงที่ปล่อยออกมาดังนี้

  4. จาก แดง ส้ม เหลือง ขาว รูปที่ 11 แสดงการเปล่งแสงของวัตถุดำที่อุณหภูมิ 2 อุณหภูมิ

  5. ผลจากการวัดความเข้มข้นและชนิดของแสงที่เปล่งออกมาผลจากการวัดความเข้มข้นและชนิดของแสงที่เปล่งออกมา จากวัตถุได้ดังรูปที่ 12 รูปที่ 12 แสดงผลการวัดความเข้มของแสงที่เปล่งออกมา จากวัตถุดำ

  6. โดยจากการทดลองพบว่า • = 2.9 x 10-3 m.K ( Wein displacement law ) • โดยที่ = ความยาวคลื่นของแสงที่มีความเข้มสูงสุด • T = อุณหภูมิของวัตถุดำ มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้สร้างทฤษฎีขึ้นมาอธิบาย ผลการทดลองที่ได้จาก Black Body Radiationดังต่อไปนี้

  7. I. Rayleigh , Jeans , Kiechhoff และ Weinได้พยายาม อธิบายปรากฎการณ์นี้โดยใช้ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของ Maxwellว่า : แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและถูกเปล่ง ออกมาเนื่องจากการสั่นสะเทือนของอนุภาคบนผิวของ วัตถุดำซึ่งก็คือ อิเล็กตรอน

  8. อิเล็กตรอนจะสั่นด้วยความถี่เท่าใดก็ได้ไม่จำกัด ดังนั้นรังสี ที่เปล่งออกมาจากวัตถุดำที่ร้อนจึงน่าจะมีความถี่เป็นค่า ต่อเนื่องแสงที่ความถี่หนึ่ง ๆ พลังงานของรังสีที่เปล่งออกมา มีค่าเท่าใดก็ได้ไม่จำกัด • Rayleigh-Jeans Law : • = ความเข้มแสงต่อช่วงความยาวคลื่น • มีหน่วยเป็น W / m3

  9. เมื่อนำ จาก Rayleigh-Jeans Lawมา plot กราฟ จะได้ดังรูปที่ 13 รูปที่ 13 แสดงค่าการ plot กับ จาก Rayleigh-Jeans Law

  10. II. Max Planck เสนอว่าพลังงานของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ความถี่หนึ่ง ๆ จะมีซึ่งแนวความคิดเกี่ยวกับกลุ่มของ พลังงานนี้เป็นจุดเริ่มต้นของทฤษฎีควอนตัม โดยที่พลังงาน 1 ควอนตัมมีค่า = h h = ค่าคงที่ของพลังค์ = 6.6262 x 10-34 J.s จากทฤษฎีควอนตัมนี้ อธิบายปรากฏการณ์ Black Body Radiationได้ดังนี้

  11. 1. ที่อุณหภูมิหนึ่ง ๆ โอกาสที่จะพบอะตอมที่สั่นด้วย ความถี่สูงมาก ๆ นั้นมีน้อย ดังนั้นความเข้ม ( ซึ่งขึ้นกับ พลังงานและจำนวนอะตอม ) ของพวกที่มีความถี่ ดังกล่าวจึงน้อยกว่า 2. ที่อุณหภูมิหนึ่ง ๆ อะตอมส่วนใหญ่จะสั่นด้วยความถี่ ค่าหนึ่ง ความถี่ค่านี้เพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น

  12. สมการของ Planck ที่อธิบายเกี่ยวกับ Black Body Radiation : • - เมื่อนำ ที่ได้จากสมการของ Planckมา plot เทียบกับ จะได้กราฟที่มีลักษณะเหมือนกับกราฟในรูปที่ 12 ซึ่งเป็นกราฟที่ได้จากการทดลอง ดังนั้นทฤษฎีควอนตัมของ Planck สามารถใช้ในการอธิบายการแผ่รังสีของวัตถุดำได้

  13. 2. Photoelectric Effect ปรากฏการณ์นี้ถูกค้นพบโดย Heinrich Hertz โดย อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการทดลองนี้จะมีลักษณะดังรูปที่ 14 • รูปที่ 14 แสดงอุปกรณ์สำหรับการทดลอง Photoelectric Effect

  14. อุปกรณ์ประกอบด้วยหลอดสูญญากาศ ภายในหลอด จะมีขั้วไฟฟ้า 2 ขั้วคือ Emitting Electrode ( E ) และ Collecting Electrode ( C ) ที่ขั้วไฟฟ้าทั้งสองจะติดกับแหล่ง ความต่างศักย์ที่ปรับค่าได้และแอมมิเตอร์ การทดลองเริ่มต้น โดยการฉายแสงที่มีความถี่ที่เหมาะสมลงบน Emitting Electrode ( E )อิเล็กตรอนจะหลุดออกจาก Emitting Electrodeเราจะเรียกอิเล็กตรอนนี้ว่าPhotoelectron

  15. โดยที่ Photoelectronบางตัวจะมีพลังงานมากพอที่ จะเคลื่อนไปยัง Collecting Electrode และ Photoelectron เหล่านี้จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่า Photoelectric currentซึ่งวัดได้โดยแอมมิเตอร์ในวงจร จากการทดลองนี้พบว่า

  16. 1. โฟโตอิเล็กตรอนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อแสงที่ตกกระทบมี • ความถี่สูงกว่าค่าหนึ่งซึ่งเป็นค่าเฉพาะสำหรับโลหะแต่ • ละชนิดความถี่ต่ำสุดที่ทำให้เกิดโฟโตอิเล็กตรอนเรียกว่า • ความถี่ขีดเริ่ม ( threshold frequency ) เมื่อ plot กราฟ • ระหว่างPhotoelectric current กับความถี่ของแสง • ได้กราฟดังรูปที่ 15

  17. รูปที่ 15 แสดงการ Plot ระหว่าง Photoelectric Current กับความถี่ของแสง

  18. 2. ถ้าใช้แสงที่มีความถี่สูงกว่าความถี่ขีดเริ่ม พลังงาน • ส่วนเกินนี้จะไปทำให้โฟโตอิเล็กตรอนมีพลังงานจลน์ • เพิ่มขึ้น และพบว่าพลังงานจลน์สูงสุดของ • โฟโตอิเล็กตรอนไม่ขึ้นกับความเข้มของแสงนั้น ๆ แต่ • ขึ้นกับความถี่ดังกราฟรูปที่ 16

  19. รูปที่ 16 แสดงการ Plot ระหว่างพลังงานจลน์สูงสุดของ โฟโตอิเล็กตรอนกับความถี่ของแสงที่ฉายลงไปบน Emitting Electrode

  20. 3. จำนวนโฟโตอิเล็กตรอนขึ้นกับความเข้มของแสง ( เมื่อ • ความถี่ขั้วแสงสูงพอที่จะทำให้เกิดโฟโตอิเล็กตรอน ) • ถ้าลดความเข้มของแสงลง จำนวนโฟโตอิเล็กตรอนจะ • ลดลงด้วย • - Albert Einstein ได้อธิบาย Photoelectric effect โดย • เสนอว่าแสงประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน โดย • 1 โฟตอนที่มีความถี่ จะมีพลังงาน E = h = 1 • ควอนตัม โดยที่พลังงาน 1 ควอนตัมของแสงสีแดง 1

  21. โฟตอนมีค่าน้อยกว่าพลังงาน 1 ควอนตัมของแสง • สีน้ำเงิน 1 โฟตอน • เมื่อฉายแสงลงไปบนผิวของโลหะขบวนการ Photoelectric • จะเกิดขึ้นเมื่ออิเล็กตรอนในโลหะถูกชนด้วย photon • โดยที่พลังงานสูงสุดที่ photon จะถ่ายเทให้อิเล็กตรอน • มีค่าเท่ากับ h( ดูรูปที่ 17 )

  22. รูปที่ 17 แสดงแบบจำลองของขบวนการ Photoelectric

  23. รูปที่ 17 แสดงแบบจำลองของขบวนการ Photoelectric • a ) โฟตอนที่มีพลังงาน h ( = 4.5 x 1014 Hz ) • ไปตกกระทบบนผิวของโลหะโปแตสเซียม • จะเห็นว่าไม่มีอิเล็กตรอนของโปแตสเซียมหลุด • b ) โฟตอนที่มีพลังงานสุงกว่า = 5.0 x 1014 Hz • จะทำให้เกิด Photoelectron ( เพราะว่า • ของโปแตสเซียมมีค่าเท่ากับ 5 x 1014 Hz )

  24. Einstein ได้อธิบายผลการทดลองแต่ละข้อดังนี้ ข้อ 1 โลหะแต่ละชนิดจะมีแรงยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนไว้ ซึ่งแรงนี้เรียกว่า Work-Functionฉะนั้นพลังงาน แสงที่ตกกระทบแผ่นโลหะจะต้องมากกว่า Work- Function( W ) ของโลหะนั้นจึงจะทำให้เกิด โฟโตอิเล็กตรอนขึ้น โดยที่ W = h

  25. ข้อ 2 ถ้าฉายแสงที่มีความถี่สูงกว่าความถี่ขีดเริ่ม ( ) พลังงานส่วนที่เหลือจากการเอาชนะแรงยึดเหนี่ยว อิเล็กตรอนของอะตอมนั้นจะกลายเป็นพลังงานจลน์ ของอิเล็กตรอนดังนั้น พลังงานจลน์สูงสุดของอิเล็กตรอน ( Ek,max ) Ek,max= h( - )

  26. ข้อ 3 จากความเข้มข้นของแสง = และให้จำนวนโฟตอนที่ตกกระทบ = โดยที่ Et= พลังงานของแสงทั้งหมดที่ตกกระทบ ต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่

  27. ดังนั้นจำนวนโฟตอนที่ตกกระทบต่อ 1 วินาที = • เราทราบว่า 1 โฟตอนทำให้เกิด 1 โฟโตอิเล็กตรอน • ดังนั้นจำนวนโฟโตอิเล็กตรอน  ความเข้มแสง

  28. ทฤษฎีของบอร์และการทดลองที่เกี่ยวข้องทฤษฎีของบอร์และการทดลองที่เกี่ยวข้อง จากความรู้ทาง Classical Physics แบบจำลอง อะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ทนั้นยังมีข้อบกพร่องเพราะไม่ สามารถอธิบายได้ว่าทำไมอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบสามารถ วิ่งวนรอบนิวเคลียสซึ่งมีประจุบวกได้โดยที่อิเล็กตรอนไม่วิ่ง เข้าชนนิวเคลียสดังรูปที่ 18

  29. รูปที่ 18a ) แสดงการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนรอบ นิวเคลียส ( ตามแบบจำลองอะตอมของ รัทเทอร์ฟอร์ด ) b ) อิเล็กตรอนที่โคจรเป็นวงรอบนิวเคลียสสูญ เสียพลังงาน และเคลื่อนเข้าหานิวเคลียสอย่าง รวดเร็ว( ตามหลักการของ Classical Physics )

  30. - มีการทดลองอื่นที่นำไปสู่แบบจำลองที่ดีขึ้น • 1. สเปกตรัมของไฮโดรเจน • อะตอมหรือโมเลกุลสามารถเปล่งแสงออกมาได้เมื่อ • ได้รับความร้อนจนอุณหภูมิสูงพอ พบว่าเมื่อให้ความร้อน • แก่ก๊าซไฮโดรเจนจนอุณหภูมิสูงพอจะเห็นการเปล่งแสง • และเมื่อวิเคราะห์แสงที่เปล่งออกมาโดยใช้ปริซึมหรือ • เกรตติงจะได้ “ Line spectrum ”มองเห็นดังรูปที่ 19

  31. รูปที่ 19 แสดง spectrum ของแสงที่เปล่งจากอะตอม • ของไฮโดรเจนในช่วงที่ตามองเห็น

  32. ชุดของเส้นสเปกตรัมของไฮโดรเจนในช่วงคลื่นที่ตามอง เห็นได้นั้นถูกพบโดย J.J Balmer ดังนั้นเรียกชุดของเส้น สเปกตรัมในช่วงความยาวคลื่นนี้ว่า “ BlamerSeries ” - นอกจากชุดของเส้นสเปกตรัมในช่วงคลื่นที่ตามอง เห็นแล้ว ได้มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านพบชุดของ spectrum ในช่วงความยาวคลื่นอื่น ดังนี้

  33. 1) Lyman ได้พบชุดของเส้นสเปกตรัมของไฮโดรเจน ในช่วง ultreviolet เรียกชุดของเส้นสเปกตรัมนี้ว่า “ Lyman series ” 2) Paschen ได้พบชุดของเส้นสเปกตรัมของไฮโดรเจน ในช่วง Infrared เรียกชุดของเส้นสเปกตรัมนี้ว่า “ Paschen series ” 3) นอกจากนี้ Brackett และ Pfund ยังได้พบ “ Brackett series ” และ “ Pfund series ” ซึ่งอยู่ในช่วง พลังงานที่ต่ำลงไปอีก

  34. - J.R. Rydberg ได้เสนอสมการที่ใช้ในการคำนวรค่า ความยาวคลื่นของเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน ดังนี้ : R = Rydberg constant = 1.0974 x 10-2 nm-1 n1, n2 = เป็นเลขจำนวนเต็มบวก โดยที่ n2 > n1

  35. Lyman series : n1 = 1 n2 = 2 , 3 , 4 , 5 ,… Balmer series : n1 = 2 n2 = 3 , 4 , 5 , 6 ,… Paschen series :n1 = 3 n2 = 4 , 5 , 6 , 7 ,… Brackett series : n1 = 4 n2 = 5 , 6 , 7 , 8 ,… Pfund series : n1 = 5 n2 = 6 , 7 , 8 , 9 ,…

  36. 2. ทฤษฎีของ Bohr สำหรับไฮโดรเจนอะตอม Niel Bohr ได้พยายามสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับโครง สร้างของอะตอมขึ้นมาเพื่อใช้ในการอธิบายเส้นสเปกตรัม ของอะตอมไฮโดรเจน โดยที่ทฤษฎีเกี่ยวกับอะตอมของ Bohr ตั้งอยู่บนสมมติฐานต่อไปนี้

  37. 1. การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนรอบ ๆ นิวเคลียสจะ • เกิดขึ้นได้เมื่ออิเล็กตรอนในวงโคจรนั้นมีโมเมนตัม • เชิงมุมเป็นจำนวนเท่าของ หรือ • h = ค่าคงที่ของพลังค์ = 6.63 x 10-34 J.s • n = ระดับพลังงานของอิเล็กตรอนในวงโคจรหนึ่ง ๆ • ค่า n เริ่มตั้งแต่ 1 , 2 , 3 , …

  38. n = 1 เรียกว่า ground state • n = 2 , 3 , 4 , … เรียกว่า excited state • 2. เมื่ออิเล็กตรอนเปลี่ยนวงโคจรจะมีการดูดกลืนหรือ • เปล่งรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า

  39. = Eสุดท้าย - Eเริ่มต้น • ถ้า > 0 อะตอมดูดรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า • ถ้า < 0 อะตอมเปล่งรังสีออกมา

  40. 2.1 การหาค่ารัศมีวงโคจรของอิเล็กตรอนในอะตอม • ไฮโดรเจนหรือไอออนที่มีอิเล็กตรอน 1 ตัว • พิจารณา Bohr’s modelต่อไปนี้

  41. การที่อิเล็กตรอนที่ประจุ -e เคลื่อนที่รอบนิวเคลียสที่มี • ประจุ +Ze ได้นั้นเนื่องจากมีแรงดึงดูดทางไฟฟ้าระหว่าง • นิวเคลียสกับอิเล็กตรอนและแรงนี้ทำให้ e-เกิดความเร่ง • เข้าสู่ศูนย์กลาง จากฎของนิวตัน : • ดังนั้น

  42. จากสมมติฐานข้อที่ 1 ของBohr จะได้ว่า : ( 1 ) ดังนั้น ( 2 )

  43. แทนค่า v จาก ( 2 ) ลงใน ( 1 ) ( 3 ) • ที่ n = 1 ( ground state ) r =0.29 Å = Bohr radius = ao

  44. 2.2 การหาค่าพลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมของ • ไฮโดรเจนหรือไอออนที่มีอิเล็กตรอน 1 ตัว • ( 4 ) • พลังงานจลน์ของอิเล็กตรอน ( 5 )

  45. จาก ( 1 ) จะได้ว่าแทนลงใน ( 5 ) ดังนั้น พลังงานรวม = = ( 6 )

  46. แทนค่า r จาก ( 3 ) ลงใน ( 6 ) จะได้ n = 1 , 2 , 3 , … = total or principal quantum number ev

  47. kJ/mol คำถาม ถ้านำค่า Enมาเขียนแผนภาพแสดงระดับ พลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมควรจะได้ แผนภาพเป็นแบบใด

  48. 2.3 การคำนวณ ionization Energy ( IE ) ของ • อิเล็กตรอนในอะตอมของไฮโดรเจนหรือ • ไอออนที่มีอิเล็กตรอน 1 ตัว • Ionization Energy คือ พลังงานที่ใช้ดึงอิเล็กตรอน • ออกจากอะตอมในสถานะพื้นในกรณีของอะตอม • ไฮโดรเจนหรือไอออนที่มีอิเล็กตรอน 1 ตัว • IE คือผลต่างของพลังงานรวมของอะตอมที่ • n = กับ n = 1

  49. ดังนั้น I.E. = E - E1 • = • = 13.6Z2 ev • = 1312Z2 kJ / mol

  50. 2.4 การหาความถี่ของเส้นสเปกตรัมของไฮโดรเจน nm-1 h = 6.6262 x 10-27 erg-sec c = 3 x 1017 nm/s

More Related