340 likes | 968 Views
ประวัติศาสตร์ กรุงรัตนโกสินทร์. รัชกาลที่ 1 กับการย้ายราชธานี. ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีไปสร้างกรุงรัตนโกสินทร์. ทางฝั่งตะวันออกหรือฝั่งซ้ายของ แม่น้ำเจ้าพระยา. เหตุผล. 1.กรุงธนบุรีอยู่ฝั่งท้องคุ้งถูกน้ำกัดเซาะพังทลาย. 2. มีแม่น้ำผ่ากลางเป็นเมืองอกแตก ป้องกันเมืองยาก.
E N D
ประวัติศาสตร์ กรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ 1 กับการย้ายราชธานี ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีไปสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ทางฝั่งตะวันออกหรือฝั่งซ้ายของ แม่น้ำเจ้าพระยา เหตุผล 1.กรุงธนบุรีอยู่ฝั่งท้องคุ้งถูกน้ำกัดเซาะพังทลาย 2. มีแม่น้ำผ่ากลางเป็นเมืองอกแตก ป้องกันเมืองยาก 3. คับแคบขยายไม่ออกเนื่องจากมีวัดแจ้ง -วัดท้ายตลาดขนาบอยู่
ทรงสถาปนาราชวงค์จักรี สร้างพระบรมมหาราชวัง สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามภายในวัง เหมือนกรุงศรีอยุธยามีวัดพระศรีสรรเพชญ พระมหากษัตริย์ 3 พระองค์แรก ก่อร่างสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ให้เป็นปึกแผ่น เจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน โดยยึดถือตามแบบอย่างที่เคยปฏิบัติกันมา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร เจิดหล้า บุญเพรงพระหากสรร ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้น ใจเมือง
พระราชอัธยาศัยกับพระราชภารกิจพระราชอัธยาศัยกับพระราชภารกิจ รัชกาลที่ 1 ใครเป็นนักรบก็โปรด รัชกาลที่ 2 ใครเป็นกวีก็โปรด รัชกาลที่ 3 ใครสร้างวัดก็โปรด รัชกาลที่ 4 ใครรู้ภาษาต่างประเทศก็โปรด
การเมืองการปกครอง ส่วนภูมิภาค ส่วนกลาง หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก กรมพระกลาโหม หัวเมืองประเทศราช กรมมหาดไทย สมุหนายก หัวเมืองฝ่ายเหนือ กรมเวียง กรมวัง สมุหพระกลาโหม หัวเมืองฝ่ายใต้ กรมคลัง กรมนา กรมพระคลัง หัวเมืองชายทะเลรอบอ่าวไทย
รัชกาลที่ 1 โปรดให้รวบรวมชำระกฎหมาย กฎหมายตราสามดวง ตราราชสีห์ ตราบัวแก้ว ตราคชสีห์ เป็นหลักในการปกครองราชอาณาจักรจนถึงรัชกาลที่ 5
ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ร. 1 สงครามเก้าทัพกับพม่า ร. 2 การท้าทายอำนาจจากเวียดนาม ร. 3 สงครามอันนัมสยามยุทธ
รัชกาลที่ 2 ยุคทองของวรรณกรรม รัชกาลที่ 2 กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน แกะสลักบานประตูวิหารวัดสุทัศน์ ฯ สุนทรภู่ กวีเอก พระอภัยมณี นิราศภูเขาทอง ฯลฯ
การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม แบ่งบุคคลในสังคมเป็น 2 ระดับ ระดับมูลนาย * ชนชั้นปกครอง กษัตริย์(มูลนายสูงสุด) เจ้านาย ขุนนาง ศักดินา 400 ขึ้นไป ระดับสามัญชน * ชนชั้นผู้ถูกปกครอง มูลนายระดับล่าง ถือศักดินาต่ำกว่า 400 รวมทั้งกลุ่มไพร่ทาส ไพร่หลวง ไพร่สม ไพร่ส่วย
ด้านเศรษฐกิจ การค้าสำเภาจีนและต่างประเทศอื่น ๆ รายได้จากการค้าสำเภาหลวง กำไรจากการผูกขาดสินค้า ภาษีปากเรือ ภาษีขาเข้า ภาษีขาออก รายได้ภายในประเทศ * จังกอบ อากร ฤชา ส่วย การค้าเฟื่องฟูมากระบบซื้อขายด้วยเงินตราเริ่มเข้ามามีบทบาทร่วมกับระบบเศรษฐกิจแบบแลกเปลี่ยนสิ่งของซึ่งเป็นระบบดั้งเดิมของไทย
นโยบายของไทยที่มีต่อลัทธิจักรวรรดินิยมนโยบายของไทยที่มีต่อลัทธิจักรวรรดินิยม การล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก เริ่มต้นด้วยการเข้ามาค้าขาย ต่อมาอ้างความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ ความล้าหลัง ด้อยความเจริญ จำเป็นต้องเข้ามาช่วยเหลือปรับปรุงให้ทันสมัยด้วยการยึดครอง 1. การผ่อนหนักเป็นเบา * ยอมทำสัญญาเสียเปรียบ * ยอมเสียดินแดน 2. การปฏิรูปบ้านเมืองให้ทันสมัย เพื่อไม่ให้อ้างได้ว่าไทยล้าหลังด้อยพัฒนา 3. การเจริญไมตรีกับประเทศมหาอำนาจในยุโรป * รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง * ผูกไมตรีกับรัสเซีย
การปรับปรุงประเทศให้ทันแบบสมัยตะวันตกการปรับปรุงประเทศให้ทันแบบสมัยตะวันตก เริ่ม รัชกาลที่ 3 - 5 การรับวัฒนธรรมตะวันตกระยะแรก ในรัชกาลที่ 3 มิชชันนารีเข้ามาเผยแผ่ศาสนา หมอบรัดเล่ย์ -วิธีปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ ริเริ่มการผ่าตัด แท่นพิมพ์ ตัวพิมพ์ภาษาไทย ประกาศห้ามสูบฝิ่น เป็นประกาศของทางการฉบับแรกที่พิมพ์ด้วยตัวพิมพ์ หนังสือพิมพ์รายปักษ์ฉบับแรกของไทย – บางกอกรีคอเดอร์ พ.ศ.2387 บุคคลชั้นสูงศึกษาวิทยาการตะวันตก เจ้าฟ้ามงกุฎ (วชิรญาณภิกขุ) ศึกษาภาษาละติน อังกฤษ ดาราศาสตร์ เจ้าฟ้าจุฑามณี ศึกษาวิชาทหาร
รัชกาลที่ 4 ทรงปรับเปลี่ยนธรรมเนียมที่ล้าสมัย แก้ไขข้อบังคับของบ้านเมือง คำนึงถึงการยกระดับความเป็นอยู่ของราษฎร ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากขึ้น ให้มีเสรีภาพ ในการนับถือศาสนา อนุญาตให้สตรีในวังที่มิได้เป็นเจ้าจอมมารดาถวายบังคมลาออกจากวังไปแต่งงานใหม่ได้ ประกาศห้ามบิดามารดาขายบุตรลงเป็นทาส ให้โอรส ธิดา เจ้านายในวัง เรียนรู้ภาษาอังกฤษ ให้สวมเสื้อเข้าเฝ้า
ความสัมพันธ์ทางการทูตกับต่างประเทศความสัมพันธ์ทางการทูตกับต่างประเทศ สนธิสัญญาเบาวริง พ.ศ.2398 - อังกฤษ และได้ใช้เป็นต้นแบบในการทำสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์กับสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ในยุโรป รวม 12 ประเทศ เป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศครั้งสำคัญของไทยจากการเลือกคบค้ากับต่างชาติอย่างระมัดระวังมาเป็นการให้ความร่วมมือกับประเทศตะวันตกมากขึ้น
ข้อดีของสัญญาเบาวริง 1. การรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ จากการโอนอ่อนผ่อนปรน แม้จะรู้ว่าเป็นสัญญาที่ไทยเสียเปรียบ 2. การขยายตัวทางเศรษฐกิจ เร่งเพิ่มผลผลิตเพื่อการส่งออก ข้าว ดีบุก ไม้สัก 3 . การรับอารยธรรมตะวันตก และวิทยาการสมัยใหม่ ข้อเสียของสัญญาเบาวริง 1. ไทยเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางการศาล 2. อังกฤษกลายเป็นชาติอภิสิทธิ์ ไทยทำสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ กับชาติอื่น อังกฤษต้องได้รับสิทธินั้นด้วย 3. ข้อกำหนดในเรื่องระยะเวลาในสัญญาไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงแก้ไขจะทำมิได้ เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย
การปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจัยภายนอก การขยายอิทธิพลทั้งจากอังกฤษและฝรั่งเศส ปัจจัยภายใน 1. การปกครองยังขาดความเป็นปึกแผ่น 2. การคลังรัฐขาดรายได้ ผลประโยชน์เป็นรายได้ส่วนตัวของเจ้าภาษีนายอากร ขุนนางในหัวเมือง ขุนนางส่วนกลางที่ดูแลหัวเมือง 3. ขุนนางบางตระกูล (บุนนาค) มีอำนาจทางการเมืองสูง 4. สังคมไทยยังล้าสมัยด้านการศึกษา สาธารณสุข การเกษตร การเกิด 5. ความไม่สงบภายในประเทศโดยเฉพาะปัญหาคนจีนที่เป็นอั้งยี่
การปฏิรูปประเทศระยะแรก พ.ศ. 2416-2418 5 ปี แรกที่ทรงครองราชย์ (พ.ศ. 2411-2415) ยังไม่บรรลุนิติภาวะ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ พ.ศ. 2416 ทรงบรรลุนิติภาวะ เข้าบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เอง จึงเริ่มนำแบบแผนการบริหารประเทศที่เหมาะสมมาใช้ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน
สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีสภา องคมนตรีสภา ถวายคำปรึกษาข้อราชการแผ่นดิน พิจารณาร่าง พ.ร.บ. และกฎหมายต่าง ๆ ที่ปรึกษาราชการในพระองค์ ช่วยปฏิบัติราชการตามแต่พระราชประสงค์ คล้ายสภานิติบัญญัติในปัจจุบัน คล้ายคณะองคมนตรีในปัจจุบัน
พระราชบัญญัติตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อดูแลรายรับ-รายจ่ายของแผ่นดิน ต่อมาคือกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ รัชกาลที่ 5 กับการเปลี่ยนแปลง ด้านการคลัง การยกเลิกระบบเจ้าภาษีนายอากร การยกเลิกระบบกินเมืองของเจ้าเมืองในส่วนภูมิภาค การแยกเงินของแผ่นดินและเงินส่วนพระองค์ออกจากกัน การจัดทำงบประมาณแผ่นดินครั้งแรก พ.ศ. 2439
การปฏิรูปการคลังส่งผลให้เจ้านาย-ขุนนางที่เสียประโยชน์ไม่พอใจการปฏิรูปการคลังส่งผลให้เจ้านาย-ขุนนางที่เสียประโยชน์ไม่พอใจ เกิดวิกฤตการณ์วังหน้า พ.ศ.2418 เป็นความขัดแย้งครั้งสำคัญระหว่าง “วังหลวง” กับ “วังหน้า” ทำให้ต้องทรงหยุดความเคลื่อนไหวพื่อการปฏิรูปไปนาน 10 ปี
การปฏิรูปการปกครอง พ.ศ.2435 การบริหารราชการส่วนกลาง ยกเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี และเสนาบดีจตุสดมภ์ทั้ง 4 จัดตั้งกระทรวง 12 กระทรวง * มหาดไทย กลาโหม นครบาล วัง คลัง เกษตร ต่างประเทศ ยุติธรรม ธรรมการ โยธาธิการ
การบริหารราชการส่วนภูมิภาคการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ยกเลิกการแบ่งหัวเมืองเป็นชั้น ๆ ที่มีความสำคัญไม่เท่ากัน ยกเลิกระบบกินเมืองที่สืบทอดตำแหน่งกันในตระกูลของเจ้าเมือง ระบบมณฑลเทศาภิบาล ตามแบบที่อังกฤษใช้ปกครองพม่า มลายู ข้าหลวงเทศาภิบาลไปประจำมณฑล ปกครองเมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ลดหลั่นกันลงไป
การเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านแทนการแต่งตั้งโดยเจ้าเมืองการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านแทนการแต่งตั้งโดยเจ้าเมือง แห่งแรกที่ บางปะอิน การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การจัดตั้งสุขาภิบาลให้ราษฎรมีส่วนร่วม ในการบริหารท้องถิ่นของตน แห่งแรกที่ ต.ท่าฉลอม สมุทรสาคร
การปฏิรูปสังคม เดิมสังคมไทยมีระบบไพร่ไว้ควบคุมกำลังคน ทำการผลิตในยามปกติ เป็นไพร่พลรบในยามสงคราม ขุนนางที่มีอำนาจ ตำแหน่งสูง สามารถมีไพร่พลมากในสังกัด ไม่เป็นผลดีต่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ จึงทรงยกเลิกระบบไพร่ ทาส ใช้ระบบการเกณฑ์ทหาร มาควบคุมไพร่พลแทน ใน พ.ศ. 2448 ผล-ไพร่ทาส ส่วนใหญ่เปลี่ยนฐานะเป็นชาวไร่ ชาวนา เป็นเสรีชนในสังคมใหม่
การปฏิรูปการศึกษา ทรงตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบขึ้นในวัง เพื่อให้การศึกษาแผนใหม่แก่พระราชวงศ์ บุตรหลานขุนนาง (พ.ศ.2414) จัดตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรสามัญชนตามวัดต่าง ๆ เริ่มด้วย โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในกรุงเทพ ฯ พ.ศ. 2427 และได้ขยายไปหัวเมืองทั่วราชอาณาจักร ทุนเล่าเรียนหลวง จัดตั้ง ร.ร.ข้าราชการพลเรือน ร.ร.ยันตรกรรม ร.ร.แพทยาลัย ร.ร.กฎหมาย ร.ร.ฝึกหัดครู (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) / ร.ร.นายร้อย ร.ร.นายเรือ ร.ร.แผนที่ ร.ร.การไปรษณีย์โทรเลข
การปฏิรูปทางการศาลและกฎหมายการปฏิรูปทางการศาลและกฎหมาย กฎหมายไทยยังล้าหลังในสายตาต่างชาติตะวันตก จึงทรงให้ยกเลิกบทลงโทษแบบจารีตนครบาล กระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ในการจัดระบบศาล จัดทำประมวลกฎหมายขึ้นใหม่ตามแบบสากล พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าลูกยาเธอเป็นกำลังสำคัญ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย
การเลิกทาส แนวพระราชดำริ การมีทาสเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจของชาติ ความป่าเถื่อน ไม่ยุติธรรมในสังคม ต่างชาติดูถูกคนไทย ว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน โดยดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนไม่ให้กระทบผลประโยชน์ของนายเงิน และตัวทาสเอง การตรากฎหมายการเลิกทาส พ.ศ.2417 ลดค่าตัวของทาสให้ต่ำลงเพื่อให้ไถ่ถอนเป็นอิสระง่ายขึ้น พ.ศ.2448 จึงทรงตราพระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124
การปฏิรูปการคลัง หอรัษฎากรพิพัฒน์*จัดการรายรับ-รายจ่ายของแผ่นดิน กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ พ.ศ. 2433*รวบรวมการจัดเก็บรายได้ทั้งปวงให้มารวมที่เดียวกัน เปิด สนง.รับฝาก-ให้กู้เงิน “บุคคลัภย์” (BookClub) 2447 ก่อตั้ง “แบงค์สยามกัมมาจลทุนจำกัด” 2449
การเปลี่ยนแปลงระบบการเงินการเปลี่ยนแปลงระบบการเงิน ในรัชกาลที่ 5 ยกเลิกเงินพดด้วง ให้ใช้เงินเหรียญบาท เหรียญสลึง เหรียญสตางค์แทน มีหน่วยเงินตราใหม่ 100 สตางค์ = 1 บาท ใช้ธนบัตรครั้งแรก พ.ศ. 2445 รุ่นแรกราคาต่ำสุด 5 บ. สูงสุด 1,000 บ.
ผลจากการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2435 4. กรุงเทพ ฯเป็น ศูนย์กลางแห่งอำนาจ ที่แท้จริง 1. เกิดการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง K มีอำนาจสูงส่งขึ้น 2. เป็นการสร้าง “รัฐชาติ” สำเร็จประชาชนรวมศูนย์ผูกพันกัน 3. รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ
กลุ่มหัวก้าวหน้า ร.ศ.103 แนวคิดประชาธิปไตยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สถานการณ์บ้านเมืองก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง เทียนวรรณ ก.ศ.ร.กุหลาบ