560 likes | 685 Views
การเตรียมความพร้อมด้านการค้าและการลงทุนภาคการประมงของไทยเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน. ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงต่างประเทศ 21 กันยายน 2555. Outline. การเตรียมความพร้อมของไทยเพื่อรองรับการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้ความตกลงอาเซียน
E N D
การเตรียมความพร้อมด้านการค้าและการลงทุนภาคการประมงของไทยเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนการเตรียมความพร้อมด้านการค้าและการลงทุนภาคการประมงของไทยเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงต่างประเทศ 21 กันยายน 2555
Outline การเตรียมความพร้อมของไทยเพื่อรองรับการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้ความตกลงอาเซียน การเตรียมความพร้อมด้านการค้าสินค้าประมงเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
การเตรียมความพร้อมของไทยเพื่อรองรับการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้ความตกลงอาเซียนการเตรียมความพร้อมของไทยเพื่อรองรับการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้ความตกลงอาเซียน
การค้าสินค้าประมงไทยกับอาเซียนการค้าสินค้าประมงไทยกับอาเซียน • มูลค่าการค้ากับกลุ่ม ASEAN23,705 ล้านบาท (8% ของทั้งหมด) • นำเข้าจากกลุ่ม ASEAN 11,755 ล้านบาท (17% ของทั้งหมด) • ส่งออกไปกลุ่ม ASEAN 11,950 ล้านบาท (5% ของทั้งหมด) 4
กรอบความตกลงเขตการลงทุนอาเซียน (the Framework Agreement on ASEAN Investment Area: AIA) - มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2541 ไทยต้องเปิดเสรีลงทุนในกิจการ ๓ สาขา คือ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การทำไม้จากป่าปลูก และการเพาะขยายปรับปรุงพันธุ์พืชภายใน 1 มกราคม 2553อนุญาตให้นักลงทุนอาเซียนถือหุ้นประกอบกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในไทยได้สูงสุด 100% ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement: ACIA) เป็นความตกลงฉบับใหม่ ลงนามเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2552 และ มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม 2555 ให้สมาชิกอาเซียนเปิดเสรีการลงทุนตามความสมัครใจ โดยเลือกเปิดในสาขาที่มีความพร้อมตามกรอบระยะเวลาใน AEC Blueprint แต่ สมาชิกจะต้องเปิดการลงทุนไม่น้อยกว่าพันธกรณีที่ผูกพันไว้ภายใต้ความตกลง AIA เดิม การเปิดเสรีการลงทุนสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย ภายใต้ความตกลงของอาเซียน 5
เมื่อกลางปี 2552 เนื่องจากมีเกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องของไทยได้แสดงความกังวลว่าการเปิดเสรีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2553 เห็นชอบให้ชะลอการเปิดเสรีการลงทุนตามรายการยกเว้นชั่วคราว (TEL) ในกิจการ 3 สาขา คือ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การเพาะขยายและการปรับปรุงพันธุ์พืช และการทำไม้จากป่าปลูก และได้มีการจัดตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการเปิดเสรีการลงทุนในกิจการ 3 สาขา และกำหนดมาตรการรองรับ และมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนดังกล่าว โดยมีเลขาธิการ BOI เป็นประธาน และมีผู้แทนกรมประมงร่วมเป็นคณะทำงาน ด้วย การเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย ภายใต้ความตกลงของอาเซียน(ต่อ) 6
เนื่องจากมีสมาชิกอาเซียนหลายประเทศไม่สามารถดำเนินการได้ตามพันธกรณีดังกล่าว ดังนั้น เมื่อเดือนมีนาคม 2553 อาเซียนจึงมีมติให้ผ่อนปรน โดยเห็นชอบให้สมาชิกอาเซียนสามารถนำรายการยกเว้นชั่วคราว (TEL) ภายใต้ความตกลง AIA ที่เดิมผูกพันให้ต้องเปิดเสรีการลงทุนตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 (ของไทย มี 3 สาขา รวมสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ )มาทยอยเปิดเสรี โดยผ่อนปรนข้อจำกัดต่างๆ ให้กับนักลงทุนอาเซียนมากขึ้น เป็นระยะ ๆตามกรอบระยะเวลาภายใต้ความตกลง ACIA โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเสรีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 100 % การเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย ภายใต้ความตกลงของอาเซียน(ต่อ) 7
จากแนวทางดังกล่าวของอาเซียน ไทยได้ผูกพันการเปิดเสรีการลงทุนภายใต้ความตกลง ACIAโดยอนุญาตให้นักลงทุนอาเซียนสามารถเข้ามาถือหุ้นในกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเฉพาะ 2 สาขาย่อย คือ 1) สาขาการเพาะเลี้ยงทูน่าในกระชังน้ำลึก2) สาขาการเพาะเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ชนิดพันธุ์ท้องถิ่นในประเทศไทย ที่ได้จากการเพาะพันธุ์ (6 ชนิดพันธุ์) ได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 51 และ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขอื่นๆ ที่กำหนด การเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย ภายใต้กรอบอาเซียน(ต่อ) 8
ไทยมีเกษตรกรรายย่อย 80-90% ที่ต้องพึ่งพิงรายได้จากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นรายได้หลัก ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยรวม ปี 2553 จำนวน 1.38 ล้านตัน หรือ 36% ของผลผลิตสัตว์น้ำทั้งหมด มีมูลค่าผลผลิต 78,023 ล้านบาท ปี 2553 มีฟาร์มเพาะเลี้ยงน้ำจืดกระจายทั่วประเทศ 547,178 ฟาร์ม โดย 80% เป็นฟาร์มขนาดเล็ก และ 20% เป็นฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทำการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ การเพาะเลี้ยงชายฝั่ง ส่วนใหญ่เป็นการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล โดย ปี 2553 มีฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล 29,000 ฟาร์ม ซึ่ง 85% เป็นผู้เพาะเลี้ยงรายย่อย ผลผลิตเฉลี่ย 500,000 ตัน/ปี โดยผลผลิตกว่า 90% ส่งออก การเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย ภายใต้กรอบอาเซียน(ต่อ) 9
เพื่อเตรียมความพร้อมกำหนดแนวทางรองรับการเปิดเสรีการลงทุนภายใต้กรอบอาเซียน ในอนาคตกรมประมงได้จัดจ้างสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดำเนินการศึกษาผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการกำหนดทิศทาง และนโยบายการตัดสินใจต่อการเปิดเสรีการลงทุน รวมทั้งการจัดทำมาตรการรองรับและการเยียวยาผลกระทบโดยใช้งบประมาณกรมประมง จำนวน 2 ล้านบาท การศึกษาผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้กรอบอาเซียน 10
ผลการศึกษาผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้กรอบอาเซียน ระยะที่ 1 ทำการศึกษาโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) 11
ผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผลกระทบทางบวก 1. สร้างรายได้ สร้างการจ้างงานในภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ /อุตสาหกรรมต่อเนื่อง 2. เพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในไทย 3. การถ่ายโอนเทคโนโลยี (กรณีที่มีไทยร่วมทุนด้วย) ซึ่งมีส่วนช่วย สนับสนุนการพัฒนาภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย
ผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผลกระทบทางลบ • ด้านเศรษฐกิจ • ราคาสัตว์น้ำที่ผลิตในประเทศ • การจัดการ Balanced Demand–Supply • ความสามารถในการแข่งขันเกษตรไทย โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย • ด้านสังคม • วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร • ต่างชาติเข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยใช้ Nominee • ปัญหาการจ้างแรงงานข้ามชาติ
ผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำผลกระทบจากการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผลกระทบทางลบ (ต่อ) • ด้านสิ่งแวดล้อม • ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม • ปัญหาโรคระบาดสัตว์น้ำ • ปัญหาสัตว์น้ำชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien Species) • ผลกระทบต่อการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่น และความหลากหลายทางชีวภาพ
มาตรการรองรับการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมาตรการรองรับการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประเด็นที่ ๑ : เกษตรกรรายย่อยด้อยความสามารถในการแข่งขัน ขาดแคลนเงินทุนและเทคโนโลยี มาตรการที่ ๑.๑เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรรายย่อย ฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะการเพาะเลี้ยงและการบริหารจัดการ โดยเน้นร่วมมือกับชุมชน มาตรการที่ ๑.๒เสริมสร้างศักยภาพของเกษตรกรส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร สร้างระบบคลัสเตอร์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มาตรการที่๑.๓ จัดทำระบบประกันภัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มาตรการที่๑.๔จัดตั้งกองทุนรองรับผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกร
มาตรการรองรับการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ต่อ) ประเด็นที่ ๒ : การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มาตรการที่๒.๑ส่งเสริมการวิจัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่ม
มาตรการรองรับการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ต่อ) ประเด็นที่ ๓ : การให้ความรู้และข้อมูลการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มาตรการที่ ๓.๑เผยแพร่ข้อมูล โดยจัดประชุมสัมมนาระหว่างเกษตกร ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน มาตรการที่ ๓.๒เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อที่เกษตรกรเข้าถึงได้ง่าย เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ มาตรการที่ ๓.๓จัดประชุมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการกำหนดแนวทางตั้งรับและใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำฯ
มาตรการรองรับการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ต่อ) ประเด็นที่ ๔ : การแข่งขันกับธุรกิจต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทย และการปกป้องเกษตรกรรายย่อย มาตรการที่ ๔.๑ แยกการเพาะเลี้ยงเป็นสองระดับ คือ 1) การเพาะเลี้ยงของเกษตรกรรายย่อย ที่ผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศ ซึ่งต้องการการปกป้อง และการสร้างความสามารถในการผลิต และ 2) ผู้ประกอบการรายใหญ่เพื่อการส่งออกต้องทำตามเงื่อนไขการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่กำหนด เช่น การจัดทำแผนการลงทุน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) การตรวจรับรองมาตรฐานฟาร์ม เป็นต้น
มาตรการรองรับการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ต่อ) ประเด็นที่ ๔ : (ต่อ) มาตรการที่ ๔.๒กำหนดเงื่อนไขการเข้ามาลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยยึดหลักการคุ้มครองเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย และวิถีชุมชน โดยกระจายอำนาจให้องค์การปกครองท้องถิ่น (อปท.) บริหารจัดการร่วมกับกรมประมง มาตรการที่ ๔.๓ร่วมมือกับ อปท. ในการบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่
มาตรการรองรับการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ต่อ) ประเด็นที่ ๕ : ผลกระทบต่อความเสื่อมโทรมของทรัพยากร มาตรการที่ ๕.๑กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติ/ผู้ประกอบการรายใหญ่ ต้องทำแผนการลงทุน การประเมินผลกระทบ EIA , SIA, HIA มาตรการที่ ๕.๒กำหนดมาตรการเงื่อนไขการเข้ามาลงทุน โดยยึดหลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอาจยกเว้น การทำ EIA, SIA, HIA สำหรับเกษตรกร/ผู้ประกอบการรายย่อย มาตรการที่ ๕.๓ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการใช้ทรัพยากรในพื้นที่
มาตรการรองรับการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ต่อ) ประเด็นที่๖ : ปัญหากรรมสิทธิ์ที่ดิน มาตรการที่ ๖.๑บังคับใช้กฎหมายการถือครองที่ดินที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ มาตรการที่ ๖.๒กระจาย/ถ่ายโอนอำนาจให้องค์กรปกครองท้องถิ่นมีส่วนร่วมกำกับดูแลการเข้ามาใช้ที่ดิน
มาตรการรองรับการเปิดเสรีการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ต่อ) ประเด็นที่ ๗ : การกำกับดูแลการเข้ามาลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ของนักลงทุนอาเซียน/ต่างชาติ มาตรการที่ ๗.๑ กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนต้องขึ้นทะเบียนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และให้มีหน่วยงานหลัก คือ กรมประมง ทำหน้าที่กำหนดเกณฑ์การพิจารณามาตรการและกำกับดูแลการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มาตรการที่ ๗.๒ กำหนดมาตรการโดยยึดหลักการคุ้มครองเกษตร/ผู้ประกอบการรายย่อย และวิถีชุมชนท้องถิ่น โดยกระจายอำนาจให้ อปท. บริหารจัดการร่วมกับกรมประมง
แนวทางการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแนวทางการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จากผลการศึกษาของ TDRI ในเบื้องต้นเห็นว่า สัตว์น้ำที่สามารถเปิดเสรีให้ ต่างชาติมาลงทุนได้ คือ ปลากะรัง (เฉพาะการเพาะพันธุ์) และปลานิลแดง หลังจากเปิดเสรีการลงทุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนแล้ว ๓ ปี ควรมีการ ทบทวนผลดีผลเสียที่เกิดขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งประเทศ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หากมีผลเสียมากกว่าผลดี ควรดำเนินการ เจรจาในระดับอาเซียนเพื่อขอยกเลิกการเปิดเสรีในสาขานั้นๆ ???
โอกาสที่ไทยไปลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ที่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนไทยควรเข้าไปลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คือ พม่า ลาว กัมพูชา บูรไน อินโดนีเซีย (ภายใต้ความร่วมมือ IMT-GT)
ประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพและคาดว่าจะเข้ามาลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในประเทศไทย สิงคโปร์: ประเทศมีศักยภาพด้านเงินทุน และไม่มีพื้นที่ในการเพาะเลี้ยง จึงใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนเพื่อผลิตสัตว์น้ำ มาเลเซีย: ประเทศมีศักยภาพด้านการลงทุน มีนโยบายและเป้าหมายการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำที่ชัดเจน เวียดนาม:เข้ามาลงทุนในเบื้องต้น เพื่อนำเอาความรู้และเทคโนโลยีไปใช้ในประเทศตน
การบริหารจัดการเพื่อการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยหน่วยงานของภาครัฐ – กรมประมง !! ก) ด้านการเตรียมการกำกับดูแลการลงทุนอาเซียนในประเทศไทย 1) รวมรวมและเผยแพร่กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 2) จัดทำเกณฑ์พิจารณาการให้อนุญาต (เชิงเทคนิค) การเข้ามาลงทุนโดยต่างชาติแล้วแจ้งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและ BOI ทราบ 3) จดทะเบียนเพื่อกำกับดูแลและติดตามให้ปฏิบัติและเป็นไปตามมาตรการที่กำหนดไว้ กำหนดให้มีหน่วยงานในสังกัดกรมประมง ทำหน้าที่กำกับดูแลการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีขอบเขตหน้าที่:
การบริหารจัดการเพื่อการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยหน่วยงานของภาครัฐ – กรมประมง !! (ต่อ) ก) ด้านการเตรียมการกำกับดูแลการลงทุนอาเซียนในประเทศไทย (ต่อ) 4) ประสานกับ อปท. ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 5) ประสานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลการเข้ามาลงทุนไม่ให้เกิดผลกระทบทางลบต่อเกษตรกร กำหนดให้มีหน่วยงานในสังกัดกรมประมง ทำหน้าที่กำกับดูแลการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีขอบเขตหน้าที่:
การบริหารจัดการเพื่อการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยหน่วยงานของภาครัฐ – กรมประมง !! (ต่อ) ข) ด้านการเตรียมการให้นักลงทุนไทยเพื่อการลงทุนในอาเซียน 1) รวบรวมข้อมูล กฎระเบียบ ขั้นตอนการขอเข้าไปลงทุนและเผยแพร่ให้แก่นักลงทุนไทย เพื่อเป็นแนวทางในการลงทุน 2) จัดโครงการนำร่องนำนักลงทุนที่สนใจ เข้าไปสังเกตพื้นที่และโอกาสการลงทุนในประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น อาทิ พม่า กัมพูชา ลาว บรูไน อินโดนีเซีย 3) แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีร่วมกันกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น รวมถึงพัฒนาช่องทางการตลาดเพื่อการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เหมาะสมและยั่งยืนในภูมิภาค กำหนดให้มีหน่วยงานในสังกัดกรมประมง ทำหน้าที่กำกับดูแลการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีขอบเขตหน้าที่:
การบริหารจัดการเพื่อการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยหน่วยงานของภาครัฐ – กรมประมง !! (ต่อ) ค) ด้านการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง 1) ให้ข้อมูลการเปิดเสรีการลงทุนแก่เกษตรกร 2) ฝึกอบรมเทคนิคการเพาะเลี้ยงที่มีต้นทุนต่ำและผลผลิตสูงได้คุณภาพให้แก่เกษตรกรรายย่อย 3) จัดประชุม/สัมมนา/ฝึกอบรม เพื่อพัฒนาการรวมกลุ่มให้แก่เกษตรกรเพื่อพัฒนาศักยภาพการพัฒนาในธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กำหนดให้มีหน่วยงานในสังกัดกรมประมง ทำหน้าที่กำกับดูแลการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีขอบเขตหน้าที่:
การบริหารจัดการเพื่อการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยหน่วยงานของภาครัฐ – กรมประมง !! (ต่อ) ง.) ด้านการเตรียมความพร้อมบุคลากรภาครัฐ 1) จัดประชุม/สัมมนา/ฝึกอบรม เพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรภาครัฐที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเปิดเสรีการลงทุน เพื่อสามารถเตรียมการองรับและเยียวยาผลกระทบฯ 2) กรมประมงจัดตั้งคณะกรรมการ/คณะทำงาน เพื่อจัดทำมาตรการรองรับ การเปิดเสรีการลงทุนทั้งที่อาเซียนเข้ามาลงทุนในไทย และที่ไทยไปลงทุนในอาเซียน กำหนดให้มีหน่วยงานในสังกัดกรมประมง ทำหน้าที่กำกับดูแลการเปิดเสรีการลงทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีขอบเขตหน้าที่:
การเตรียมความพร้อมด้านการค้า สินค้าประมงเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขัน ของสินค้าประมงเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน สำหรับตลาดอาเซียนและตลาดโลก สินค้ากุ้งทะเล สินค้าทูน่า สินค้าปลานิล สินค้ากุ้งก้ามกราม
การวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขันของสินค้ากุ้งทะเลการวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขันของสินค้ากุ้งทะเล เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เปรียบเทียบตลาดอาเซียน/ตลาดโลก ปัจจัยในการวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขัน Competitiveness factor ทั้งในตลาดอาเซียน /ตลาดโลก
การวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขันของสินค้ากุ้งทะเลการวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขันของสินค้ากุ้งทะเล เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การวิเคราะห์ตำแหน่งความสามารถในการแข่งขันของสินค้ากุ้งทะเลของไทย ตลาดโลก ตลาด ASEAN
แนวทางการพัฒนาสินค้ากุ้งทะเล (1) 1. นโยบายภาครัฐ 1.1) ด้านแรงงาน : นโยบายโน้มน้าวให้แรงงานต่างด้าวยังคงทำงานในไทย หรือส่งเสริมแรงงานไทย ทดแทนแรงงานต่างด้าวในโรงงานแปรรูปเบื้องต้น ด้วยสหกรณ์กลุ่มแม่บ้านในพื้นที่ 1.2) ด้านกฎระเบียบ : ทบทวนประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่กำหนดให้ฟาร์มเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ 2. การศึกษาวิจัยและพัฒนา (R&D) :เช่น การปรับปรุงพันธุ์กุ้งทะเล ส่งเสริมการศึกษาวิจัยแก่นักวิชาการไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน
แนวทางการพัฒนาสินค้ากุ้งทะเล (2) 3. ระบบ Logistic : สร้างระบบ Logistic เชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศไทยและพม่า 4. การยอมรับของตลาด : ประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างสม่ำเสมอทั้งในและต่างประเทศ สร้าง Country Branding 5. ต้นทุนการผลิต : ควบคุมดูแลภาษีปัจจัยการผลิต สนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการทดแทนแรงงาน ควบคุมราคาปัจจัยการผลิต
แนวทางการพัฒนาสินค้ากุ้งทะเล (3) 6. มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการภาษี (NTB) เร่งเจรจา FTA ไทยกับ EU เพื่อชดเชยการถูกตัดสิทธิ GSP เจรจามาตรการ AD กับ USA 7. การสร้างแรงจูงใจในการผลิต สร้างเสถียรภาพราคาขายกุ้งในประเทศ รัฐควบคุมดูแลต้นทุนการผลิตให้อยู่ในระดับเหมาะสม สร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกร
ภาพรวมปัญหาการศักยภาพแข่งขันของสินค้าทูน่าของไทยภาพรวมปัญหาการศักยภาพแข่งขันของสินค้าทูน่าของไทย วัตถุดิบทูน่า 80% นำเข้าจากต่างประเทศ และราคาวัตถุดิบทูน่าสูงขึ้น ใช้แรงงานจำนวนมาก ต้องนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ค่าจ้างแรงงานของไทยสูงกว่าประเทศอาเซียนคู่แข่ง กฎระเบียบภาครัฐบางประการเป็นอุปสรรคต่อภาคอุตสาหกรรม ระบบโลจิสติกส์ของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ไทยจะถูกตัดสิทธิ GSP จากสภาพยุโรป เป็นต้น การวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขัน ของสินค้าทูน่าเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (1)
การวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขัน ของสินค้าทูน่าเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (2) ปัจจัยในการวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขัน Competitiveness factor ทั้งในตลาดอาเซียน /ตลาดโลก
การวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขัน ของสินค้าทูน่าเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (3) การวิเคราะห์ตำแหน่งความสามารถในการแข่งขันของสินค้าทูน่าของไทย ตลาดโลก ตลาดอาเซียน 14.29 % High New Wave New Wave Star Star High Opportunity Opportunity Attractiveness Attractiveness 26.90 % 7.74% 24.89 % Low FallingStar QuestionMark FallingStar QuestionMark Trouble Trouble Low 67.33 % 67.33 % อัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าสินค้าทูน่าของตลาดโลกเฉลี่ย 5 ปี= 7.74 % อัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าสินค้าทูน่าของอาเซียนเฉลี่ย 5 ปี= 26.90 % Competitiveness Competitiveness อัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกสินค้าทูน่าของไทยไปตลาดโลกเฉลี่ย 5 ปี = 14.29 % อัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกสินค้าทูน่าของไทยไปอาเซียนเฉลี่ย 5 ปี = 24.89 %
แนวทางการพัฒนาสินค้าทูน่า (1) 1. วัตถุดิบ: • สนับสนุนการทำประมงร่วม (Joint venture) • ส่งเสริมการย้ายฐานการผลิตทูน่า lions ในประเทศอื่นที่มีแหล่งวัตถุดิบสำคัญ หรือประเทศได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร • สนับสนุนการเจรจากับประเทศที่มีทรัพยากรทูน่าอุดมสมบรูณ์ เพื่อขยายโอกาสและสิทธิพิเศษให้กับผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทูน่า 2. แรงงาน • ย้ายฐานการผลิตทูน่า loins ในประเทศอื่นๆ ที่เป็นแหล่งวัตถุดิบ เพื่อลดการใช้แรงงาน • ทบทวนและปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับการจ้างแรงงานต่างด้าวให้เหมาะสม อาทิ • อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวทำงานในเขตพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนฯ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) • ขยายระยะเวลา/อายุใบอนุญาตการทำงานของแรงงานต่างด้าว
แนวทางการพัฒนาสินค้าทูน่า (3) 3. กฎระเบียบของภาครัฐ • ปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการอนุญาตนำเข้า และการตรวจสอบวัตถุดิบภายหลังการตรวจปล่อย(Post Audit) ให้เหมาะสม • ปรับปรุงพิกัดศุลกากรสินค้าทูน่า loins ให้อยู่ในพิกัดสินค้าวัตถุดิบ แทนที่จัดอยู่ในพิกัดสินค้าอาหารแปรรูปเช่นในปัจจุบัน 4. เทคโนโลยีการจับ • ปรับปรุงและพัฒนากองเรือประมงทูน่าของประเทศ อาทิ - จัดทำโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องมือประมงอวนลาก เป็นอวนล้อมจับ - จัดทำโครงการฝึกอบรมไต้ก๋ง/ลูกเรือ ทำประมงอวนล้อม
แนวทางการพัฒนาสินค้าทูน่า (5) 5. มาตรการทางภาษี(การถูกตัดสิทธิ GSP จาก EU) • เจรจาเขตการค้าเสรี ( FTA) ไทย - สหภาพยุโรป โดยเจรจาให้สหภาพยุโรปลดภาษีสินค้าทูน่าแปรรูป เพื่อชดเชยหรือทดแทนกรณีที่ไทยต้องเสียสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรป • ขยายฐานการผลิตและการลงทุนอุตสาหกรรมทูน่าแปรรูปในประเทศอื่นๆ ที่ได้สิทธิพิเศษทางภาษีเช่น เวียดนาม ที่ยังได้รับสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรป หรือประเทศในกลุ่ม ACP เป็นต้น 6. ระบบโลจิสติกส์ (Logistics) • อำนวยความสะดวกพิธีการศุลกากรรวมทั้งการพัฒนาระบบ NationalSingleWindowและ ASEANSingleWindow • สร้างอำนาจการต่อรองในการใช้บริการขนส่งทางเรือของผู้ผลิตและส่งออกไทย และพัฒนาระบบการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศของไทย • พัฒนาระบบท่าเรือน้ำลึก/ท่าเทียบเรือให้รองรับการเข้าเทียบท่าของเรือประมงได้มากขึ้น และปรับปรุงระบบการขนส่งที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
แนวทางการพัฒนาสินค้าทูน่า (7) 7. มาตรการและอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) • เจรจาเพื่อแก้ปัญหามาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) • สนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยเป็นข้อมูลประกอบการเจรจา • แนวทางการแก้ปัญหาการออกกฎระเบียบเพื่อต่อต้านการทำประมง IUUอาทิ ภาครัฐเจรจาแก้ปัญหาร่วมกับประเทศผู้ผลิต/จับปลาทูน่าที่ไม่สามารถออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ (Catch Certificate)ควรเจรจาให้สหภาพยุโรปพิจารณาให้ความช่วยเหลือกับประเทศเหล่านี้ให้สามารถดำเนินการในฐานะ Competent Authority ได้ในอนาคต เป็นต้น
การวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขัน ของสินค้าปลานิลเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (1) • สภาพทั่วไปและปัญหา • สินค้าปลานิลไทยผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ 90 %และส่งออก 10% • ต้นทุนและราคาขายในประเทศสูงกว่าราคาที่มีการซื้อขายในต่างประเทศ • ตลาดส่งออกหลักของไทยอยู่นอกอาเซียน คือ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 77% สหรัฐอเมริกา 7% กลุ่มประเทศอาเซียน 5% กลุ่มประเทศยุโรป 5% กลุ่มประเทศแอฟริกา 4% และอื่นๆ 2%
New Wave New Wave Opportunity Opportunity Star Star Question Mark Question Mark Trouble Trouble Falling Star Falling Star 60.67% 66.67% Competitiveness Competitiveness การวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขันของสินค้าปลานิล เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ตลาดอาเซียน ตลาดโลก 40.12 -4.42 Attractiveness 8.74 -8.84 Attractiveness
แนวทางการพัฒนาสินค้าปลานิล (1) 1. การเป็นฐานผลิตร่วมในอาเซียน ทำบันทึกความร่วมมือกับประเทศที่มีศักยภาพในด้านต่างๆ ได้แก่ การผลิตลูกพันธุ์ปลานิลพันธุ์ดี การผลิตอาหารปลานิล และแหล่งการเลี้ยงปลานิลคุณภาพ สำรวจกำลังการผลิตโครงสร้างของราคา ต้นทุนอาหาร การผลิตลูกพันธุ์ปลา กำลังการซื้อ และการอุดหนุนการส่งออกของแต่ละประเทศ เพื่อวิเคราะห์ระดับการผลิตของประเทศไทย พัฒนาระบบการเคลื่อนย้ายและขนส่งปัจจัยการผลิตและผลผลิต และเชื่อมโยงพิธีการศุลกากรภายในภูมิภาค
แนวทางการพัฒนาสินค้าปลานิล (3) 2. การดูแลเกษตรกรรายย่อย พัฒนาเจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์น้ำให้สามารถตรวจสอบคุณภาพขั้นต่ำของสัตว์น้ำ (Minimum Requirement) การตรวจสอบและสุ่มตัวอย่างสัตว์น้ำ เพื่อดูความเสี่ยงด้านโรคระบาดสัตว์น้ำด้านความปลอดภัยอาหาร ถ่ายทอดความรู้ การตรวจคุณภาพขั้นต่ำของสัตว์น้ำ ให้กับเกษตกร สร้างแรงจูงใจในการเข้าสู่ระบบมาตรฐานฟาร์ม และปรับปรุงฐานข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน สนับสนุนการรวมกลุ่มขายผลผลิตในตลาดกลาง สนับสนุนธุรกิจ SME ซึ่งผลิตวัสดุอุปกรณ์สำหรับการเพาะเลี้ยงปลานิลให้เข้มแข็ง เพื่อสนับสนุนภาคการผลิต
แนวทางการพัฒนาสินค้าปลานิล (6) 3.การเป็น Processing Hub (1) สนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายใหญ่นำเข้าวัตถุดิบจากอาเซียนมาแปรรูป เพิ่มมูลค่าเพื่อส่งออก สำรวจข้อมูลการค้าปลานิลแต่ละประเทศเพื่อกำหนดผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน ตรงกับความต้องการของตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ โดยถ่ายทอดการแปรรูปปลานิลให้กับธุรกิจโรงงานขนาด SMEและเกษตรกรรายย่อยให้พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ(OTOP) ทำบันทึกความร่วมมือในการร่วมกันตรวจสอบ "คุณภาพขั้นต่ำ"(Minimum Requirement) สำหรับวัตถุดิบนำเข้าเพื่อการแปรรูปในระดับรัฐบาล และระดับผู้ปฏิบัติ
แนวทางการพัฒนาสินค้าปลานิล (8) 4.การผลิตปลานิล Premium เพื่อ Niche Market (1) กำหนดพื้นที่เลี้ยงปลานิลเพื่อการส่งออก (Zoning) ส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีการเลี้ยง การผลิตอาหาร การให้อาหาร และการควบคุมป้องกันโรคปลานิล และเทคโนโลยีหลังการจับเพื่อเพิ่มมูลค่า เร่งพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงปลานิล ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์สินค้าปลานิล สนับสนุนการรวมกลุ่มเกษตรกร ในระบบ Contract farming เพื่อการวางแผนการผลิตปลานิลให้มีปริมาณและคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของโรงงานแปรรูป และตลาดต่างประเทศ
การวิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขัน ของสินค้ากุ้งก้ามกรามเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (1) • สภาพทั่วไปและปัญหา • ปี 2552 มีผลผลิตลดลง เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตสูงจากราคาน้ำมันและอาหารกุ้ง ลูกพันธุ์กุ้งคุณภาพไม่ดี มีอัตราการรอดตายต่ำ (โรคไวรัสระบาดปี 2549) • สินค้าบริโภคสด ไม่ผ่านการแปรรูป • ผลผลิต 70 % จำหน่ายที่ร้านอาหาร