1 / 46

สฤณี อาชวานันทกุล Fringer | คนชายขอบ http://www.fringer.org/ ปรับปรุงจากสไลด์ที่นำเสนอในงานเสวนาเรื่อง “ ชีวิตในท้องนา

แวดวงทางเลือก. สฤณี อาชวานันทกุล Fringer | คนชายขอบ http://www.fringer.org/ ปรับปรุงจากสไลด์ที่นำเสนอในงานเสวนาเรื่อง “ ชีวิตในท้องนากับโลกาภิวัตน์ ” วันที่​ 11 กรกฎาคม 2551 จัดโดย มูลนิธิที่นา ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม และหอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

chinara
Download Presentation

สฤณี อาชวานันทกุล Fringer | คนชายขอบ http://www.fringer.org/ ปรับปรุงจากสไลด์ที่นำเสนอในงานเสวนาเรื่อง “ ชีวิตในท้องนา

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. แวดวงทางเลือก สฤณี อาชวานันทกุล Fringer | คนชายขอบ http://www.fringer.org/ ปรับปรุงจากสไลด์ที่นำเสนอในงานเสวนาเรื่อง “ชีวิตในท้องนากับโลกาภิวัตน์” วันที่​ 11 กรกฎาคม 2551 จัดโดย มูลนิธิที่นา ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม และหอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ณ โรงละครเล็ก หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ • งานนี้เผยแพร่ภายใต้ลิขสิทธิ์ Creative Commons แบบ Attribution Non-commercial Share Alike (by-nc-sa) โดยผู้สร้างอนุญาตให้ทำซ้ำ แจกจ่าย แสดง และสร้างงานดัดแปลงจากส่วนใดส่วนหนึ่งของงานนี้ได้โดยเสรี แต่เฉพาะในกรณีที่ให้เครดิตผู้สร้าง ไม่นำไปใช้ในทางการค้า และเผยแพร่งานดัดแปลงภายใต้ลิขสิทธิ์เดียวกันนี้เท่านั้น

  2. หัวข้อนำเสนอ 1. ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับ “ทางเลือก” ของชุมชน 2. โมเดลที่อาศัยความร่วมมือกันระหว่างรัฐและชุมชน • ระบบจ่ายตรง (Direct Payment) และตัวอย่างจากกัมพูชา • โครงการ CAMPFIRE ในซิมบับเว • การบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนในกานา 3. องค์กรการเงินชุมชนในไทย • พัฒนาการขององค์กรการเงินชุมชน • แนวคิดและการขับเคลื่อน

  3. ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับ “ทางเลือก” ของชุมชน “ทางเลือก” ต้องอยู่ได้และยั่งยืน (viable + sustainable) – ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเลือก เป็นเพียง “มายาคติของเสรีภาพ” กรอบและขอบเขตของ “ทางเลือก” เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามความเปลี่ยนแปลงของบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และองค์ความรู้ เช่น เมื่อต้นทุนของโลกร้อนสูงขึ้น โมเดลการผลิตพลังงานหมุนเวียนระดับชุมชน ก็กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจขึ้นมาได้ ขีดจำกัดหลักๆ ของงานวิจัยเกี่ยวกับโมเดลการพัฒนาทางเลือก ที่ชาวบ้านทำเองหรือทำร่วมกับเอ็นจีโอและ/หรือเจ้าหน้าที่รัฐในประเทศไทยคือ เน้นศึกษาแต่ “กรณีความสำเร็จ” และ “ความเก่ง” ของปัจเจกบุคคล (เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน) มากเกินไป จนสังเคราะห์กระบวนการ และระบบที่จะเอาไป “ผลิตซ้ำ” ยากมาก โลกาภิวัตน์เปิดทางให้กับ “ทางเลือก” ที่อาศัยการร่วมมือระหว่างชุมชนกับ “คนนอก” มากกว่าเดิม 3

  4. ระบบจ่ายตรง (Direct Payment) (ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณเพชร มโนปวิตร รองผู้อำนวยการ สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ประเทศไทย ผู้เขียนคอลัมน์ “โลกสีเขียว” ในโอเพ่นออนไลน์ : http://www.onopen.com/?cat=81)

  5. แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ • สมัยก่อน เป้าหมายหลักด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคือ “การจัดตั้งพื้นที่อนุรักษ์” แต่ในความเป็นจริงพบว่า พื้นที่อนุรักษ์หลายแห่งมักอยู่แค่บนกระดาษ (“Paper Park”) เท่านั้น • แนวทางการอนุรักษ์จึงแตกออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ • แนวทางการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการจัดการพื้นที่อนุรักษ์ของภาครัฐ เน้นการบังคับใช้กฎหมาย สร้างศักยภาพด้านงานวิจัยและพัฒนาบุคลากรในพื้นที่อนุรักษ์ ปัจจุบัน “ล้าสมัย” แล้ว เพราะความสำเร็จขึ้นอยู่กับคุณภาพของเจ้าหน้าที่เป็นหลัก และชุมชนขาดแรงจูงใจที่จะมีส่วนร่วม • แนวทางการจัดการ “คน” ที่อยู่รอบ ๆ พื้นที่อนุรักษ์ เน้นการทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น เสริมสร้างการมีส่วนร่วมและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ เชื่อว่าเมื่อคนอยู่ดีกินดีและมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ที่ดีแล้ว จะไม่เข้าไปทำลายธรรมชาติอีก แนวทางนี้ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางจากทั้ง World Bank และ UNDP เพราะตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจไปพร้อมกัน เป็น “การพัฒนาอย่างยั่งยืน”

  6. แนวทางการอนุรักษ์แบบจัดการ “คน” • แนวทางจัดการ “คน” เกือบจะกลายเป็น กระแสหลัก โดยการบูรณาการอนุรักษ์เข้า กับการพัฒนา (ICDP- Integrated Conservation and Development Project) และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชน ท้องถิ่น (CBNRM- Community-based Natural Resource Management) เป็นวิธีให้ชุมชนที่พึ่งพาการใช้ทรัพยากรอยู่แล้ว มาเป็นผู้ดูแลอนุรักษ์ ใช้ และจัดการทรัพยากรด้วยตัวเอง โดยใช้มาตรการต่าง ๆ ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้างจิตสำนึกและความพร้อมของแต่ละชุมชน • ที่ผ่านมาประสบปัญหาในหลายพื้นที่ เพราะต้องใช้เวลาบ่มเพาะ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และมีต้นทุนมหาศาล

  7. ระบบการจ่ายตรง • งานศึกษาหลายชิ้นตั้งข้อสังเกตว่าแนวทางนี้ล้มเหลว เพราะไม่อาจต้านทานกระแสทุนนิยมได้ สุดท้ายชาวบ้านยังคงทำลายทรัพยากรต่อไป ดังนั้นงบประมาณที่ทุ่มเทไปก็เหมือน “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” • องค์กรอนุรักษ์บางแห่งจึงเริ่มหันกลับใช้ระบบจ่ายตรง (Direct Payment) เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมกับการอนุรักษ์ แทนที่จะต้องไปผ่านกระบวนการสร้างจิตสำนึกหรือเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นเสียก่อน

  8. ระบบการจ่ายตรง • การจ่ายตรง เป็นการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ชุมชนท้องถิ่นหันมาอนุรักษ์ธรรมชาติแทนการทำลาย มีหลายรูปแบบและก่อให้เกิดผลโดยตรงกับการอนุรักษ์แตกต่างกันออกไป • การจ่ายค่าตอบแทนให้คนในชุมชนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ เช่น จ้างพรานให้มาเป็นเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ • การสนับสนุนงบประมาณให้หน่วยงานที่ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ • การสร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านช่องทาง “การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” • การครอบครองกรรมสิทธิ์ในการบริหารจัดการพื้นที่นั้น ๆ เช่น การระดมทุนซื้อพื้นที่ธรรมชาติเพื่อนำมาจัดตั้งเป็นเขตอนุรักษ์เอกชนหรือศูนย์ศึกษาธรรมชาติ

  9. โครงการอนุรักษ์นกน้ำหายากในกัมพูชาโครงการอนุรักษ์นกน้ำหายากในกัมพูชา • NorthernPlains เป็นทุ่งหญ้าธรรมชาติผสม ป่าเต็งรังและพื้นที่ชุ่มน้ำอันอุดมสมบูรณ์ ขนาดใหญ่อยู่ในประเทศกัมพูชา และยังเป็น แหล่งอาศัยและวางไข่ของนกหายากใกล้ สูญพันธุ์หลายชนิด โดยเฉพาะนกช้อนหอยดำ (White-Shouldered Ibis) และนกช้อนหอยใหญ่ (Giant Ibis) ที่ใกล้สูญพันธ์และมีอยู่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้นในโลก • ตั้งแต่ปลาย 1990 เริ่มมีการก่อตัวอย่างเงียบ ๆ ของโครงการ Ecotourism หลายโครงการ หนึ่งในนั้นคือโครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์นกหายาก (Tmatboey Ibis Tourism Site) โดยจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านอันประกอบไปด้วยตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง 9 คน มีหน้าที่หลักคือจัดการ “กองทุนพัฒนาหมู่บ้าน” ในนามของชุมชน

  10. โครงการอนุรักษ์นกน้ำหายากในกัมพูชา (ต่อ) • ดำเนินโครงการหลัก 2 โครงการ • โครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยจัดให้พื้นที่ บริเวณนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยว สำหรับนักดูนก โดยไกด์ท้องถิ่นได้ผลตอบแทนจากการพา นักท่องเที่ยวไปดูนก และเก็บค่าบริการจาก ที่พัก (Home stay), อาหารและเครื่องดื่ม • โครงการปกป้องรังนก (Bird Nest Production Program) เนื่องจากการเก็บไข่นกมาขายเป็นภัย คุกคามที่สำคัญที่สุดต่อความอยู่รอดของนก ในโครงการนี้รัฐจึงให้เงินตอบแทนแก่ชาวบ้านที่ พบรังนกและดูแลรักษารังนกไปจนกว่าลูกนกจะ ออกจากรัง รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ 2 คนคอยดูแลตรวจสอบและติดตามผลงานเต็มเวลา

  11. โครงการอนุรักษ์นกน้ำหายากในกัมพูชา (ต่อ) • เมื่อถึงปี 2004 รัฐจึงออกกฎให้พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ ห้ามล่าสัตว์ • ถ้าสมาชิกคนใดไม่เคารพกฎการรักษารังนกหรือฝ่าฝืนล่านก แผนการท่องเที่ยวทั้งหมดจะถูกยกเลิกทันที หรือไม่ผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกตัดสิทธิจากการได้รับผลประโยชน์ต่าง ๆ • หลังจากดำเนินการมาระยะหนึ่ง โครงการนี้เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มนักดูนก นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะใช้เวลาท่องเที่ยวนานขึ้นทุกปี ทำให้เกิดรายได้หมุนเวียนในชุมชนมากขึ้น • เฉพาะปี 2006 – 2007 การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า $7,000 ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้ 50 เซนต์ต่อวันของชาวกัมพูชาแล้ว นี่ถือเป็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

  12. ผลของโครงการอนุรักษ์นกน้ำหายากในกัมพูชาผลของโครงการอนุรักษ์นกน้ำหายากในกัมพูชา • ประชากรนกมีจำนวนเพิ่มขึ้น ปัญหาการล่านกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งยังสร้างทัศนคติในเรื่องการอยู่ร่วมกับนกของชาวบ้านให้ดีขึ้น เพราะสมาชิกชุมชนรู้ว่านกและสัตว์ป่าอื่นๆ เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว • รายได้จากโครงการนี้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ตกอยู่กับชาวบ้านโดยตรง เป็นการส่งเสริมการสร้างรายได้อย่างถูกกฎหมายให้ชาวบ้าน แทนที่จะต้องเสี่ยงหารายได้จากการล่าหรือขโมยลูกนกซึ่งผิดกฎหมาย

  13. ผลของโครงการอนุรักษ์นกน้ำหายากในกัมพูชา (ต่อ) • สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดสรร พื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ให้กับชาวบ้าน ถือเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เสียต้นทุนน้อยและ มีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ปัจจุบันคณะกรรมการหมู่บ้านสามารถรับผิดชอบ ดูแล และจัดการการท่องเที่ยวได้ด้วยตัวเองเกือบทั้งหมดแล้ว • จุดแข็งของทั้งสองโครงการอยู่ที่การเชื่อมโยงเป้าหมายการอนุรักษ์ เข้ากับแนวทางการดำเนินงานโดยตรง และมีระบบการสำรวจติดตามประชากรนกที่ชัดเจน • ใช้ “เงิน” สร้างแรงจูงใจในทางที่เอื้อต่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

  14. โครงการ CAMPFIRE ในซิมบับเว

  15. วัฒนธรรมชุมชนในซิมบับเววัฒนธรรมชุมชนในซิมบับเว • ชาวบ้านกว่า 5 ล้านคนอาศัยอยู่ใน ‘พื้นที่ชุมชน’ (communal land) ซึ่งกินพื้นที่ กว่าครึ่งประเทศซิมบับเว ทุกคนเป็นสมาชิกเผ่า ซึ่งแต่ละเผ่ามีเสาสลักรูปสัตว์ (totem) ชนิดต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งบ่งบอกว่า ห้ามสมาชิกในเผ่าฆ่าสัตว์ชนิดเดียวกับที่สลักอยู่บนเสาของเผ่าตนเอง • ในชุมชนมีความเชื่อที่ทำหน้าที่เป็นกลไกควบคุมการล่าสัตว์ป่าที่ “ได้ผล” กว่ากฎหมาย เพราะชาวบ้านเชื่อว่าการละเมิดความเชื่อเหล่านี้จะทำให้ฟ้าดินลงโทษ

  16. จารีตท้องถิ่นและความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ในซิมบับเวจารีตท้องถิ่นและความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ในซิมบับเว • พื้นที่ประมาณร้อยละ 12 ของซิมบับเวเป็นพื้นที่สงวนในเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งทับซ้อนกับพื้นที่ชุมชน มีสัตว์ป่าหลายชนิด บางชนิดแพร่พันธุ์เร็วมากจนก่อความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม บางชนิดก็มีปัญหาทางพันธุกรรมจากการผสมพันธุ์กับญาติพี่น้องเชื้อสายเดียวกัน (inbreeding) • เมื่อรัฐสถาปนาอุทยานแห่งชาติชาวบ้านจำนวนมากถูกไล่ที่ จึงไปอาศัยอยู่บริเวณชุมชนในเขตใกล้เคียงที่มีสัตว์ป่าออกมาเดิน ทำลายพืชผล ทำร้ายสัตว์เลี้ยงและบางครั้งก็ทำร้ายมนุษย์ด้วยเสมอ ชาวบ้านจึงไม่มองว่าสัตว์ป่าเป็นทรัพยากรที่มีค่า ควรแก่การอนุรักษ์ • ปัญหานี้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านและเจ้าหน้าที่อุทยาน ทำให้มีการฆ่าทำลายสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมายบ่อยครั้ง

  17. กำเนิดโครงการ CAMPFIRE • CAMPFIRE (Communal Areas Management Program for Indigenous Resources) เป็นโครงการที่รัฐบาลซิมบับเวริเริ่มกลางทศวรรษ 1980 ออกแบบมาเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และการพัฒนาชนบทจากรายได้ที่มาจากสัตว์ป่า สนับสนุนให้ชาวบ้านร่วมกันบริหารจัดการและควบคุมประชากรสัตว์ป่า และระบบนิเวศในชุมชนด้วยตัวเอง เปลี่ยนความคิดของชาวบ้าน ให้มองว่าสัตว์ป่าเป็นทรัพยากรสำคัญ

  18. แหล่งรายได้จากโครงการ CAMPFIRE • สัมปทานล่าสัตว์: รายได้กว่าร้อยละ 90 ในโครงการ CAMPFIRE มาจากการขายสัมปทานล่าสัตว์ให้นักล่าสัตว์มืออาชีพ และผู้ประกอบการซาฟารี ภายใต้โควตาที่รัฐบาลให้ เช่น นักล่าสัตว์ต้องจ่ายเงิน US$12,000 เพื่อล่าช้างและควายป่า แต่ต้องอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของมืออาชีพท้องถิ่นที่ได้รับใบอนุญาต • การล่าสัตว์แบบนี้ถือเป็น ‘การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ’ (ecotourism) ชั้นดี เพราะรัฐไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอุดหนุนนักท่องเที่ยว ทำความเสียหายต่อระบบนิเวศท้องถิ่นน้อยมาก และทำรายได้สูง • ขายสัตว์ป่า:ในพื้นที่ที่มีประชากรสัตว์ป่าจำนวนมาก ชาวบ้านก็ขายสัตว์ป่าให้กับอุทยานแห่งชาติหรือพื้นที่สัตว์สงวนเพื่อสร้างรายได้

  19. แหล่งรายได้จากโครงการ CAMPFIRE (ต่อ) • ขายของป่า: ภายใต้โครงการ CAMPFIRE ชาวบ้านสามารถขายของที่เก็บได้จากในป่า เช่น ไข่จระเข้ ให้กับนักท่องเที่ยวและคนต่างถิ่นได้ • การท่องเที่ยว:ในอดีตรายได้ส่วนใหญ่จากนักท่องเที่ยวตกเป็นของบริษัททัวร์ ไม่ใช่ของชุมชนท้องถิ่น แต่โครงการ CAMPFIRE พัฒนาโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศและเชิงวัฒนธรรม เช่น ทัวร์ดูนก และทัวร์บ่อน้ำพุร้อน โดยจ้างชาวบ้านเป็นไกด์ทัวร์และให้ชาวบ้านบริหารจัดการที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวเอง • ขายหนังและเนื้อสัตว์ป่า: ในบริเวณที่มีสัตว์ป่า เช่น ละมั่ง ชุกชุม กรมอุทยานแห่งชาติก็ดูแลให้ชาวบ้านฆ่าและขายหนังกับเนื้อสัตว์ได้

  20. โครงสร้างการจัดการในโครงการ CAMPFIRE • หมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการ CAMPFIRE จะแต่งตั้ง “คณะกรรมการสัตว์ป่า” (wildlife committee) ซึ่งมีหน้าที่ตรวจนับสัตว์ป่าในบริเวณท้องที่หมู่บ้านของตนทุกเดือน, ลาดตระเวนไม่ให้มีการลักลอบฆ่าสัตว์และให้ความรู้กับชาวบ้านด้วย • รัฐบาลทำหน้าที่ฝึกสอนนักสำรวจ (game scout) เพื่อช่วยสอดส่องดูแลป่าและบริหารประชากรสัตว์ป่า • กรมอุทยานทำหน้าที่จัด workshop ขึ้นทุกปี เพื่อกำหนดโควตาการล่าสัตว์ประจำปีร่วมกันกับชาวบ้าน โดยคำนึงถึงศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับประชากรสัตว์แต่ละชนิด (carrying capacity) • องค์กร World Wildlife Fund (WWF) ช่วยนับจำนวนประชากรสัตว์ป่า โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ • ส่วนเจ้าของบริษัททัวร์ต้องเก็บข้อมูลสัตว์ป่าที่ลูกทัวร์ล่าอย่างละเอียด และรายงานข้อมูลต่อรัฐก่อนที่จะได้รับโควตาใหม่

  21. การบริหารรายได้จากโครงการ CAMPFIRE • สภามณฑล (District Council) เป็นผู้จัดเก็บรายได้จากโครงการและใช้รายได้นั้นตามเกณฑ์ที่โครงการแนะนำ ได้แก่: • 80% ของรายได้มอบให้กับชุมชนท้องถิ่นโดยตรง ซึ่งจะตัดสินใจร่วมกันว่าจะนำเงินไปใช้ทำอะไร • 20% ที่เหลือเป็นของสภามณฑล ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการ CAMPFIRE ในพื้นที่ • ในปี 1993 เพียงปีเดียว 26 มณฑลที่เข้าร่วมโครงการสามารถหารายได้ จากโครงการได้มากกว่า 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐ • ในปีที่รายได้ดีชาวบ้านจะนำรายได้ไปพัฒนาชุมชน เช่น สร้างสถานีอนามัย, ถนนหรือโรงเรียน, ขุดบ่อน้ำบาดาล, จ้างไกด์ ส่วนในปีที่รายได้ไม่ดี ชาวบ้านมักนำเงินไปซื้ออาหาร เช่น ข้าวโพด มาสำรองเพื่อใช้บริโภคยามขาดแคลน • ตั้งแต่ปี 1989 โครงการมีชาวบ้านเข้าร่วมกว่า 250,000 คน

  22. การบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนในกานาการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนในกานา

  23. การ “แปรรูป” รัฐวิสาหกิจ • ปัจจุบันกลุ่มทุนขนาดใหญ่และองค์กรโลกบาลอย่าง IMF และ World Bank มักกดดันรัฐบาลประเทศโลกที่สามให้ “แปรรูป” สาธารณสมบัติแล้วนำมาขายเอากำไร โดยเฉพาะกิจการผูกขาดธรรมชาติ (Natural Monopoly) เช่น กิจการส่งกระแสไฟฟ้า และกิจการส่งน้ำประปา ซึ่งสามารถทำกำไรสูงมากจากการใช้อำนาจผูกขาด • กลุ่มทุนมักจะผลักดันให้รัฐออกกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมการกระทำของตนเพื่อสร้างความชอบธรรม โดยอ้างว่าการแปรรูปจะช่วยเพิ่ม “ประสิทธิภาพ” ของการให้บริการ ส่วน IMF และ World Bank จะผลักดันให้ประเทศลูกหนี้แปรรูป ด้วยการผูกเข้าเป็นเงื่อนไขหนึ่งของเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่ประเทศยากจนมักจะจำเป็นต้องกู้มาพัฒนาประเทศ • การเข้าถึงไฟฟ้าและน้ำประปาแท้จริงแล้วถือเป็น “สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” ที่รัฐมีหน้าที่ผลิตและแจกจ่ายน้ำไฟให้กับประชาชนทุกคนทั่วประเทศ ในราคาย่อมเยา ไม่แสวงหากำไรเหมือนบริษัททั่วไป

  24. ปัญหาของการ “แปรรูป” • การแปรรูปนั้นจะ “ได้ผล” อย่างยั่งยืน ทำประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ ก็ต่อเมื่อตลาดสามารถการันตีว่าจะเกิดการแข่งขันในกิจการนั้นๆ จริง หรือไม่รัฐก็ต้องออกกฎเกณฑ์ควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจผูกขาดในทางที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคได้เท่านั้น • เมื่อใดที่กิจการถูกแปรรูปภายใต้เงื่อนไขอื่น เอกชนจะสามารถขึ้นราคาสินค้าได้เต็มที่ โดยผู้บริโภคไม่มีทางเลือก ทำให้ผู้มีรายได้น้อยต้องเดือดร้อน เงินจำนวนมหาศาลวิ่งเข้าสู่กระเป๋าของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ • เกิดปัญหาต้องแลกได้แลกเสียระหว่าง “ประสิทธิภาพ” กับ “ความเท่าเทียมของโอกาส” กล่าวคือ ถ้าต้องการให้การบริหารมีประสิทธิภาพ ก็ต้องยอมสละความเท่าเทียมในสังคม ในกรณีของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน นั่นหมายถึงการต้องยอมสละสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานด้วย

  25. การต่อสู้กับการ “แปรรูป” น้ำประปาในกานา • ก่อนปี 2538 นโยบายน้ำของรัฐตั้งอยู่บนความจำเป็นของประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นรัฐบาลกานาจึงมุ่งเน้นการให้บริการน้ำประปากับชุมชนที่ยากจนที่สุด เพื่อยกระดับสุขอนามัย • รัฐบาลกานาแยกระบบน้ำประปาของประเทศออกเป็นสองหน่วยธุรกิจ • การประปาส่วนภูมิภาคซึ่งขาดทุนอย่างต่อเนื่อง บริหารโดยองค์กรน้ำเพื่อชุมชน (Community Water Supply Agency – ย่อว่า CWSA) • การประปาในเมืองซึ่งมีกำไร เดิมเป็นของรัฐแต่ตั้งใจแปรรูปให้เอกชนบริหาร • IMF และ World Bank เสนอและสนับสนุนให้รัฐบาลแปรรูปกิจการน้ำประปาในเมืองที่สามารถทำกำไรได้ รัฐบาลกานาจึงออกมาตรการขึ้นค่าน้ำเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแปรรูปน้ำประปาให้เป็นของเอกชน เพราะต้องมีกำไรสูงพอที่จะดึงดูดนักลงทุนเอกชน

  26. ความเดือดร้อนของชาวกานาความเดือดร้อนของชาวกานา • การที่มีบ่อน้ำสะอาดไม่เพียงพอ ส่งผลให้กานามีโรคระบาดมากเป็นอันดับ 2 ของโลก • ในปี 2544 รัฐบาลกานาเป็นหนี้ World Bank และ IMF กว่า 12,000 ล้านบาท จึงประกาศขึ้นค่าน้ำกว่า 95 % เพื่อทำให้กิจการน้ำประปามีผลกำไรดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถขายกิจการให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินมาใช้หนี้ดังกล่าวได้ ส่วนบริษัทเอกชนได้รับอนุญาตให้โอนผลกำไรทั้งหมดกลับประเทศได้ ทำให้ผลประโยชน์ทั้งหมดตกอยู่กับบริษัทข้ามชาติ ในขณะที่ความเสี่ยงทั้งหมดตกอยู่กับประเทศกานา • ถ้าการแปรรูปดำเนินไปตามแผน รัฐบาลจะไม่สามารถนำกำไรจากประปาในเมืองมาอุดหนุนการขาดทุนของประปาชนบทได้ ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกานากับWorld Bank และ IMF เปิดทางให้บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลทางการเมือง เข้ามาแสวงหากำไรในกิจการน้ำ แม้ผลการวิจัยจำนวนมากจะบ่งชี้ว่าการแปรรูปน้ำประปามักส่งผลให้อัตราผู้ป่วยสูงขึ้น เพิ่มช่องว่างทางเศรษฐกิจ และทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมเร็วขึ้นก็ตาม

  27. ความเดือดร้อนของชาวกานา (ต่อ) • World Bank ยังบังคับให้รัฐบาลกานาก่อหนี้เพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในระบบน้ำ ให้กับบริษัทเอกชนที่ชนะประมูล ทำให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระหนี้และดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และยังเสนอให้เงินกู้อีก 400 ล้านเหรียญ เพื่อปฏิรูประบบน้ำประปาที่รัฐเป็นเจ้าของ แต่มีข้อแม้ว่า • ต้องยกเลิกข้อบังคับที่ให้ผู้ใช้น้ำรายใหญ่ที่ร่ำรวยอุดหนุนค่าน้ำให้กับชุมชนที่ยากไร้ • รัฐบาลต้องขายน้ำที่ราคาตลาด • ต้อง “คืนต้นทุนทั้งจำนวน” (full cost recovery) นั่นคือคนที่สามารถจ่ายค่าน้ำเต็มจำนวนเท่านั้นที่ใช้น้ำได้ ส่วนคนที่จ่ายไม่ได้ต้องถูกตัดน้ำ • ชุมชนต่างๆ ต้องอุดหนุนเงินจำนวน 5-10 % ของเงินลงทุนในโครงการน้ำในชนบท แต่หลายครั้งชุมชนมีเงินไม่พอจ่าย ทำให้โครงการต้องหยุดชะงัก • การขึ้นค่าน้ำครั้งนั้นก่อให้เกิดความเดือดร้อนแสนสาหัสไปทั่วประเทศ ลูกๆ ต้องออกจากโรงเรียนเพื่อแม่จะได้มีเงินจ่ายค่าน้ำ ชาวกานาต้องใช้เงินเพื่อซื้อน้ำกว่าวันละ 40 เพนซ์ ซึ่งประมาณเท่ากับรายได้ต่อวัน ทำให้ไม่มีเงินออม ภาระส่วนใหญ่ตกอยู่กับเด็กและผู้หญิงที่ต้องออกไปหาน้ำมาใช้แทนน้ำประปา และเมื่อไม่มีน้ำสะอาดใช้ชาวกานากว่า 70 % ต้องประสบกับโรคระบาดอย่างหนัก • ชาวกานาบางคนตอบโต้ประเด็นการจ่ายค่าน้ำว่า ในเมื่อเขาไม่ได้เงินเดือนในอัตราตลาด แล้วพวกเขาจะจ่ายค่าน้ำในราคาตลาดได้อย่างไร และยังมองว่าพวกเขาอาจจะต้องดื่มอากาศแทนน้ำ

  28. การต่อสู้เพื่ออำนาจของชุมชนการต่อสู้เพื่ออำนาจของชุมชน • รูดอล์ฟ อาเมนก้า-เอเตโก้ (Rudolf Amenga-Etego) อดีตทนายความ อายุ 40 ปี เคยรับว่าความให้กับคนจนหลายรายที่ไม่สามารถจ่าย ค่าน้ำประปา หรือถูกรัฐฟ้องขึ้นศาลในข้อหาแอบใช้น้ำเพื่อยังชีพโดย ผิดกฎหมาย เห็นความเดือดร้อนของประชาชนมามาก เขามองว่าหาก รัฐปล่อยให้น้ำประปาเป็นสินค้าในระบบตลาดเสรี ชาวกานาส่วนใหญ่ จะไม่มีน้ำสะอาดใช้ เพราะจ่ายค่าน้ำไม่ได้ • เขาก่อตั้งแนวร่วมต่อต้านการแปรรูปน้ำแห่งชาติ (National Coalition Against the Privatization of Water : NCAP) ในปี 2001 ทำงานต่อต้านนโยบายแปรรูปของรัฐบาลและยังคิดค้นทางเลือกใหม่ในการบริหารจัดการน้ำโดยไม่ต้องอาศัยการแปรรูป

  29. จุดประสงค์ของแนวร่วมต่อต้านการแปรรูปน้ำแห่งชาติจุดประสงค์ของแนวร่วมต่อต้านการแปรรูปน้ำแห่งชาติ • ต่อต้านโครงการแปรรูปของรัฐบาลกานาที่มี World Bank หนุนหลังอยู่ • สร้างความเข้าใจและตระหนักในกระบวนการการแปรรูปน้ำในกานา • เรียกร้องให้บริษัทที่มีแผนจะเข้ามาประมูลน้ำในกานา ถอนตัวอย่างเร็วที่สุด • เผยแพร่ความรู้และเอกสารเกี่ยวกับการเจรจา การประมูล ข้อตกลงในโครงการ "Service Management Contract" • สร้างความร่วมมือของกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อน้ำ ทั้งในและต่างประเทศ • ศึกษาและเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตเกี่ยวกับการแปรรูปน้ำ • คิดค้นทางเลือกใหม่ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน • กระตุ้นให้ประชาชนมีบทบาทในการตัดสินใจเรื่องการปฏิรูประบบน้ำ • สนับสนุนให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะมีน้ำสะอาดใช้ ภายในปี 2010

  30. การต่อสู้เพื่ออำนาจของชุมชน (ต่อ) • อาเมนก้า-เอเตโก้สนับสนุนให้รัฐบาลและเอ็นจีโอร่วมมือ กับชุมชน เจรจาต่อรองกับรัฐวิสาหกิจที่ผลิตน้ำในเมืองเทมาเล ให้ขายน้ำประปาในราคาขายส่ง และให้ชาวบ้านหมู่บ้านซาเวลูกู ซึ่งเคยมีโรคพยาธิระบาดรุนแรงที่สุดในประเทศ รับผิดชอบการ จ่ายน้ำ เก็บค่าน้ำ บำรุงรักษาระบบน้ำประปา และให้บริการหลัง การขายเอง ชุมชนรู้จะรู้ว่าครอบครัวใดบ้างที่จ่ายค่าน้ำไม่ได้ ก็ยกเว้นให้ไม่ต้องจ่าย โดยมองว่าชุมชนท้องถิ่นควรมีสิทธิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐรับผิดชอบต่อปัญหา เพราะบริษัทเอกชนจะรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นเท่านั้น • มองว่ารัฐควรบริหารจัดการน้ำแต่ให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วม เพราะการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นจะช่วยป้องกันคอร์รัปชั่น ทำให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้ การที่ชุมชนมีอำนาจควบคุมระบบน้ำ ทำให้พวกเขามีแรงจูงใจที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ท่อน้ำระเบิด อย่างทันท่วงที ทำให้ลดปัญหาการจ่ายน้ำเกิน • ชุมชนซาเวลูกูลดราคาค่าน้ำจนถึงระดับที่ชาวบ้านส่วนใหญ่พอจะจ่ายได้

  31. ผลของโมเดลทางเลือก • โรคพยาธิในหมู่บ้านซาเวลูกูลดลงเกือบเป็น 0 และประชากรกว่า 74 % มีน้ำสะอาดใช้ ใน 3 ปีที่ใช้โมเดลนี้ ชาวบ้านเก็บค่าน้ำได้ 100 % น้ำที่อยู่นอกระบบ (Unaccounted for water) ในพื้นที่ลดลงเหลือ 15 % แต่เมื่อเกิดการขาดแคลนน้ำจากเมืองเทมาเล เพราะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐไม่เพียงพอ และเริ่มมีการเตรียมขั้นตอนแปรรูปอีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้รัฐวิสาหกิจผู้ผลิตน้ำต้องจำกัดปริมาณน้ำที่จ่ายให้กับชุมชนซาเวลูกูไปโดยปริยาย • ประสบการณ์ของกานาแสดงให้เห็นว่า • ความสำเร็จของโมเดลทางเลือกแบบนี้จะต้องอาศัยวิสัยทัศน์ และเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ของรัฐบาลว่า จะให้บริการสาธารธูปโภคพื้นฐานในฐานะที่เป็น “สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” ของประชาชน • ชุมชนมีศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อความต้องการของคนในชุมชน ถ้านำองค์ความรู้จากโลกธุรกิจมาใช้ก็น่าจะยิ่งได้ผลดีกว่าเดิมอีก

  32. องค์กรการเงินชุมชนในไทยองค์กรการเงินชุมชนในไทย (ขอขอบคุณข้อมูลจาก อาจารย์ภีม ภคเมธาวี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ หัวหน้าโครงการ “การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาองค์กรการเงินชุมชน”) 32

  33. เครดิตยูเนี่ยน: จุดเริ่มต้นองค์กรการเงินชุมชน • องค์กรการเงินชุมชนในไทยเริ่มขึ้นในปี 2500 โดยองค์กรศาสนาคริสต์ที่ทำงานช่วยเหลือคนจนในสลัมคลองเตย ได้นำแนวคิดเรื่องสหกรณ์จากเยอรมันตะวันตกเข้ามาเผยแพร่และจัดตั้งกลุ่มเครดิตยูเนี่ยนขึ้นในปี 2508 เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชนและการพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน • ผู้นำองค์กรพยายามจะร่วมมือกับภาครัฐตั้งแต่เริ่มดำเนินการ แต่กลับไม่ค่อยได้รับความร่วมมืออีกทั้งรัฐยังระแวงคอยสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด • องค์กรเอกชนด้านศาสนามีการรวมตัวกันอย่างต่อเนื่องเพื่อเผยแพร่แนวคิดให้ชุมชน เพราะรัฐมีลักษณะเป็นเผด็จการและปัญหาภายในชุมชนบางแห่งที่พึ่งพารัฐ ไม่คิดพึ่งตนเอง • ด้วยความพยายามอย่างยากลำบาก แกนนำกลุ่มได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ในปี 2521 และมีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายในนามชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งประเทศไทย (ช.ส.ค.)ในปี 2522 • กลไกที่ใช้ขับเคลื่อนงานของเครดิตยูเนี่ยนมีโครงสร้างเป็นระบบเครือข่ายที่ชัดเจนคือ มีสำนักงานใหญ่ทำหน้าที่บริหารจัดการ และสำนักงานย่อยเป็นหน่วยเผยแพร่และให้การสนับสนุน โดยมีสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์ในแต่ละจังหวัดเป็นกลไกของรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลอีกทางหนึ่ง 33

  34. กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต : เครื่องมือพัฒนาชนบทของรัฐราชการ • ในปี 2517 กรมการพัฒนาชุมชนได้นำแนวคิดสหกรณ์ผนวกกับกลุ่มเครดิตยูเนี่ยนและการให้สินเชื่อเพื่อการเกษตรจัดตั้งเป็น “กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต” เป็นโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชนบทตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 โดยยึดหลักคุณธรรม 5 ประการ คือ ความซื่อสัตย์ ความเสียสละ ความรับผิดชอบ ความเห็นอกเห็นใจและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน • กลุ่มฯ มีการเชื่อมโยงกิจกรรมต่อเนื่อง รวมทั้งธุรกิจประเภทอื่น ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนรู้จักการบริหารจัดการในเชิงธุรกิจด้านการผลิตและการตลาด • ในตอนแรกมีแนวคิดให้เตรียมจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อการผลิตต่อไป แต่ต่อมาได้เปลี่ยนมาสนับสนุนให้จดทะเบียนเป็นสมาคมกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตแทน • แนวทางการสนับสนุนกลุ่มมีการปรับเปลี่ยนมาโดยตลอด ส่วนหนึ่งเพราะชุมชนชนบทมีลักษณะพึ่งพามาแต่เดิม โดยที่รัฐมีบทบาทหลักในทั้งด้านการสงเคราะห์และควบคุม โดยการให้เงินอุดหนุน ปรารถนาให้ชุมชนเชื่อฟังอยู่ในโอวาท • วิธีการดำเนินงานและระเบียบปฏิบัติหลายอย่างไม่เอื้อให้ชุมชนได้ประโยชน์เท่าใดนัก ทำให้กลุ่มจำนวนมากถูกบอนไซจนต้องยุบเลิกไป ส่วนที่เหลืออยู่ก็ได้หาทางพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ เช่น กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์พัฒนาคุณธรรมครบวงจรชีวิต 34

  35. กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์พัฒนาคุณธรรมครบวงจรชีวิต : ธรรมะภาคปฏิบัติ • กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์พัฒนาคุณธรรมครบวงจรชีวิต เกิดจากการพัฒนารูปแบบของกลุ่ม ออมทรัพย์เพื่อการผลิตให้เอื้อประโยชน์ต่อสมาชิกอย่างแท้จริง • ริเริ่มโดยครูชบ ยอดแก้วในปี 2525 โดยพัฒนารูปแบบและการบริหารจัดการเน้นที่การสร้างสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือสมาชิกโดยแบ่งเงินกำไรครึ่งหนึ่งมาจัดตั้งและสมทบกองทุนสวัสดิการในแต่ละปี และให้มีการฝึกฝนการทำงานโดยเปิดให้มีการกู้ยืมตั้งแต่เริ่มดำเนินการ • แนวคิดดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ขยายผลจนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง โดยการนำไปประยุกต์เข้ากับหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาของพระสุบิน ปณีโต เพื่อเป็นเครื่องมือพาชุมชนเข้าสู่ธรรมนำไปจัดตั้งและเผยแพร่ที่จังหวัดตราดในปี 2533 ต่อมาได้ขยายผลโดยเชื่อมโยงเครือข่ายพระสงฆ์ทั่วประเทศ มีสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (สทพ.)ให้การสนับสนุนโดยมีพระสงฆ์เข้าร่วม • สามารถขยายการจัดตั้งกลุ่มได้ประมาณ 500 กลุ่ม และในปัจจุบันกำลังดำเนินโครงการเชื่อมโยงเครือข่ายพระสงฆ์เพื่อหนุนเสริมการทำงานของกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์พัฒนาคุณธรรมครบวงจรชีวิตโดยใช้ศูนย์เรียนรู้ของพระสุบินที่จังหวัดตราดเป็นแกนดำเนินงานโดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 35

  36. ธนาคารหมู่บ้าน : รูปแบบใหม่ที่พยายามขยายผลผ่านระบบราชการ • ก่อตั้งโดย อ.จำนง สมประสงค์ อาศัยแนวคิดจากสหกรณ์และธนาคารกรามีนของบังคลาเทศ นำมาทดลองในโครงการอีสานเขียวในปี 2532 จากนั้นได้เผยแพร่ขยายผลโดยความร่วมมือจากมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ ซึ่งส่งเสริมให้มีการนำหลักพุทธศาสนามาใช้ในการพัฒนา แนวทางดังกล่าวได้ขยายผลผ่านเครือข่ายของระบบราชการ โดยสำนักปลัดกระทรวงฯได้มอบหมายให้สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ในแต่ละจังหวัดเป็นแกนหลักในการจัดตั้งเครือข่ายองค์กรชุมชนระดับจังหวัดขึ้นทั่วประเทศ • การออมทรัพย์ช่วยเหลือกันเองในรูปแบบที่ค่อนข้างเป็นอิสระช่วยให้กลุ่มชาวบ้านที่สนใจงานพัฒนาสังคมทั้งในเมืองและชนบทที่ต้องการหลีกหนีจากรูปแบบกลุ่มออมทรัพย์ที่กรมการพัฒนาชุมชนส่งเสริมอยู่มีช่องทางนำไปดำเนินการอย่างหลากหลาย • กลุ่มเหล่านี้ได้เรียนรู้ด้วยตนเองและจากการหนุนช่วยขององค์กรพัฒนาเอกชน ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์อัล-อิสลามิยะห์ ซึ่งเป็นรูปแบบออมทรัพย์ตามหลักการศาสนาอิสลามที่จังหวัดภูเก็ต ต่อมาได้กลายเป็นกลุ่มต้นแบบที่มีการประยุกต์รูปแบบธนาคารหมู่บ้านให้เข้ากับหลักการของศาสนาอิสลาม ซึ่งห้ามไม่ให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ย จึงเป็นการระดมทุนนำมาดำเนินธุรกิจร่วมกัน เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ในภาคใต้ 36

  37. พลวัตของขบวนองค์กรการเงินชุมชนพลวัตของขบวนองค์กรการเงินชุมชน • หน้าที่ของกรมการพัฒนาชุมชนค่อย ๆ เปลี่ยนจากเป็น “เจ้าของ” มาเป็นสนับสนุนและค่อย ๆ ปล่อยให้ชุมชนดำเนินการเอง ส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการต่อสู้ของกลุ่มที่เติบโตเป็นอิสระด้วยตนเอง และการหนุนช่วยขององค์กรพัฒนาเอกชนที่เข้าไปเสริมการทำงานของภาครัฐ ให้ชุมชนได้มีที่ยืนในสังคมอย่างแท้จริง การกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชนผลักดันให้รัฐจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนเมืองของขบวนการสลัม ซึ่งต่อมากลายเป็นสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) • ต่อมา พอช. ได้พัฒนากลไกเชิงระบบ โดยให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในทุกกระบวนการของการดำเนินงาน โดยเจ้าหน้าที่สถาบันฯ เป็นเพียง “ผู้ช่วย” เพื่อให้องค์กรชุมชนเป็นแกนหลักในการพัฒนาอย่างแท้จริง • พอช. สนับสนุนให้มีการจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรการเงินและสวัสดิการชุมชนแห่งชาติ (พอสช.) ขึ้น เพื่อต้องการจัดระบบในการพัฒนาองค์กรการเงินชุมชนให้มีประสิทธิภาพและมีความเป็นเอกภาพ โดยมีครูชบ ยอดแก้วเป็นประธาน เพื่อดำเนินการ เชื่อมโยงกลุ่มออมทรัพย์รูปแบบต่างๆ เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญที่การสร้างกระบวนการเรียนรู้ ให้กับกลุ่มออมทรัพย์สามารถจัดสวัสดิการของตนเองได้ 37

  38. นโยบายพัฒนาชนบทและกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปกองทุนของรัฐนโยบายพัฒนาชนบทและกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปกองทุนของรัฐ • ในปี 2536 รัฐบาลมีนโยบายกระจายรายได้และความเจริญไปสู่ภูมิภาคและจัดทำโครงการ แก้ไขปัญหาความยากจน โดยจัดตั้งกองทุนแก้ไขปัญหาความยากจน(กขคจ.) จัดสรรเงินทุนหมุนเวียนให้หมู่บ้านยากจน โดยมีแนวคิดที่จะสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตในครัวเรือนที่ได้รับทุนหมุนเวียนต่อไป • การดำเนินงานมีทั้งที่สำเร็จและเกิดปัญหา ซึ่งมาจากเงื่อนไขภายในของชุมชนและกลไกการสนับสนุนที่ขาดความต่อเนื่องและการทุ่มเทอย่างเพียงพอ หลังจากนั้นในปี 2542 รัฐได้สนับสนุนเงินทุนมิยาซาว่าให้กับกลุ่มกิจกรรมในหมู่บ้านนำไปหมุนเวียนเพื่อการผลิต โดยไม่มีระบบติดตามสนับสนุนและการประเมินผลแต่อย่างใด โดยที่เงินทุนดังกล่าวได้ไหลเวียนเข้าไปเสริมการทำงานขององค์กรการเงินชุมชนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม • ในปี 2544 พรรคไทยรักไทยได้เสนอนโยบายกองทุนหมู่บ้าน มีแนวคิดมาจากกองทุนชุมชนต้นแบบ เช่น กลุ่มออมทรัพย์ตำบลคลองเปียะ และกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ โดยใช้กลไกการดำเนินงานแบบผสมผสานทั้งการกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ และกลไกการติดตามสนับสนุนที่ต่อเนื่องเป็นระบบ ถือเป็นพลังขับเคลื่อนทางการเมืองที่มีผลต่อขบวนการองค์กรการเงินชุมชนมากที่สุดในปัจจุบัน 38

  39. แนวคิดและการขับเคลื่อนขบวนองค์กรการเงินชุมชนในประเทศไทยแนวคิดและการขับเคลื่อนขบวนองค์กรการเงินชุมชนในประเทศไทย • ที่มาขององค์กรการเงินชุมชนรูปแบบต่าง ๆ และวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานล้วนมีความคล้ายคลึงกัน คือ มาจากแนวคิดสหกรณ์ที่เน้นความร่วมมือช่วยเหลือกัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนของศาสนา • หน่วยงานของรัฐได้ใช้กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชนบท แต่เนื่องจากสภาพสังคมและการเมืองไทยในขณะนั้นยังเป็นรัฐเผด็จการอุปถัมภ์ รวมทั้งระบบราชการที่ขาดประสิทธิภาพ ทำให้มีการคิดค้นรูปแบบและกลไกสนับสนุนอื่นๆ เข้ามาเสริมการทำงานของรัฐ ที่สำคัญคือ บทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานในเชิงสงเคราะห์และการขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชุมชนและทางการเมือง โดยใช้กลุ่มออมทรัพย์เป็นเครื่องมือ • เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปโดยมีปัจจัยสำคัญจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงโครงสร้างและหน่วยปฏิบัติการของรัฐ หนุนเนื่องเป็นพลังเสริมการเปลี่ยนแปลงซึ่งกันและกัน เกิดการผสมผสานองค์กรภาครัฐกับงานพัฒนาสังคมที่ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานมากขึ้น 39

  40. แนวคิดและการขับเคลื่อนขบวนองค์กรการเงินชุมชน (ต่อ) • ผลของความเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งเป็นการกระจายอำนาจในระบบการเมืองในรูปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หลังมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ขณะที่เกิดหน่วยปฏิบัติการของรัฐที่มีเจตนารมณ์และการดำเนินงานแบบองค์กรพัฒนาเอกชนเกิดขึ้น คือ กองทุนพัฒนาชุมชนเมือง ซึ่งต่อมาได้ขยายบทบาทการทำงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เกิดกองทุนเพื่อสังคม ต่อเนื่องโดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน • หลังจากมีการเลือกตั้งในปี 2544 พรรคไทยรักไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและได้ดำเนินนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองด้วยเจตจำนงทางการเมืองที่ไม่เคยมีมาก่อน • แม้ว่ารัฐบาลก่อนหน้าไทยรักไทยจะเคยดำเนินนโยบายกระจายเม็ดเงินให้กับชุมชนในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในรูปกองทุนหมุนเวียน เช่น นโยบายเงินผัน นโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน และมาตรการบรรเทาปัญหาจากวิกฤตเศรษฐกิจด้วยกองทุนมิยาซาว่า แต่ก็เป็นการดำเนินนโยบายที่ปราศจากเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน ไม่มีการคิดค้นรูปแบบการดำเนินงานที่เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ เพียงแต่ “ผูก” นโยบายไว้กับกลไกทางการเมืองแบบอุปถัมภ์เท่านั้น • อย่างไรก็ตาม ลักษณะ “มักง่าย” ของกองทุนหมู่บ้านก่อให้เกิดคำถามมากมายถึงประสิทธิผล 40

  41. แนวคิดการเชื่อมโยงหน่วยจัดการความรู้องค์กรการเงินชุมชนแนวคิดการเชื่อมโยงหน่วยจัดการความรู้องค์กรการเงินชุมชน 41

  42. การจัดระบบบริการการเงินให้กับชุมชนฐานรากของกระทรวงการคลังการจัดระบบบริการการเงินให้กับชุมชนฐานรากของกระทรวงการคลัง • กระทรวงการคลังได้แต่งตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมบริการทางการเงินระดับรากหญ้า” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำกับดูแลและสนับสนุนองค์กรการเงินชุมชนให้เป็นหน่วยบริการทางการเงินให้กับชุมชนฐานราก • คณะกรรมการได้ตั้งอนุกรรมการยกร่าง “แผนแม่บทการเงินระดับฐานราก” เพื่อดำเนินการจัดระบบองค์กรการเงินชุมชนให้มีความมั่นคงชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีนโยบายในการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน โดยทำการศึกษาแนวคิด การดำเนินงาน รวมทั้งการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายรูปแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนองค์กรการเงินชุมชนจากทุกภาค • ได้รับการผลักดันและสนับสนุนโดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของขบวนการองค์กรการเงินชุมชนในการวางระบบการสนับสนุนที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ให้เกิดประโยชน์กับองค์กรการเงินชุมชนมากที่สุด 42

  43. ทิศทางในอนาคตจากงานวิจัยของอาจารย์ภีมทิศทางในอนาคตจากงานวิจัยของอาจารย์ภีม • การขับเคลื่อนเชิงอุดมการณ์ • การจัดการระบบให้มีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มการเงินรูปแบบอื่นๆ เพื่อทำให้ระบบกลุ่มและเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชนเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง • ควรประสานงานร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันการเงินของรัฐเพื่อสนับสนุนให้องค์กรการเงินชุมชนเป็นหน่วยจัดการงบประมาณมูลฐานในรูปสถาบันการเงินเพื่อสร้างชุมชนสวัสดิการและเป็นหน่วยจัดการการเรียนรู้ตามอัธยาศัย • เสนอนโยบายจัดตั้งกองทุนสมทบเพื่อสร้างสวัสดิการชุมชนและสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านรวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรการเงินในหมู่บ้านและตำบล • ขยายแนวคิดไปสู่การกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยอาศัยกลไกของกลุ่มและเครือข่าย • ทั้งหมดนี้จะต้องอาศัยพลังการเรียนรู้ของประชาชนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มองค์กรและเครือข่ายที่มีเจตจำนงทางการเมืองอย่างชัดเจน 43

  44. ทิศทางในอนาคตจากงานวิจัยของอาจารย์ภีม (ต่อ) • การขับเคลื่อนบนฐานความรู้ • รูปแบบและวิธีการจัดการกลุ่มเครือข่ายระดับหมู่บ้าน/ตำบลให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน • เสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ขึ้นในชุมชนโดยกลุ่มและเครือข่ายระดับหมู่บ้าน/ตำบล • เสริมสร้างระบบการทำงานและทักษะความรู้ที่จำเป็นของหน่วยสนับสนุนในพื้นที่เพื่อใช้ในการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเครือข่ายระดับหมู่บ้าน/ตำบล • ปรับปรุงรูปแบบและวิธีการในการจัดการทุนระดับบุคคล/ครอบครัวของสมาชิกกลุ่มให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นในระดับจิตใจ เศรษฐกิจและสังคม 44

  45. ข้อสังเกตเกี่ยวกับทิศทางขององค์กรการเงินชุมชนข้อสังเกตเกี่ยวกับทิศทางขององค์กรการเงินชุมชน • ทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรการเงินชุมชนในปัจจุบัน ตั้งอยู่บนฐานคิดของการ “พึ่งตนเอง” โดยให้รัฐและเอ็นจีโอช่วยสนับสนุน ยังไม่เชื่อมไปถึงภาคเอกชน (เช่น ธนาคารพาณิชย์) และดังนั้นจึงอาจประสบปัญหาจากข้อจำกัดในระบบ เช่น ความเชื่องช้าของระบบราชการ และความด้อยประสิทธิภาพของธนาคารรัฐเมื่อเทียบกับธนาคารเอกชน • ประเด็นที่ควรเริ่มมีการอภิปรายคือ จะสร้างแรงจูงใจให้กับภาคเอกชนอย่างไร เพื่อเชื่อมโยงองค์ความรู้จากโลกธุรกิจ (นวัตกรรมทางการเงิน เครื่องมือในการบริหารจัดการ เทคโนโลยี ฯลฯ) เข้ามาหนุนเสริมองค์กรการเงินชุมชน? แนวคิดใหม่ๆ เช่น ความรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคม, โมเดลธุรกิจเพื่อสังคม (ธนาคารกรามีน) จะช่วยได้หรือไม่ เพียงใด ในทางที่ไม่ส่งผลเสียต่อชุมชนในระยะยาว (เช่น ปัญหาการเสียวินัยทางการเงินถ้าธนาคารกระตุ้นให้บริโภคเกินตัวเพราะหวังกำไรระยะสั้น)? 45

  46. โมเดลทางเลือกที่ประสบความสำเร็จบอกอะไรเราบ้างโมเดลทางเลือกที่ประสบความสำเร็จบอกอะไรเราบ้าง • “ชุมชน” เป็นผู้เล่นในพื้นที่ทางเศรษฐกิจอันทรงพลัง ที่ปัจจุบันมีนักเศรษฐศาสตร์น้อยคนที่จะศึกษาอย่างจริงจัง เพราะมักจะมองเห็นแต่ “เศรษฐกิจในระบบ” เท่านั้น • กรณีความสำเร็จของโมเดลการบริหารจัดการทรัพยากรโดยชุมชน เช่น เหมืองฝายพญาคำในลุ่มน้ำปิง และระบบ ซูบัค ในบาหลี อินโดนีเซีย แสดงให้เห็นศักยภาพของชุมชนในการบริหารจัดการที่ได้ทั้งประสิทธิภาพ ความเท่าเทียมกัน (ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงและใช้ทรัพยากร) และความยั่งยืน แสดงให้เห็นว่าในหลายกรณี “ความร่วมมือกัน” ระหว่างคนในชุมชน ส่งผลดีกว่า “การแข่งขัน” ของเอกชนที่ใช้มโนทัศน์ธุรกิจกระแสหลักแบบเดิมๆ • บทบาทของรัฐและเอกชน ควรเป็นการสนับสนุนในด้านองค์ความรู้ ทุน เทคโนโลยี และปัจจัยอื่นๆ ที่จำเป็น เพื่อ “หนุนเสริม” โมเดลที่ส่งเสริมให้ชุมชนเป็น “เจ้าของ” และ “บริหาร” ทรัพยากร ไม่ใช่ครอบงำทางความคิด หรือผูกขาดควบคุมการบริหารจัดการไว้กับตัวเอง • “เงิน” ไม่ใช่ปีศาจร้ายที่ทำลายชีวิตและวิถีชีวิตของชุมชนเสมอไป ถ้ารู้จักวิธีบริหารจัดการอย่างถูกต้อง คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาวมากกว่าผลกำไรในระยะสั้น เพื่อปรับเปลี่ยนแรงจูงใจไปในทิศทางที่เหมาะสม

More Related