1 / 14

บทที่ 6 ระบบการเงินระหว่างประเทศ

บทที่ 6 ระบบการเงินระหว่างประเทศ.

dawn-austin
Download Presentation

บทที่ 6 ระบบการเงินระหว่างประเทศ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 6ระบบการเงินระหว่างประเทศ

  2. ในปัจจุบันประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เนื่องจากปัจจัยการผลิตในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันทั้งด้านคุณภาพ ปริมาณ ความเหมาะสมในการใช้วัตถุดิบในการผลิตสินค้าของแต่ละประเทศ เช่นในบางประเทศสามารถผลิตสินค้าทางการเกษตรได้ดี แต่ความสามารถในการผลิตสินค้าด้านอุตสาหกรรมไม่สามารถผลิตได้เนื่องจากขาดวัตถุดิบในการผลิตและ บุคคลกรไม่มีความรู้ จึงทำให้เกิดกาค้าขายเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการซึ่งกันและกันขึ้น จึงทำให้มีการค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้นประเทศใดที่ส่งสินค้าออกไปขายยังต่างประเทศมากกว่าสั่งซื้อสินค้าเข้าก็จะได้เปรียบดุลการค้าหรือที่เรียกว่า “ดุลการค้าเกินดุล” แต่ถ้าประเทศใดส่งสินค้าออกไปขายยังต่างประเทศน้อยกว่าสั่งสินค้าเข้ามาในประเทศ ก็จะเสียเปรียบดุลการค้า หรือที่เรียกว่า “ดุลการค้าขาดดุล” นอกจากนี้ ดุลการชำระเงินก็เป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศที่มีดุลการชำระเงินเกิดดุลมาก ๆ จะทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และผลที่ติดตามมาก็คือ ภาวะเงินเฟ้อ ในทางตรงกันข้ามถ้าประเทศใดมีดุลการชำระเงินขาดดุลมาก ๆ ก็จะทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมีน้อย จนอาจทำให้เกิดภาวะเงินฝืด หรือเงินตึงแทรกซ้อนได้เช่นกัน ดังนั้น ประเทศต่าง ๆ จึงพยายามหาทางป้องกันภาวะดังกล่าว

  3. ความหมายของระบบการเงินระหว่างประเทศความหมายของระบบการเงินระหว่างประเทศ ระบบการเงินระหว่างประเทศ หมายถึงโครงสร้างทางการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ อันได้แก่ ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ตลาดเงินทุนและตลาดเงินตราต่างประเทศ ซึ่งระบบการเงินระหว่างประเทศนี้จะเป็นตัวกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศและยังช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการตลอดจนการเคลื่อนไหวเงินทุนเป็นไปได้โดยเสรี

  4. วิวัฒนาการของระบบการเงินระหว่างประเทศวิวัฒนาการของระบบการเงินระหว่างประเทศ ในอดีตที่ผ่านมาการค้าขายระหว่างประเทศอียิปต์จนถึงประเทศจีนนั้น ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนที่สำคัญและเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าซึ่งเป็นที่ยอมรับในการค้าขายโดยทั่ว ไปพ่อค้ากรีกและโรมันค้าขายกันโดยใช้ทองคำเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนจาก คริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศจักรวรรดินิยมต่าง ๆ ได้ขยายอำนาจและอิทธิพลในการค้าระหว่างประเทศ การครอบครองทองคำหรือเงินเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจของประเทศเหล่านั้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ประเทศจักรวรรดินิยมต้องดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อทำให้เศรษฐกิจประเทศของตนดีขึ้น โดยใช้อำนาจทางการทหาร การดิ้นรนแข่งขันดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุนำไปสู่ความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องมีการจัดระบบการค้าระหว่างประเทศ

  5. ประเภทของระบบการเงินระหว่างประเทศประเภทของระบบการเงินระหว่างประเทศ การจัดการทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศจำเป็นต้องอาศัยระบบการเงินระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพเพื่อช่วยทำให้การดำเนินงานทางธุรกิจเป็นไปเรียบร้อย ระบบการเงินระหว่างประเทศสามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้คงที่ (Fixed Exchange Rate System) ซึ่งสามารถจำแนกย่อยเป็น 2 ระบบคือ 1.1 ระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard System) 1.2 ระบบมาตราปริวรรตทองคำ (Gold Exchange Standard System)s 2. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่เคลื่อนไหวขึ้นลงเสรี (Flexible Exchange Rate System) 3. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวภายใต้การแทรกแซง (Manage Floating Exchange Rate System)

  6. ระบบการเงินระหว่างประเทศในปัจจุบันระบบการเงินระหว่างประเทศในปัจจุบัน ภายหลังที่ได้มีการยกเลิกระบบมาตรปริวรรตทองคำหรือระบบกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่ถูกใช้ระหว่างปี ค.ศ.1944-1973 หลังจากปี ค.ศ.1973 เป็นต้นมาประเทศสมาชิกกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้แยกตัวเป็นอิสระในการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศแต่ละประเทศจะเลือกใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและการเงินประเทศของตนซึ่งระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เลือกใช้มี 2 ระบบ คือ 1. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Floating Exchange Rate System) 2. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดค่าเสมอภาคไว้กับค่ามาตรฐาน (Pegging Exchange Rate System)

  7. 1.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว1.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ในช่วงปี ค.ศ.1973 ได้เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันขึ้นเป็นครั้งแรก กำภาวะเงินเฟ้อโดยทั่วไปภาวะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ถดถอยลง เกิดความไม่มั่งคงทางเศรษฐกิจและการเมือง ประเทศกำลังพัฒนาประสบกับปัญหาการขาดดุลการชำระเงินเพราะต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศจำนวนมากซึ่งการเกิดวิกฤตการณ์ดังกล่าวเป็นปัจจัยทีทำให้ประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถกลับไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ทำให้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆต้องใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวหรือเปลี่ยนแปลงได้ การปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวนี้สามารถกระทำได้ 3 ลักษณะคือ 1.1 อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวโดยอิสระ (Independent Floating Exchange Rate) 1.2 การลอยตัวโดยเสรี (Free or Clean Floats) 1.3 การลอยตัวภายใต้การควบคุม (Managed or Dirty Floats) 1.4 อัตราแลกเปลี่ยนที่ลอยตัวร่วมกัน (Joint or Group Floating Exchange Rate) 1.5 อัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าเสมอภาคบ่อยครั้ง (The Crawling Peg Exchange Rate)

  8. 2.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดค่าเสมอภาคไว้กับมาตรฐาน2.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดค่าเสมอภาคไว้กับมาตรฐาน ภายใต้ระบบนี้ประเทศสมาชิกจะต้องเทียบค่าเงินสกุลของตนไว้กับเงินตราต่างประเทศ หรือสินทรัพย์บาชนิดที่มีค่ามาตรฐาน และอัตราแลกเปลี่ยนสามารถเปลี่ยนแปลงไปจากค่าเสมอภาคนี้อยู่ในขอบเขตจำกัด การกำหนดค่าเสมอภาคของเงินสกุลต่าง ๆ จึงมีลักษณะคล้ายกับระบบมาตราปริวรรตทองคำ แต่ในระบบนี้ไม่ได้จำกัดให้เทียบค่าไว้กับทองคำหรือดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น การกำหนดค่าเสมอภาคเงินตรายังสามารถกำหนดไว้กับมาตรฐานต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 กำหนดค่าเสมอภาคไว้กับเงินสกุลใดสกุลหนึ่ง (Single Currency Peg)เงินตราของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะแระเทศกำลังพัฒนาเกือบทั่วโลกถูกกำหนดไว้ให้เทียบค่ากับเงินสกุลหลักสกุลใดสกุลหนึ่ง ซึ่งส่วนมากนิยมเทียบค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินฟรังก์ของฝรั่งเศส และเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ เป็นต้น 2.2 กำหนดค่าเสมอภาคไว้กับเงินตราหลายสกุล (Basket Peg)ในบางประเทศมีการกำหนดค่างเสมอภาคไว้กับสินทรัพย์ที่มีค่ามาตรฐาน เช่น สิทธิถอนเงินพิเศษ (SDR) ซึ่งกำหนดค่าโดยการเฉลี่ยน้ำหนักความสำคัญของเงินสกุลต่าง ๆ 16 สกุล

  9. ระบบการเงินร่วมยุโรป (European Monetary System หรือ EMS) ในปี ค.ศ.1951 ประเทศเยอรมันนีตะวันตก ฝรั่งเศส อิตาลี และกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศ เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก ได้ร่วมกันก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป (European Coal and Steel Community : ECSC) ตามแนวทางของ Jean Monnet หรือ Robert Schuman เพื่อบริหารทรัพยากรธรรมชาติทั้ง 2 ชนิด ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในช่วงหลังสงคราโลกครั้งที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในยุโรป ความร่วมมือดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มของประเทศยุโรป เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ.1957 ได้มีการลงนามสนธิสัญญากรุงโรม (Treaty of Rome) เพื่อก่อตั้งประชาคมยุโรป (: EEC) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวมสินค้าบริการ ปัจจัยการผลิต ตลอดจนแรงงานเข้าเป็นตลาดเดียวกันเพื่อการพัฒนาความร่วมมือไปสู่เป้าหมายต่อไปต่อการเป็นสหภาพศุลกากร (Customs Union) ให้ได้ในปี ค.ศ. 1968 และเป็นตลาดร่วมในปี ค.ศ. 1992 ในปี ค.ศ. 1958 ได้มีการจัดตั้งประชาคมพลังงานปรมาณูแห่งยุโรป (European Atomic Energy Community : EURATOM) ในปี ค.ศ. 1967 องค์การระหว่างประเทศทั้งสามได้แก่ ECSC, EEC และ EURATOM ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวในนามประชาคมยุโรป (European Community) ในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.1979 ประเทศสมาชิกในกลุ่มประชาคมยุโรปได้มีการจัดตั้งระบบการเงินร่วมยุโรป (European Monetary System หรือ EMS) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะให้เกิดการประสานงานกันอย่างราบรื่นทางด้านการเงินและเศรษฐกิจภายใต้สภาพเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกที่แตกต่างกัน อันได้แก่ อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราว่างงานเป็นต้น

  10. ระบบการเงินร่วมยุโรปมีองค์ประกอบที่สำคัญคือระบบการเงินร่วมยุโรปมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ 1. ประเทศสมาชิกจะต้องนำเงินตราของตนเข้าร่วมในตะกร้า European Currency Unit (basket) ซึ่งคำ ECY คำนวณจากค่าเฉลี่ยของเงินทุกสกุลภายในระบบเป้นกลุ่มเงินตราเพื่อใช้เป็นตัวเลขเทียบค่าสำหรับกลไกอัตราแลกเปลี่ยน 2. รัฐบาลประเทศสมาชิกมีหน้าที่รักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของตนมิให้มีการเปลี่ยนแปลงเกินค่าเสมอภาค (Central rate) ที่กำหนดไว้ โดยเข้าร่วมในกลไกการปรับอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Mechanism หรือ ERM) ซึ่งขณะนี้มีประเทศสมาชิก แล้วทั้งสิ้น 9 ประเทศได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมันนี สเปน เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ลักเซมเบร์ก และไอร์แลนด์

  11. มาตรการที่รัฐบาลประเทศสมาชิกให้แทรกแซงตลาดการเงินในกลไกอัตราแลกเปลี่ยน มี 2 ระดับ มาตรการที่รัฐบาลประเทศสมาชิกให้แทรกแซงตลาดการเงินในกลไกอัตราแลกเปลี่ยน มี 2 ระดับคือ 1. ให้ธนาคารของประเทศสมาชิกเข้าแทรกแซงเพื่อพยุงค่าเงินของตนให้มีเสถียรภาพในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลของประเทศสมาชิกนั้นมีค่าผันผวนเกินกว่าช่วงกำหนดไม่เกินร้อยละ 2.25 โดยอาศัยเงินกองทุน European Monetary Monetary Cooperative Fund (EMCF) ซึ่งเป็นกองทุนที่ได้รับจากประเทศสมาชิก และดำเนินการโดยผู้ว่าธนาคารกลางของประเทศสมาชิก 2. รัฐบาลของประเทศสมาชิกต้องใช้มาตรการทางการเงินเพื่อกดดันอัตราแลกเปลี่ยนค่าเสมอภาค หากเห็นว่าอัตราที่เป็นอยู่ไม่เหมาะสม

  12. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในประเทศไทยระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในประเทศไทย • ประเทศไทยได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศเป็นเวลานาน โดยเฉพาะประเทศอังกฤษโดยมีการลงนามในสนธิสัญญาเบาริงกับอังกฤษในปี พ.ศ.2398 รายละเอียดการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มี ดังนี้ • พ.ศ.2398 ใช้ระบบมาตรฐานโลหะเงิน โดยผูกค่าเงินบาทกับโลหะ • พ.ศ.2413 ราคาโลหะเงินตกต่ำ ทำให้ค่าเงินบาทตกต่ำด้วย จาก 8 บาท ต่อ 1ปอนด์ เป็น 21 บาทต่อ 1 ปอนด์ • พ.ศ.2445 การที่ค่าเงินบาทลดค่านี้ กลับไม่ทำให้สินค้าออกของไทยเพิ่มขึ้นเพราะสินค้าออกส่วนใหญ่ของไทยส่งไปยังประเทศที่ใช้ระบบมาตรฐานโลหะเงินเช่นกัน ดังนี้การที่โลหะเงินลดค่าไม่มีผลทำให้สินค้าออกของไทยเพิ่มขึ้น เพราะ ราคาสินค้าออกของไทยไม่ลดลง ในขณะที่สินค้าเข้าของไทยจากประเทศอังกฤษซึ่งใช้ระบบมาตรฐานทองคำ ค่าเงินปอนด์จึงเพิ่มค่า ทำให้ราคาสินค้าเข้าเพิ่มขึ้น และเทศไทยจะต้องประสบกับความเสียเปรียบทางการค้าอย่างมาก • พ.ศ.2451 ทำการเปลี่ยนแปลงมาใช้ระบบมาตรฐานทองคำโดยกำหนดให้ 1 บาท = เงินบริสุทธิ์ 13.5 กรัมหรือ 1 บาท = ทองคำบริสุทธิ์ 55.8 เซนติกรัม • ในระยะนี้แม้ว่าประเทศไทยใช้ระบบมาตรฐานทองคำ แต่ปริมาณเงินหมุนเวียนส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปเหรียญเงิน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ราคาโลหะเงินเพิ่มขั้น ทำให้เกิดการหลอมเหรียญเงินเป็นแทงแล้วนำไปขายต่างประเทศ เพราะราคาตามเหรียญน้อยกว่าราคาของโลหะเงินที่ใช้ทำเหรียญ ในที่สุดประเทศไทยต้องประกาศห้างส่งเหรียญโลหะเงินออกนอกประเทศ แต่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ผล • ก.ย. พ.ศ.2462 เพิ่มค่าเงินและปรับอัตราแลกเปลี่ยนใหม่เป็น 12 บาท ต่อ 1 ปอนด์ • พ.ย. พ.ศ.2462 เพิ่มค่าเงินบาทเป็น 9.45 บาท ต่อ 1 ปอนด์ • พ.ศ.2466 ลดค่าเงินบาทเป็น 11 บาท ต่อ 11 ปอนด์ • พ.ศ.2471 ตรา พรบ. เงินตราใหม่ โดยกำหนดเงินบาทผูกกับเงินปอนด์ โดยมีอัตราทางการ 11 บาท ต่อ 1 ปอนด์ • พ.ศ.2474 เกิดวิกฤติการณ์ทางระบบการเงินโลก ประเทศอังกฤษออกจากระบบมาตรฐานทองคำทำให้รัฐบาลไทยตัดสินใจเลิกผูกค่าเงินบาทไว้กับเงินปอนด์ และหันมาผูกค่าเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐ • พ.ศ.2575 รัฐบาลไทยผูกค่าเงินกับเงินปอนด์อีกครั้งโดยกำหนด 11 บาท ต่อ 1 ปอนด์ • พ.ศ.2484 สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของไทย โดยญี่ปุ่นเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศไทย ประเทศไทยต้องประกาศ พรบ.เงินตราฉุกเฉินลดค่าเงินบาทจาก 100 = 155.70 เยนจาก 100 = 100 เยนทำให้ญี่ปุ่นซื้อสินค้าไทยเพิ่มขึ้น • พ.ศ.2485 ตรา พรบ. การควบคุมแลกเปลี่ยนเงินตรา • พ.ศ.2489 สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นแพ้สงครามค่าเงินบาทถูกกำหนดขึ้นเป็น ทางการ 1 บาท = ทองคำบริสุทธิ์ 0.09029 กรัม จะได้ 40 บาท = 1 ปอนด์ หรือ 10.075 บาท = 1 ดอลลาร์ • พ.ศ.2490 ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนหลายอัตราโดยรับซื้อเงินปอนด์ที่เป็นรายได้จากการส่งข้าว ดีบุก และยางพารา ออกในอัตราแลกเปลี่ยนทางการ 40 บาทต่อ 1 ปอนด์สำหรับพ่อค้านำเจข้าต้องซื้อเงินปอนด์ในอัตราตลาด 60 บาทต่อ 1 ปอนด์ ซึ่งทำให้แระเทศไทยมีทุนสำรองเงินตราเพิ่มขึ้น • พ.ศ.2492 ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และขอเลื่อนการประกาศค่าเสมอภาค

  13. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในประเทศไทย(ต่อ)ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในประเทศไทย(ต่อ) • พ.ศ.2498 ยกเลิกอัตราแลกเปลี่ยนหลายอัตราโดยรวมเป็นอัตราเดียว คือ อัตราแลกเปลี่ยนเสรี ในท้องตลาด นอกจากนี้กระทรงการคลังได้ออกกฎกระทรวง เมื่อวันที่ 19 มีนาคม จัดตั้ง “ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน (EEF) ซึ่งทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพตลอดมาจนถึงปี 2505 • 20 ต.ค. 2506 กลับมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบค่าเสมอภาค () ตามข้อกำหนดของ IMF โดยกำหนด 1 บาท = ทองคำบริสุทธิ์ 0.427245 กรัม จะได้ 20.80 บาท = 1 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือในทางปฏิบัติค่าเงินบาทจะผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐ) ปี พ.ศ. 2510-2516 เกิดวิกฤตการณ์เงินของโลก สหรัฐอเมริกาลดค่าเงิน 2 ครั้ง • 9 พ.ค. 2515 รัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาทลงอีกร้อยละ 7.89 เมื่อเทียบกับทองคำ • 23 มี.ค. 2516 รัฐบาลประกาศลดค่าเงินลงอีกร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับทองคำ • 8 มี.ค. 2521 ยกเลิกค่าเสมอภาคและเปลี่ยนวิธีกำหนดค่าเงินบาทใหม่ โดยเทียบกับกลุ่มเงินตราต่างประเทศต่าง ๆ (Basket) ของประเทศที่มีความสำคัญต่อการค้าและเศรษฐกิจของไทย ทำให้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนของไทยมีความสอดคล้องกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศอื่น ๆ และค่าเงินบาทไม่ต้องผูกพันกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงสกุลเดียว • 1 พ.ย. 2521ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน (daily fixing) ซึ่งเป็นการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนร่วมกันระหว่างทุนรักษาระดับธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดขึ้นนี้ทำให้เกิด Demand และ Supply เงินตราต่างประเทศและทำให้ธนาคารพาณิชย์ตื่นตัวในเรื่องธุรกิจเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น อีกทั้งวิธีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนนี้ยังมีความยืดหยุ่นมากขึ้นโดยสามารถที่จะเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยนได้ทันทีเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและการเงินทั้งภายในและภายนอกประเทศด้วย • 2 พ.ค. 2524 ลดค่าเงินบาทลงร้อยละ 1.07 จาก 20.775 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเป็น 21 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ • 15 ก.ค. 2524 ลดค่าเงินบาทลงร้อยละ 8.7 จาก 21 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 23 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ประกาศยกเลิกวิธีกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันและให้ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน (EEF) เป็นผู้กำหนดค่าเงินบาทขึ้น โดยคำนึงถึง demand หรือ Supply ของเงินตราต่างประเทศ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจของประเทศด้วย ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 23 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ คงที่ตั้งแต่ ส.ค. 2524 มาจนถึงปลายปี 2527 • 2 พ.ย. 2527 ทางการได้ประกาศปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราให้เป็นระบบที่ผู้ค่าเงินบาทไว้กับกลุ่มเงินตราของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย (Basket of currency) แทนที่จะผูกไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงสกุลเดียว และให้ทุนรักษาระดับฯ เป็นผู้กำหนดอัตรากลางระหว่างอัตราซื้อขายดอลลาร์ของทุนรักษาฯกับธนาคารพาณิชย์ ทุนรักษาระดับฯ จะเป็นผู้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐกับเงินบาททุกวันทำการเวลา 8.30 น. สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนอื่น ๆ เช่น US#Y/, US$/SFrs เป็นต้น ทุนรักษาระดับฯ ไม่ได้กำหนด ตลาดเงินตราต่างประเทศเป็นผู้กำหนด • 5 พ.ย. 2527 ตามระบบการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ ทางการจำเป็นที่จะต้องปรับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินดอลลาร์สหรัฐ กับเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมก่อน จึงได้ประกาศลดค่าเงินบาทลงร้อยละ 17 จาก 23 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์เป็น 27 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราที่ช่วยแก้ไขปัญหาดุลการค้าและดุลการชำระเงินให้เป็นไปตามเป้าหมายและเป็นค่าที่วงการธุรกิจการธนาคารจะเชื่อว่า เป็นค่าที่เหมาะสมและไม่เกิดการเก็งกำไรขึ้น การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่นี้ได้ใช้มาจนกระทั้งถึงปัจจุบัน • 2 ก.ค. 2540 ทางการได้ได้ประกาศยกเลิกระบบตะกร้าเงิน (Barket of currency) มาเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวภายใต้การควบคุม (The Managed Float)

  14. บทสรุป การเงินระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆเนื่องจากแต่ละประเทศจำเป็นต้องมีการติดต่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรต่าง ๆ ซึ่งกันและกัน จึงทำให้เกิดระบบการค้าระหว่างประเทศขึ้น นอกจากนั้นยังมีการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศคู่ค้า เช่นมีการลงทุนข้ามประเทศ จึงทำให้มีปริมาณเงินไหลเข้ามากกว่าปริมาณเงินไหลออกจากประเทศ ดุลการชำระเงินก็จะเกินดุล ในทางตรงกันข้ามปริมาณเงินไหลออกมากกว่าไหลเข้า ดุลการชำระเงินก็จะขาดดุล การที่มีดุลการชำระเงินเกินดุล หรือ ขาดดุล ก็จะส่งผลกระทบต่อทุนสำรองระหว่างประเทศ หรือสภาพคล่องระหว่างประเทศ ประเทศใดก็ตามเมื่ออยู่ในภาวะเกินดุลหรือขาดดุลการชำระเงิน ก็จะพยายามหาวิธีแก้ไขด้วยการปรับดุลการชำระเงินให้ดีขึ้น ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธีเช่น ในกรณีขาดดุลกาชำระเงิน ก็ควรเพิ่มปริมาณการผลิตและปริมาณการส่งสินค้าออกไปยังต่างประเทศ การลดค่าของเงิน การปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และพยายามหาทางจ่ายเงินออกไปนอกประเทศเพิ่มขึ้น เป็นต้น ดุลการชำระเงินก็เป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศที่มีดุลการชำระเงินเกิดดุลมาก ๆ จะทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และผลที่ติดตามมาก็คือ ภาวะเงินเฟ้อ ในทางตรงกันข้ามถ้าประเทศใดมีดุลการชำระเงินขาดดุลมาก ๆ ก็จะทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมีน้อย จนอาจทำให้เกิดภาวะเงินฝืด หรือเงินตึงแทรกซ้อนได้เช่นกัน

More Related