670 likes | 924 Views
วิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลชั้นต้น. คำฟ้องต้องระบุ การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด (องค์ประกอบความผิด) ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับ วันเวลา สถานที่กระทำความผิด บุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้อง. อำนาจศาลในชั้นตรวจคำฟ้อง ถ้าฟ้องถูกต้องให้ประทับรับฟ้อง
E N D
วิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลชั้นต้นวิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลชั้นต้น
www.themegallery.com • คำฟ้องต้องระบุ • การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด (องค์ประกอบความผิด) • ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับ วันเวลา สถานที่กระทำความผิด • บุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้อง
www.themegallery.com • อำนาจศาลในชั้นตรวจคำฟ้อง • ถ้าฟ้องถูกต้องให้ประทับรับฟ้อง • ยกเว้นแต่คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้อง ต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อน จึงจะสั่งประทับฟ้องได้ • ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องให้ศาลสั่งให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้อง • ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องในเรื่องที่ศาลสั่งให้โจทก์แก้คำฟ้องไม่ได้ ให้ยกฟ้อง • คำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ถึงขนาดที่สั่งให้แก้ฟ้องไม่ได้ เช่น ขาดองค์ประกอบความผิด
www.themegallery.com การไต่สวนมูลฟ้อง • ในกรณีที่ศาลเห็นว่าฟ้องถูกต้อง • ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนประทับฟ้อง ยกเว้นแต่ อัยการจะได้ฟ้องจำเลยในข้อหาอย่างเดียวกัน ม.162 (1) • ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ ให้ศาลประทับฟ้อง โดยไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้อง แต่อัยการจะต้องมีตัวจำเลยมายื่นฟ้องด้วย ม.162 (2)
www.themegallery.com • การไต่สวนมูลฟ้องในคดีที่อัยการยื่นฟ้อง • ต้องมีตัวจำเลยมาไต่สวนมูลฟ้อง ยกเว้นแต่ จำเลยอยู่ในอำนาจของศาลอยู่แล้ว(ขัง หรือปล่อยชั่วคราว) • ศาลต้องส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย • ถ้าศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง • ถามว่ากระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง • จำเลยไม่สิทธินำพยานหลักฐานเข้ามาสืบ แต่มีสิทธิที่จะมีทนายความช่วยเหลือ • ก่อนประทับฟ้องจำเลยมีฐานะเป็นจำเลยแล้ว
www.themegallery.com • การไต่สวนมูลฟ้องในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ • ก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องศาลต้องส่งสำเนาคำฟ้อง และวันนัดไต่สวนมูลฟ้องให้แก่จำเลย • จำเลยจะมาหรือไม่มาในวันไต่สวนมูลฟ้องก็ได้ ถ้าจำเลยไม่มาศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลยได้ • จำเลยมีสิทธิตั้งทนายความมาซักค้านพยานโจทก์ได้ แต่ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ • ถ้าศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง • ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย • ก่อนศาลประทับฟ้องจำเลยยังไม่มีฐานะเป็นจำเลย
www.themegallery.com • มาตรา 167, 170 (ผลของการไต่สวนมูลฟ้อง) • คำสั่งคดีมีมูล มาตรา 167 บัญญัติให้ศาลประทับรับฟ้องเฉพาะคดีที่มีมูล คำสั่งที่มีมูลย่อมเด็ดขาดคู่ความจะอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปไม่ได้ทั้งสิ้น • ถ้าคดีไม่มีมูล ให้ศาลยกฟ้อง (มาตรา 167) ศาลจะทำเป็นคำพิพากษา หรือคำสั่งก็ได้ คำสั่งคดีไม่มีมูล โจทก์ย่อมอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ แต่อยู่ภายใต้บทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ ฎีกา
www.themegallery.com • โจทก์ไม่มาศาลในวันไต่สวนมูลฟ้อง(โจทก์ขาดนัด ม.166) • การไต่สวนมูลฟ้องเป็นกระบวนพิจารณาระหว่างโจทก์กับศาลเท่านั้น ดังนั้นโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำพยานมาสืบเพื่อให้ศาลเห็นว่าคดีของโจทก์มีมูล ดังนั้นถ้าโจทก์ไม่มาศาลในวันไต่สวนมูลฟ้อง ถือว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่ • หลักเกณฑ์โจทก์ขาดนัด • โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัด และโจทก์ทราบกำหนดนัดโดยชอบ • การไม่มาตามกำหนดนัด คือไม่มาศาลตามกำหนดนัดที่โจทก์มีหน้าที่นำพยานมาสืบ • โจทก์ หมายถึง พนักงานอัยการหรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน
www.themegallery.com • ผลของการที่โจทก์ขาดนัด หากโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัดให้ศาลยกฟ้องโจทก์เสีย ซึ่งเกิดผลตามมาตรา 166 วรรคสอง คือ • โจทก์ต้องร้องขอให้ศาลยกคดีของโจทก์ขึ้นไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลยกฟ้อง • โจทก์จะฟ้องคดีใหม่ไม่ได้
www.themegallery.com • โจทก์ขาดนัด นำไปใช้ในชั้นพิจารณาด้วย(ม.181) แต่ใช้เฉพาะในนัดที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบเท่านั้น ถ้าโจทก์ไม่มาในนัดอื่น ไม่ถือว่าโจทก์ขาดนัด
www.themegallery.com หลักทั่วไปในการพิจารณาคดีอาญาในศาล
www.themegallery.com • การพิจารณาคดีอาญาต้องกระทำในศาลเจ้าของสำนวน • การเดินเผชิญสืบ • การที่ศาลออกไปสืบพยานหลักฐานไม่ว่าจะเป็นพยานเอกสาร บุคคล วัตถุ สถานที่ หรือผู้เชี่ยวชาญนอกอาคารที่ทำการศาล • ป.วิ.อ. ม.229 และ 230 • ทำเฉพาะในเขตศาลเท่านั้น • การส่งประเด็นไปสืบพยานหลักฐานที่ศาลอื่น • พยานหลักฐานนั้นสำคัญแต่นำมาที่ศาลเจ้าของคดีไม่ได้และพยานหลักฐานอยู่นอกเขตศาลเจ้าของเรื่องนั้น • ป.วิ.อ. ม.230
www.themegallery.com • การสืบพยานที่อยู่นอกศาลโดยการประชุมทางจอภาพ • ป.วิ.อ. ม.230/1
www.themegallery.com • การสืบพยานหลักฐานต้องกระทำโดยเปิดเผย(ม.172) • ข้อยกเว้น ม. 177 • เพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศให้ล่วงรู้ถึงประชาชน
www.themegallery.com • การพิจารณาคดีอาญาต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ม.172 • จำเลยขัดขวางการพิจารณา ป.วิ.อ. ม. 180 • ป.วิ.อ. ม. 230 การเดินเผชิญสืบนอกเขตศาล • พนักงานอัยการขอสืบพยานบุคคลไว้ก่อนที่จะจับตัวผู้ต้องหาได้ และก่อนฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. ม. 237 ทวิ • การสืบพยานซึ่งหวาดกลัวจำเลย ม.172 ว. 3 • การสืบพยานเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ม. 172 ตรี • ป.วิ.อ. ม. 172 ทวิ (1) (2) และ (3)
www.themegallery.com • การพิจารณาคดีในศาลต้องใช้ภาษาไทย • ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานผู้เชี่ยวชาญ • คดีอาญา ม.13 ให้จัดหาล่ามให้พยาน ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา
www.themegallery.com การพิจารณาคดีในศาล
www.themegallery.com • เมื่อจำเลยอยู่ต่อหน้าศาลแล้ว ศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง • ก่อนเริ่มพิจารณาศาลต้องหาทนายความให้จำเลย ม.173 • ถ้าเป็นความผิดซึ่งมีอัตราโทษประหารชีวิต หรือจำเลยเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ให้ศาลหาทนายความให้จำเลย ไม่ว่าจำเลยจะต้องการหรือไม่ • คดีมีอัตราโทษจำคุก ศาลต้องถามว่าจำเลยมีทนายความหรือไม่ ถ้าจำเลยไม่มีและต้องการให้ศาลหาทนายความให้
www.themegallery.com “ก่อนเริ่มพิจารณา” ซึ่งหมายถึง ก่อนศาลสอบถามคำให้การจำเลย ตามมาตรา 172 วรรค 2 กำหนดอายุ 18 ปี ในวันที่ถูกฟ้องต่อศาลเท่านั้น หากวันที่กระทำผิดหรือวันที่ถูกจับจำเลยมีอายุไม่เกิน 18 ปี แต่วันที่ถูกฟ้องคดีต่อศาลจำเลยมีอายุเกินกว่า 18 ปี ศาลไม่อยู่ในบังคับมาตรา 173 ที่ศาลต้องตั้งทนายความให้จำเลย
www.themegallery.com • การพิจารณาคดีในศาลต้องกระทำต่อหน้าจำเลย • ข้อยกเว้น ม.172 ทวิ ศาลอาจสืบพยานลับหลังจำเลยได้กรณีดังนี้ • คดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือมีโทษปรับสถานเดียว เมื่อจำเลยมีทนายความ และศาลอนุญาต • คดีที่มีจำเลยหลายคน และการสืบพยานไม่เกี่ยวกับจำเลยคนใด ก็สืบพยานลับหลังจำเลยคนนั้นได้ • ศาลเห็นสมควร
บทยกเว้นให้ศาลสืบพยานลับหลังจำเลยได้ ดังนี้ -มาตรา 172 ทวิ -มาตรา 180จำเลยขัดขวางการพิจารณา -มาตรา 230 -มาตรา 237 ทวิ
www.themegallery.com • คดีอาญาจำเลยจะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าจำเลยไม่ให้การถือว่าจำเลยปฏิเสธ (ม.172 ว. 2) • หลัก โจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเห็นว่ากระทำความผิดจริง • ข้อยกเว้น ในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจะพิพากษาโดยไม่ต้องให้มีการสืบพยานก็ได้ ยกเว้นแต่ ข้อหาที่จำเลยรับสารภาพนั้นมีอัตราโทษขั้นต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปศาลต้องฟังพยานโจทก์ จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
www.themegallery.com • จำเลยรับสารภาพ ได้แก่ การที่จำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง • ถ้าจำเลยรับว่ากระทำ แต่ต่อสู้ว่าการกระทำของจำเลยเข้าลักษณะที่กฎหมายยกเว้นความผิด หรือมีกฎหมายยกเว้นโทษ ถือเป็นคำให้การปฏิเสธฟ้องทั้งสิ้น เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่ามิได้กระทำความผิด หรือไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายเพื่อให้ศาลพิพากษายกฟ้องตาม มาตรา 185 คำให้การดังกล่าวถือเป็นคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้น ไม่ใช้คำให้การรับสารภาพ
www.themegallery.com • ข้อสังเกต • คดีอาญาที่อยู่ในเกณฑ์ต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย พิจารณาเฉพาะโทษขั้นต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เท่านั้น ไม่พิจารณาโทษขั้นสูง • เช่นกรณีที่มีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกิน 10 ปี โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษได้ โดยไม่ต้องสืบพยาน • กรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดไม่เต็มตามตัวบทกฎหมาย การคิดอัตราโทษ ต้องลดมาตราส่วนโทษก่อน
www.themegallery.com • โจทก์ฟ้องว่าลักทรัพย์ หรือรับของโจร หากจำเลยให้การรับสารภาพโดยมิได้ระบุชัดว่ารับสารภาพในข้อหาใดแน่ คำให้การเช่นนี้ไม่ชัดแจ้งว่ายอมรับสารภาพตามฟ้องฐานใด โจทก์ต้องนำสืบพยานต่อไป
-ฟ้องขอให้ลงโทษบทหนักซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ เมื่อจำเลยรับสารภาพ แม้โจทก์จะมิได้สืบพยานประกอบ แต่บทเบามีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกไม่ถึง 5 ปี ศาลย่อมลงโทษบทเบาได้
www.themegallery.com • คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนเสมอ ม.174 • คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนเสมอ เสร็จให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบ • ถ้าโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว ถือว่าหน้าที่นำพยานเข้าสืบของโจทก์หมดแล้ว ดังนั้นโจทก์จะไม่มาวันนัดสืบพยานจำเลย ศาลจะยกฟ้องเพราะโจทก์ขาดนัดตาม ม.166 ประกอบกับ 181 ไม่ได้
www.themegallery.com • โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง ม.163,164 • โจทก์ต้องมีเหตุอันควร เช่น การพิมพ์เวลา หรือสถานที่เกิดเหตุผิด หรือเพิ่มเติมวันเวลากระทำผิดซึ่งมิได้กล่าวในฟ้องโดยเกิดการพิมพ์ฟ้องผิดไป • โจทก์ต้องยื่นคำร้องขอแก้ หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น • การแก้ฟ้องต้องไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี
www.themegallery.com ฐานความผิด การแก้ ซึ่งต้องแถลงในฟ้องก็ดี รายละเอียด ฐานความผิด หรือ การเพิ่มเติม ซึ่งมิได้กล่าวไว้ก็ดี รายละเอียด ไม่ว่าจะทำเช่นนี้ในระยะใด ระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้น หลัก มิให้ถือว่าจำเลยเสียเปรียบ ผล ข้อยกเว้น เว้นแต่จำเลยได้หลงต่อสู้ในข้อที่ผิด หรือที่มิได้กล่าวไว้นั้น
www.themegallery.com คำพิพากษาฎีกาที่ 76/2501 ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดวันที่ 5 จำเลยให้การปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ สืบพยานโจทก์เสร็จแล้วโจทก์ขอแก้ฟ้องเป็นว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างวันที่ 3 ถึง 5 ดังนี้ จำเลยหลงต่อสู้ อนุญาตให้แก้ไม่ได้
การพิพากษา (ม.185) ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดก็ดี การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดก็ดี คดีขาดอายุความแล้วก็ดี มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษก็ดี ให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป แต่ศาลจะสั่งขังจำเลยไว้ หรือปล่อยชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดก็ได้ เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิด และไม่มีการยกเว้นโทษตามกฎหมาย ให้ศาลลงโทษแก่จำเลยตามความผิด แต่เมื่อเห็นสมควรศาลจะปล่อยจำเลยชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดก็ได้
ห้ามศาลพิพากษาเกินคำขอ ม.192 • หลัก ข้อยกเว้น • ม. 192 ว. 1 ม. 192 ว. 5, 6 • ม. 192 ว. 4 • ม. 192 ว. 2 ม. 192 ว. 3
หลักเกณฑ์ มาตรา 192 ว.1 “ห้ามมิให้ศาลพิพากษา หรือสั่งเกินคำขอ หรือในข้อที่โจทก์ มิได้กล่าวในฟ้อง”
ดูอย่างไรว่า เกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง • คำขอท้ายฟ้องไม่มี คำบรรยายฟ้องก็ไม่มี เท่ากับโจทก์ไม่ได้ขอ • คำขอท้ายฟ้องไม่มี แต่โจทก์บรรยายฟ้องมา เท่ากับมีคำขอ • คำขอท้ายฟ้องมี แต่โจทก์ไม่บรรยายฟ้องมา เท่ากับโจทก์ไม่ได้ขอ (ฟ้องขาดองค์ประกอบ)
ม. 192 ว. 4 “ข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง และที่ปรากฏในทางพิจารณา ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ” ผล ห้ามมิให้ศาลลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้น
เช่น โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามตาม ป.อ. มาตรา 339 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าวิ่งราวทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 336 ในกรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ต้องห้ามตามมาตรา 192 วรรคสี่ เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องมาหรือมิได้มีคำขอท้ายฟ้อง
ฎีกา 2941/2540 โจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นบุกรุกตามมาตรา 364 กรณีเข้าไปหรือซ่อนโดยปราศจากเหตุอันสมควร แต่ฟังได้ว่าเป็นบุกรุก เพราะไม่ยอมออกจากสถานที่ เมื่อผู้มีสิทธิให้ออก ดังนี้ศาลจะพิพากษาลงโทษตามที่พิจารณาได้ความไม่ได้ เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้
กรณีดังต่อไปนี้มิให้ถือว่าเกินคำขอ หรือเป็นเรื่องที่มิได้กล่าวในฟ้อง • ม. 192 วรรค 5 • ม. 192 วรรค 6
มาตรา 192 ว.5 เงื่อนไข ถ้าศาลเห็นว่า 1. ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสม 2. แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ผล ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ • โจทก์บรรยายฟ้องและสืบพยานหลักฐานได้ว่าจำเลยกระทำความผิด แต่ข้อหาหรือบทมาตราที่โจทก์ขอให้ศาลลงโทษไม่ตรงกัน ศาลลงโทษตามฐานที่ถูกต้องได้ ไม่ให้ถือว่าเป็นเรื่องนอกคำขอ
ฎีกาที่ 5188/2549 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายแก่กายอันเป็นความผิดตามป.อ.มาตรา 291 และมาตรา 390 มิใช่ได้รับอันตรายสาหัสตามป.อ.มาตรา 300 ที่โจทก์ระบุมาในคำขอท้ายฟ้องเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำให้การรับสารภาพว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องกรณีเป็นเรื่องโจทก์อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคห้า
มาตรา 192 ว.6 เงื่อนไข ถ้าความผิดตามฟ้อง 1. รวมการกระทำหลายอย่าง และ 2. แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ผล ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความนั้นก็ได้
ฎีกา 22/2539 ฟ้องว่าผลิต หรือจำหน่าย หรือมียาเสพติดไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย ย่อมรวมความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองอยู่ในตัว • ฎีกา 2161/2531 ฟ้องว่าจำเลยกับพวกรวม 3 คน ปล้นทรัพย์ ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกับพวกรวม 2 คน ชิงทรัพย์ ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดที่รวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ได้ • ฎีกา 110/2534 ฟ้องว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา ตาม ป.อ. มาตรา 276 หรือกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 277 การกระทำชำเราย่อมรวมการกระทำอนาจารอยู่ในตัว แม้โจทก์ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 279 ฐานอนาจาร ศาลย่อมลงโทษฐานอนาจาร ซึ่งโทษเบากว่าได้ ไม่เกินคำขอ ตามมาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 192 วรรคหก
ฎีกา 740/2536 ฟ้องว่าพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ตาม ป.อ. มาตรา 318 แต่ฟังได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคหนึ่ง ศาลลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ • ฎีกา 6443/2545 โจทก์ฟ้องว่าทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงไม่ยินยอม ตาม ป.อ. มาตรา 303 ย่อมรวมความผิดฐานทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงยินยอม ตามมาตรา 302 ด้วยอยู่ในตัว • ฎีกา 4934/2545 การใช้กำลังประทุษร้าย เป็นการกระทำผิดส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์ เมื่อฟ้องว่าชิงทรัพย์ จึงลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้
หลักเกณฑ์ มาตรา 192 วรรคสอง เงื่อนไขถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตก ต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้อง หลักให้ศาลยกฟ้อง ข้อยกเว้น1. ข้อแตกต่างมิใช่สาระสำคัญ และ 2. จำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ ความนั้นก็ได้
ถ้าข้อเท็จจริงที่ฟ้องแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง ยกเว้นแต่จะเป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยก็ได้ • ข้อแตกต่างในเรื่องใดบ้างที่เป็นหรือไม่เป็นสาระสำคัญ • วันเวลา สถานที่ • ฐานความผิด • เจตนา หรือประมาท • วัตถุ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด • ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน • ประสงค์ต่อผล เล็งเห็นผล
ข้อแตกต่างตาม ม.192 ว. 3 มิให้ถือว่าเป็นข้อสาระสำคัญ(ศาลลงโทษได้) เว้นแต่จำเลยจะได้หลงต่อสู้ • ข้อแตกต่างในเรื่องวัน เวลา สถานที่ กระทำความผิด • ข้อแตกต่างในเรื่องฐานความผิด เกี่ยวกับทรัพย์ • ถ้าไม่ใช่เกี่ยวกับทรัพย์ ดูว่าเข้า วรรค 5 หรือ 6 หรือไม่ • เจตนา ประมาท
มาตรา 192 วรรคสาม • ข้อแตกต่างเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่กระทำความผิด • การต่างกันระหว่างการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ • ลักทรัพย์ กรรโชก ฉ้อโกง รีดเอาทรัพย์ โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร ทำให้เสียทรัพย์ • (ข้อสังเกต ตัวบทไม่ระบุฐาน วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ บุกรุก) • การกระทำความผิดในเรื่องที่แตกต่างกันระหว่างการกระทำโดยเจตนากับประมาท
การแตกต่างดังกล่าว • มิให้ถือว่าต่างกันในสาระสำคัญ ตามมาตรา 192 วรรคสอง • มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอ ตามมาตรา 192 วรรคแรก • มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ตามมาตรา 192 วรรค 4 ศาลสามารถลงโทษจำเลยได้ แต่จะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
ยกเว้นแต่ จะปรากฏว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้
ความแตกต่างกันเกี่ยวกับเวลาและสถานที่กระทำความผิดความแตกต่างกันเกี่ยวกับเวลาและสถานที่กระทำความผิด • ฟ้องว่ากระทำผิดเวลา สถานที่หนึ่ง แต่ทางพิจารณาได้ความว่ากระทำผิดเวลา หรือสถานที่อื่น ม. 192 ว. 3 มิให้ถือว่าเป็นข้อสาระสำคัญ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่โจทก์ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้