230 likes | 405 Views
N. S. MD SAYS “ ระบบอุปถัมภ์ ”. NEWS UPDATE. แวดวงนำเข้า. แวดวงส่งออก. ตามติดกรมศุลกากร กับชิปปิ้งสีเทา. Why I Joined. SNP Health Corner. SNP JOKE. SNP ฟันเฟิร์ม. ข่าวสาร SNP ฉบับที่ 124 WWW.SNP.CO.TH. S. S. ระบบอุปถัมภ์. N. N.
E N D
N S MD SAYS “ ระบบอุปถัมภ์ ” NEWS UPDATE แวดวงนำเข้า แวดวงส่งออก ตามติดกรมศุลกากร กับชิปปิ้งสีเทา Why I Joined SNP Health Corner SNP JOKE SNP ฟันเฟิร์ม ข่าวสาร SNP ฉบับที่ 124 WWW.SNP.CO.TH
S S ระบบอุปถัมภ์ N N ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศไทยในเดือนมีนาคม ต่อเนื่องถึงเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2553 จะทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไป จากการอยู่กันอย่างสงบสุขภายใต้เมืองแห่งรอยยิ้ม ชนชาติใด ๆ เมื่อมาสัมผัสก็หลงรักประเทศไทย ไม่น่าเชื่อว่า เหตุบ้านการเมืองในเวลานี้ จะทำให้ประเทศไทย กลายเป็นดินแดนที่น่าหวาดกลัวต่อการดำรงชีวิตไปได้ จะว่ากันจริง ๆ ประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์มาอย่างยาวนานนับร้อย ๆ ปี ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนยากจนตั้งแต่สมัยสุโขทัย อโยธยา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นระบบทาสหรือเลิกทาสไปแล้ว ทุกคนต่างได้รับประโยชน์จากระบบอุปถัมภ์ทั้งสิ้น คนมีอำนาจ คนมีเงิน ได้ประโยชน์จากการอุปถัมภ์คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ขณะเดียวกันคนที่ไม่มีอำนาจ คนที่ไม่มีเงิน ก็ได้ประโยชน์จากการอุปถัมภ์ของคนมีอำนาจและคนมีเงิน ประเทศไทยจึงเป็นระบบอุปถัมภ์ซึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อคนในประเทศมีจำนวนมากขึ้น ช่องว่างระหว่างคนก็ย่อมมีมากขึ้น เป็นเงาตามตัว ช่องว่างมีมากจนคนที่อยู่ฝ่ายปกครองและฝ่ายถูกปกครองเริ่มไม่ได้ประโยชน์จากระบบอุปถัมภ์กันอย่างทั่วถึงและลงตัว คนฝ่ายปกครองแตกคอกันเอง คนผู้ถูกปกครองก็แตกคอกันเอง แบ่งกันเป็นกลุ่มใหม่ออกมาอยู่ตลอดเวลา P P ต่อหน้า 2
บางกลุ่มได้ทรัพยากรมาก ก็มากจนเหมือนตนเองมีสถานภาพเป็นเทวดา ขณะที่บางกลุ่มได้น้อย ก็น้อยจนเหมือนไม่ได้อะไรเลย เมื่อคนได้น้อยกลายเป็นคนที่มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน กลายเป็นคนหมู่มากที่ไม่ได้ประโยชน์จากระบบอุปถัมภ์จึงเริ่มไม่ยอม เริ่มดิ้นรน เริ่มต่อสู้ และสุดท้ายกลายเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด คำว่า “ระบบอุปถัมภ์” ภาษาอังกฤษเรียกว่า ”Spoil System” หากแปลตามศัพท์ก็หมายถึงระบบทำให้เสีย ถือเป็นระบบไม่ดี เป็นระบบที่ขาดความเป็นธรรม ให้ความช่วยเหลือแบบพวกใครพวกมัน ตรงข้ามกับระบบคุณธรรม หรือ “Merit System” ซึ่งเป็นระบบที่ให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายโดยไม่มีแบ่งแยกพวกแต่อย่างใด ประเทศที่เจริญแล้ว ประชาชนมีการศึกษาสูง สามารถรับผิดชอบต่อสังคมได้ดี ประชาชนเหล่านั้นจะรังเกียจระบบอุปถัมภ์อย่างมาก และเมื่อคิดว่าระบบการเมืองการปกครองของไทย หากยังอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ก็จะรังเกียจตามไปด้วย จะเกิดคำถามตามมามากมาย จนทำให้ฝ่ายปกครองขาดความชอบธรรมไปบางส่วน ผมมาลองสมมุติดูว่า หากสถานการณ์ในบ้านเมืองของเราเวลานี้ จบลงด้วยการทำลายล้างระบบอุปถัมภ์จนหมดสิ้นไปจากประเทศไทย ประชาชนจะมีอิสรภาพ มีประชาธิปไตยตามที่ตนเองคิดว่ามี ตามที่ตนเองคิดว่าใช่ แล้วอะไรจะตามมา ผมว่า หากประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ยังขาดความเข้าใจในเรื่องการมีส่วนร่วม ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม สุดท้ายประชาชนก็จะหนีจากระบบอุปถัมภ์ของคนกลุ่มหนึ่งไปสู่ระบบอุปถัมภ์ของคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ดี เหมือนกับสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งให้เลิกทาส แต่ระบบทาสยังวนเวียนอยู่ในกลุ่มคนบางชนชั้น เหมือนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ของประเทศไทย ก็เป็นเพียงการถ่ายโอนระบบอุปถัมภ์ของชนชั้นกลุ่มหนึ่ง ไปสู่ชนชั้นอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน ดังนั้น เหตุบ้านการเมืองที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่ว่าจะจบลงในลักษณะใด หากความรู้ ความเข้าใจของคนไทยหมู่มาก ยังไม่สูงพอที่จะใช้ระบบคุณธรรมได้ สุดท้ายสังคมไทยก็วนเวียนกลับเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์อยู่ดี แต่ที่จะเปลี่ยนแปลงไปก็คือ ใครจะมาเป็นเจ้ามือในการอุปถัมภ์คนใหม่เท่านั้น สิทธิชัย ชวรางกูร S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก
NEWS UPDATE S • ขนส่งสินค้าทางเรือไม่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม • สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ยังไม่ได้ส่งกระทบต่อการขนส่งสินค้า ทั้งการนำเข้าและส่งออก ของสินค้าทางเรือแต่อย่างใด โดยปริมาณของการส่ง-ออกสินค้า ในท่าเทียบเรือกรุงเทพนั้น จากการตรวจสอบตัวเลขใน(เดือน ตุลาคม 2552- พฤษภาคม 2553) พบว่ามีตัวเลขเพิ่มขึ้น 15% ส่วนการนำเข้าและส่งออกสินค้า ที่ท่าเทียบเรือแหลมฉบังนั้น พบว่า มีตัวเลขประมาณ 10-15% • สำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้าของทั้ง 2 ท่าเรือ คือท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบังนั้น ขณะนี้พบว่ายังเป็นปกติ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมแต่อย่างใด แต่มีความติดขัดในเรื่องการเดินทางและโหลดสินค้าเนื่องจากช่องทางเข้าท่าเรือถูกปิดจนเหลือเพียงช่องทางเล็ก ๆ และมีการตรวจค้นที่เข้มงวด ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการนำเข้าและส่งออกพอสมควร N P ต่อหน้า 2
พิธีการศุลกากรนำเข้า-ส่งออกให้บริการตามปกติพิธีการศุลกากรนำเข้า-ส่งออกให้บริการตามปกติ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้ขยายวันหยุดราชการในพื้นที่กรุงเทพมหานครออกไป ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้เน้นว่าในส่วนของหน่วยงานราชการที่มีภาระหน้าที่ในการที่จะให้บริการกับประชาชน ขอให้ใช้วิจารณญาณในการประเมินที่จะให้บริการอย่างต่อเนื่องให้กับประชาชน รวมไปถึงหน่วยงานที่ต้องให้บริการแก่ภาคเอกชน เพื่อไม่ให้การดำเนินงานของภาคเอกชนต้องสะดุด และเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลในเชิงลบเกินความจำเป็น โดยในส่วนของกระทรวงการคลัง ได้พิจารณาและซักซ้อมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่องนี้ว่า หน่วยงานใดที่มีความจำเป็นที่ควรจะต้องเปิดให้บริการประชาชนตามปกติ ก็ขอให้ดำเนินการเปิดบริการ ถึงแม้ว่าจะมีมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้วันที่ 19 - 21 พฤษภาคม 2553 เป็นวันหยุดราชการก็ตาม กรมศุลกากร มีการชี้แจงว่า ถึงแม้ว่าสถานที่จะอยู่ใกล้กับพื้นที่การชุมนุมก็ไม่ประสบปัญหาอะไร ฉะนั้นกรมศุลกากรจึงจัดเจ้าหน้าที่ศุลกากรอยู่เวรเพื่อให้บริการพิธีการศุลกากร เพราะกิจการการค้าส่งออก - นำเข้า ถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศเป็นอย่างยิ่ง ที่ทุกวันทำการจะมีการตรวจปล่อยสินค้านำเข้า-ส่งออก และชำระค่าภาษีอากร ทุกวันทำการและวันหยุดราชการ ณ หน่วยให้บริการนำเข้า-ส่งออก ที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ท่าเรือภาคเอกชน สถานีลาดกระบัง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าเรือแหลมฉบัง และด่านศุลกากรทั่วประเทศ ให้บริการพิธีศุลกากรเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าและการค้าระหว่างประเทศของไทย สำหรับการส่งข้อมูลใบขนสินค้าของผู้ประกอบการ สามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด เนื่องจากปัจจุบันกรมศุลกากรได้นำระบบพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e - Customs มาใช้ในการส่งข้อมูลใบขนสินค้า โดยผู้ประกอบการจะส่งข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ของสินค้า เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร ซึ่งมีการตรวจสอบข้อมูลและตอบกลับทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ฉะนั้น จึงขอแจ้งให้ผู้ส่งออกและนำเข้าได้รับทราบว่ากรมศุลกากรปฏิบัติหน้าที่ในการให้บริการตามปกติ แม้ว่าจะมีความไม่สะดวกอยู่บ้างเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้มาทำงานครบทุกก็ตาม S N P ต่อหน้า 3
วิกฤติกรีซกระทบส่งออก 0.4% วิกฤตหนี้กรีซยังไม่มีผลบกระทบต่อการส่งออกไทยมากนักในตอนนี้ เนื่องจากประเทศสมาชิกยูโร 16 ประเทศ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) อนุมัติเงินกู้แก่กรีซรวมจำนวนกว่า 1.45 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต้องจับตาว่ากรีซจะสามารถแก้ปัญหาไม่ให้ลุกลามไปยังประเทศอื่นได้หรือไม่ ทั้งนี้ ประเมินว่า หากผลกระทบอยู่เฉพาะในกรีซ จะมีผลกระทบการส่งออกไทย 0.1% แต่หากผลกระทบลามไปโปรตุเกส จะกระทบการส่งออก 0.2-0.4% หรือคิดเป็นมูลค่า 613 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นกรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุด และกรณีเลวร้ายสุด หากผลกระทบของกรีซ ลุกลามไปยังโปรตุเกส สเปน ไอร์แลนด์ และอิตาลี จะกระทบการส่งออก 1.2-1.5% คิดเป็นมูลค่า 2,533 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ระหว่าง 42-45 บาทต่อยูโรนั้น การส่งออกไทยไตรมาสแรกยังดีอยู่ แต่คาดว่าจากวิกฤตกรีซจะกระทบการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 3 ดังนั้น ควรดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับภูมิภาค หรืออยู่ที่ 41-42 บาทต่อยูโร เพราะหากค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 40-40.5 บาทต่อยูโร จะทำให้การส่งออกไทยไปกลุ่มยูโรลดลง 270-540 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกันนี้ ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัว หาตลาดอื่นทดแทนตลาดยุโรป โดยเฉพาะตลาดในเอเชีย รวมถึงตลาดที่เปิดเขตการค้าเสรีกับไทย โดยสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบ อาทิ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารและเสื้อผ้า S N P ต่อหน้า 4
วิกฤตการณ์การส่งออก : ปัญหาเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจไทยมีความผูกพันกับเศรษฐกิจโลกในระดับสูงมาเป็นระยะเวลายาวนานดังจะเห็นจากตัวอย่างในอดีตในช่วง หลังวิกฤตการณ์น้ำมัน เศรษฐกิจทั่วโลกซึ่งอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ซึ่งส่งผลกระทบให้กับเศรษฐกิจไทยด้วย อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจไทย ประเทศไทยจึงมีการปรับแผนการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้ามาเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก เพื่อลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และผลจากการเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าว ได้ส่งผลทำให้สัดส่วนมูลค่าการส่งออกใน GDP สูงขึ้นมาโดยตลอด การส่งออกจึงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย และทำให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงขึ้น เมื่อพิจารณาทางด้านโครงสร้างสินค้าส่งออกของไทยได้เริ่มมีการปรับจากโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรมาเป็นการผลิตทางด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น ปัจจุบันอัตราการเจริญเติบโตของการส่งออกของเราชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งใน ปี พ.ศ. 2539 ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 0 % การลดลงของการส่งออกนี้เองจะเป็นผลให้การขาดดุลบัญชีดุลการค้าเพิ่มขึ้น และทำให้ฐานะทางการเงินระหว่างประเทศของเราแย่ลง เหตุผลที่ทำให้การส่งออกของเราลดลงก็มาจากหลายสาเหตุ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งมีผลทำให้การค้าขายระหว่างประเทศลดลง ปัญหาทางด้านการกีดกันการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีผลมาจากการถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้าของไทย เพราะประเทศไทยได้มีการพัฒนาการผลิตการสินค้าเกษตร จนกระทั่งผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น จนกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ทำให้รายได้ ประชาชาติสูงขึ้น จนถึงระดับที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้า S N P ต่อหน้า 5
จากปัญหาการส่งออกได้มีมากขึ้นจนกระทั่งในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมาจากการขยายตัวของการส่งออกลดระดับลงมาจนถึง 0 % ซึ่งอาจจะนับได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง ปัญหาการส่งออกของไทยมีสาเหตุมาจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ปัญหาภายนอกที่สำคัญ เช่น การ ชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การกีดกันทางการค้าของประเทศต่าง ๆ และการกำหนดมาตรฐานของสินค้าที่สูงขึ้น ส่วนทางด้านปัจจัยภายใน เช่น ความเหมาะสมของนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่ผ่านมา เรามีปัญหาทางด้านการเงินมากพอสมควร ประกอบกับความผันผวนของอัตรา แลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เสถียรภาพทางการเงินของไทยแย่ลง ทางด้านต้นทุนการผลิตสินค้าซึ่งเรามีการผลิตที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ปัญหาค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และเทคโนโลยีการผลิตที่ไม่ทันสมัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้าโลก ด้วยเหตุที่ปัญหาการส่งออกนับเป็นปัญหาที่สำคัญเพราะเป็นแหล่งที่มาของรายได้ ที่สำคัญของประเทศไทย การที่จะปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเรื้อรังอยู่ก็จะทำให้เสียรายได้จากส่วนนี้ไป และส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ ดังนั้น จึงต้องพยายามเร่งแก้ไขปัญหาการส่งออก โดย ร่วมมือกันจากทุก ๆ ฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก
แวดวงนำเข้า S หัวใจสำคัญในการคิดราคาเบี้ยประกันภัยทางทะเล ในการนำเข้าสินค้ามีผู้ประกอบการหลายท่านที่เลือกใช้การประกันภัยจากปลายทาง แต่ท่านผู้ประกอบการเคยสงสัยหรือไม่ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้ราคาเบี้ยประกันภัยนั้นแตกต่างกัน ในวันนี้จะขอแนะนำถึงเงื่อนไขหลักๆ ในการคิดเบี้ยประกันภัยทางทะเล ปัจจัยในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยและขนส่งสินค้าทางทะเล 1. เรือ สภาพโครงสร้าง อายุ สมาคมมาตรฐานเรือที่ได้รับการยอมรับในการจดทะเบียนเรือ 2. เส้นทางการขนส่ง ระยะทาง ท่าเรือที่ต้องจอดเพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน การขนย้าย ฯลฯ มีความปลอดภัย หรือไม่ สภาพภูมิอากาศ 3. ลักษณะของสินค้า มีความเสี่ยงต่อความเสียหายมากเพียงใด 4. เงื่อนไขความคุ้มครอง ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ประกอบการว่าจะใช้ Clause A, Clause B หรือ Clause C ซึ่งมีราคาแตกต่างกันไป ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เบี้ยประกันมีราคาสูงหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ทั้งสิ้น N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก
5 โปรเจคยักษ์สวนกระแสการเมือง • จากปัญหาด้านสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังคุกรุ่นอยู่ กระทรวงคมนาคม ได้วางแผนสร้างโปรเจคยักษ์ สำหรับระบบโลจิสติกส์ภายในประเทศ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการส่งออกให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสวนกระแสกับปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่ดูไม่ค่อยดีนักในช่วงนี้ • จากข่าวของสยามธุรกิจ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวง คมนาคมได้ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการของกระทรวงคมนาคม ที่กำลังอยู่ระหว่างรอพิจารณาอนุมัติ ดังนี้ :- • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ 6 ปี ของบริษัท ท่าอากาศ ยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. โดยโครงการจะเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-2559 วงเงิน 62,503 ล้านบาท • โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือปากบารา จังหวัดสตูล วงเงิน 9.7 พันล้านบาท ของกรมเจ้าท่า • โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กิโลเมตร วงเงิน 52,460 ล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) • โครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซเอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงิน 6.3 หมื่นล้านบาท ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) • โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่ง ตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง เงินลงทุน 2 พันล้านบาท ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) • ถ้าโครงการนี้สามารถอนุมัติได้จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการขนส่งสินค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่จากในสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ประเทศไทย คงจะต้องการงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เพื่อฟื้นฟูประเทศเสียมากกว่า คมนาคมเดินหน้าดัน 5 เมกะโปรเจกต์ สำคัญเสนอครม.พิจารณาสวนกระแสวิกฤติการเมือง ขณะ ที่สภาพัฒน์ เปิดทาง กทท.สร้างศูนย์การขนส่งตู้สินค้า 2 พันล้าน บิ๊กบอสท่าเรือ “เฉลิมชัย” ระบุลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน ให้สัมปทานเอกชนเข้ามาลงทุนเครื่องมือขนาดเล็ก และบริหารโครงการตามพ.ร.บ.ร่วมทุน แวดวงส่งออก 5 โปรเจคยักษ์สวนกระแสการเมือง จากปัญหาด้านสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังคุกรุ่นอยู่ กระทรวงคมนาคม ได้วางแผนสร้างโปรเจคยักษ์ สำหรับระบบโลจิสติกส์ภายในประเทศ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการส่งออกให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสวนกระแสกับปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่ดูไม่ค่อยดีนักในช่วงนี้ จากข่าวของสยามธุรกิจ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวง คมนาคมได้ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการของกระทรวงคมนาคม ที่กำลังอยู่ระหว่างรอพิจารณาอนุมัติ ดังนี้ :- 1. โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ 6 ปี ของบริษัท ท่าอากาศ ยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. โดยโครงการจะเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-2559 วงเงิน 62,503 ล้านบาท 2. โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือปากบารา จังหวัดสตูล วงเงิน 9.7 พันล้านบาท ของกรมเจ้าท่า 3. โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กิโลเมตร วงเงิน 52,460 ล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 5. โครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซเอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงิน 6.3 หมื่นล้านบาท ขององค์การขนส่ง มวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 4. โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่ง ตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง เงินลงทุน 2 พันล้านบาท ของการ ท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ถ้าโครงการนี้สามารถอนุมัติได้จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการขนส่งสินค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่จากในสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ประเทศไทย คงจะต้องการงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เพื่อฟื้นฟูประเทศเสียมากกว่า S N P ต่อหน้า 2
คมนาคมเดินหน้าดัน 5 เมกะโปรเจกต์ สำคัญเสนอครม.พิจารณาสวนกระแสวิกฤติการเมือง ขณะ ที่สภาพัฒน์ เปิดทาง กทท.สร้างศูนย์การขนส่งตู้สินค้า 2 พันล้าน บิ๊กบอสท่าเรือ “เฉลิมชัย” ระบุลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน ให้สัมปทานเอกชนเข้ามาลงทุนเครื่องมือขนาดเล็ก และบริหารโครงการตามพ.ร.บ.ร่วมทุน S N นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวง คมนาคม เปิดเผยถึงโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคม ที่อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติว่าโครงการสำคัญดังกล่าว มีจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ 6 ปี ของบริษัท ท่าอากาศ ยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. โดยโครงการจะเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-2559 วงเงิน 62,503 ล้านบาท โดยโครงการ นี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศ ยานสุวรรณภูมิให้รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 60 ล้านคน จากเดิม 45 ล้านคน 2. โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือปากบารา จังหวัดสตูล วงเงิน 9.7 พันล้านบาท ของกรมเจ้าท่า โดยท่าเทียบเรือนี้จะเป็นท่าเทียบเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) วางแผนที่จะเชื่อมท่าเรือฝั่งทะเลอันดามัน และอ่าวไทย เพื่อที่จะเชื่อมโยงการขนส่งสินค้า และลดระยะเวลาในการขนส่งสินค้าจากฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย โดยฝั่งอ่าวไทยจะเชื่อมกับท่าเรือสงขลา แห่งที่ 2 P ต่อหน้า 3
3. โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กิโลเมตร วงเงิน 52,460 ล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกวดราคา 4. โครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซเอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงิน 6.3 หมื่นล้านบาท ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งที่ผ่านมาครม.เห็นชอบในหลักการแล้ว แต่ให้กระทรวงคมนาคมเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมใน 3 ประเด็น คือ 1.การกำหนดแผนการใช้ระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ และแผนโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด 2.แผนการเพิ่มจำนวนอู่รถเมล์ที่ให้เติมเอ็นจีวีได้ และ 3.การตรวจสอบราคากลางเพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างโปร่งใสมากที่สุด 5. โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่ง ตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง เงินลงทุน 2 พันล้านบาท ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ประกอบด้วยโครงการจัดทำศูนย์การขนส่งในท่าเรือแหลมฉบังเนื้อที่ 600 ไร่ และงานก่อสร้างรถไฟรางคู่ตั้งแต่บริเวณสถานีรถไฟแหลมฉบังถึงศูนย์การขนส่งตู้สินค้าฯ ระยะทาง 4 กิโลเมตร โดยระยะแรกจะสามารถรองรับตู้สินค้าได้ปีละ 1 ล้านทีอียู “กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการจัดเตรียมรายละเอียดโครงการต่างๆ เหล่านี้เพื่อเสนอให้ ครม.พิจารณา โดยกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติ และไม่ได้เร่งรัดดำเนินโครงการใดเป็นการเฉพาะ” ด้านนายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการ กทท.กล่าวว่า ความคืบหน้าโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) มูลค่าประมาณ 2.02 พันล้านบาทนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรอมติอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ หลังจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ (บอร์ด) กทท.ได้ให้ความเห็นแผนลงทุนโครงการ และได้เสนอไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว โดยแผนพัฒนาโครงการกทท.จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และให้สัมปทานเอกชนเข้ามาลงทุนเครื่องมือขนาดเล็กและบริหารโครงการตามพ.ร.บ.ว่า ด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐพ.ศ. 2535 โดยขั้นตอนต่อไปจะว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดและรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนที่เหมาะสม S N P ต่อหน้า 4
แหล่งข่าวจากกทท. กล่าวว่า เบื้องต้นที่ประชุมบอร์ดสศช.เห็นด้วยกับแผนลงทุนโครงการเพราะมีความจำเป็น แต่ตั้งข้อสังเกตกรณีที่ การก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ตอน ฉะเชิงเทรา-ศรีราช-แหลมฉบัง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) มีความล่าช้า ซึ่งจะกระทบต่อแผนโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง และต้องการให้กทท.ปรับแผนระยะเวลาการดำเนินการใหม่ให้สอดคล้องกับการก่อสร้างรถไฟทางคู่ด้วย ทั้งนี้ สศช. ระบุว่า การก่อสร้างรถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา -แหลมฉบัง ของร.ฟ.ท.ตามแผนจะก่อสร้างแล้วเสร็จต้นปี 2554 ส่วนโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ของทลฉ.จะเสร็จประมาณกลางปี 2555 ซึ่งก็จะสอดคล้องกัน โดยจะทำให้การพัฒนาการขนส่งทางรางไปยังท่าเรือเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย แต่ขณะนี้รถไฟทางคู่ล่าช้ากว่าแผนมากและไม่มีความแน่นอนว่าจะเสร็จเมื่อไร ดังนั้นจึงให้ กทท.กับร.ฟ.ท. ประสานแผนร่วมกันให้ชัดเจน เพราะหาก โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟของ ทลฉ. เสร็จก่อนแต่รถไฟทางคู่ยังไม่เสร็จตู้สินค้าก็ขนส่งไปไม่ได้ http://www.marinerthai.com/forum/index.php?topic=7175.0 S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก
ตามติดกรมศุลกากร กับชิปปิ้งสีเทา S ตอน สินค้าที่ต้องเสียภาษีก่อนการส่งออก ใจหายใจคว่ำกันไปตามๆกันนะครับ สำหรับเหตุการณ์เผากรุงครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ที่ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ สถานที่ราชการและบ้านเรือนประชาชนละแวกข้างเคียงที่ได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันไปอย่างถ้วนหน้าเลยทีเดียว โดยเฉพาะบ้านเรือนของพี่น้องที่อยู่บริเวณย่าน Center One อนุสาวรีย์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วัสดุที่เป็นไม้ในการก่อสร้างโดนพระเพลิงที่ลุกโหมกว่า 20 ชม. กระหน่ำจนเหลือแต่ซากไปเลย สัปดาห์นี้ชิปปิ้งสีเทาก็เลยพาไปดูประกาศที่เกี่ยวข้องกับไม้เลยก็แล้วกัน (เข้าเรื่องซะงั้น) กับประกาศกรมศุลกากร ที่ กค0519/ว235 ลงวันที่ 5 เมษายน 2553เรื่อง กำหนดราคาศุลกากรสำหรับสินค้าไม้ เป็นเกณฑ์ประเมินเงินอากรขาออก(สามารถอ่านประกาศฉบับเต็มได้ที่ http://www.customs.go.th/Declaration/DeclarationResult.jsp?Docidt=A01301&tlechk=1) อารัมภบทกันก่อน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยวและการนำเข้า – ส่งออก ทำให้รัฐบาลมักออกมาตรการต่างๆเพื่อสนับสนุนผู้ส่งออกให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เช่น สินค้าส่งออกกว่า 98% ไม่ต้องชำระอากรเพื่อการส่งออก อย่างไรก็ดี หลายท่านกลับยังไม่รู้ว่า รัฐบาลไม่ส่งเสริมให้ผู้ส่งออกชาวไทยส่งออกสินค้าบางประเภทออกไปนอกราชอาณาจักรไทย เนื่องจากรัฐบาลเล็งเห็นว่าการส่งออกสินค้าเหล่านั้นออกไปนอกราชอาณาจักร จะส่งผลในด้านลบต่อการดำเนินชีวิตของประชากรภายในประเทศที่อาจต้องพึ่งพาสินค้าเหล่านั้นในการดำรงชีวิต ทำให้รัฐบาลจำต้องตั้งกำแพงภาษีขึ้นมาเพื่อให้เป็นภาระของผู้ส่งออกไทยที่ประสงค์จะส่งออกสินค้านั้นๆออกไปนอกราชอาณาจักร N P ต่อหน้า 2
ตัวอย่างสินค้าที่ผู้ส่งออกต้องเสียภาษีอากรก่อนการส่งออก เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว เศษโลหะทุกชนิด หนังโคและกระบือ ยางและน้ำยางที่ได้จากต้นยางตระกูลฮีเวีย ไม้ ไม้แปรรูปและของที่ทำจากไม้ เส้นไหมดิบที่ยังไม่ตีเกลียว เส้นด้ายที่ทำด้วยไหม ขี้ไหมและเศษไหม ปลาป่นหรือปลาอบแห้งที่ยังมิได้ป่นอันไม่เหมาะสำหรับเป็นอาหารของมนุษย์ เป็นต้น ทำไมต้องออกประกาศนี้ อย่างที่ได้เห็นไปแล้วด้านบนนะครับ ว่าไม้และไม้แปรรูปถือเป็นสินค้าอีกประเภทหนึ่ง ที่ผู้ส่งออกมีภาระในการชำระภาษีอากรก่อนการส่งออก และผมแอบกระซิบไว้ ณ ที่นี้เลยนะครับ ว่าภาษีอากรส่งออกของสินค้าประเภทนี้อยู่ในเกณฑ์ที่แทบจะเอากันให้ตายไปข้างหนึ่งกันเลยที่เดียว 40% คือ อัตราภาษีที่ผู้ส่งออกต้องจ่ายสำหรับการส่งออกไม้และไม้แปรรูปออกไปนอกประเทศ (คิดจากราคา FOB) นี่แสดงให้เราเห็นเลยนะครับว่า รัฐบาลมิได้ให้การสนับสนุนการส่งออกไม้สักเท่าไหร่ เพราะต้องการสงวนเอาไว้ให้กับคนในประเทศได้บริโภคกัน แต่แน่นอนครับ เราจะไปห้ามให้เจ้าของต้นไม้ ขายต้นไม้ที่เขาปลูกขึ้นมาเอง ก็คงไม่ได้ รัฐบาลก็เลยกำหนดกำแพงภาษีขึ้นมาให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกขึ้น พออัตราภาษีสูง หลายท่านพอจะเดาได้เลยใช่มั้ยครับว่า ผู้ส่งออกชาวไทยส่วนใหญ่จะทำยังไงเพื่อให้ตนเองเป็น นักธุรกิจที่ดี ตาม Concept ของอดีตผู้นำบางประเทศแถวๆเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (นักธุรกิจที่ดี = จ่ายภาษีให้น้อยที่สุด) ใช่ครับ การสำแดงราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อให้ฐานในการคำนวณภาษีลดลงกว่าเดิม เป็นกลยุทธ์ที่ผู้ส่งออกบางท่านงัดขึ้นมาใช้ในการหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าว กรมศุลกากรก็เลย ทำหน้าที่ในการสร้างบรรทัดฐานร่วมกันของสังคมขึ้นมา โดยการกำหนดราคาประเมินของไม้แต่ละประเภท ที่จะใช้เป็นฐานในการคำนวณอากรขาออกขึ้นมานั่นเอง ประกาศฉบับนี้ก็เป็นเพียงแค่การ Update ราคาให้เข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็เท่านั้นเอง S N P ต่อหน้า 3
สาระสำคัญ แน่นอนอยู่แล้วครับ ว่าสาระสำคัญของประกาศนี้ก็อยู่ที่ราคาประเมินของไม้แต่ละชนิด แต่ละประเภท ตามที่อยู่ในประกาศนั่นเอง (อ่านเองบ้าง อะไรบ้าง นะครับ แฮะๆ) Grey's Comment ผมมีเทคนิคในการดูประกาศฉบับนี้อีกอย่างที่จะแอบบอกนะครับ ซึ่งไม่ได้ลึกล้ำอะไรมากนัก เป็นเพียงแนวทางส่วนตัวที่อยากแนะนำให้ผู้ส่งออกชั้นดีชาวไทย ที่สำแดงราคาจริงที่ใช้ซื้อขายกับผู้ซื้อต่างประเทศไว้ในเอกสารที่ผ่านพิธีการกับกรมฯแล้ว แต่ปรากฏว่า ราคาจริงของท่าน ก็ดันไปต่ำกว่าราคาประเมินของกรมฯเสียฉิบ ประเทศไทยนับเป็นอีกประเทศหนึ่งที่อยู่ใน องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ที่มี General Agreement on Tariff and Trade หรือ GATT เป็นหนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญ ซึ่งการประเมินราคาตามหลักของ GATT มีมากมายหลายข้อครับ แต่ข้อที่สำคัญเป็นอันดับแรกก็คือ ให้ยึดราคาที่ซื้อขายจริงเป็นหลักหากผู้ซื้อหรือผู้ขายสามารถหาหลักฐานที่น่าเชื่อถือมายืนยันราคาทีใช้ซื้อขายกัน ต่อศุลกากร ณ ประเทศต้นทางหรือปลายทางได้ ไฮไลท์ก็เลยมาอยู่ที่คำว่า หลักฐานที่น่าเชื่อถือนี่ล่ะครับ บางทีแค่หลักฐานการชำระเงิน หรือ Sales Contract ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอาจมีน้ำหนักไม่เพียงพอ ในมุมมองของศุลกากร แต่หากเรามีหลักฐานจาก Party ที่ 3 ที่น่าเชื่อถือมายืนยันราคาล่ะ พอนึกออกไหมครับ บรรดาท่านผู้อ่านของผม ถ้านึกไม่ออกลองท่องอักษรภาษาอังกฤษจากหลังไปหน้ากันดูครับ “ Z Y X W V U T S R Q P O N M L K J I H G F E D C B A ” S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก
Why I Joined S “สัมภาษณ์ คุณสมชาย พูลพานิชกุล” ในปัจจุบันนี้มีนักธุรกิจที่เป็นชาวจีนอยู่มากมาย ซึ่ง บริษัทฯ SNP ของเรานั้น ก็มีพนักงานอยู่คนนึงที่เชี่ยวชาญในการพูดภาษาจีนเป็นอย่างมาก และเป็น Sales ที่ติดต่อประสานงานกับลูกค้าชาวจีนอยู่เสมอมา นั่นก็คือ คุณสมชาย พูลพานิชกุล หรือที่เรียกกันว่า เฮียสมชาย ของชาว SNP นั่นเอง เรามาดูกันซิว่า เฮียสมชายจะมีแง่คิดดีๆอะไรมาฝากกันบ้าง ไปไงมาไงมาทำงานที่นี่ได้? จะว่าไปก็จำไม่ค่อยได้นะ นานแล้ว (หัวเราะ) ก็เข้ามาทำงานที่นี่ตอนปี 42 ก็ว่างๆงานอยู่ ไม่ได้ทำงานมา2-3 ปี แล้วคุณพรกษมนทน์ ก็ได้ชักชวนมาทำงานที่นี่ บอกว่ามีนี่มีการติดต่อกับลูกค้าชาวจีนด้วย เพราะผมพูดภาษาจีนได้ ก็เลยเข้ามาทำเพราะช่วงนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร N P ต่อหน้า 2
เข้ามาทำที่นี่ทำงานมาแล้วกี่แผนก?เข้ามาทำที่นี่ทำงานมาแล้วกี่แผนก? ก็ตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี่มาก็ทำอยู่ในส่วนของ Sales มาตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบันเลย ผมก็ดูแลลูกค้าชาวจีนครับแรกๆตอนทำก็ศึกษาข้อมูลของบริษัทฯให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วนซะก่อน ผมศึกษาอยู่ 2 เดือน แล้วหลังจากนั้นก็ออกพบลูกค้า แรกๆก็ยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่หรอกนะ แต่ทำบ่อยๆก็ทำให้เรามีประสบการณ์ที่มากขึ้นและทำให้เราเก่งและชำนาญขึ้น การที่ออกไปพบลูกค้าบ่อยๆ และมีคำถามที่ถามกลับมา ก็ทำให้เราต้องกลับมาหาข้อมูลเพื่อนำไปตอบคำถาม ซึ่งมันจะทำให้เราได้ข้อมูลและความรู้เพิ่มขึ้น ข้อดีของ SNP? ที่นี่มีนโยบายที่ให้ความรู้กับพนักงาน ซึ่งจะทำให้เรามีความรู้มากขึ้น และจะคอยเพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆทันเหตุการณ์อยู่ตลอด มีการทำงานเป็นทีม มีระบบระเบียบ เพราะถ้าที่นี่ไม่มีระบบระเบียบที่ดี บริษัทฯคงไม่ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะที่นี่ก็ยืนหยัดมาถึง 30 ปีแล้ว แง่คิดในการทำงาน? ผมก็ยึดตามนโยบายบริษัทฯแหละครับเพราะนโยบายดีอยู่แล้ว และต้องมีความอดทน ทำงานให้เต็มที่ และจริงใจในการทำงาน เพราะถ้าเราไม่มี3ข้อนี้ ก็คงจะไม่มีความสุขและไม่มีความมั่นคงในตัวเอง ฝากถึงผู้ประกอบการ? ก็อยากให้ผู้ประกอบการทุกท่านไว้ใจเรากับการทำงาน เพราะทางเรามีประสบการณ์ในการทำงานถึง 30 ปีแล้ว เราก็เต็มใจที่จะให้ความรู้และความช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกท่านด้วยความจริงใจและเต็มที่อย่างที่สุด S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก
SNP HEALTH CORNER “10 อันดับ อาหารต้านมะเร็ง” สมัยนี้โรคภัยไข้เจ็บนั้นมีอยู่รอบตัวเรา และยิ่ง “โรคมะเร็ง” โรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 1 เลยทีเดียว แต่อย่างไรเสีย เราก็สามารถที่จะป้องกันมะเร็งด้วยอาหารที่สามารถหารับประทานได้ง่ายๆตามท้องตลาดทั่วไป ดังรายการต่อไปนี้ 1. ผัก–ผักมีกากใยปริมาณมาก ซึ่งผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง ได้แก่ - กลุ่มผักมีสี เช่น บีทรูท ผักโขม แครอท มะเขือเทศ ยิ่งมีสีเข้มมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่ามีสารที่มีประโยชน์ (Phytochemical) มากขึ้นเท่านั้น รงควัตถุเหล่านี้ได้แก่ ไบโอฟลาวินอยด์ 20,000 ชนิด และแคโรทีนอยด์ 800 ชนิด ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายและยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์มะเร็ง - กลุ่มกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี กะหล่ำดอก ในผักชนิดนี้จะมีสารต้านมะเร็ง สารที่ช่วยขจัดสารพิษ ตลอดจน อินดอล-3-คาร์บินอลและซัลโฟราเฟน - หัวหอม และกระเทียม ประกอบด้วยไบโอฟลาวินอยด์หลายชนิดด้วยกัน หนึ่งในนั้นได้แก่ เคอร์ซิทิน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้ นอกจากนี้ยังมีสารต้านมะเร็งอื่นๆ ได้แก่ อัลลิซิน , เอส-อัลลิล ซิสทีอิน, ซีลีเนียม และสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดี ที่เราจะรับประทานกระเทียมและหัวหอม เป็นประจำ 2. ปลาน้ำเย็นเช่น ซัลมอน ค็อด แมคเคอเรล ซาร์ดีน ทูน่าและปลาจากทะเลน้ำลึก ในปลา เหล่านี้จะอุดมไปด้วยไขมันที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ได้แก่ EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA ( Docosahexaenoic Acid) ซึ่งชะลอการแพร่ของมะเร็ง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆที่พบในน้ำทะเล แต่ไม่พบในดิน S N P ต่อหน้า 2
3. ถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ในถั่วเหล่านี้พบว่ามีสารต้านโปรตีเอสในปริมาณสูง (มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง) นอกจากนี้ยังพบว่ามีอินโนซิทอล เฮกซาฟอสเฟต (กรดไฟตริก ซึ่งในท้องตลาด จะขายในรูปของ IP-6) และจีเนสเตอิน (ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งตีบลง) นอกจากนี้ในถั่วยังอุดมไปด้วยกากใยที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายตามธรรมชาติ • 4. เมล็ดธัญพืชเช่น ข้าวโอ๊ต บาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี เนื่องจากเมื่อกากใยของพืชเหล่านี้แตกตัวที่ลำไส้จะเปลี่ยนเป็นกรดบิวไทริกที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง • สาหร่ายทะเล จะประกอบด้วยสารบางชนิดที่ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร และยังประกอบด้วยกากใยชนิดพิเศษที่สามารถละลายน้ำได้ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการนำไขมันอันตราย สารอนุมูลอิสระ สารพิษต่างๆออกจากลำไส้ นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุอย่างดีจากน้ำทะเล • 6. เบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ เบอร์รี่สีดำ เพราะในเบอร์รี่จะมีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง และยังมีกรดอัลลาจิกที่จะทำลายเซลล์มะเร็งให้ตาย • 7. โยเกิร์ต เนื่องจากในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิลัส ที่สามารถหมักนมให้เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน และเนื่องจากกว่า 80% ของระบบภูมิคุ้มกันจะอยู่ที่ทางเดินอาหาร ดังนั้นโยเกิร์ตจึงเป็นอาหารที่จัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายในการป้องการติดเชื้อและยังช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย S N P ต่อหน้า 3
8. ชาเขียว ประกอบด้วยคาเทชินและสารเคมีในพืชอีกหลายชนิดด้วยกัน จากงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศญี่ปุ่นและจีน พบว่าชาเขียวสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งและยังสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้ • หมายเหตุ การดื่มชาเขียวให้ได้รับประโยชน์เต็มที่นั้น ต้องดื่มทันทีหลังจากชงเสร็จ เนื่องจากถ้าทิ้งไว้ชาเขียวจะทำปฎิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ทำให้สูญเสียคุณค่าไป • เครื่องเทศ – มาสตาร์ด พริก พริกไท กระเทียม หัวหอม ขิง โรสแมรี่ อบเชยและเครื่องเทศอื่นๆ ที่ใช้ปรุงแต่งรส สามารถต้านมะเร็งและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน • 10. น้ำสะอาด - เป็นเรื่องแปลกที่กว่า 2 ใน 3 ของพื้นที่บนโลกและของร่างกายนั้นประกอบด้วยน้ำ เนื่องจากน้ำ • นั้นเป็นเป็นสารตัวกลางสำคัญของร่างกายที่ใช้ในขบวนการต่างๆของเซลล์ อาทิเช่น ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง การทำความสะอาด การขจัดสิ่งสกปรก และยังนำพาสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์ ตลอดจนนำของเสีย หรือสารพิษออกจากเซลล์อีกด้วย S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก
SNP JOKE S SNP JOKE “ถอดรองเท้าใส่บาตร” สวัสดีชาว SNP JOKE ทุกท่าน วันนี้เรามีบุญมาฝาก เราเชื่อว่าทุกๆท่านก็คงจะเคยใส่บาตรกันทุกคน วันนี้เราจึงนำเรื่องของการใส่บาตรมาเล่าสู่กันฟัง เพราะเคยมี เรื่องเล่าว่า มีโยมคนหนึ่งยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ"โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่าโยม : เอ่อ จะดีเหรอคะพระ : ไม่เป็นไรหรอกโยมโยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่าโยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะตายแล้วหล่อน!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร...555...ตลกมั้ย!!! อ้างอิงจาก : http://www.waiza.com/forum/index.php?PHPSESSID=pd2tvsb6ebk3ogt05ht7ergno3&topic=34898.0 N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก
SNP ฟันเฟิร์ม S “บอกความขี้หึงกับการกินน้ำแข็งใส” วันไหนอากาศร้อนก็นึกอยากทานอะไรเย็นๆขึ้นมา เห็นข้างบ้านกำลังซื้อน้ำแข็งใสอยู่เลยนึกอยากลองกินดูบ้าง จากนั้นก็เลยไปซื้อน้ำแข็งใสมากินบ้าง เกริ่นมาตั้งนานมาเข้าประเด็นกันดีกว่า รู้รึเปล่าว่าการกินน้ำแข็งใสนี่แหละบอกนิสัยของคนที่กินได้เป็นอย่างดีเลยเชียวล่ะ กินจากยอดสุดก่อน ระดับความหึงของคุณมีน้อยมาก ถึงพ่อตัวดีของคุณจะไปหนุงหนิงกับใคร คุณก็จะรอฟังเหตุผลจากเค้าก่อน ใช้ช้อนกดลงไปให้แบน ๆ ก็อยู่ในระกับปกติ ยังใจเย็นพอ แม้นจะงอนเล็กๆก็ตาม ใช้ช้อนขูดด้านข้างกิน ลึกๆแล้ว คุณขี้หึงสุดขั้วเลยล่ะ อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยังยิ้มแย้มอยู่หรอก แต่พออยู่ด้วยกัน 2 คนเมื่อไหร่ พ่อนั่นเป็นแหลก กินน้ำแข็งพร้อมกับดูดน้ำหวานตามไปด้วย นี่ล่ะสุดๆ พร้อมจะวีนได้ตลอด เหตุผลไม่ฟัง แถมไม่ไว้หน้าอีกต่างหาก N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก