1 / 23

แวดวงนำเข้า

N. S. MD SAYS “ ระบบอุปถัมภ์ ”. NEWS UPDATE. แวดวงนำเข้า. แวดวงส่งออก. ตามติดกรมศุลกากร กับชิปปิ้งสีเทา. Why I Joined. SNP Health Corner. SNP JOKE. SNP ฟันเฟิร์ม. ข่าวสาร SNP ฉบับที่ 124 WWW.SNP.CO.TH. S. S. ระบบอุปถัมภ์. N. N.

donny
Download Presentation

แวดวงนำเข้า

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. N S MD SAYS “ ระบบอุปถัมภ์ ” NEWS UPDATE แวดวงนำเข้า แวดวงส่งออก ตามติดกรมศุลกากร กับชิปปิ้งสีเทา Why I Joined SNP Health Corner SNP JOKE SNP ฟันเฟิร์ม ข่าวสาร SNP ฉบับที่ 124 WWW.SNP.CO.TH

  2. S S ระบบอุปถัมภ์ N N ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศไทยในเดือนมีนาคม ต่อเนื่องถึงเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2553 จะทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไป จากการอยู่กันอย่างสงบสุขภายใต้เมืองแห่งรอยยิ้ม ชนชาติใด ๆ เมื่อมาสัมผัสก็หลงรักประเทศไทย ไม่น่าเชื่อว่า เหตุบ้านการเมืองในเวลานี้ จะทำให้ประเทศไทย กลายเป็นดินแดนที่น่าหวาดกลัวต่อการดำรงชีวิตไปได้ จะว่ากันจริง ๆ ประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์มาอย่างยาวนานนับร้อย ๆ ปี ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนยากจนตั้งแต่สมัยสุโขทัย อโยธยา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นระบบทาสหรือเลิกทาสไปแล้ว ทุกคนต่างได้รับประโยชน์จากระบบอุปถัมภ์ทั้งสิ้น คนมีอำนาจ คนมีเงิน ได้ประโยชน์จากการอุปถัมภ์คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ขณะเดียวกันคนที่ไม่มีอำนาจ คนที่ไม่มีเงิน ก็ได้ประโยชน์จากการอุปถัมภ์ของคนมีอำนาจและคนมีเงิน ประเทศไทยจึงเป็นระบบอุปถัมภ์ซึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อคนในประเทศมีจำนวนมากขึ้น ช่องว่างระหว่างคนก็ย่อมมีมากขึ้น เป็นเงาตามตัว ช่องว่างมีมากจนคนที่อยู่ฝ่ายปกครองและฝ่ายถูกปกครองเริ่มไม่ได้ประโยชน์จากระบบอุปถัมภ์กันอย่างทั่วถึงและลงตัว คนฝ่ายปกครองแตกคอกันเอง คนผู้ถูกปกครองก็แตกคอกันเอง แบ่งกันเป็นกลุ่มใหม่ออกมาอยู่ตลอดเวลา P P ต่อหน้า 2

  3. บางกลุ่มได้ทรัพยากรมาก ก็มากจนเหมือนตนเองมีสถานภาพเป็นเทวดา ขณะที่บางกลุ่มได้น้อย ก็น้อยจนเหมือนไม่ได้อะไรเลย เมื่อคนได้น้อยกลายเป็นคนที่มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน กลายเป็นคนหมู่มากที่ไม่ได้ประโยชน์จากระบบอุปถัมภ์จึงเริ่มไม่ยอม เริ่มดิ้นรน เริ่มต่อสู้ และสุดท้ายกลายเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด คำว่า “ระบบอุปถัมภ์” ภาษาอังกฤษเรียกว่า ”Spoil System” หากแปลตามศัพท์ก็หมายถึงระบบทำให้เสีย ถือเป็นระบบไม่ดี เป็นระบบที่ขาดความเป็นธรรม ให้ความช่วยเหลือแบบพวกใครพวกมัน ตรงข้ามกับระบบคุณธรรม หรือ “Merit System” ซึ่งเป็นระบบที่ให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายโดยไม่มีแบ่งแยกพวกแต่อย่างใด ประเทศที่เจริญแล้ว ประชาชนมีการศึกษาสูง สามารถรับผิดชอบต่อสังคมได้ดี ประชาชนเหล่านั้นจะรังเกียจระบบอุปถัมภ์อย่างมาก และเมื่อคิดว่าระบบการเมืองการปกครองของไทย หากยังอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ก็จะรังเกียจตามไปด้วย จะเกิดคำถามตามมามากมาย จนทำให้ฝ่ายปกครองขาดความชอบธรรมไปบางส่วน ผมมาลองสมมุติดูว่า หากสถานการณ์ในบ้านเมืองของเราเวลานี้ จบลงด้วยการทำลายล้างระบบอุปถัมภ์จนหมดสิ้นไปจากประเทศไทย ประชาชนจะมีอิสรภาพ มีประชาธิปไตยตามที่ตนเองคิดว่ามี ตามที่ตนเองคิดว่าใช่ แล้วอะไรจะตามมา ผมว่า หากประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ยังขาดความเข้าใจในเรื่องการมีส่วนร่วม ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม สุดท้ายประชาชนก็จะหนีจากระบบอุปถัมภ์ของคนกลุ่มหนึ่งไปสู่ระบบอุปถัมภ์ของคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ดี เหมือนกับสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งให้เลิกทาส แต่ระบบทาสยังวนเวียนอยู่ในกลุ่มคนบางชนชั้น เหมือนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ของประเทศไทย ก็เป็นเพียงการถ่ายโอนระบบอุปถัมภ์ของชนชั้นกลุ่มหนึ่ง ไปสู่ชนชั้นอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน ดังนั้น เหตุบ้านการเมืองที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่ว่าจะจบลงในลักษณะใด หากความรู้ ความเข้าใจของคนไทยหมู่มาก ยังไม่สูงพอที่จะใช้ระบบคุณธรรมได้ สุดท้ายสังคมไทยก็วนเวียนกลับเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์อยู่ดี แต่ที่จะเปลี่ยนแปลงไปก็คือ ใครจะมาเป็นเจ้ามือในการอุปถัมภ์คนใหม่เท่านั้น สิทธิชัย ชวรางกูร S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  4. NEWS UPDATE S • ขนส่งสินค้าทางเรือไม่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม • สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ยังไม่ได้ส่งกระทบต่อการขนส่งสินค้า ทั้งการนำเข้าและส่งออก ของสินค้าทางเรือแต่อย่างใด โดยปริมาณของการส่ง-ออกสินค้า ในท่าเทียบเรือกรุงเทพนั้น จากการตรวจสอบตัวเลขใน(เดือน ตุลาคม 2552- พฤษภาคม 2553) พบว่ามีตัวเลขเพิ่มขึ้น 15% ส่วนการนำเข้าและส่งออกสินค้า ที่ท่าเทียบเรือแหลมฉบังนั้น พบว่า มีตัวเลขประมาณ 10-15% • สำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้าของทั้ง 2 ท่าเรือ คือท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบังนั้น ขณะนี้พบว่ายังเป็นปกติ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมแต่อย่างใด แต่มีความติดขัดในเรื่องการเดินทางและโหลดสินค้าเนื่องจากช่องทางเข้าท่าเรือถูกปิดจนเหลือเพียงช่องทางเล็ก ๆ และมีการตรวจค้นที่เข้มงวด ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการนำเข้าและส่งออกพอสมควร N P ต่อหน้า 2

  5. พิธีการศุลกากรนำเข้า-ส่งออกให้บริการตามปกติพิธีการศุลกากรนำเข้า-ส่งออกให้บริการตามปกติ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้ขยายวันหยุดราชการในพื้นที่กรุงเทพมหานครออกไป ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้เน้นว่าในส่วนของหน่วยงานราชการที่มีภาระหน้าที่ในการที่จะให้บริการกับประชาชน ขอให้ใช้วิจารณญาณในการประเมินที่จะให้บริการอย่างต่อเนื่องให้กับประชาชน รวมไปถึงหน่วยงานที่ต้องให้บริการแก่ภาคเอกชน เพื่อไม่ให้การดำเนินงานของภาคเอกชนต้องสะดุด และเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลในเชิงลบเกินความจำเป็น โดยในส่วนของกระทรวงการคลัง ได้พิจารณาและซักซ้อมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่องนี้ว่า หน่วยงานใดที่มีความจำเป็นที่ควรจะต้องเปิดให้บริการประชาชนตามปกติ ก็ขอให้ดำเนินการเปิดบริการ ถึงแม้ว่าจะมีมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้วันที่ 19 - 21 พฤษภาคม 2553 เป็นวันหยุดราชการก็ตาม กรมศุลกากร มีการชี้แจงว่า ถึงแม้ว่าสถานที่จะอยู่ใกล้กับพื้นที่การชุมนุมก็ไม่ประสบปัญหาอะไร ฉะนั้นกรมศุลกากรจึงจัดเจ้าหน้าที่ศุลกากรอยู่เวรเพื่อให้บริการพิธีการศุลกากร เพราะกิจการการค้าส่งออก - นำเข้า ถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศเป็นอย่างยิ่ง ที่ทุกวันทำการจะมีการตรวจปล่อยสินค้านำเข้า-ส่งออก และชำระค่าภาษีอากร ทุกวันทำการและวันหยุดราชการ ณ หน่วยให้บริการนำเข้า-ส่งออก ที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ท่าเรือภาคเอกชน สถานีลาดกระบัง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าเรือแหลมฉบัง และด่านศุลกากรทั่วประเทศ ให้บริการพิธีศุลกากรเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าและการค้าระหว่างประเทศของไทย สำหรับการส่งข้อมูลใบขนสินค้าของผู้ประกอบการ สามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด เนื่องจากปัจจุบันกรมศุลกากรได้นำระบบพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e - Customs มาใช้ในการส่งข้อมูลใบขนสินค้า โดยผู้ประกอบการจะส่งข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ของสินค้า เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร ซึ่งมีการตรวจสอบข้อมูลและตอบกลับทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ฉะนั้น จึงขอแจ้งให้ผู้ส่งออกและนำเข้าได้รับทราบว่ากรมศุลกากรปฏิบัติหน้าที่ในการให้บริการตามปกติ แม้ว่าจะมีความไม่สะดวกอยู่บ้างเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้มาทำงานครบทุกก็ตาม S N P ต่อหน้า 3

  6. วิกฤติกรีซกระทบส่งออก 0.4% วิกฤตหนี้กรีซยังไม่มีผลบกระทบต่อการส่งออกไทยมากนักในตอนนี้ เนื่องจากประเทศสมาชิกยูโร 16 ประเทศ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) อนุมัติเงินกู้แก่กรีซรวมจำนวนกว่า 1.45 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต้องจับตาว่ากรีซจะสามารถแก้ปัญหาไม่ให้ลุกลามไปยังประเทศอื่นได้หรือไม่ ทั้งนี้ ประเมินว่า หากผลกระทบอยู่เฉพาะในกรีซ จะมีผลกระทบการส่งออกไทย 0.1% แต่หากผลกระทบลามไปโปรตุเกส จะกระทบการส่งออก 0.2-0.4% หรือคิดเป็นมูลค่า 613 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นกรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุด และกรณีเลวร้ายสุด หากผลกระทบของกรีซ ลุกลามไปยังโปรตุเกส สเปน ไอร์แลนด์ และอิตาลี จะกระทบการส่งออก 1.2-1.5% คิดเป็นมูลค่า 2,533 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ระหว่าง 42-45 บาทต่อยูโรนั้น การส่งออกไทยไตรมาสแรกยังดีอยู่ แต่คาดว่าจากวิกฤตกรีซจะกระทบการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 3 ดังนั้น ควรดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับภูมิภาค หรืออยู่ที่ 41-42 บาทต่อยูโร เพราะหากค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 40-40.5 บาทต่อยูโร จะทำให้การส่งออกไทยไปกลุ่มยูโรลดลง 270-540 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกันนี้ ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัว หาตลาดอื่นทดแทนตลาดยุโรป โดยเฉพาะตลาดในเอเชีย รวมถึงตลาดที่เปิดเขตการค้าเสรีกับไทย โดยสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบ อาทิ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารและเสื้อผ้า S N P ต่อหน้า 4

  7. วิกฤตการณ์การส่งออก : ปัญหาเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจไทยมีความผูกพันกับเศรษฐกิจโลกในระดับสูงมาเป็นระยะเวลายาวนานดังจะเห็นจากตัวอย่างในอดีตในช่วง หลังวิกฤตการณ์น้ำมัน เศรษฐกิจทั่วโลกซึ่งอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ซึ่งส่งผลกระทบให้กับเศรษฐกิจไทยด้วย อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจไทย ประเทศไทยจึงมีการปรับแผนการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้ามาเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก เพื่อลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และผลจากการเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าว ได้ส่งผลทำให้สัดส่วนมูลค่าการส่งออกใน GDP สูงขึ้นมาโดยตลอด การส่งออกจึงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย และทำให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงขึ้น เมื่อพิจารณาทางด้านโครงสร้างสินค้าส่งออกของไทยได้เริ่มมีการปรับจากโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรมาเป็นการผลิตทางด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น ปัจจุบันอัตราการเจริญเติบโตของการส่งออกของเราชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งใน ปี พ.ศ. 2539 ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 0 % การลดลงของการส่งออกนี้เองจะเป็นผลให้การขาดดุลบัญชีดุลการค้าเพิ่มขึ้น และทำให้ฐานะทางการเงินระหว่างประเทศของเราแย่ลง เหตุผลที่ทำให้การส่งออกของเราลดลงก็มาจากหลายสาเหตุ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งมีผลทำให้การค้าขายระหว่างประเทศลดลง ปัญหาทางด้านการกีดกันการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีผลมาจากการถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้าของไทย เพราะประเทศไทยได้มีการพัฒนาการผลิตการสินค้าเกษตร จนกระทั่งผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น จนกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ทำให้รายได้ ประชาชาติสูงขึ้น จนถึงระดับที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้า S N P ต่อหน้า 5

  8. จากปัญหาการส่งออกได้มีมากขึ้นจนกระทั่งในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมาจากการขยายตัวของการส่งออกลดระดับลงมาจนถึง 0 % ซึ่งอาจจะนับได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง ปัญหาการส่งออกของไทยมีสาเหตุมาจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ปัญหาภายนอกที่สำคัญ เช่น การ ชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การกีดกันทางการค้าของประเทศต่าง ๆ และการกำหนดมาตรฐานของสินค้าที่สูงขึ้น ส่วนทางด้านปัจจัยภายใน เช่น ความเหมาะสมของนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่ผ่านมา เรามีปัญหาทางด้านการเงินมากพอสมควร ประกอบกับความผันผวนของอัตรา แลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เสถียรภาพทางการเงินของไทยแย่ลง ทางด้านต้นทุนการผลิตสินค้าซึ่งเรามีการผลิตที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ปัญหาค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และเทคโนโลยีการผลิตที่ไม่ทันสมัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้าโลก ด้วยเหตุที่ปัญหาการส่งออกนับเป็นปัญหาที่สำคัญเพราะเป็นแหล่งที่มาของรายได้ ที่สำคัญของประเทศไทย การที่จะปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเรื้อรังอยู่ก็จะทำให้เสียรายได้จากส่วนนี้ไป และส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ ดังนั้น จึงต้องพยายามเร่งแก้ไขปัญหาการส่งออก โดย ร่วมมือกันจากทุก ๆ ฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  9. แวดวงนำเข้า S หัวใจสำคัญในการคิดราคาเบี้ยประกันภัยทางทะเล ในการนำเข้าสินค้ามีผู้ประกอบการหลายท่านที่เลือกใช้การประกันภัยจากปลายทาง แต่ท่านผู้ประกอบการเคยสงสัยหรือไม่ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้ราคาเบี้ยประกันภัยนั้นแตกต่างกัน ในวันนี้จะขอแนะนำถึงเงื่อนไขหลักๆ ในการคิดเบี้ยประกันภัยทางทะเล ปัจจัยในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยและขนส่งสินค้าทางทะเล 1. เรือ สภาพโครงสร้าง อายุ สมาคมมาตรฐานเรือที่ได้รับการยอมรับในการจดทะเบียนเรือ 2. เส้นทางการขนส่ง ระยะทาง ท่าเรือที่ต้องจอดเพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน การขนย้าย ฯลฯ มีความปลอดภัย หรือไม่ สภาพภูมิอากาศ 3. ลักษณะของสินค้า มีความเสี่ยงต่อความเสียหายมากเพียงใด 4. เงื่อนไขความคุ้มครอง ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ประกอบการว่าจะใช้ Clause A, Clause B หรือ Clause C ซึ่งมีราคาแตกต่างกันไป ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เบี้ยประกันมีราคาสูงหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ทั้งสิ้น N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  10. 5 โปรเจคยักษ์สวนกระแสการเมือง • จากปัญหาด้านสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังคุกรุ่นอยู่ กระทรวงคมนาคม ได้วางแผนสร้างโปรเจคยักษ์ สำหรับระบบโลจิสติกส์ภายในประเทศ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการส่งออกให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสวนกระแสกับปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่ดูไม่ค่อยดีนักในช่วงนี้ • จากข่าวของสยามธุรกิจ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวง คมนาคมได้ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการของกระทรวงคมนาคม ที่กำลังอยู่ระหว่างรอพิจารณาอนุมัติ ดังนี้ :- • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ 6 ปี ของบริษัท ท่าอากาศ ยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. โดยโครงการจะเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-2559 วงเงิน 62,503 ล้านบาท • โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือปากบารา จังหวัดสตูล วงเงิน 9.7 พันล้านบาท ของกรมเจ้าท่า • โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กิโลเมตร วงเงิน 52,460 ล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) • โครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซเอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงิน 6.3 หมื่นล้านบาท ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) • โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่ง ตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง เงินลงทุน 2 พันล้านบาท ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) • ถ้าโครงการนี้สามารถอนุมัติได้จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการขนส่งสินค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่จากในสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ประเทศไทย คงจะต้องการงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เพื่อฟื้นฟูประเทศเสียมากกว่า คมนาคมเดินหน้าดัน 5 เมกะโปรเจกต์ สำคัญเสนอครม.พิจารณาสวนกระแสวิกฤติการเมือง ขณะ ที่สภาพัฒน์ เปิดทาง กทท.สร้างศูนย์การขนส่งตู้สินค้า 2 พันล้าน บิ๊กบอสท่าเรือ “เฉลิมชัย” ระบุลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน ให้สัมปทานเอกชนเข้ามาลงทุนเครื่องมือขนาดเล็ก และบริหารโครงการตามพ.ร.บ.ร่วมทุน แวดวงส่งออก 5 โปรเจคยักษ์สวนกระแสการเมือง จากปัญหาด้านสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังคุกรุ่นอยู่ กระทรวงคมนาคม ได้วางแผนสร้างโปรเจคยักษ์ สำหรับระบบโลจิสติกส์ภายในประเทศ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการส่งออกให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสวนกระแสกับปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่ดูไม่ค่อยดีนักในช่วงนี้ จากข่าวของสยามธุรกิจ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวง คมนาคมได้ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการของกระทรวงคมนาคม ที่กำลังอยู่ระหว่างรอพิจารณาอนุมัติ ดังนี้ :- 1. โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ 6 ปี ของบริษัท ท่าอากาศ ยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. โดยโครงการจะเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-2559 วงเงิน 62,503 ล้านบาท 2. โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือปากบารา จังหวัดสตูล วงเงิน 9.7 พันล้านบาท ของกรมเจ้าท่า 3. โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กิโลเมตร วงเงิน 52,460 ล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 5. โครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซเอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงิน 6.3 หมื่นล้านบาท ขององค์การขนส่ง มวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 4. โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่ง ตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง เงินลงทุน 2 พันล้านบาท ของการ ท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ถ้าโครงการนี้สามารถอนุมัติได้จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการขนส่งสินค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่จากในสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ประเทศไทย คงจะต้องการงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เพื่อฟื้นฟูประเทศเสียมากกว่า S N P ต่อหน้า 2

  11. คมนาคมเดินหน้าดัน 5 เมกะโปรเจกต์ สำคัญเสนอครม.พิจารณาสวนกระแสวิกฤติการเมือง ขณะ ที่สภาพัฒน์ เปิดทาง กทท.สร้างศูนย์การขนส่งตู้สินค้า 2 พันล้าน บิ๊กบอสท่าเรือ “เฉลิมชัย” ระบุลงทุนโครงสร้าง พื้นฐาน ให้สัมปทานเอกชนเข้ามาลงทุนเครื่องมือขนาดเล็ก และบริหารโครงการตามพ.ร.บ.ร่วมทุน S N นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวง คมนาคม เปิดเผยถึงโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคม ที่อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติว่าโครงการสำคัญดังกล่าว มีจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ 6 ปี ของบริษัท ท่าอากาศ ยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. โดยโครงการจะเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-2559 วงเงิน 62,503 ล้านบาท โดยโครงการ นี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศ ยานสุวรรณภูมิให้รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 60 ล้านคน จากเดิม 45 ล้านคน 2. โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือปากบารา จังหวัดสตูล วงเงิน 9.7 พันล้านบาท ของกรมเจ้าท่า โดยท่าเทียบเรือนี้จะเป็นท่าเทียบเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) วางแผนที่จะเชื่อมท่าเรือฝั่งทะเลอันดามัน และอ่าวไทย เพื่อที่จะเชื่อมโยงการขนส่งสินค้า และลดระยะเวลาในการขนส่งสินค้าจากฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย โดยฝั่งอ่าวไทยจะเชื่อมกับท่าเรือสงขลา แห่งที่ 2 P ต่อหน้า 3

  12. 3. โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กิโลเมตร วงเงิน 52,460 ล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกวดราคา 4. โครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซเอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงิน 6.3 หมื่นล้านบาท ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งที่ผ่านมาครม.เห็นชอบในหลักการแล้ว แต่ให้กระทรวงคมนาคมเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมใน 3 ประเด็น คือ 1.การกำหนดแผนการใช้ระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ และแผนโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด 2.แผนการเพิ่มจำนวนอู่รถเมล์ที่ให้เติมเอ็นจีวีได้ และ 3.การตรวจสอบราคากลางเพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างโปร่งใสมากที่สุด 5. โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่ง ตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง เงินลงทุน 2 พันล้านบาท ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ประกอบด้วยโครงการจัดทำศูนย์การขนส่งในท่าเรือแหลมฉบังเนื้อที่ 600 ไร่ และงานก่อสร้างรถไฟรางคู่ตั้งแต่บริเวณสถานีรถไฟแหลมฉบังถึงศูนย์การขนส่งตู้สินค้าฯ ระยะทาง 4 กิโลเมตร โดยระยะแรกจะสามารถรองรับตู้สินค้าได้ปีละ 1 ล้านทีอียู “กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการจัดเตรียมรายละเอียดโครงการต่างๆ เหล่านี้เพื่อเสนอให้ ครม.พิจารณา โดยกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติ และไม่ได้เร่งรัดดำเนินโครงการใดเป็นการเฉพาะ” ด้านนายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการ กทท.กล่าวว่า ความคืบหน้าโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) มูลค่าประมาณ 2.02 พันล้านบาทนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรอมติอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ หลังจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ (บอร์ด) กทท.ได้ให้ความเห็นแผนลงทุนโครงการ และได้เสนอไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว โดยแผนพัฒนาโครงการกทท.จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และให้สัมปทานเอกชนเข้ามาลงทุนเครื่องมือขนาดเล็กและบริหารโครงการตามพ.ร.บ.ว่า ด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐพ.ศ. 2535 โดยขั้นตอนต่อไปจะว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดและรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนที่เหมาะสม S N P ต่อหน้า 4

  13. แหล่งข่าวจากกทท. กล่าวว่า เบื้องต้นที่ประชุมบอร์ดสศช.เห็นด้วยกับแผนลงทุนโครงการเพราะมีความจำเป็น แต่ตั้งข้อสังเกตกรณีที่ การก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ตอน ฉะเชิงเทรา-ศรีราช-แหลมฉบัง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) มีความล่าช้า ซึ่งจะกระทบต่อแผนโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง และต้องการให้กทท.ปรับแผนระยะเวลาการดำเนินการใหม่ให้สอดคล้องกับการก่อสร้างรถไฟทางคู่ด้วย ทั้งนี้ สศช. ระบุว่า การก่อสร้างรถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา -แหลมฉบัง ของร.ฟ.ท.ตามแผนจะก่อสร้างแล้วเสร็จต้นปี 2554 ส่วนโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ของทลฉ.จะเสร็จประมาณกลางปี 2555 ซึ่งก็จะสอดคล้องกัน โดยจะทำให้การพัฒนาการขนส่งทางรางไปยังท่าเรือเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย แต่ขณะนี้รถไฟทางคู่ล่าช้ากว่าแผนมากและไม่มีความแน่นอนว่าจะเสร็จเมื่อไร ดังนั้นจึงให้ กทท.กับร.ฟ.ท. ประสานแผนร่วมกันให้ชัดเจน เพราะหาก โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟของ ทลฉ. เสร็จก่อนแต่รถไฟทางคู่ยังไม่เสร็จตู้สินค้าก็ขนส่งไปไม่ได้ http://www.marinerthai.com/forum/index.php?topic=7175.0 S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  14. ตามติดกรมศุลกากร กับชิปปิ้งสีเทา S ตอน สินค้าที่ต้องเสียภาษีก่อนการส่งออก ใจหายใจคว่ำกันไปตามๆกันนะครับ สำหรับเหตุการณ์เผากรุงครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ที่ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ สถานที่ราชการและบ้านเรือนประชาชนละแวกข้างเคียงที่ได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันไปอย่างถ้วนหน้าเลยทีเดียว โดยเฉพาะบ้านเรือนของพี่น้องที่อยู่บริเวณย่าน Center One อนุสาวรีย์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วัสดุที่เป็นไม้ในการก่อสร้างโดนพระเพลิงที่ลุกโหมกว่า 20 ชม. กระหน่ำจนเหลือแต่ซากไปเลย สัปดาห์นี้ชิปปิ้งสีเทาก็เลยพาไปดูประกาศที่เกี่ยวข้องกับไม้เลยก็แล้วกัน (เข้าเรื่องซะงั้น) กับประกาศกรมศุลกากร ที่ กค0519/ว235 ลงวันที่ 5 เมษายน 2553เรื่อง กำหนดราคาศุลกากรสำหรับสินค้าไม้ เป็นเกณฑ์ประเมินเงินอากรขาออก(สามารถอ่านประกาศฉบับเต็มได้ที่ http://www.customs.go.th/Declaration/DeclarationResult.jsp?Docidt=A01301&tlechk=1) อารัมภบทกันก่อน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยวและการนำเข้า – ส่งออก ทำให้รัฐบาลมักออกมาตรการต่างๆเพื่อสนับสนุนผู้ส่งออกให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เช่น สินค้าส่งออกกว่า 98% ไม่ต้องชำระอากรเพื่อการส่งออก อย่างไรก็ดี หลายท่านกลับยังไม่รู้ว่า รัฐบาลไม่ส่งเสริมให้ผู้ส่งออกชาวไทยส่งออกสินค้าบางประเภทออกไปนอกราชอาณาจักรไทย เนื่องจากรัฐบาลเล็งเห็นว่าการส่งออกสินค้าเหล่านั้นออกไปนอกราชอาณาจักร จะส่งผลในด้านลบต่อการดำเนินชีวิตของประชากรภายในประเทศที่อาจต้องพึ่งพาสินค้าเหล่านั้นในการดำรงชีวิต ทำให้รัฐบาลจำต้องตั้งกำแพงภาษีขึ้นมาเพื่อให้เป็นภาระของผู้ส่งออกไทยที่ประสงค์จะส่งออกสินค้านั้นๆออกไปนอกราชอาณาจักร N P ต่อหน้า 2

  15. ตัวอย่างสินค้าที่ผู้ส่งออกต้องเสียภาษีอากรก่อนการส่งออก เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว เศษโลหะทุกชนิด หนังโคและกระบือ ยางและน้ำยางที่ได้จากต้นยางตระกูลฮีเวีย ไม้ ไม้แปรรูปและของที่ทำจากไม้ เส้นไหมดิบที่ยังไม่ตีเกลียว เส้นด้ายที่ทำด้วยไหม ขี้ไหมและเศษไหม ปลาป่นหรือปลาอบแห้งที่ยังมิได้ป่นอันไม่เหมาะสำหรับเป็นอาหารของมนุษย์ เป็นต้น ทำไมต้องออกประกาศนี้ อย่างที่ได้เห็นไปแล้วด้านบนนะครับ ว่าไม้และไม้แปรรูปถือเป็นสินค้าอีกประเภทหนึ่ง ที่ผู้ส่งออกมีภาระในการชำระภาษีอากรก่อนการส่งออก และผมแอบกระซิบไว้ ณ ที่นี้เลยนะครับ ว่าภาษีอากรส่งออกของสินค้าประเภทนี้อยู่ในเกณฑ์ที่แทบจะเอากันให้ตายไปข้างหนึ่งกันเลยที่เดียว 40% คือ อัตราภาษีที่ผู้ส่งออกต้องจ่ายสำหรับการส่งออกไม้และไม้แปรรูปออกไปนอกประเทศ (คิดจากราคา FOB) นี่แสดงให้เราเห็นเลยนะครับว่า รัฐบาลมิได้ให้การสนับสนุนการส่งออกไม้สักเท่าไหร่ เพราะต้องการสงวนเอาไว้ให้กับคนในประเทศได้บริโภคกัน แต่แน่นอนครับ เราจะไปห้ามให้เจ้าของต้นไม้ ขายต้นไม้ที่เขาปลูกขึ้นมาเอง ก็คงไม่ได้ รัฐบาลก็เลยกำหนดกำแพงภาษีขึ้นมาให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกขึ้น พออัตราภาษีสูง หลายท่านพอจะเดาได้เลยใช่มั้ยครับว่า ผู้ส่งออกชาวไทยส่วนใหญ่จะทำยังไงเพื่อให้ตนเองเป็น นักธุรกิจที่ดี ตาม Concept ของอดีตผู้นำบางประเทศแถวๆเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (นักธุรกิจที่ดี = จ่ายภาษีให้น้อยที่สุด) ใช่ครับ การสำแดงราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อให้ฐานในการคำนวณภาษีลดลงกว่าเดิม เป็นกลยุทธ์ที่ผู้ส่งออกบางท่านงัดขึ้นมาใช้ในการหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าว กรมศุลกากรก็เลย ทำหน้าที่ในการสร้างบรรทัดฐานร่วมกันของสังคมขึ้นมา โดยการกำหนดราคาประเมินของไม้แต่ละประเภท ที่จะใช้เป็นฐานในการคำนวณอากรขาออกขึ้นมานั่นเอง ประกาศฉบับนี้ก็เป็นเพียงแค่การ Update ราคาให้เข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็เท่านั้นเอง S N P ต่อหน้า 3

  16. สาระสำคัญ แน่นอนอยู่แล้วครับ ว่าสาระสำคัญของประกาศนี้ก็อยู่ที่ราคาประเมินของไม้แต่ละชนิด แต่ละประเภท ตามที่อยู่ในประกาศนั่นเอง (อ่านเองบ้าง อะไรบ้าง นะครับ แฮะๆ) Grey's Comment ผมมีเทคนิคในการดูประกาศฉบับนี้อีกอย่างที่จะแอบบอกนะครับ ซึ่งไม่ได้ลึกล้ำอะไรมากนัก เป็นเพียงแนวทางส่วนตัวที่อยากแนะนำให้ผู้ส่งออกชั้นดีชาวไทย ที่สำแดงราคาจริงที่ใช้ซื้อขายกับผู้ซื้อต่างประเทศไว้ในเอกสารที่ผ่านพิธีการกับกรมฯแล้ว แต่ปรากฏว่า ราคาจริงของท่าน ก็ดันไปต่ำกว่าราคาประเมินของกรมฯเสียฉิบ ประเทศไทยนับเป็นอีกประเทศหนึ่งที่อยู่ใน องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ที่มี General Agreement on Tariff and Trade หรือ GATT เป็นหนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญ ซึ่งการประเมินราคาตามหลักของ GATT มีมากมายหลายข้อครับ แต่ข้อที่สำคัญเป็นอันดับแรกก็คือ ให้ยึดราคาที่ซื้อขายจริงเป็นหลักหากผู้ซื้อหรือผู้ขายสามารถหาหลักฐานที่น่าเชื่อถือมายืนยันราคาทีใช้ซื้อขายกัน ต่อศุลกากร ณ ประเทศต้นทางหรือปลายทางได้ ไฮไลท์ก็เลยมาอยู่ที่คำว่า หลักฐานที่น่าเชื่อถือนี่ล่ะครับ บางทีแค่หลักฐานการชำระเงิน หรือ Sales Contract ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอาจมีน้ำหนักไม่เพียงพอ ในมุมมองของศุลกากร แต่หากเรามีหลักฐานจาก Party ที่ 3 ที่น่าเชื่อถือมายืนยันราคาล่ะ พอนึกออกไหมครับ บรรดาท่านผู้อ่านของผม ถ้านึกไม่ออกลองท่องอักษรภาษาอังกฤษจากหลังไปหน้ากันดูครับ “ Z Y X W V U T S R Q P O N M L K J I H G F E D C B A ” S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  17. Why I Joined S “สัมภาษณ์ คุณสมชาย พูลพานิชกุล” ในปัจจุบันนี้มีนักธุรกิจที่เป็นชาวจีนอยู่มากมาย ซึ่ง บริษัทฯ SNP ของเรานั้น ก็มีพนักงานอยู่คนนึงที่เชี่ยวชาญในการพูดภาษาจีนเป็นอย่างมาก และเป็น Sales ที่ติดต่อประสานงานกับลูกค้าชาวจีนอยู่เสมอมา นั่นก็คือ คุณสมชาย พูลพานิชกุล หรือที่เรียกกันว่า เฮียสมชาย ของชาว SNP นั่นเอง เรามาดูกันซิว่า เฮียสมชายจะมีแง่คิดดีๆอะไรมาฝากกันบ้าง ไปไงมาไงมาทำงานที่นี่ได้? จะว่าไปก็จำไม่ค่อยได้นะ นานแล้ว (หัวเราะ) ก็เข้ามาทำงานที่นี่ตอนปี 42 ก็ว่างๆงานอยู่ ไม่ได้ทำงานมา2-3 ปี แล้วคุณพรกษมนทน์ ก็ได้ชักชวนมาทำงานที่นี่ บอกว่ามีนี่มีการติดต่อกับลูกค้าชาวจีนด้วย เพราะผมพูดภาษาจีนได้ ก็เลยเข้ามาทำเพราะช่วงนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร N P ต่อหน้า 2

  18. เข้ามาทำที่นี่ทำงานมาแล้วกี่แผนก?เข้ามาทำที่นี่ทำงานมาแล้วกี่แผนก? ก็ตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี่มาก็ทำอยู่ในส่วนของ Sales มาตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบันเลย ผมก็ดูแลลูกค้าชาวจีนครับแรกๆตอนทำก็ศึกษาข้อมูลของบริษัทฯให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วนซะก่อน ผมศึกษาอยู่ 2 เดือน แล้วหลังจากนั้นก็ออกพบลูกค้า แรกๆก็ยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่หรอกนะ แต่ทำบ่อยๆก็ทำให้เรามีประสบการณ์ที่มากขึ้นและทำให้เราเก่งและชำนาญขึ้น การที่ออกไปพบลูกค้าบ่อยๆ และมีคำถามที่ถามกลับมา ก็ทำให้เราต้องกลับมาหาข้อมูลเพื่อนำไปตอบคำถาม ซึ่งมันจะทำให้เราได้ข้อมูลและความรู้เพิ่มขึ้น ข้อดีของ SNP? ที่นี่มีนโยบายที่ให้ความรู้กับพนักงาน ซึ่งจะทำให้เรามีความรู้มากขึ้น และจะคอยเพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆทันเหตุการณ์อยู่ตลอด มีการทำงานเป็นทีม มีระบบระเบียบ เพราะถ้าที่นี่ไม่มีระบบระเบียบที่ดี บริษัทฯคงไม่ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะที่นี่ก็ยืนหยัดมาถึง 30 ปีแล้ว แง่คิดในการทำงาน? ผมก็ยึดตามนโยบายบริษัทฯแหละครับเพราะนโยบายดีอยู่แล้ว และต้องมีความอดทน ทำงานให้เต็มที่ และจริงใจในการทำงาน เพราะถ้าเราไม่มี3ข้อนี้ ก็คงจะไม่มีความสุขและไม่มีความมั่นคงในตัวเอง ฝากถึงผู้ประกอบการ? ก็อยากให้ผู้ประกอบการทุกท่านไว้ใจเรากับการทำงาน เพราะทางเรามีประสบการณ์ในการทำงานถึง 30 ปีแล้ว เราก็เต็มใจที่จะให้ความรู้และความช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกท่านด้วยความจริงใจและเต็มที่อย่างที่สุด S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  19. SNP HEALTH CORNER “10 อันดับ อาหารต้านมะเร็ง” สมัยนี้โรคภัยไข้เจ็บนั้นมีอยู่รอบตัวเรา และยิ่ง “โรคมะเร็ง” โรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 1 เลยทีเดียว แต่อย่างไรเสีย เราก็สามารถที่จะป้องกันมะเร็งด้วยอาหารที่สามารถหารับประทานได้ง่ายๆตามท้องตลาดทั่วไป ดังรายการต่อไปนี้ 1. ผัก–ผักมีกากใยปริมาณมาก ซึ่งผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง ได้แก่ - กลุ่มผักมีสี เช่น บีทรูท ผักโขม แครอท มะเขือเทศ ยิ่งมีสีเข้มมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่ามีสารที่มีประโยชน์ (Phytochemical) มากขึ้นเท่านั้น รงควัตถุเหล่านี้ได้แก่ ไบโอฟลาวินอยด์ 20,000 ชนิด และแคโรทีนอยด์ 800 ชนิด ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายและยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์มะเร็ง - กลุ่มกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี กะหล่ำดอก ในผักชนิดนี้จะมีสารต้านมะเร็ง สารที่ช่วยขจัดสารพิษ ตลอดจน อินดอล-3-คาร์บินอลและซัลโฟราเฟน - หัวหอม และกระเทียม ประกอบด้วยไบโอฟลาวินอยด์หลายชนิดด้วยกัน หนึ่งในนั้นได้แก่ เคอร์ซิทิน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้ นอกจากนี้ยังมีสารต้านมะเร็งอื่นๆ ได้แก่ อัลลิซิน , เอส-อัลลิล ซิสทีอิน, ซีลีเนียม และสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดี ที่เราจะรับประทานกระเทียมและหัวหอม เป็นประจำ 2. ปลาน้ำเย็นเช่น ซัลมอน ค็อด แมคเคอเรล ซาร์ดีน ทูน่าและปลาจากทะเลน้ำลึก ในปลา เหล่านี้จะอุดมไปด้วยไขมันที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ได้แก่ EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA ( Docosahexaenoic Acid) ซึ่งชะลอการแพร่ของมะเร็ง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆที่พบในน้ำทะเล แต่ไม่พบในดิน S N P ต่อหน้า 2

  20. 3. ถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ในถั่วเหล่านี้พบว่ามีสารต้านโปรตีเอสในปริมาณสูง (มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง) นอกจากนี้ยังพบว่ามีอินโนซิทอล เฮกซาฟอสเฟต (กรดไฟตริก ซึ่งในท้องตลาด จะขายในรูปของ IP-6) และจีเนสเตอิน (ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งตีบลง) นอกจากนี้ในถั่วยังอุดมไปด้วยกากใยที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายตามธรรมชาติ • 4. เมล็ดธัญพืชเช่น ข้าวโอ๊ต บาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี เนื่องจากเมื่อกากใยของพืชเหล่านี้แตกตัวที่ลำไส้จะเปลี่ยนเป็นกรดบิวไทริกที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง • สาหร่ายทะเล จะประกอบด้วยสารบางชนิดที่ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร และยังประกอบด้วยกากใยชนิดพิเศษที่สามารถละลายน้ำได้ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการนำไขมันอันตราย สารอนุมูลอิสระ สารพิษต่างๆออกจากลำไส้ นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุอย่างดีจากน้ำทะเล • 6. เบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ เบอร์รี่สีดำ เพราะในเบอร์รี่จะมีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง และยังมีกรดอัลลาจิกที่จะทำลายเซลล์มะเร็งให้ตาย • 7. โยเกิร์ต เนื่องจากในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิลัส ที่สามารถหมักนมให้เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน และเนื่องจากกว่า 80% ของระบบภูมิคุ้มกันจะอยู่ที่ทางเดินอาหาร ดังนั้นโยเกิร์ตจึงเป็นอาหารที่จัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายในการป้องการติดเชื้อและยังช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย S N P ต่อหน้า 3

  21. 8. ชาเขียว ประกอบด้วยคาเทชินและสารเคมีในพืชอีกหลายชนิดด้วยกัน จากงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศญี่ปุ่นและจีน พบว่าชาเขียวสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งและยังสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้ • หมายเหตุ การดื่มชาเขียวให้ได้รับประโยชน์เต็มที่นั้น ต้องดื่มทันทีหลังจากชงเสร็จ เนื่องจากถ้าทิ้งไว้ชาเขียวจะทำปฎิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ทำให้สูญเสียคุณค่าไป • เครื่องเทศ – มาสตาร์ด พริก พริกไท กระเทียม หัวหอม ขิง โรสแมรี่ อบเชยและเครื่องเทศอื่นๆ ที่ใช้ปรุงแต่งรส สามารถต้านมะเร็งและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน • 10. น้ำสะอาด - เป็นเรื่องแปลกที่กว่า 2 ใน 3 ของพื้นที่บนโลกและของร่างกายนั้นประกอบด้วยน้ำ เนื่องจากน้ำ • นั้นเป็นเป็นสารตัวกลางสำคัญของร่างกายที่ใช้ในขบวนการต่างๆของเซลล์ อาทิเช่น ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง การทำความสะอาด การขจัดสิ่งสกปรก และยังนำพาสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์ ตลอดจนนำของเสีย หรือสารพิษออกจากเซลล์อีกด้วย S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  22. SNP JOKE S SNP JOKE “ถอดรองเท้าใส่บาตร” สวัสดีชาว SNP JOKE ทุกท่าน วันนี้เรามีบุญมาฝาก เราเชื่อว่าทุกๆท่านก็คงจะเคยใส่บาตรกันทุกคน วันนี้เราจึงนำเรื่องของการใส่บาตรมาเล่าสู่กันฟัง เพราะเคยมี เรื่องเล่าว่า มีโยมคนหนึ่งยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ"โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่าโยม : เอ่อ จะดีเหรอคะพระ : ไม่เป็นไรหรอกโยมโยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่าโยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะตายแล้วหล่อน!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร...555...ตลกมั้ย!!! อ้างอิงจาก : http://www.waiza.com/forum/index.php?PHPSESSID=pd2tvsb6ebk3ogt05ht7ergno3&topic=34898.0 N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  23. SNP ฟันเฟิร์ม S “บอกความขี้หึงกับการกินน้ำแข็งใส” วันไหนอากาศร้อนก็นึกอยากทานอะไรเย็นๆขึ้นมา เห็นข้างบ้านกำลังซื้อน้ำแข็งใสอยู่เลยนึกอยากลองกินดูบ้าง จากนั้นก็เลยไปซื้อน้ำแข็งใสมากินบ้าง เกริ่นมาตั้งนานมาเข้าประเด็นกันดีกว่า รู้รึเปล่าว่าการกินน้ำแข็งใสนี่แหละบอกนิสัยของคนที่กินได้เป็นอย่างดีเลยเชียวล่ะ กินจากยอดสุดก่อน ระดับความหึงของคุณมีน้อยมาก ถึงพ่อตัวดีของคุณจะไปหนุงหนิงกับใคร คุณก็จะรอฟังเหตุผลจากเค้าก่อน ใช้ช้อนกดลงไปให้แบน ๆ ก็อยู่ในระกับปกติ ยังใจเย็นพอ แม้นจะงอนเล็กๆก็ตาม ใช้ช้อนขูดด้านข้างกิน ลึกๆแล้ว คุณขี้หึงสุดขั้วเลยล่ะ อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยังยิ้มแย้มอยู่หรอก แต่พออยู่ด้วยกัน 2 คนเมื่อไหร่ พ่อนั่นเป็นแหลก กินน้ำแข็งพร้อมกับดูดน้ำหวานตามไปด้วย นี่ล่ะสุดๆ พร้อมจะวีนได้ตลอด เหตุผลไม่ฟัง แถมไม่ไว้หน้าอีกต่างหาก N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

More Related