130 likes | 393 Views
จากสถานการณ์น้ำมันของโลก ได้ขยับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุผลคงหนีไม่ผล 2 ประการเท่านั้น
E N D
จากสถานการณ์น้ำมันของโลก ได้ขยับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุผลคงหนีไม่ผล 2 ประการเท่านั้น 1 น้ำมันที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติได้ถูกนำมาใช้มากขึ้นทุกวัน แน่นอนที่สุดจำนวนย่อมลดลงเป็นธรรมดาจากความจำเป็นใช้ทุกวัน การขุดเจาะนำมาใช้อย่างไร้ขีดจำกัด และโอกาสที่จะเกิดน้ำมันใหม่ๆขึ้นมาอีกคงเป็นเรื่องที่ยากหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย 2 จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการผลิต ยิ่งเพิ่มขีดความต้องการใช้พลังงานมากขึ้นไปอีก เครื่องจักรกลของมนุษย์ ได้พัฒนาการผลิตที่เร็วมาก เพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของคน จนกล่าวได้ว่า 1 นาทีสามารถผลิตรถยนต์ได้ 1 คันเลยทีเดียว ทำไม?พลังงานทดแทนจึงเป็นธุรกิจที่มาแรงที่สุดในขณะนี้?
“โลกใบนี้ยังมีพืชน้ำมันอยู่อีกมากมายหลายชนิดที่ยังคงรอการเสาะแสวงหา และค้นพบจากมนุษย์... นอกจากพืชน้ำมันที่เรารู้จักกันโดยทั่วไป อาทิ ปาล์มน้ำมัน สบู่ดำ Reeo Seed ถั่วเหลือง งาและอื่นๆ ที่นำมาทำเป็นพลังงานทดแทนได้โดยเฉพาะ ไบโอดีเซล (Bio Diesel)
มะเยาหิน (Candlenut) พืชพลังงานตัวใหม่ “มะเยาหิน” (Candlenut)Aleurites Montana เป็นไม้ป่ายืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 10-20 เมตร พบมากทางตอนเหนือของประเทศลาวและย่านเดียนเบียนฟูของเวียดนาม ชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า หมากเก๋า หมากเยาหินและหมากน้ำมัน ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือตอนบนและภาคอีสานในบางจังหวัด แต่พบในปริมาณน้อย มะเยาหินเป็นพืชพลังงานที่มีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง โดยเฉพาะการให้น้ำมันในปริมาณที่สูง นอกจากนี้ยังเป็นพืชที่เจริญเติบโตเร็ว ให้ร่มเงาได้ดี ลักษณะสวยงามคือ
ต้น เป็นไม้ยืนต้นรูปทรงสวยคล้ายต้นหูกวาง มีกิ่งแตกจากลำต้นเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นมี 5 กิ่งมีหลายชั้นตามอายุของต้น • ใบ มีขนาดใหญ่ก้านใบยาวเป็นแฉก 4 แฉกสวยงามเมิ่ออายุต้นมากขึ้นใบจะเล็กลงสีจะเขียวเข้ม แฉกใบจะเล็กลงและหายไป • ดอก ออกช่อที่ปลายกิ่ง สีขาวอมชมพู สวยงาม
ผล ขนาดเท่าลูกมะนาว มีลายเส้นนูนที่เปลือกผล ออกพู 3-4 พู 1 พูมี 1 เมล็ดสีเขียว เมื่อแก่จัดผิวจะออกนวล และเปลือกผลจะดำ และแห้งในที่สุด เมล็ด มีขนาดใหญ่เกือบเท่าหัวแม่มือลักษณะกลมแบนมีเปลือกหุ้มเมล็ดที่แข็ง-บาง คล้ายกะลาทำให้รักษาเนื้อในเมล็ดได้ดีโดยที่เปอร์เซนต์ของน้ำมันไม่หายไปนานรวม 2 ปี
วิธีการปลูก สามารถปลูกได้ในทุกพื้นที่ดอนและมีน้ำหากได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีหลังการปลูกจะให้ผลผลิตได้ภายใน 2 ปีโดย • ปลูกแบบธรรมชาติตามบริเวณบ้าน หน้าบ้านข้างบ้านหลังบ้านหรือตามที่ว่างทั่วไป • ปลูกแบบกึ่งธรรมชาติตามที่ส่วนบุคคลที่สาธาณะ • ปลูกแบบพืชสวนเช่นพืชสวนอื่นๆ เช่น มะม่วง ลำใย ลิ้นจี่ ฯลฯมีการจัดการอย่างดี มีการจัดระยะ-ตัดแต่งกิ่งฯลฯ • ปลูกแบบปลูกป่า เช่นเดียวกับการปลูกป่าทั่วไป และจะได้ป่าเศรษฐกิจ ป่าช่วยแก้สภาวะโลกร้อนป่าที่ให้ผลผลิตเป็นน้ำมัน
ข้อมูลทางด้านผลผลิต • พืชน้ำมัน(มะเยาหิน พืชมหัศจรรย์บ่อน้ำมันบนดินของไทยตัวใหม่) • มะเยาหินหรือภาษาจีนเรียกว่ามะเย้าลาวเรียกว่ามะเก๋าภาษาอังกฤษเรียกว่า Tung Oil Tree มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Botaniei สายพันธุ์ Montana นำเข้าจากซัมเหนือของลาว โดยทีมงานอาจารย์มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ ม.สารคาม มหาวิทยาลัยกลางแดด อ. สัมฤทธิ์ อัครปะชะ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ กำลังทำวิจัยพืชนิดนี้อยู่
เปรียบเทียบปริมาณน้ำ มันใน 1 เมล็ด สบู่ดำ มีปริมาณน้ำมัน 25 % ปาล์ม มีปริมาณน้ำมัน 30 % มะเยาหินมีปริมาณน้ำมัน 65 % 2 กก. ให้น้ำมัน 1 ลิตร
การปลูก 1 ไร่ปลูกได้ 40 ต้นระยะห่าง 7 x 8 เมตร • ชอบดินร่วนซุยไม่ชอบน้ำซึมน้ำซับแต่ให้น้ำสม่ำเสมอจึงได้ผลดี 1 ต้นเมื่อปลูกได้ 3 ปี จะให้ผลผลิตต้นละ 50 กก. 1 ไร่ 40 ต้นก็จะได้ผลผลิต 40 x 50 = 2,000 กก. ถ้า 5 ปีจะให้ผลผลิตต้นละ 100 กก. ถ้า 1 ไร่มี 40 ต้นจะได้ 40 x 100 = 4,000 กก. ถ้า 7 ปีจะให้ผลผลิตต้นละ 300 กก. ถ้า 1 ไร่ มี 40 ต้น จะได้ 40 x 300 = 12,000 กก. ถ้า 10 ปีจะได้ผลผลิตต้นละ 500 กก. ถ้า 1 ไร่ มี 40 ต้น จะได้ 40 x 500 = 20,000 กก.
ตังอี้วตังออยก็คือตัวเดียวกันตังอี้วตังออยก็คือตัวเดียวกัน “ปัจจุบันเรานำเข้าจากเมืองจีน 80 x 10,000= 800,000 บ.” “ถ้านำไปหีบเป็นน้ำมันจะได้ 10,000 ลิตรที่เชียงใหม่ขายลิตรละ 80 บาท (น้ำมันตังอี้ว)”
บายโปรดักผลิตภัณฑ์จากมะเยาหินบายโปรดักผลิตภัณฑ์จากมะเยาหิน 1. ใช้ทำหมึกคอมพิวเตอร์ 2. ใช้ทำหมึกปากกาลูกลื่นทั่วไป (โมนามิ) 3. ใช้ทำหมึกพิมพ์ธนบัตร 4. ใช้ทำสีน้ำมันทาไม้ทั่วไป 5. ใช้ทำน้ำมันเงา (ยูรีเทน) 6. ใช้ทำน้ำมันหล่อลื่น (ทนแรงกดได้ถึง 20 ตัน) 7. ทำน้ำมันตังอิ้วบริสุทธิ์ (ลิตรละ 80 บาท) 8. ใช้ทำน้ำมันไบโอดีเซล 9. เปลือกใช้ทำถ่านอัดแท่ง (เหมือนถ่านหิน) 10. กิ่งก้าน และใบใช้ทำเชื้อเพลิงเขียว 11. กากที่หีบน้ำมันแล้วใช้ทำปุ๋ยหมักตรึงธาตุ N ได้เยี่ยม
“มะเยาหิน เป็นพืชพลังงานที่มีศักยภาพสูง สามารถปลูกได้ในที่ที่มีน้ำในทุกพื้นที่ หากได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีหลังการปลูก สามารถให้ผลผลิตได้ภายใน 2 ปี และให้ผลผลิตปีละครั้งเป็นอย่างต่ำตลอดอายุต้น 60-70 ปี”