470 likes | 1.28k Views
บทที่ 2 อุปสงค์ อุปทาน และการกำหนดราคาสินค้า. อุปสงค์ ความหมายของอุปสงค์ กฎของอุปสงค์ อุปสงค์ส่วนบุคคลและอุปสงค์ตลาด ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการ การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อและการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ อุปสงค์ชนิดอื่น อุปสงค์ต่อรายได้ อุปสงค์ไขว้.
E N D
บทที่ 2 อุปสงค์ อุปทาน และการกำหนดราคาสินค้า • อุปสงค์ • ความหมายของอุปสงค์ • กฎของอุปสงค์ • อุปสงค์ส่วนบุคคลและอุปสงค์ตลาด • ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการ • การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อและการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ • อุปสงค์ชนิดอื่น • อุปสงค์ต่อรายได้ • อุปสงค์ไขว้
บทที่ 2 อุปสงค์ อุปทาน และการกำหนดราคาสินค้า • อุปทาน • ความหมายของอุปทาน • กฎของอุปทาน • อุปทานส่วนบุคคลและอุปทานตลาด • ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดปริมาณการเสนอขาย • การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการเสนอขายและการ • เปลี่ยนแปลงอุปทาน • การกำหนดราคาสินค้า • ราคาและปริมาณดุลยภาพ • การปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพในตลาด • การเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของตลาด
2.1 อุปสงค์ (Demand) • อุปสงค์ หมายถึง จำนวนสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคต้องการจะซื้อในเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งจะมากหรือน้อยเท่าใดถูกกำหนดโดยปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญ เช่น ราคาสินค้าชนิดนั้น รายได้ของผู้บริโภคและราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าชนิดนั้น • โดยปกติจะพิจารณาความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระทีละตัว และกำหนดให้ตัวแปรอื่นที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์ให้คงที่ (Ceteris Paribus) • เมื่อพิจารณาเฉพาะตัวแปรสำคัญ จะแบ่งอุปสงค์เป็น 3 แบบ คือ • อุปสงค์ต่อราคาสินค้า (Price Demand) • อุปสงค์ต่อรายได้ (Income Demand) • อุปสงค์ไขว้ (Cross Demand) • แต่หากกล่าวถึงอุปสงค์ จะหมายถึงอุปสงค์ต่อราคาสินค้า (Price Demand) ซึ่งจะพิจารณาความสัมพันธ์ของปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการ (อุปสงค์สินค้าและบริการ) กับราคาของสินค้าดังกล่าว
2.1.1 ความหมายของอุปสงค์ต่อราคา (Price Demand) อุปสงค์ต่อราคา หมายถึง ปริมาณสินค้าหรือบริการชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคต้องการจะซื้อในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ ของสินค้าหรือบริการชนิดนั้น โดยกำหนดให้สิ่งอื่น ๆ คงที่ • ในทางเศรษฐศาสตร์จะถือว่าเป็นอุปสงค์ได้ ต้องประกอบด้วย • ความเต็มใจซื้อ (Willingness to pay) • ความสามารถในการซื้อ (ability to pay) หรือ ต้องมีอำนาจซื้อ • (Purchasing Power) • หากคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์
2.1.2 กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) • กฎของอุปสงค์ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการซื้อสินค้าและบริการ กับราคาสินค้า คือ “ถ้ากำหนดให้สิ่งต่างๆ คงที่แล้ว ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ซื้อต้องการซื้อจะผันแปรตรงข้ามกับราคาสินค้า” • P Qd P Qd • ทั้งนี้เพราะ • ผลการทดแทน (Substitution Effect) • ผลทางด้านรายได้ (Income Effect) • ผลการทดแทน คือ การเปลี่ยนแปลงปริมาณซื้อจากการเปรียบเทียบราคากับสินค้าที่ทดแทนกัน • ผลทางด้านรายได้คือ การเปลี่ยนแปลงปริมาณซื้อ จากการเปลี่ยนแปลงของราคาแล้วทำให้รายได้ที่แท้จริงหรืออำนาจซื้อของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคจึงเปลี่ยนแปลงปริมาณการซื้อสินค้าและบริการ • สินค้าและบริการบางประเภท ไม่เป็นไปตามกฎของอุปสงค์ คือ • P Qd P Qd
สินค้าซึ่งไม่เป็นไปตามกฎของอุปสงค์สินค้าซึ่งไม่เป็นไปตามกฎของอุปสงค์ สินค้ากิฟเฟ่น (Giffen goods)เป็นสินค้าที่ราคากับปริมาณการซื้อสินค้ามีทิศทางเดียวกันเพราะเป็นสินค้าที่คนฐานะยากจนบริโภค เช่นขนมปังซึ่งคนจนใช้รายได้ส่วนใหญ่มาซื้อสินค้าเหล่านี้ เพราะราคาถูกมากเมื่อเทียบกับสินค้าชนิดอื่นๆ ดังนั้นแม้ราคาสินค้า giffen สูงขึ้น ทำให้รายได้ที่แท้จริงลดลง จึงบริโภคสินค้าลดลง และบริโภคสินค้า giffen นี้ทดแทน ผลของการทดแทนกัน จะมากกว่าผลของรายได้ที่ทำให้บริโภคสินค้านี้ลดลง จึงซื้อสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้น สินค้าอวดมั่งอวดมี (Conspicuous goods)เป็นสินค้าประเภทที่ผู้ซื้อมีฐานะร่ำรวย มักซื้อไปบริโภคเพื่ออวดความร่ำรวยให้ผู้อื่นเห็น ดังนั้นหากราคาสินค้าเหล่านี้สูงขึ้น ก็ดึงดูดกลุ่มลูกค้านี้ได้
การอธิบายกฎของอุปสงค์ สามารถแสดงได้ 3 แบบ • ตารางอุปสงค์ (Demand Schedule)เช่น ตารางอุปสงค์ของสินค้า X • เส้นอุปสงค์ (Demand Curve) P 5 2 D Q 0 20 7
ฟังก์ชั่นอุปสงค์ (Demand Function) Qd = f (P, X1...............Xn) Qd = f (P) ในกรณีที่เส้นอุปสงค์เป็นเส้นตรงเขียนสมการอุปสงค์ได้ว่า Qd = a – bP โดยที่ Qd = ปริมาณการซื้อสินค้าและบริการ a = ค่าคงที่ ที่เป็นจุดตัดบนแกน Q b = Q/P หรือ = dQ/dP = 1/slope P 12.5 ตัวอย่าง Qd=25–2P Qd = 25 - 2P Slope = - 1/2 0 Q 25
2.1.3 อุปสงค์ส่วนบุคคลและอุปสงค์ตลาด (Individual Demand and Market Demand) อุปสงค์ส่วนบุคคล (Individual Demand)หมายถึง ปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคแต่ละคนจะซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆ อุปสงค์ตลาด (Market Demand)เป็นการรวมอุปสงค์ส่วนบุคคลเข้าด้วยกันตามแนวนอน เช่น ถ้าในตลาดมีผู้บริโภค 2 ราย คือ A และ B ที่มีความต้องการซื้อสินค้า ณ ระดับราคาต่าง ๆ
P P P 5 5 5 1 1 1 D(A+B) DA DB Q Q Q 0 0 0 19 10 8 6 2 9 อุปสงค์ส่วนบุคคล A อุปสงค์ตลาด อุปสงค์ส่วนบุคคล B เส้นอุปสงค์ตลาดจะมีความชันน้อยกว่าเส้นอุปสงค์ส่วนบุคคลของ A และ B
2.1.4 ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการ • รายได้ • - สินค้าปกติ (Normal Goods) รายได้ Qd รายได้Qd3 - สินค้าด้อยคุณภาพ (Inferior Goods) รายได้ Qd รายได้Qd 2. ราคาสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้อง - สินค้าทดแทนกัน ราคาสินค้า A QdAQdB - สินค้าประกอบกันราคาสินค้า A QdAQdB • รสนิยมผู้บริโภค • จำนวนประชากร • การคาดคะเนราคาและรายได้ในอนาคต • การกระจายรายได้ • ฤดูกาล
2.1.5 การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อและการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ (Change in Quantity Demand and Change in Demand) • การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อ (Change in Quantity Demand) • หมายถึง การเปลี่ยนแปลงปริมาณการซื้อสินค้าและบริการ อันเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าชนิดนั้น โดยกำหนดให้สิ่งอื่น ๆ คงที่ การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอยู่บนเส้นอุปสงค์เส้นเดิม P A P B P1 D Q 0 Q Q1
การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ (Change in Demand)หมายถึง การเปลี่ยนแปลงปริมาณการซื้อสินค้าและบริการ อันเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ราคาสินค้านั้นการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นการเลื่อน (shift) ของเส้นอุปสงค์จากเส้นเดิมไปเป็นเส้นใหม่ P C A B P D1 D D2 Q 0 Q1 Q Q0
2.2 อุปสงค์ชนิดอื่น • อุปสงค์ต่อรายได้ (Income Demand) • อุปสงค์ต่อราคาสินค้าชนิดอื่น หรืออุปสงค์ไขว้ (Cross Demand) 2.2.1 อุปสงค์ต่อรายได้ (Income Demand) หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคต้องการซื้อในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ระดับรายได้ต่างๆ ของผู้บริโภคโดยกำหนดให้สิ่งอื่น ๆ คงที่ เขียนเป็นฟังก์ชั่นอุปสงค์ต่อรายได้ ได้ว่า Qd = f(Y) โดย Qd = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดหนึ่ง Y = รายได้ของผู้บริโภค ความสัมพันธ์ของ Y กับ Qdจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้าว่าเป็น สินค้าปกติ (Normal Goods)หรือ สินค้าด้อยคุณภาพ (Inferior Goods)
สินค้าปกติYกับ Qdจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน Y Qd Y Qd ดังนั้น เส้นอุปสงค์ต่อรายได้ของสินค้าปกติ จะมี slope เป็นบวก Y Dy Y1 Y Q 0 Q1 Q
สินค้าด้อยคุณภาพ Y กับ Qd จะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้าม Y Qd Y Qd เส้นอุปสงค์ต่อรายได้ของสินค้าด้อยคุณภาพ จะเป็นเส้นทอดลงจากซ้ายไปขวา มี slope เป็นลบ Y Y1 Y Dy Q 0 Q1 Q
2.2.1 อุปสงค์ต่อราคาสินค้าชนิดอื่น หรืออุปสงค์ไขว้ (Cross Demand) หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคต้องการซื้อในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ระดับ ราคาต่างๆ ของสินค้าหรือบริการอีกชนิดหนึ่ง โดยกำหนดให้สิ่งอื่น ๆ คงที่ เขียนเป็นฟังก์ชั่นอุปสงค์ต่อราคา ได้ว่า QA = f (PB) โดย QA = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดหนึ่ง PB = ราคาสินค้าอีกชนิดหนึ่ง ความสัมพันธ์ของ PBกับ QAจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้า 2 ชนิดว่าเป็น สินค้าที่ทดแทนกัน (Substitution Goods)หรือ สินค้าที่ใช้ประกอบกัน (Complementary Goods)
สินค้าทดแทนกัน กับ QAจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน PBQB QA ดังนั้น เส้นอุปสงค์ไขว้ของสินค้าทดแทนกัน จะมี slope เป็นบวก PB Dc P2 P1 QA 0 Q2 Q1
สินค้าประกอบกัน PBกับ QAจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้าม PBQB QA เส้นอุปสงค์ไขว้ของสินค้าประกอบกัน จะเป็นเส้นทอดลงจากซ้ายไปขวา มี slope เป็นลบ PB P2 P1 Dc QA 0 Q1 Q2
ในกรณีที่สินค้า 2 ชนิดไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า B จะไม่กระทบต่อปริมาณการซื้อสินค้า A เลย เส้นอุปสงค์ไขว้ของสินค้า A จะเป็นเส้นตรงตั้งฉากกับแกนนอน มี slope เป็นอนันต์ () PB DC P1 P QA 0 Q
2.3 อุปทาน (Supply) 2.3.1 ความหมายของอุปทาน (Supply) อุปทาน หมายถึง จำนวนสินค้าหรือบริการที่ผู้ขายเต็มใจจะนำออกขาย ณ ระดับราคาต่างๆ ของสินค้านั้นในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนกำหนดอุปทาน (เช่น เทคนิคการผลิตฤดูกาลผลิตต้นทุนการผลิต) คงที่ ความสัมพันธ์ของปริมาณการเสนอขายสินค้าและบริการกับราคาของสินค้านั้น จะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เป็นไปตาม กฎของอุปทาน
2.3.2 กฎของอุปทาน (Law of Supply) กฎของอุปทาน แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการขายสินค้าและบริการ กับราคาสินค้า คือ “ถ้ากำหนดให้สิ่งต่างๆ คงที่ ปริมาณการเสนอขายสินค้าและ บริการจะมีความสัมพันธ์ในทางเดียวกับราคาของสินค้านั้น” P Qs P Qs ทั้งนี้เพราะ 1. เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตเดิมจะขยายการผลิตโดยการใช้ปัจจัยการผลิตมากขึ้น 2. เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น จะมีผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาทำการผลิตสินค้าและบริการ โดยเฉพาะผู้ผลิตที่เคยไม่ผลิตเพราะขาดทุน เมื่อราคาเพิ่มขึ้นจึงเข้ามาผลิตสินค้า
การอธิบายกฎของอุปทาน สามารถแสดงได้ 3 แบบ • ตารางอุปทาน (Supply Schedule)เช่น ตารางอุปทานของสินค้า X • เส้นอุปทาน (Supply Curve) P S 8 3 Q 0 20 5
ฟังก์ชั่นอุปทาน (Supply Function) Qs = f (P, X1...............Xn) Qs = f (P) ในกรณีที่เส้นอุปทานเป็นเส้นตรงเขียนสมการอุปทานได้ว่า Qs = a + bP โดยที่ Qs = ปริมาณการขายสินค้าและบริการ a = ค่าคงที่ ที่เป็นจุดตัดบนแกน Q b = Q/P หรือ = dQ/dP = 1/slope P Qs = 20+3P ตัวอย่าง Qs=20+3P Slope = 1/3 0 20 Q -6.67
2.3.3 อุปทานส่วนบุคคลและอุปทานตลาด (Individual Supply and Market Supply) อุปทานส่วนบุคคล (Individual Supply)หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้ผลิตแต่ละรายเต็มใจจะเสนอขายในตลาด ณ ระดับราคาต่างๆ ของสินค้า ในระยะเวลาเวลาหนึ่ง อุปทานตลาด (Market Supply)ปริมาณสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายทุกคนในตลาดเต็มใจจะนำออกเสนอขายในตลาด ณ ระดับราคาต่าง ๆ ของสินค้าในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เป็นการรวมอุปสงค์ส่วนบุคคลเข้าด้วยกันตามแนวนอน เช่น ถ้าในตลาดมีผู้ขาย 2 ราย คือ A และ B ที่มีความต้องการขายสินค้า ณ ระดับราคาต่าง ๆ
เดิมราคาสินค้าหน่วยละ 10 บาท หากราคาสินค้าลดลงเป็น 8 บาท A และ B ยินดีเสนอขายสินค้าลดลงเป็น 11 และ 20 หน่วยตามลำดับ อุปทานตลาด ณ ราคา 8 บาท จะเท่ากับ 11 + 20 = 31 หน่วย หากรวมปริมาณอุปทานของผู้ขายทุกราย ในแต่ละระดับราคาตามแนวนอนสามารถสร้างเส้นอุปทานส่วนบุคคลและอุปทานตลาดได้ P P P SA SM SB 10 10 10 6 6 6 2 2 2 Q Q Q 0 14 0 22 18 10 8 10 26 36 0 อุปทานตลาด อุปทานส่วนบุคคล A อุปทานส่วนบุคคล B เส้นอุปทานตลาดจะมี slope ที่ลาดกว่าเส้นอุปทานส่วนบุคคล
2.3.4 ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดปริมาณเสนอขายสินค้าและบริการ • ราคาปัจจัยการผลิต • เทคนิคการผลิต • การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง • การคาดคะเนราคาสินค้าในอนาคต • จำนวนผู้ขาย • ภาษีและเงินช่วยเหลือ • เป้าหมายของธุรกิจหรือผู้ผลิต
2.3.5 การเปลี่ยนแปลงปริมาณเสนอขายและการเปลี่ยนแปลงอุปทาน • (Change in Quantity Supply and Change in Supply) • การเปลี่ยนแปลงปริมาณเสนอขาย (Change in Quantity Supply) • หมายถึง การเปลี่ยนแปลงปริมาณการเสนอขายสินค้าและบริการ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าชนิดนั้น โดยกำหนดให้สิ่งอื่น ๆ คงที่ การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอยู่บนเส้นอุปทานเส้นเดิม P S B P1 P A Q 0 Q Q1
การเปลี่ยนแปลงอุปทาน (Change in Supply)หมายถึง การเปลี่ยนแปลงปริมาณการเสนอขายสินค้าและบริการ อันเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ราคาสินค้านั้นการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นการเลื่อน (shift) ของเส้นอุปทานจากเส้นเดิมไปเป็นเส้นใหม่ P S2 S S1 A C B P Q 0 Q2 Q Q1
2.4 การกำหนดราคาสินค้า (Price Determination) 2.4.1 ราคาและปริมาณดุลยภาพ ดุลยภาพตลาดหมายถึง สภาวะที่ระดับราคาสินค้าและปริมาณสินค้าไม่เปลี่ยนแปลง หากไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามากกระทบในตลาด นั่นคือ ราคาดุลยภาพเป็นราคาที่ผู้บริโภคยินดีที่จะซื้อ และเป็นราคาเดียวกันที่ผู้ผลิตยินดีที่จะขาย ปริมาณดุลยภาพเกิดจากปริมาณที่ผู้บริโภคยินดีที่จะซื้อ และเป็นปริมาณเดียวกันที่ผู้ผลิตยินดีที่จะขาย P S การแสดงโดยกราฟ E Pe D 0 Q Qe
การแสดงด้วยสมการ สมมติมีผู้ซื้อ 2 ราย มีสมการอุปสงค์ส่วนบุคคลดังนี้ Qd1 = 60 – 8P Qd2 = 20 – 2P Qdm = (60–8P) + (20–2P) = 80-10P และมีผู้ขาย 2 ราย มีสมการอุปทานส่วนบุคคลดังนี้ Qs1 = 15 + 3P Qs2 = 5 + 7P Qsm = (15+3P) + (5+7P) = 20+10P เงื่อนไขดุลยภาพตลาด Qd = Qs 80-10P = 20+10P 20P = 60 P = 60/20 = 3 แทน P=3 กลับเข้าไปในสมการ Qdmหรือ Qsmจะได้ Q=50
2.4.2 การปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพในตลาด2.4.2 การปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพในตลาด การเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน (Excess Demand) ราคา Supply E Pe B A P1 excess demand Demand ปริมาณ 0 Qd Qe Qs
การเกิดอุปทานส่วนเกิน (Excess Supply) ราคา Supply excess supply P2 A B E Pe Demand ปริมาณ Qe 0 Qs Qd
2.4.3 การเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของตลาด • การเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของตลาด มาจาก • การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเส้นอุปสงค์เปลี่ยนแปลงไป • การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเส้นอุปทานเปลี่ยนแปลงไป • การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน
เส้นอุปสงค์เปลี่ยน เช่น รายได้ของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ราคา S E’ P2 E P1 D’ D ปริมาณ Q1 Q2 0
เส้นอุปทานเปลี่ยน เช่น เทคโนโลยีการผลิตดีขึ้น ราคา S S´ E P1 E’ P2 D ปริมาณ 0 Q1 Q2
เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานเปลี่ยนทั้งคู่เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานเปลี่ยนทั้งคู่ ราคาและปริมาณดุลยภาพจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างใด ขึ้นอยู่กับเส้น D และ S เส้นใดเปลี่ยนไปมากกว่ากัน D S S' ราคา S E’ P2 E P1 D’ D ปริมาณ Q1 Q2 0
D S S' ราคา S E P1 E’ P2 D D’ ปริมาณ Q1 Q2 0
D = S ราคา S S' E’ E P2 = P1 D’ D ปริมาณ Q1 Q2 0
D = S ราคา S S' E P1 E’ P2 D D’ ปริมาณ Q1 =Q2 0