1 / 51

บทที่ 6

บทที่ 6. วิเคราะห์การเมืองไทยเชิงปรัชญา. คำถามที่ท้าทายให้คุณตอบ. จงอธิบายวิวัฒนาการการเมืองไทยจากอดีตสมัยสุโขทัยจนถึง ปัจจุบัน ? แนวความคิดแบบชาตินิยมเป็นอย่างไร ? แนวความคิดแบบสังคมนิยมมีลักษณะเป็นอย่างไร ? อำนาจนิยมหรือเผด็จการทางทหารเป็นอย่างไร ?

emi-mann
Download Presentation

บทที่ 6

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 6 วิเคราะห์การเมืองไทยเชิงปรัชญา

  2. คำถามที่ท้าทายให้คุณตอบคำถามที่ท้าทายให้คุณตอบ • จงอธิบายวิวัฒนาการการเมืองไทยจากอดีตสมัยสุโขทัยจนถึง ปัจจุบัน ? • แนวความคิดแบบชาตินิยมเป็นอย่างไร ? • แนวความคิดแบบสังคมนิยมมีลักษณะเป็นอย่างไร ? • อำนาจนิยมหรือเผด็จการทางทหารเป็นอย่างไร ? • ปัจจุบันแนวคิดทางการเมืองไทยเป็นอย่างไร ? • ในอนาคตการเมืองไทยจะวิวัฒนาการไปอย่างไร ?

  3. วัตถุประสงค์เพื่อให้นิสิตวัตถุประสงค์เพื่อให้นิสิต • สามารถอธิบายวิวัฒนาการการเมืองไทยจากอดีตสมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบันได้ • สามารถอธิบายแนวความคิดแบบชาตินิยมได้ • สามารถเข้าใจและอธิบายแนวความคิดแบบสังคมนิยมได้ • อำนาจนิยมหรือเผด็จการทางทหาร • สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ แนวคิดทางการเมืองไทยในยุคปัจจุบันได้ • สามารถพยากรณ์ทิศทางแนวคิดทางการเมืองไทยในอนาคตได้

  4. 1. วิวัฒนาการแนวคิดทางการเมืองจากสุโขทัยถึงปัจจุบัน • จากแนวคิดแบบธรรมราชาในสมัยสุโขทัยได้ปรับเปลี่ยนเป็นเทวราชาแบบพิเศษที่มีการผสมผสานระหว่างธรรมราชาแบบพ่อปกครองลูกมาเป็นเทวราชาแบบพระโพธิสัตว์ในสมัยอยุธยา • ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นและตอนกลาง แนวคิดแบบธรรมราชาและเทวราชาก็ยังเป็นแนวคิดต่อเนื่อง จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 ได้เกิดความคิดที่จะลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่กษัตริย์ทั้ง 2 พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยโดยทรงให้เหตุผลว่าประชาชนยังขาดการศึกษาและยังไม่มีความเข้าใจในระบบประชาธิปไตยอย่างดีพอ

  5. 1. วิวัฒนาการแนวคิดทางการเมืองจากสุโขทัยถึงปัจจุบัน (ต่อ) • แนวคิดแบบจำกัดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ ได้ประสบความสำเร็จในรัชกาลที่ 7 แต่ก็ได้ยกย่องถวายพระเกียรติให้กษัตริย์ ซึ่งถึงแม้ว่าพระองค์จะอยู่ภายใต้กฏหมาย แต่ในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติโดยการเทิดทูนเอาไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” อีกประการหนึ่ง ที่พระองค์ทรงกระทำอะไรไม่ผิดเพราะทรงปฏิบัติพระราชอำนาจโดยผ่านอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 คือ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ดังนั้นอำนาจทั้ง 3 นี้ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้ปฏิบัติการ

  6. 2. แนวคิดชาตินิยม(Nationalism) เป็นแนวคิดที่สดุดี ความภักดีและการ เสียสละเพื่อชาติของตนเหนือสิ่งอื่นใดเป็นค่านิยมและวิธีการที่จะทำให้ชาติมีความสมบูรณ์พูนสุข ถือว่าชาติของตนต้องเหนือกว่าชาติอื่นๆ ชาติต่าง ๆ ในยุโรปเมื่อกลายมาเป็นรัฐชาติและเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยแล้วทำให้แต่ละชาติมีแนวคิดในเรื่องชาตินิยมอย่างเข้มข้น อันนำไปสู่สงครามโลกในเวลาต่อมา

  7. สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาในด้านอักษรศาสตร์ ทั้งพระราชนิพนธ์ บทละคร ประวัติศาสตร์ เรื่องแปล สารคดี เรื่องปลุกใจให้รักชาติ ทรงนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ทรงตั้งกองลูกเสือไทย ส่งเสริมการศึกษา ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา ทรงสร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดตั้งธนาคาร ประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล ออกแบบธงไตรรงค์ขึ้นใช้ ใน พ.ศ. ๒๕๒๔ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลกผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม ในฐานะที่ทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละครไว้เป็นจำนวนมาก

  8. รัชกาลที่ 6 มีวิธีการหรือเครื่องมือในการสร้างชาตินิยมอยู่ 2 ประการ ใหญ่ ๆ คือ 1. ทรงใช้บทพระราชนิพนธ์ พระบรมราชโองการและ พระราชดำรัส 2. ทรงใช้สัญลักษณ์และการสร้างสถาบันต่าง ๆ ขึ้น พระราชดำริทางการเมือง แบบชาตินิยมของรัชกาลที่ 6

  9. จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ พลเอก เผ่า ศรียานนท์

  10. จอมพล ป. พิบูลสงคราม ๑๔ ก.ค. ๒๔๔๐ – ๑๑ มิ.ย. ๒๕๐๗ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๓ ดำรงตำแหน่ง ๑๖ ธ.ค. ๒๔๘๑ – ๑ ส.ค. ๒๔๘๗ (ลาออก) ๘ เม.ย. ๒๔๙๑ – ๑๖ ก.ย. ๒๕๐๐ (รัฐประหาร) รวม ๑๘ ปี

  11. ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยมของความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยมของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม • เน้นความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อชาติและการปฏิบัติตามนโยบายสร้างชาติของรัฐบาลโดยเคร่งครัด • 1. การใช้แนวคิดแบบรัฐนิยม • 2. การฟื้นฟูวัฒนธรรมแห่งชาติ • 3. บทเพลงและละครปลุกใจ • 4. การใช้คำขวัญ บทความ สุนทรพจน์ และคติเกี่ยวกับลัทธิชาตินิยม • การใช้สื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ประมวลวัน ใช้คำขวัญว่า • “เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย”

  12. ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยมความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยม • ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยม และเผด็จการทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เน้นความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตลอดจนสร้างความปลอดภัยให้สถาบันทั้ง 3 ด้วยแนวคิดความสามัคคีและอำนาจเผด็จการทางทหาร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 16 มิ.ย. 2451 – 8 ธ.ค. 2506 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 11 9 ก.พ. 2502 – 8 ธ.ค. 2506 (ถึงแก่อสัญกรรม) “ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”

  13. 3. แนวคิดสังคมนิยม (Socialism) เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นภายหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในยุโรปแข่งกับลัทธิเสรีประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจเสรีที่เป็นทุนนิยมยกย่องการทำลายระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมระบอบศักดินา และการเอารัดเอาเปรียบมนุษย์ด้วยกัน โดยชี้ให้เห็นว่าการใช้กำลังในการต่อสู้กับระบอบทุนนิยมเป็นสิ่งที่ถูกต้องซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมของคอมมิวนิสต์

  14. สังคมนิยมเน้นอะไร ? สังคมนิยม หมายถึง ระบบเศรษฐกิจ และ การเมืองที่มีนโยบายมุ่งสนับสนุนและปรารถนาจะให้ชุมชน สังคม หรือส่วนรวมถือกรรมสิทธิ์หรือควบคุมการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยในการผลิต เช่น ทุน ทรัพยากร ที่ดิน วิทยาการ ทั้งนี้เพื่อมุ่งกระจายผลประโยชน์เหล่านี้เพื่อประชาชนทั้งมวล เน้นให้สังคมได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งหมด - สังคมนิยมของปรีดี พนมยงค์ มีลักษณะให้รัฐเข้าควบคุมปัจจัยการผลิตโดยยึดหลักตอบแทนผลประโยชน์ให้กับเจ้าของปัจจัยการผลิตและผู้ผลิตเดิม

  15. แนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic Socialism) เป็นแนวความคิด ซึ่งผสมผสานแนวความคิดของสังคมนิยมและประชาธิปไตยเข้าด้วยกัน รัฐจะเข้าควบคุมกิจการบางอย่างและเปิดให้เสรีในบางกิจการ แนวคิดนี้เน้นหลักการของแนวคิดสังคมนิยมว่าเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความเจริญขึ้นในสังคมที่ยังล้าหลังได้รวดเร็วกว่าแนวคิดทุนนิยมและทำให้เกิดความยุติธรรมในสังคมที่มีความแตกต่างกันอยู่มากระหว่างคนมั่งมีกับคนยากจน

  16. 4. อำนาจนิยมหรือเผด็จการทางทหาร • แม้ประเทศไทยจะมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ในความเป็นจริง ประเทศไทยยังตกอยู่วังวนแห่งอำนาจเผด็จการทางทหาร • นับตั้งแต่มีการยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ คณะราษฎรก็มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจขึ้นเป็นใหญ่ในหมู่ตนเอง ประชาชนไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงในการกำหนดชะตาชีวิตให้แก่ตัวเอง • ไม่มีใครรับรองได้ว่าประเทศไทยจะปลอดจากรัฐประหารเมื่อใด การสืบทอดอำนาจได้มีเรื่อยมา โดยเฉพาะแนวคิดแบบชาตินิยมผสมเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และได้รับการสืบต่ออำนาจโดยจอมพลถนอม กิตติขจร จนนำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519

  17. เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 การชุมนุมกำลังของประชาชนที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย วันที่ 13 ตุลาคม 2516 เวลา 17.00 น. ซ้ายพิฆาตขวา

  18. ขวาพิฆาตซ้าย

  19. จอมพลประภาส จารุเสถียร จอมพลถนอม กิตติขจร พันเอกณรงค์ กิตติขจร 3 ผู้นำ ยุค 14 ตุลาคม 2516

  20. เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 1. เป็นผลสืบเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เร่งพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน แต่เอาต้นประชาธิปไตยมาทำบอนไซประดับบ้าน จอมพลถนอม กิตติขจรผู้นำคนต่อมามีบารมีไม่พอไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่สมดุลทางอำนาจได้ 2. ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ทำให้ชนชั้นกลางไม่พอใจระบอบการเผด็จการทางทหารของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร 3. ประชาชนเดือดร้อนเพราะข้าวสารและน้ำตาลทราบขาดแคลนรัฐบาล 4. ไทยมีนโยบายต่างประเทศตามแบบอเมริกา สหรัฐใช้ดินแดนไทยเป็นที่ตั้งฐานทัพ ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดที่อินโดจีน 5. แกนนำนิสิต 13 คนที่เดินแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญถูกตำรวจจับ

  21. เหตุการณ์นี้เป็นการรวมพลังของปัญญาชนและชนชั้นกลาง นำขบวนโดยนิสิตนักศึกษาออกมาเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ทำให้นักศึกษาเคลื่อนไหวคัดค้าน โดยมารวมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีจำนวนคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนรวมตัวกันเป็นแสนคนเคลื่อนตัวมายังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 13 ตุลาคม และได้กลายเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาวิปโยคเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุม 13 คน และให้ผู้นำประเทศในเวลานั้นลาออก

  22. ผู้นำนิสิต นักศึกษาสมัย 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 จิรนันท์ พิตรปรีชา ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ธีระยุทธ บุญมี สุธรรม แสงประทุม

  23. เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 เป็นเหตุการณ์ที่พัฒนามาจาก 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มที่ต่อต้านขบวนการนิสิตนักศึกษา กลุ่มนิสิตนักศึกษาเรียกพวกนี้ว่า ขวาพิฆาตซ้าย นิสิตนักศึกษามีความเห็นว่าลัทธิสังคมนิยมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่เสียเปรียบในสังคมได้ดีกว่าอุดมการณ์ทางประชาธิปไตย

  24. โดยความขัดแย้งทางอุดมการณ์เริ่มตั้งแต่พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา ทำให้สังคมไทยแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ 1. ฝ่ายซ้ายหมายถึง พวกที่ชื่นชมอุดมการณ์สังคมนิยม 2. ฝ่ายขวา ที่มีลักษณะอนุรักษ์ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงใด ๆความขัดแย้งเริ่มรุนแรงจนถึงขั้นนองเลือด

  25. ผลคือ ฝ่ายนิสิตนักศึกษาถูกโจมตีจากฝ่ายขวา(พวกอนุรักษ์) อย่างเหี้ยมโหด มีผู้ล้มเจ็บและตายจำนวนมากเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมมากกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ เช่นมีการเผาคนทั้งเป็นมีการแขวนคอเป็นต้น การสังหารหมู่ครั้งนี้มีนิสิตนักศึกษาและประชาชนเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 300 คนและถูกจับ300–400คน นักศึกษาที่รอดจากการถูกจับประมาณ 2000 – 3000 คน หนีไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

  26. ส่วนฝ่ายทหารจึงทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ภายหลังการรัฐประหารนองเลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ฝ่ายขวาหรือฝ่ายอนุรักษ์นำโดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้ขึ้นบริหารประเทศ(ตุลาคม 2519–2525) รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลพลเรือนที่อยู่ภายใต้การปรึกษาของ คณะปฏิรูป ประกอบด้วยทหาร 24 นาย มีสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ประกอบด้วยทหารและพลเรือน 340 คนในจำนวนนี้มี 130 คนมาจากทหาร 3 เหล่าทัพ

  27. รัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียรบริหารงานไม่ถึงปีก็ถูกยึดอำนาจโดยกลุ่มทหาร เมื่อ 20 ตุลาคม 2520 พลเอกเกรียงศักดิ์ชมะนันท์เป็นนายกรัฐมนตรีแทนรัฐบาลก็ได้ปรับให้มีลักษณะแบบประชาธิปไตยเสรีนิยมมากขึ้น จากนั้น การเมืองไทยก็วนเวียนอยู่กับการรัฐประหารของทหารอยู่เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จึงทำให้ทหารต้องกลายเป็นทหารอาชีพ

  28. จ.ป.ร. 5 จ.ป.ร. 7 พฤษภาทมิฬ ระหว่าง 17-20 พฤษภาคม 2535 จุดจบเผด็จการทางทหาร

  29. รัฐบาลในขณะนั้นเป็นรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และผู้ที่ทำการรัฐประหารคือกลุ่มผู้นำทางทหาร นำโดย พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ และพลเอกสุจินดา คราประยูร โดยได้อ้างว่ารัฐบาลมีการทุจริตฉ้อราษฎรบังหลวง ดังนั้นผู้นำทหารพร้อมด้วยคณะนายทหารที่เรียกตัวเองว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (ร.ส.ช.) ทำการรัฐประหารเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534

  30. คณะ ร.ส.ช. ได้ทำการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2521 และให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ฉบับ ร.ส.ช. และได้ทำการแต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงให้เห็นว่าคณะร.ส.ช. ไม่ต้องการอำนาจทางการเมือง แต่คณะ ร.ส.ช. ก็มีอำนาจในการบริหารการเมืองอยู่ดี โดยได้มอบอำนาจเฉพาะด้านเศรษฐกิจให้แก่นายอานันท์ ปันยารชุนโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร ได้ให้คำสัญญาว่าจะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยใช้เวลาเพียง 6 เดือน และย้ำว่าผู้นำร.ส.ช. จะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

  31. แต่ในที่สุด พลเอกสุจินดา คราประยูร ก็เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ของไทย โดยยอมเสียสัจจะเพื่อชาติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2535 โดยอาศัยรัฐธรรมนูญฉบับร.ส.ช. พ.ศ. 2534 “ข้อที่ว่านายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากส.ส.” จึงทำให้ประชาชนไม่พอใจ ได้มีการเดินขบวนประท้วงคัดค้านการเข้ากุมอำนาจทางการเมืองของผู้นำร.ส.ช. จนกลายเป็นเหตุการณ์ก่อนพฤษภาทมิฬที่จบลงด้วยการนองเลือดในหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม พ.ศ.2535

  32. ซึ่งต่อมาเรียกว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬซึ่งต่อมาเรียกว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่ในหลวงได้ทรงยุติศึกโดยเรียกพลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็น จปร. 5 และพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งเป็น จปร. 7 เข้าเฝ้า และทรงขอให้ยุติการขัดแย้ง เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาชนะกันในเมื่อ ความชนะนั้นเป็นความพินาศของประเทศชาติ

  33. ในที่สุด พลเอก สุจินดา ก็ลาออก และได้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปเป็นการชั่วคราว และก็ได้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายชวน หลีกภัย ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนายชวนก็มีนายกรัฐมนตรีคนต่อมาคือ นายบรรหาร ศิลปอาชา พลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ แล้วก็มานายชวน หลีกภัย

  34. หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทำให้ทหารกลับเข้าสู่กรม กองกลายเป็นทหารอาชีพ ประชาชนชาวไทยคิดว่าประเทศไทยเป็นอารยประเทศปลอดจากกลิ่นอายแห่งการปฏิวัติรัฐประหาร ในสมัยนั้น เกียรติภูมิของทหาร เป็นภาพที่ติดลบในสายตาของประชาชน แต่กลับกลายเป็นผลดีที่ทำให้ทหารได้มีจิตสำนึกว่า ตนเองมีหน้าที่ในการป้องกันประเทศชาติ ไม่ใช่การยึดอำนาจและสืบทอดอำนาจเผด็จการ

  35. นายกรัฐมนตรีคนต่อมาคือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำพรรคไทยรักไทยมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลผสม เขายังสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งด้วยการเป็นผู้นำพรรคไทยรักไทยเป็นพรรคเดียวในการจัดตั้งรัฐบาล แต่แล้วก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกลุ่มม็อบจากการนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อทหารเห็นความขัดแย้งของคนไทยระหว่างรัฐบาลกับม็อบจึงได้ออกมาทำการรัฐประหาร

  36. คมช. ภายใต้การนำของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ได้เชิญให้องคมนตรีคือ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 เพื่อรอการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และการเลือกตั้งครั้งใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2489 เริ่มดำรงตำแหน่งประธาน คมช. 19 กันยายน พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน เกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2486 เริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน

  37. ผบ.ทบ. 11 นายกฯ 2 ผบ.ทบ. 16 นายกฯ 11 ผบ.ทบ. 17 นายกฯ 10 ผบ.ทบ. 12 นายกฯ 3 ผบ.ทบ. 22 นายกฯ 16 ผบ.ทบ. 25 นายกฯ 22 ผบ.ทบ. 26 นายกฯ 19 ผบ.ทบ. 31 นายกฯ 24 จ.ป.ร. ผบ.ทบ. 35 คน เป็นนายกฯ 8 คน (โรงเรียนผลิตนายกรัฐมนตรี)

  38. คนไทยคิดว่าการรัฐประหารเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปจนกระทั่ง 19 กันยายน 2549 • ประชาชนชาวไทยก็รู้สึกช็อคทั้งประเทศ เมื่อเกิดรัฐประหารขึ้น • แต่ความรู้สึกในครั้งนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเพราะในครั้งนี้ คนไทยรู้สึกพอใจที่ทหารได้เข้ามาแก้ไขปัญหาระหว่างความขัดแย้งของรัฐบาลและฝ่ายต่อต้าน V.S. เตรียมทหารรุ่นที่ 6จปร.รุ่นที่ 17 ผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 35 เตรียมทหารรุ่นที่ 10 นายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26 นายกรัฐมนตรี คนที่ 23

  39. สรุปการเมืองไทย

  40. 1.ราชาธิปไตย อำนาจอยู่ที่กษัตริย์เจ้านายขุนนางชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ทางการเมืองจะเลือกได้แต่เฉพาะผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น ในระบบนี้ไทยเผชิญวิกฤติการณ์ 2 ครั้งคือ ครั้งที่ 1 เสียอยุธยาให้พม่า ครั้งที่ 2 เผชิญการล่าอาณานิคมของยุโรป ทำให้รัชกาลที่ 5 ต้องปรับปฏิรูปใหม่มีกระทรวงทบวงกรมจึงต้องมีการสร้างระบบราชการขึ้นมา ด้วยการส่งคนไปเรียนเมืองนอกเกิดข้าราชการแทนฝรั่ง

  41. ในสมัยนั้นกระแสประชาธิปไตยมาแรงข้าราชการที่ไปเรียนต่างประเทศอยากให้ไทยเป็นแบบฝรั่งจึงมีการทูลฎีกาถวายความเห็นแด่รัชกาลที่ 5 แต่พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยเนื่องจากทรงเห็นว่าประชาชนยังไม่มีความพร้อม ในสมัยรัชกาลที่ 6 เกิดกบฎร.ศ. 130 ในสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดการปฏิวัตินำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ. 2475

  42. 2. อำมาตยาธิปไตย เกิดจากการปฏิวัติของพวกคณะราษฎรดูเหมือนจะเป็นการปฏิวัติ แต่จริงๆคือการแย่งอำนาจมาจากกษัตริย์สู่กลุ่มทหาร จากพ.ศ. 2475 – 2500 การเมืองวนเวียนอยู่กับการเปลี่ยนอำนาจจากสายทหารไปพลเรือนและจากพลเรือนไปสู่สายทหาร เริ่มมีการพัฒนาในยุคจอมพลสฤษดิ์เป็นกึ่งเกษตรกึ่งอุตสาหกรรมได้เกิดพ่อค้านายทุนขึ้นกรรมาชีพตั้งสหภาพ เกิดชนชั้นกลางใหม่มีการศึกษาดีตื่นตัวทางการเมืองแตกต่างจากรุ่นบรรพบุรุษซึ่งเป็นพวกต่างด้าว

  43. แต่ได้ถูกทหารแช่แข็งประชาธิปไตยจึงทำให้นำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คน 5 แสน มีนิสิตเป็นศูนย์กลางจึงลุกฮือขึ้นต่อสู้กับเผด็จการเพื่อทวงถามประชาธิปไตยที่แท้จริงและเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ขวาพิฆาตซ้าย รวมทั้ง การรัฐประหารจากสายทหารอยู่ไม่ขาดสาย สรุปอำนาจเปลี่ยนมือจากราชาข้าราชการ (ทหาร)ชนชั้นกลางใหม่ (นักธุรกิจ)

  44. 3. ธนาธิปไตย กลุ่มนักธุรกิจผู้มีเงินวิ่งเข้าหาทหารเพื่อขอความอุปถัมภ์คุ้มครองแล้วจ่ายเงินสนับสนุนทหาร ทหารก็เอื้อเฟื้อทำให้ได้อภิสิทธิ์ในธุรกิจเป็นการรวมตัวระหว่างอำนาจ + เงินนำไปสู่การแต่งงานทางสังคมของลูกหลาน ต่อมานักธุรกิจเหล่านี้ได้เริ่มเข้าไปเป็นนายทุนพรรคและเผยโฉมเล่นการเมืองเองรวมทั้งมีสัมพันธ์กับทหารไปด้วย ระบบเริ่มกลับหัวกลับหางนักธุรกิจเริ่มจ้างทหารไปเป็นที่ปรึกษาในบริษัทใหญ่ๆ

  45. 4. ประชาธิปไตยกับการทำลายตนเอง จะต้องพยายามให้ประชาชนเข้าถึงประชาธิปไตยให้ได้เพื่อบีบ ธนาธิปไตยอย่าให้เงินซื้อศักดิ์ศรีคนได้ประชาชนต้องสำนึกตัวอย่าทำตัวเป็นโสเภณีราคาถูก พฤษภาทมิฬเป็นการสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับทหาร แยกเป็น 2 กลุ่มคือ 1) กลุ่มทหารและนักธุรกิจการเมืองรุ่นเก่า 2)พลังประชาธิปไตยกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ กลุ่มที่ 2 นี้ เป็นพวกต้องการประชาธิปไตย และไม่ชอบการผูกขาดทางอำนาจทางการเมือง และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทหารอ้างความจำเป็นเพื่อความสามัคคีของชาติเข้ามาจัดระเบียบให้การเมืองไทย

  46. แนวคิดการเมืองไทยในปัจจุบันแนวคิดการเมืองไทยในปัจจุบัน ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะแปลกแยก สับสนเหมือนเรือไร้หางเสือ อันสืบเนื่องมาจากการเมืองที่สับสนโดยมีรัฐบาลที่เข้ามารักษาการ รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่อาจนำมาซึ่งความสับสนรวมทั้งการไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ระบบเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนขาดความมั่นใจทางการเมือง เกิดความแตกสามัคคีของคนในชาติ ...?

  47. แนวคิดทางการเมืองไทยในอนาคตแนวคิดทางการเมืองไทยในอนาคต ในปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังหาทางที่จะสถาปนาแนวคิดแบบธรรมรัฐเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ แต่แนวทางอุดมคตินั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ถ้าหากประชาชนยังขาดจิตสำนึกทางการเมือง และมีราคาค่าตัวในการเลือกตั้งเท่ากับไก่หรือเป็ดตัวหนึ่ง แนวทางการแก้ไขคือ การให้ประชาชนสามารถกำหนดทิศทางทางการเมืองของตนได้ดังคำพูดที่ว่า “เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์”

  48. สรุปปรัชญาทางการเมืองไทยสรุปปรัชญาทางการเมืองไทย จากราชาธิปไตยแบบธรรมราชาไปสู่เทวราชาและเกิดการผสมผสานกันโดยเน้นที่ธรรมราชาเป็นหลัก แนวคิดทั้ง 2 ทำให้เกิดระบบความคิดทางการเมืองแบบ อำมาตยาธิปไตย คือ การแย่งอำนาจจากกษัตริย์มาอยู่ในวังวนแห่งการหมุนเวียนเปลี่ยนอำนาจระหว่างพลเรือนและขุนศึก จากนั้น ได้พัฒนาไปสู่ความเป็นธนาธิปไตย เมื่อนักธุรกิจ ผู้อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนการเมืองได้ออกมาเล่นการเมืองอย่างเปิดเผยนำไปสู่ระบบประชาธิปไตยแบบการทำลายตัวเอง จึงเกิดคำถามว่า ประเทศไทยจะพัฒนาด้วยระบบปรัชญาทางการเมืองแบบใด ?

  49. สรุปภัย 4 ประการ 1. เสียอยุธยา = ภัยจากภายนอก 2. ลัทธิล่าอาณานิคม = ภัยจากภายนอก 3. ลัทธิคอมมิวนิสต์ = ภัยจากภายนอกและภายใน 4. ลัทธิประชาธิปไตยแบบทำลายตัวเอง คือการพัฒนาหรือการทำลายตนเองพัฒนาวัตถุมากไปชีวิตขาดคุณภาพ

More Related