1 / 112

หลักสูตร การสำรวจและเขียนแบบทาง อย่างมีประสิทธิภาพ

หลักสูตร การสำรวจและเขียนแบบทาง อย่างมีประสิทธิภาพ. 1.1 การเตรียมความพร้อมการสำรวจ. 1. การสำรวจทาง. 1.1 การเตรียมความพร้อมการสำรวจ. - คำขอ (ถ้ามี) - แผนงานการสำรวจ - แผนที่ 1:50,000 - แบบฟอร์ม สอ. 1 – สอ. 8 - การเตรียมการดำเนินการมีส่วนร่วมภาคประชาชน.

fisk
Download Presentation

หลักสูตร การสำรวจและเขียนแบบทาง อย่างมีประสิทธิภาพ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. หลักสูตร การสำรวจและเขียนแบบทาง อย่างมีประสิทธิภาพ

  2. 1.1 การเตรียมความพร้อมการสำรวจ 1. การสำรวจทาง

  3. 1.1 การเตรียมความพร้อมการสำรวจ - คำขอ (ถ้ามี) - แผนงานการสำรวจ - แผนที่ 1:50,000 - แบบฟอร์ม สอ.1 – สอ.8 - การเตรียมการดำเนินการมีส่วนร่วมภาคประชาชน 1.1.1 การเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือและอุปกรณ์สำรวจ - อุปกรณ์การสำรวจ - การทดสอบกล้องสำรวจ 1.1.2 การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร - หัวหน้าชุดสำรวจ - ทีมงานจัดเก็บข้อมูลแนวทาง (Alignment Parties) - ทีมงานจัดเก็บข้อมูล BM และ Profile (BM & Profile Parties) - ทีมงานจัดเก็บข้อมูลรูปตัดตามขวาง (Cross Section Parties) - ทีมงานจัดเก็บข้อมูลรายละเอียดภูมิประเทศ (Photographic Parties) 1.1.3 การเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลเบื้องต้น

  4. 1.1.1 การเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือและอุปกรณ์สำรวจ การตรวจสอบกล้องสำรวจ

  5. 2 การตรวจสอบกล้องธีโอโดไลท์ โดยวิธี Double Center Method 1. ตั้งกล้องที่จุด A เล็งแนวไปยังหมุดที่ 1 เพื่อตั้งค่ามุมไม้หลังหน้าซ้าย (LB)= 000000 2. หมุนกล้องในทิศตามเข็มนาฬิกาไปยังหมุดที่ 2 และอ่านค่ามุมกล้องไม้หน้าหน้าซ้าย (LF) =1123230  3. กระดกกล้อง เพื่อเปลี่ยนกล้องเป็นหน้าขวา จากนั้นเล็งแนวไปยังหมุดที่ 1 เพื่อตั้งค่ามุม ไม้หลังหน้าขวา (RB)= 1800000 4. หมุนกล้องในทิศตามเข็มนาฬิกาไปยังหมุดที่ 2 และอ่านค่ามุมกล้องไม้หน้าหน้าขวา (RF) =2923235 5. คำนวณค่ามุมเฉลี่ยระหว่างตำแหน่งไม้หลังและไม้หน้าของหน้าซ้าย,หน้าขวา • ค่ามุมหน้าซ้าย = LF – LB ( ถ้าลบไม่ได้ + 360 องศา) 1 • ค่ามุมหน้าขวา = RF – RB ( ถ้าลบไม่ได้ + 360 องศา) อ่านค่ามุมกล้อง =1123230 (LF) • ค่ามุมเฉลี่ย = (ค่ามุมหน้าซ้าย - ค่ามุมหน้าขวา) / 2 อ่านค่ามุมกล้อง =2923235 (RF) • งานชั้นที่ 2 • ผลต่างของมุมกับค่ามุมเฉลี่ยไม่เกิน 5 ฟิลิปดา • งานชั้นที่ 3 • ผลต่างของมุมกับค่ามุมเฉลี่ยต้องไม่เกิน 10 ฟิลิปดา ตั้งค่ามุมกล้อง =000000 (LB) A ตั้งค่ามุมกล้อง =1800000 (RB) หมายเหตุ: หากมีความคลาดเคลื่อนเกินกว่าที่กำหนด จะต้องทำการปรับแก้กล้อง โดยศึกษาจากคู่มือของกล้องรุ่นนั้นๆ ผลต่างเฉลี่ย = 00º – 00' – 02.5"

  6. 1. วางหมุดตั้งไม้ระดับ 2 จุด หมุด A และ B โดยมีระยะห่างกัน (L) ประมาณ 30-60 ม. การตรวจสอบกล้องระดับโดยวิธี Two Peg Test 2. ตั้งกล้องระดับที่ระยะกึ่งกลางระหว่างจุดตั้งไม้ระดับ (L/2) 3. อ่านค่าไม้ระดับบนหมุดทั้งสอง แล้วคำนวณค่า true height difference แนวเล็ง S2=1.153 S1= 1.251 Collimation Error (e) S’2 แนวราบ S’1 h1 B A L 4. ย้ายกล้องมาตั้งข้างนอก วัดระยะจากหมุด A ประมาณ L/10 = 3-6 ม. 5. อ่านค่าไม้ระดับบนหมุดทั้งสองอีกครั้ง แล้วคำนวณค่า height difference 6. คำนวณค่า Collimation Error (e) = [(S1- S2) - (S3- S4)] / L (มม./ม.) แนวเล็ง S4= 1.484 S3= 1.580 แนวราบ S’4 S’3 h2 B A ข้อแนะนำ ค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ (e) จะต้องไม่เกิน 1มม.ต่อระยะทาง 20 ม. หากมีความคลาดเคลื่อนเกินกว่าที่กำหนด จะต้องทำการปรับแก้กล้องก่อนเริ่มงาน

  7. ตัวอย่าง การปรับแก้สายใยของกล้องระดับให้อยู่ในแนวระนาบ การปรับแก้กล้องระดับโดยวิธี Two Peg Test (ต่อ) 1.กำหนดจุดตั้งกล้อง ตามรูป โดย ตอกหมุด A และ B ระยะห่างกัน 50 เมตร 2. อ่านค่าไม้ระดับ ที่จุด A และ B ดังข้อมูลต่อไปนี้ 2.1 เมื่อตั้งกล้องระดับที่จุดกึ่งกลางระหว่างหมุด A และ B ค่าไม้ระดับที่หมุด A (S1) = 1.251 ม. ค่าไม้ระดับที่หมุด B (S2) = 1.153 ม. 2.2 เมื่อตั้งกล้องระดับด้านนอกของหมุด A บนแนว AB ตั้งกล้องระดับ ห่างจากจุด A = 5 เมตร ค่าไม้ระดับที่หมุด A (S3) = 1.580 ม. ค่าไม้ระดับที่หมุด B (S4) = 1.484 ม. 3. หาค่าความคลาดเคลื่อนของแนวเล็งต่อระยะเล็ง 50.00 เมตร ค่าความคลาดเคลื่อนของแนวเล็ง (e) = (S1-S2) - (S3-S4) = (1.251 -1.153) – (1.580-1.484) = 0.002 ม. ต่อ 50.00 เมตร ( ความคลาดเคลื่อน < 1 มม. ต่อ 20 เมตร )  OK.

  8. - ตั้งกล้องระดับที่ระยะกึ่งกลางระหว่างจุดตั้งไม้ระดับ โดยมีระยะห่างกัน (L) ประมาณ 30-60 ม. อ่านค่าไม้ระดับบนหมุดทั้งสอง แล้วคำนวณค่า height difference (h) = S1 – S2 S1 การปรับแก้กล้องระดับโดยวิธี Two Peg Test S1= 1.251 S2=1.153 h = 0.098 B A L - ย้ายกล้องมาตั้งข้างนอก วัดระยะจากหมุด A ประมาณ L/10 = 3-6 ม. อ่านค่าไม้ระดับ S3 บนหมุด A แล้วคำนวณค่าS4 = S3 - h จากนั้นอ่านค่าไม้ระดับบนหมุด B (S4) หากค่า S4 ที่อ่านได้ไม่ตรงกับค่า S4 ที่คำนวณได้ ให้ปรับแก้สายใยกล้อง ขั้นนตอนที่ 1) – 4) จนกระทั่งค่า S4 ที่อ่านได้มีค่าเท่ากับค่า S4 ที่คำนวณได้ หรือไม่เกินกว่าค่าความคลาดเคลื่อนที่กำหนดไว้ A S3= 1.580 S4= 1.482 B A ข้อแนะนำ: สำหรับกล้องระดับรุ่นอื่นๆ ให้ผู้สำรวจศึกษาวิธีการปรับแก้สายใยจากคู่มือการ ใช้งานของกล้องรุ่นนั้นๆ

  9. ตัวอย่างการปรับแก้กล้องระดับ รุ่น NI 020 A การปรับแก้กล้องระดับโดยวิธี Two Peg Test (ต่อ) ถ้าสายใยราบมีความคลาดเคลื่อนเกินกว่าที่กำหนด ให้ทำการปรับแก้สายใยกล้องเบื้องต้น ดังนี้ 1) เปิดฝาครอบควงหมายเลข 10 2) ค่อยๆ คลายควงปรับแก้ หมายเลข 51 3) เลื่อนสายใยของกล้องด้วยควงปรับแก้หมายเลข 52 (กระทำพร้อมกัน) 4) ล็อคควงปรับแก้ หมายเลข 51 ให้แน่น ข้อควรระวัง: อย่าสัมผัสควงปรับแก้หมายเลข 53 ซึ่งมีเครื่องหมายเป็นจุดสีแดง 3 4 2 1 3

  10. 1.1.2 การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร • ตั้งกล้อง Theodoliteตามจุด PI ต่างๆ ที่หัวหน้าชุดสำรวจได้กำหนดไว้ • จดบันทึกค่าการวัดระยะต่างๆ ค่ามุมเบี่ยงเบน และคำนวณโค้งในสนาม • กำหนดจุดอ้างอิง พร้อมทั้งอ่านมุม วัดระยะ และจดบันทึก • ควบคุมการวัดระยะในแต่ละจุดที่กำหนด Sta. บนแนวสำรวจ หัวหน้าชุดสำรวจ • ตรวจสอบสายทางที่จะทำการสำรวจ เก็บข้อมูล • วางแผนการสำรวจ • เตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจ • ควบคุมการสำรวจให้ได้ตามแผนงาน • กำหนดแนวสำรวจและจุดที่จะต้องเบนมุม (PI) • ดำเนินการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ทีมงานจัดเก็บข้อมูลแนวทาง (Alignment Parties)

  11. 1.1.2 การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ทีมงานจัดเก็บข้อมูล BM และ Profile (BM & Profile Parties) • กำหนด จัดทำหมุดระดับสมมุติ (BM) จดบันทึกตำแหน่งของ BM โดยอ้างอิงจากระยะบนถนนที่วางแนวสำรวจ • อ่านค่าระดับบนแนวสำรวจ โดยทำงานร่วมกับทีมงานจัดเก็บข้อมูลรูปตัดตามขวาง • ถ่ายค่าระดับไปยังหมุดระดับสมมุติต่างๆ (BM) • คำนวณค่าต่างระดับของหมุดระดับสมมุติ (BM) • คำนวณค่าระดับตามยาวของถนนที่ทำการสำรวจ • เขียนรูปตัดตามยาว (Profile) ในแต่ละจุด Sta. ที่กำหนดบนแนวสำรวจ

  12. 1.1.2 การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร • จดบันทึกสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่อยู่ในเขตทาง เช่น รั้ว, ท่อ คสล. ชนิดกลม, ท่อ คสล. ชนิดเหลี่ยม, สะพาน, อาคาร, เสาไฟฟ้า เป็นต้น โดยใช้ระยะจากแนวสำรวจเป็นหลัก ทั้งนี้จะต้องระบุเป็น กม.ที่…… และ ระยะห่างซ้ายทางหรือขวาทางในแนวตั้งฉากกับแนวถนน ทีมงานจัดเก็บข้อมูลรูปตัดตามขวาง (Cross Section Parties) • กำหนดตำแหน่งการวางไม้อ่านค่าระดับ (Staff) ณ จุดต่างๆตามขวางที่มีการเปลี่ยนแปลงของค่าระดับ • จดบันทึกระยะของรูปตัดตามขวางที่มีการเปลี่ยนแปลงค่าระดับ (โดยทำงานร่วมกับทีมงานจัดเก็บข้อมูล BM และ Profile ) • เขียนรูปตัดตามขวาง (Cross Section) ในแต่ละจุด Sta. ที่กำหนดบนแนวสำรวจ ทีมงานจัดเก็บข้อมูลรายละเอียดภูมิประเทศ (Photographic Parties)

  13. 1.1.3 การเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลเบื้องต้น

  14. คำขอและแผนงานการสำรวจคำขอและแผนงานการสำรวจ

  15. แผนที่ 1 : 50,000

  16. แบบฟอร์ม สอ.1-สอ.8

  17. การมีส่วนร่วมภาคประชาชนการมีส่วนร่วมภาคประชาชน

  18. 1.2 การสำรวจแนวทาง

  19. 1.2.1 ข้อพิจารณาในการเลือกแนวทาง • ต้องรู้ถึงมาตรฐานของทางที่จะทำการออกแบบและนโยบายในการสร้างที่จะทำการสำรวจนี้ เพื่อที่จะวางแนวทางให้ได้ตามจุดประสงค์โดยให้ถูกหลักวิชาการมากที่สุด • ตั้งความมุ่งหมายไว้ว่าจะต้องให้ประชาชนสองข้างทางได้ประโยชน์มากที่สุด และต้องให้ผ่านชุมชนให้มากที่สุดที่จะทำได้ • ในทางปฏิบัติมีข้อจำกัดแนวเขตทางทำให้ไม่สามารถกำหนดแนวทางได้ตามความมุ่งหมาย ฉะนั้นการเลือกแนวทางให้ถูกต้องตามหลักวิชาการย่อมทำไม่ได้ จึงต้องเลือกแนวทางให้เหมาะสม โดยใช้ดุลยพินิจของหัวหน้าชุดสำรวจและผู้ออกแบบเห็นด้วยมากที่สุด เพื่อให้ได้แนวทางที่ดี และแก้ไขแนวทางน้อยที่สุด

  20. 1.2.2 ชั้นและความละเอียดของงาน • Alignment ( Opened Traverse) งานชั้นที่ 3 • Angular Error ไม่เกิน 30”√ N (N=จำนวนหมุดที่ตั้งกล้อง) • Bench Mark and Profile Leveling งานชั้นที่ 3 • ทำไปกลับผิดได้ไม่เกิน ±12 mm.√K (K=ระยะทางเป็น กม.) • Cross - Section งานชั้นที่ 3 • ทำไปกลับผิดได้ไม่เกิน ±100 mm.√K(K=ระยะทางเป็น กม.) • Topographic (Horizontal Detail) งานชั้นที่ 4 • โดยมากไม่มีการตรวจสอบ

  21. 1.2.3 การเลือกแนวทางที่ดี • แนวทางควรมีส่วนที่เป็นเส้นตรงให้มากที่สุดที่จะทำได้ • ถ้าจำเป็นต้องมีโค้งก็ต้องใส่โค้งให้มีรัศมีมากที่สุดจะมากได้ และอย่างน้อยต้องมีรัศมีที่จะให้ความปลอดภัยในการขับขี่ ถูกต้องตามหลักวิชาการเกี่ยวกับ Super Elevation และ Sight Distance ตามมาตรฐาน Design Speed ของทางและเขตขยายทางของทางที่ต้องการ (ดูรายละเอียดทฤษฎี และการคำนวณหารัศมีของโค้ง) • ไม่ควรให้มีโค้งที่มีค่า Intersection มาก (Sharp Curve) ในแนวทางที่เป็นเส้นตรงโดยตลอด ถ้าเป็น Sharp Curve ควรใช้ Three Centered Curve แทน

  22. 1.2.3 การเลือกแนวทางที่ดี • ในกรณีที่ PI มีค่า Intersection () น้อย ต้องใส่โค้งให้มีความยาวโค้งอย่างน้อยตามกำหนดต่อไปนี้ - ค่า Intersection = 5 L = 150 เมตร - ค่า Intersection = 4 L = 180 เมตร - ค่า Intersection = 3 L = 220 เมตร - ค่า Intersection = 2 L = 250 เมตร - ค่า Intersection = 1ไม่ต้องใส่โค้ง • แนวทางไม่ควรเป็นโค้ง ตรงที่จะต้องเป็นทางแยกหรือทางร่วม • จุดปลายโค้ง (PT) หรือจุดต้นโค้ง (PC) ควรอยู่ห่างจากตลิ่งของทางน้ำที่เห็นว่าจะต้องสร้างสะพานอย่างน้อย 100 เมตร

  23. 1.2.3 การเลือกแนวทางที่ดี • ความยาวโค้งจะต้องไม่เกิน 1 กิโลเมตร และความยาวโค้งที่น้อยที่สุดจะต้องไม่น้อยกว่า 150 เมตร เพื่อที่จะให้ความยาวของโค้งได้ 150 เมตร ในขณะที่มุม Intersection มีค่าน้อยนั้น บางครั้งอาจจะใช้รัศมียาวประมาณ 150 เมตร ในขณะที่มุม Intersection น้อยกว่า 59 ลิปดา ก็ไม่จำเป็นต้องมีโค้ง • Compound Curve ถ้าเป็นไปได้ควรจะหลีกเลี่ยง รัศมีโค้งจะเท่ากับ 300 เมตร หรือน้อยกว่านี้เล็กน้อย แต่ความยาวของรัศมีอันสั้นจะต้องยาวประมาณ 2 ใน 3 ของรัศมีอันยาว และผลรวมของความยาวโค้งทั้งสองจะต้องไม่น้อยกว่า 150 เมตร

  24. 1.2.3 การเลือกแนวทางที่ดี • Reverse Curve ที่มีจุด PRC หรือจุด PT โค้งแรกทับกับ PC ของโค้งที่สองไม่ควรใช้ ควรจะหลีกเลี่ยงโดยให้ทั้งสองห่างกันอย่างน้อย 90 เมตร อย่างไรก็ตามในบริเวณภูเขาอาจจะทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นฝายออกแบบจะต้องตัดสินใจโดยอาศัย Super Elevation ประกอบในการตัดสินใจ หรือให้เส้น Tangent ระหว่างโค้งทั้งสองห่างหัน = 0.6 V ม. เมื่อ V = ความเร็ว km/h • Broken Back Curve เป็นโค้งสองโค้งที่มีจุดศูนย์กลางของโค้งอยู่ทางเดียวกัน ถ้าโค้งสองโค้งอยู่ใกล้ๆ กันจะไม่ปลอดภัย เพราะ Sight Distance ไม่ดีเส้นตรงระหว่างโค้งสองโค้ง จะต้องยาวไม่น้อยกว่า 100 เมตร ถ้าน้อยกว่านี้ก็ให้ใช้ Simple Curve หรือ Compound Curve หรือโค้งทั้งสองห่างกัน = 0.75 V เมตร

  25. 1.2.3 การเลือกแนวทางที่ดี • Spiral Curve สำหรับทางหลวงสายนอกเมืองหรือ Secondary Highway จะไม่ใช้นอกจากวิศวกรจะแนะนำให้ใช้ • การวางแนวบริเวณสะพาน ที่บริเวณสะพานจะไม่ยอมให้จุดเริ่มต้นโค้งหรือจุดปลายโค้งอยู่บนสะพาน และถ้าโค้งใกล้สะพาน จะต้องห่างจากสะพานเป็นระยะเท่ากับที่ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของ Super Elevation อยู่บนสะพานเลย และถ้าหากว่าสะพานจำเป็นต้องอยู่ในโค้ง จะต้องให้รัศมีของโค้งมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ห้ามใช้ Compound Curve • แนวทางไม่ควรผ่านไปในที่ลุ่มต่ำ ซึ่งต้องถมสูงเป็นระยะยาว ถ้าจำเป็นต้องผ่านแนวทางช่วงนั้นก็ไม่ควรจะมีโค้ง แต่ถ้าจำเป็นต้องมีก็ให้เป็นโค้งที่มีค่า Intersection น้อยที่สุดที่จะทำได้

  26. 1.2.3 การเลือกแนวทางที่ดี • แนวทางไม่ควรผ่านบริเวณที่เห็นว่าเป็นดินอ่อน (Soft Soil) เป็นช่วงยาว • แนวทางผ่านลำน้ำ ควรจะให้ตั้งฉากกับลำน้ำ ถ้าจำเป็นต้อง Skew ก็ให้ Skew น้อยที่สุด สำหรับลำน้ำเล็ก Skew ได้ไม่เกิน 30 องศา ถ้าลำน้ำใหญ่ก็ไม่เกิน 20 องศา • แนวทางไม่ควรไต่ไปตามพื้นซึ่งชันกว่าความชันตามมาตรฐาน ของถนนชนิดนั้นๆ มากเกนไปและเป็นระยะทางยาว ๆ ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณงานดินที่ต้องขุด • แนวทางที่ผ่านหมู่บ้าน ต้องพยายามอย่าให้เฉียดแนวบ้านข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไปจนเป็นเหตุให้ต้องมีการรื้อถอนเมื่อก่อสร้าง

  27. 1.2.3 การเลือกแนวทางที่ดี • ในภูมิประเทศที่เป็นภูเขา แนวทางไม่ควรผ่านหุบเขา ควรจะเลาะไปตามไหล่เขา เพื่อลดปริมาณงานดินที่จะต้องก่อสร้าง และป้องกันน้ำท่วมในหน้าฝน • แนวทางไม่ควรเลียบใกล้ตามตลิ่งของลำน้ำที่มีการกัดเซาะสูงและชัน • แนวทางที่ต้องข้ามลำน้ำกว้าง ไม่ควรข้ามลำน้ำในระดับสูงกว่าท้องน้ำมาก ๆ เช่น แนวทางที่โยงข้ามแม่น้ำจากสันเขาริมน้ำทั้ง 2 ฝั่ง เพราะมีปัญหาในการออกแบบสะพานที่มีตอม่อกลางน้ำ ควรจะผ่านบริเวณน้ำตื้น ๆ • ไม่ควรให้ Horizontal Curve และ Vertical Curve อยู่ในที่เดียวกัน เพราะทำให้บังคับรถลำบาก และไม่ปลอดภัย

  28. 1.2.3 การเลือกแนวทางที่ดี • บริเวณทางร่วมหรือทางแยก มุมตัดกันไม่ควรต่ำกว่า 20 องศา และควรจะเป็นบริเวณที่ราบ ถ้ามีความลาดก็ไม่เกิน 3% และถ้าเป็นโค้งก็ต้องเป็นโค้งที่มีรัศมีมาก ๆ โดยไม่ต้องมี Super Elevation , Degree of Curve ไม่เกิน 6 องศา • หลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นโบราณสถาน ปูชณียสถาน วัด โบสถ์ ป่าช้า โรงเรียน • การตรวจสอบทิศทางใช้ข้อกำหนดของวงรอบ Third Order

  29. 1.2.4 การสำรวจโค้งทางราบ (Horizontal Curve) • โค้งวงกลม (Circular Curve) • โค้งผสม (Compound Curve) • โค้งหลังหัก (Broken Back Curve) • โค้งผสมย้อนทาง (Reverse Curve) • โค้งก้นหอย (Spiral Curve)

  30. โค้งวงกลม (Circular Curve)

  31. โค้งผสม (Compound Curve) โค้งผสมมี 2 ศูนย์กลาง โค้งผสมมี 3 ศูนย์กลาง

  32. โค้งหลังหัก (Broken Back Curve)

  33. โค้งผสมย้อนทาง (Reverse Curve)

  34. โค้งก้นหอย (Spiral Curve)

  35. วิธีปฏิบัติงานในสนาม RP.1 RP.2 RP.1 CL CL 2 D 2 3 ตั้งค่ามุมกล้อง=00-00-00 ตั้งค่ามุมกล้อง=00-00-00 RP.3 อ่านค่ามุมAz RP.2 RP.3 1 ตั้งค่ามุมกล้อง=00-00-00 RP.3 D RP.2 1 3 CL Sta.. 0+000 RP.1

  36. โค้งวงกลม ( Circular Curve ) สูตรที่ใช้ในการคำนวณหาค่าต่างๆในการวางโค้ง กรณี SIMPLE CURVE PI ∆ E T T L M PT PC LC R R ∆ O

  37. การออกแบบโค้งในสนาม กรณี SIMPLE CURVE ออกแบบโดยกำหนดค่า D , T , E หมายเหตุการกำหนดค่า D เป็นจำนวนเต็ม จะง่ายต่อการวางโค้งในสนาม

  38. PI PT PC T T PT PC L X X = ระยะส่วนที่แตกต่าง = 2 x T - L การออกแบบโค้งในสนาม กรณี SIMPLE CURVE ออกแบบโดยกำหนดค่า D , T , E ระยะทดจาก PI = (STA. ต่อไป – STA. PI) + (2 x T - L)

  39. 1.2.5 การยกโค้ง (Super Elevation) = ( e = f ) e = โดยที่ emaxตัองไม่เกิน 0.10 เมื่อ V = ความเร็ว (กม./ชม.) e = อัตราการยกโค้งของผิว ทาง (ม./ม.) f = สปส. ความเสียดทาน ระหว่างล้อกับถนน R = รัศมีของโค้งราบ (ม.)

  40. อัตราการยกโค้งที่เหมาะสมอัตราการยกโค้งที่เหมาะสม อัตราการยกโค้งสูงสุดที่ AASHTO แนะนำให้ใช้

  41. วิธีการยกขอบทางโค้ง วิธีการยกขอบถนนอาจจะกำหนดจุดหมุนได้ 3 ตำแหน่ง ดังนี้ • ใช้เส้นแบ่งครึ่งถนนเป็นจุดหมุน (Center Line) • ใช้ขอบถนนด้านในเป็นจุดหมุน (Inner Edge) • ใช้ขอบถนนด้านนอกเป็นจุดหมุน (Outer Edge)

  42. ใช้เส้นแบ่งครึ่งถนนเป็นจุดหมุน (Center Line) เป็นวิธีที่นิยมใช้

  43. ใช้ขอบถนนด้านในเป็นจุดหมุน (Inner Edge)

  44. ใช้ขอบถนนด้านนอกเป็นจุดหมุน (Outer Edge)

  45. ภาพตัดถนนแสดงการยกโค้งที่ระยะต่างๆภาพตัดถนนแสดงการยกโค้งที่ระยะต่างๆ

  46. ภาพตัดถนนแสดงการยกโค้งที่ระยะต่างๆ (ต่อ)

  47. การยกโค้งในทางโค้งวงกลมการยกโค้งในทางโค้งวงกลม กำหนดให้ เส้นแบ่งครึ่งถนน (Center line) ของถนนเป็นจุดหมุน FC = Full Crown W = ความกว้างของถนน e = Rate of Super Elevation V = ความเร็วออกแบบ กม./ชม. โดยที่ค่าของ S เปลี่ยนแปลงตามความเร็วของรถ เมื่อ Ts = Super Elevation Transition Ls = Length of Spiral HC = Half Crown FS = Full Super Elevation NC = Normal Crown

  48. รายละเอียดการยกโค้ง

  49. L/3 L/3 Area = 2/3*Wn*L การขยายขอบผิวจราจร (Widening in simple curve) ตามมาตรฐานการออกแบบของ American Association of State Highway officials ( 1984 ) กรณีไม่ยก Super. Wn PC. PT. L/3 Wn = 0.3048 * (1 + D / 10 ) : ปรับให้Wn = 0.50 , 0.75 , 1.00 , 1.25 , 1.50 m.

  50. การขยายขอบผิวจราจร (Widening in simple curve) กรณียก Super FS > L/3 FULL SUPPER REM. TO FS. FS. Wn TS TS PC. PT. FULL WIDENING ATT. TO NC. NC. Wn = 0.3048 * (1 + D / 10 ) : ปรับให้Wn = 0.50 , 0.75 , 1.00 , 1.25 , 1.50 ม.

More Related