1 / 66

(Managerial Economics)

เศรษฐศาสตร์การจัดการ. (Managerial Economics). โดย. รองศาสตราจารย์จรินทร์ เทศวานิช. ขอบเขตของการสัมมนาครั้งที่ 1 หน่วยที่ 1 ขอบเขตของวิชาเศรษฐศาสตร์การจัดการ หน่วยที่ 2 การวิเคราะห์อุปสงค์ หน่วยที่ 3 การวิเคราะห์การผลิต หน่วยที่ 4 การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต หน่วยที่ 5 โครงสร้างตลาด

fisseha
Download Presentation

(Managerial Economics)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. เศรษฐศาสตร์การจัดการ (Managerial Economics) โดย... รองศาสตราจารย์จรินทร์ เทศวานิช

  2. ขอบเขตของการสัมมนาครั้งที่ 1 หน่วยที่ 1 ขอบเขตของวิชาเศรษฐศาสตร์การจัดการ หน่วยที่ 2 การวิเคราะห์อุปสงค์ หน่วยที่ 3 การวิเคราะห์การผลิต หน่วยที่ 4 การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต หน่วยที่ 5 โครงสร้างตลาด หน่วยที่ 6 การวิเคราะห์ราคาและการตัดสินใจของหน่วยธุรกิจ หน่วยที่ 7 หลักการจัดการ

  3. ขอบเขตของการสัมมนาครั้งที่ 2 หน่วยที่ 8 ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจ หน่วยที่ 9 กลยุทธ์ด้านการจัดการและการแข่งขันทางธุรกิจ หน่วยที่ 10 ระบบสารสนเทศเพื่อการดำเนินธุรกิจ หน่วยที่ 11 เทคนิคการหาผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีที่สุด หน่วยที่ 12 การพยากรณ์และการวางแผนธุรกิจในอนาคต หน่วยที่ 13 งบประมาณการลงทุนและการวิเคราะห์การลงทุนในระยะยาว ของหน่วยธุรกิจ หน่วยที่ 14 การตัดสินใจภายใต้ภาวะความเสี่ยงและความไม่แน่นอน หน่วยที่ 15 บทบาทของรัฐกับการจัดการทางธุรกิจ

  4. หน่วยที่ 1 ขอบเขตของวิชาเศรษฐศาสตร์การจัดการ • แนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การจัดการ • บทบาทของเศรษฐศาสตร์การจัดการในการดำเนินธุรกิจ • เงื่อนไขด้านเวลา สถานการณ์และแบบจำลองของ • เศรษฐศาสตร์การจัดการ

  5. ความหมายของเศรษฐศาสตร์การจัดการความหมายของเศรษฐศาสตร์การจัดการ เศรษฐศาสตร์การจัดการเป็นการประยุกต์ระหว่างความรู้ด้านทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ และความรู้ด้านศาสตร์ของการตัดสินใจเข้าด้วยกัน เพื่อนำไปวิเคราะห์หาคำตอบที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา

  6. เศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์การจัดการเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์การจัดการ • ทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค • ทฤษฎีหน่วยผลิต • ทฤษฎีโครงสร้างตลาด และการตั้งราคาสินค้า • ทฤษฎีการบริโภค • ทฤษฎีการลงทุน • ทฤษฎีเงินเฟ้อ • นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล

  7. เศรษฐศาสตร์การตัดสินใจเศรษฐศาสตร์การตัดสินใจ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์การจัดการ • การวิเคราะห์ส่วนเพิ่มเพื่อหากำไรสูงสุด • การวิเคราะห์การถดถอย เพื่อประมาณการอุปสงค์ • การวิเคราะห์โดยโปรแกรมเชิงเส้น

  8. ปัญหาการตัดสินใจในการบริหารปัญหาการตัดสินใจในการบริหาร แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ (กรอบการตัดสินใจ) ศาสตร์การตัดสินใจ (เครื่องมือและเทคนิคการวิเคราะห์) ศาสตร์การจัดการ ศำตอบที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหา

  9. เป้าหมายการดำเนินธุรกิจเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ • ความมั่งคั่งสูงสุด • ยอดขายสูงสุด • การเติบโตมากที่สุดของธุรกิจ • การให้คุณค่าและบริการที่ดีที่สุด

  10. หลักการพื้นฐานที่จะทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพหลักการพื้นฐานที่จะทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพ 1. การระบุเป้าหมายและเงื่อนไขที่ชัดเจน 2. การตระหนักและเข้าใจถึงกำไร 3. ความเข้าใจเรื่องแรงจูงใจ 4. ความเข้าใจในเรื่องตลาด 5. การตระหนักถึงมุลค่าของเงินตามระยะเวลา 6. การวิเคราะห์ส่วนเพิ่ม

  11. สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์การจัดการสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์การจัดการ • สถานการณ์ภายใต้ภาวะความเสี่ยง • สถานการณ์ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอน

  12. แบบจำลองที่ใช้ในเศรษฐศาสตร์การจัดการแบบจำลองที่ใช้ในเศรษฐศาสตร์การจัดการ • ใช้เพื่อสร้างความเข้าใจ • ใช้เพื่อการอธิบาย • ใช้เพื่อการพยากรณ์

  13. วิธีการแสดงความสัมพันธ์ทางเศรษฐศาสตร์วิธีการแสดงความสัมพันธ์ทางเศรษฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ทางฟังก์ชัน : สมการ TR = f (Q)……(1) TR = P x Q , TR = 1.50 Q …..(2) สมการ (2) บอกให้ทราบว่ารายได้รวมเท่ากับ 1.5 เท่า ของปริมาณผลผลิตเสมอ เช่น ถ้า Q = 10 TR = 15 ถ้า Q = 100 TR = 150

  14. ความสัมพันธ์ทางฟังก์ชัน : ตารางและรูปกราฟ รายได้รวม ผลผลิต 1.5 3.0 4.5 6.0 7.5 9.0 1 2 3 4 5 6

  15. รายได้ (TR) TR รายได้รวม = 1.50x ผลผลิต 6.00 4.50 3.00 1.50 ผลผลิต (Q) 0 1 2 3 4

  16. ความสัมพันธ์ระหว่างค่ารวมและค่าส่วนเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างค่ารวมและค่าส่วนเพิ่ม

  17. กำไรรวม กำไรรวม ผลผลิต 0 กำไรต่อหน่วย กำไรเฉลี่ย ผลผลิต 0 กำไรส่วนเพิ่ม การแสดงความสัมพันธ์โดยวิธีกราฟ

  18. ถ้าให้ X เป็นตัวแปรอิสระ Yเป็นตัวแปรตาม ส่วนเพิ่ม Y = Y อัตราส่วนนี้ชี้ให้ X เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรอิสระ 1 หน่วย Y X Y Y2 Y1 X X1 X2 0 Differential Calculus

  19. การหาค่า Derivative คือการหาค่าอัตราส่วนของ Y ของ X การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของตัวแปรอิสระ ซึ่งเขียนเป็น สมการได้ว่า dY = limit Y dX X อ่านว่า Derivative ของ Y ต่อ X เท่ากับ lim ของอัตราส่วน Y X ขณะที่ X เข้าใกล้ศูนย์ X 0 Differential Calculus

  20. Y X ส่วนเพิ่ม Y = Y 15 11 5 X 0 1 2 3 Y = f ( X ) Y = ผลผลิต X = ปุ๋ย

  21. กฎของอนุพันธ์ ( Differentiation ) 1. ค่าคงที่ (Constant Function Rule) อนุพันธ์ของค่าคงที่จะเท่ากับศูนย์เสมอ ถ้า Y = k ซึ่ง k เป็นค่าคงที่ dY = 0 dX เช่น Y = 5 dY = 0 dX

  22. กฎของอนุพันธ์ ( Differentiation ) • 2. สมการเส้นตรง (Linear Function Rule) อนุพันธ์ของสมการเส้นตรง Y= a+bx จะเท่ากับ b ค่า Coefficient ของ x • ถ้า Y= a+bx ,dY = b • dX • เช่น Y = 2+3x , dY = 3 • dX • Y = 5 - 1/4x , dY = -1/4 • dX • Y =12x , dY = 12 • dX

  23. Y Y dY = 0 dX Y = 12x dY = 12 dX 5 Y=5 X X 0 0 Y Y = 5+2x Y dY = - 0.8 dX 7 dY = 2 dX 5 Y = 7- 0.8x X X 0 0

  24. 3. สมการยกกำลัง ( Power Function Rule) อนุพันธ์ของสมการยกกำลัง Y = axp จะเท่ากับกำลัง (P) คูณด้วย Coefficient a คูณด้วย X ส่วนกำลังนั้นจะถูกหักออกหนึ่งจะเหลือกำลังเท่ากับ p - 1 ถ้า Y = axpdY = pa xp-1 dX เช่น Y = 4x3 dY = 3(4)x3-1 = 12x2 dX

  25. Y Y = 3X2 dY = 6X dX X 0

  26. Y Y = 3+2X2 dY = 4X dX 3 X 0 Y = 12 + 3X2 + 7X3 dY = 6X + 21X2 dX

  27. Higher - Order Derivatives Second- Order Derivatives d2 Y (อนุพันธ์อันดับ 2) dX2 วัดอัตราการเปลี่ยนแปลง (rate of exchange) ของอนุพันธ์อันดับแรก เช่นเดียวกับอนุพันธ์อันดับแรก วัดอัตราการเปลี่ยนแปลงของฟังก์ชันเดิม จึงสรุปได้ว่า อนุพันธ์อันดับสูง วัดอัตราการเปลี่ยนแปลงของอนุพันธ์ที่ต่ำกว่า 1 อันดับ

  28. ตัวอย่าง จากสมการ Y = 2X4 + 5X3 + 3X2 จงหาอนุพันธ์อันดับที่ 1 - 5 อนุพันธ์อันดับที่ 1dY , Y/ หรือ f/(X) dX dY = 8X3 + 15X2 + 6X dX อนุพันธ์อันดับที่ 2d2 Y , Y// หรือ f//(X) dX2 d2Y = 24X2 + 30X + 6 dX2

  29. อนุพันธ์อันดับที่ 3d3Y , Y/// หรือ f///(X) dX3 d3Y = 48X+ 30 dX3 อนุพันธ์อันดับที่ 4d4Y , Y//// หรือ f////(X) dX4 d4Y = 48 dX4 อนุพันธ์อันดับที่ 5 d5Y , Y///// หรือ f/////(X) dX5 d5Y = 0 dX5

  30. ประโยชน์ของแคลคูลัสในการแก้ปัญหาประโยชน์ของแคลคูลัสในการแก้ปัญหา เราสามารถใช้เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุดของทั้งปัญหาการทำกำไรสูงสุดและการเสียต้นทุนต่ำสุด การหา Derivative ของฟังก์ชันใดๆ คือการหาความลาดหรือการหาส่วนเพิ่ม ณ จุดใด ๆ ณ จุดสูงสุดของเส้นโค้ง ความลาดเท่ากับศูนย์ ดังนั้นกำไรสูงสุดหรือต้นทุนต่ำที่สุดอยู่ที่ Derivative ของฟังก์ชันนั้นเท่ากับศูนย์

  31. ตัวอย่าง = - 10,000 + 400Q - 2Q2 = กำไร Q= ปริมาณผลผลิต กำไรรวม = - 10,000 + 400Q - 2Q2 ความลาด = กำไรส่วนเพิ่ม = d = 400 - 4Q = 0 dQ เมื่อ Q = 100 หน่วย ผลผลิต 28 100 172 -10,000 ความสัมพันธ์ระหว่างกำไรกับผลผลิต

  32. Second - Order Derivative ถ้า = a - bQ +cQ2 - dQ3 d = -b + 2cQ - 3dQ2…. first dQ d2 = 2c - 6dQ ….second dQ2

  33. จำนวนเงิน กำไรรวม B = a - bQ + cQ2 - dQ3 0 ผลผลิต A จำนวนเงิน 0 ผลผลิต A B กำไรส่วนเพิ่ม d = -b + 2cQ - 3dQ2 dQ การกำหนดค่าสูงสุดและค่าต่ำสุดของฟังก์ชัน

  34. = a + bQ + cQ2 +dQ3 = -3,000 - 2,400Q + 350Q2 -8.3Q3 d = -2,400 + 700Q -25Q2 dQ การหา Q หรือจำนวนหน่วยที่จะให้ได้รับกำไรสูงสุดหรือต่ำสุด Q = -b + b2 - 4ac 2c Q = -700 + 7002 - 4 (-2400) (-25) 2(-25) Q = 4 , 24

  35. ตัวอย่างฟังก์ชันกำไรรวม = -3,000 - 2,400Q + 350Q2 - 8.333Q3 การหากำไรส่วนเพิ่ม จาก First - order derivative d = -2,400 + 700Q -25Q2 dQ กำไรรวมมีค่าสูงสุดหรือต่ำสุด เมื่อ First - order derivative มีค่าเท่ากับศูนย์ d = -2,400 + 700Q -25Q2 = 0 dQ Q = 4 , 24 จำนวนที่จะทำให้กำไรสูงสุดหรือต่ำสุด

  36. เราจะหาค่าของ Second - order Derivative เพื่อสูจน์ว่าค่าที่ได้เป็นค่าสูงสุดหรือต่ำสุด d2 = 700 - 50Q dQ2 ถ้า Q = 4 d2 = 700 - 50(4) = 500 dQ2 ค่าเป็น + แสดงว่ากำไรส่วนเพิ่มกำลังเพิ่มขึ้น กำไรรวมมีค่าต่ำสุด ณ จุดผลผลิตเท่ากับ 4 หน่วย ( ดูที่จุด A ดังรูป ) ถ้า Q = 24 d2 = 700 - 50(24) = - 500 dQ2 ค่าเป็น - แสดงว่ากำไรส่วนเพิ่มกำลังลดลง ฟังก์ชันกำไรรวมได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว ( ดูที่จุด B )

  37. การใช้ Derivative หาผลต่างของฟังก์ชัน 2 ฟังก์ชัน ณ จุดที่ห่างที่สุด จำนวนเงิน TC TR MC ผลผลิต 0 QA QB QC MR จำนวนเงิน Marginal Profit (M ) = Slope = 0 ที่ QB Total Profit ผลผลิต 0 QA QB QC

  38. ตัวอย่างTR = 41.5 Q - 1.1 Q2 TC = 150 + 10 Q - 0.5 Q2 + 0.02 Q3 = TR - TC กำไรสูงสุดหาโดยเอา ไปหา First - order derivative และ Second - order derivative = TR - TC = 41.5Q - 1.1 Q2 - (150 + 10 Q - 0.5 Q2 + 0.02 Q3) = -150 + 31.5 Q - 0.6 Q2 - 0.02 Q3

  39. First - order derivative กำไร ได้ d = 31.5 - 1.2 Q - 0.06 Q2 dQ ให้ 31.5 - 1.2 Q - 0.06 Q2 = 0 Q = -35 , +15 ค่า Q = -35 เป็นไปไม่ได้ ผลผลิตจะไม่ติดลบ เพราะ ฉนั้นเราใช้ได้เฉพาะค่า Q = 15 เท่านั้น

  40. ต่อไปจะหา Second - order derivative ณ Q = 15 ที่ทำให้รู้ว่ากำไรที่ได้เป็นค่าสูงสุดหรือต่ำสุด d2 = -1.2 - 0.12 Q dQ2 เมื่อ Q = 15 จะได้ d2 = -3.0 ดังนั้น Q = 15 dQ2 กำไรจะ สูงสุด

  41. การหาค่าสูงสุดอาจหาจาก MR และ MC ดังนี้ MR = dTR = 41.5 - 2.2 Q dQ MC = dTC = 10 - Q + 0.06 Q2 dQ ระดับผลผลิตที่ดีที่สุดจะอยู่ที่ MC = MR ดังนั้น 10 - Q + 0.06 Q2 = 41.5 - 2.2 Q - 31.5 + 1.2 Q + 0.06 Q2 = 0

  42. เท่ากับการทำ First - order derivative ของฟังก์ชันกำไร แล้วกำหนดให้เท่ากับศูนย์และหาคำตอบจะเป็นค่าเดิม คือ Q1 = -35 และ Q2 = 15 เป็นการพิสูจน์ว่า เมื่อ MR = MC ผลผลิตที่ได้จะทำให้เกิดกำไรสูงสุด เพื่อให้เกิดความเข้าใจ จะพิจารณาได้ดังรูป ที่ระดับการผลิต 15 หน่วย ความลาดชันของเส้นทั้งสองเท่ากัน คือ MC = MR ฟังก์ชันกำไรผลผลิตที่ดีที่สุดคือ 15 หน่วย และเป็น ผลผลิต ณ d = 0 และ d2 < 0 dQ dQ2

  43. Profit - Maximizing Output Condition กำไรสูงสุดที่ Q = 15 เมื่อ MC = MR และ M = 0 จำนวนเงิน MC at Q = 15 TC TR MC MC at Q = 15 * MR = MC at Q = 15 ผลผลิต 0 MR จำนวนเงิน Marginal Profit = 0 at Q= 15 Total Profit ผลผลิต 0

  44. ในกรณีที่แบบจำลองมีตัวแปรมากกว่า 1 ตัว เช่น Q = f(P,A) Q = ปริมาณ P = ราคา A = ค่าโฆษณา เราสามารถทำ Partial Derivative ได้ 2 ครั้ง คือ 1.Q โดยให้การโฆษณาคงที่ P 2. Q โดยให้ราคาคงที่ A ตัวอย่าง Y = 10 - 4X + 3XZ - Z2 1. Y = -4 + 3Z X 2. Y = 3X - 2Z X Partial Derivative

  45. การหาค่าสูงสุดของฟังก์ชันที่มีตัวแปรหลายค่าการหาค่าสูงสุดของฟังก์ชันที่มีตัวแปรหลายค่า วิธีการหาต้องทำให้ First - order Derivative เท่ากับศูนย์ ดังนั้นค่าสูงสุดของฟังก์ชัน Y = f ( X , Z ) คือ Y = 0 และ Y = 0 X Z ตัวอย่าง Y = 4X + Z - X2 + XZ - Z2 Y = 4 - 2X + Z X Y = 1 + X - 2Z Z เพื่อให้สมการมีค่าสูงสุด ให้ Partial = 0

  46. Y = 4 - 2X + Z = 0 ….. (1) X และ Y = 1 + X - 2Z = 0 ….. (2) X นำทั้ง 2 สมการไปหาค่า X = 3 และ Z = 2 เป็นค่าสูงสุด แทนค่า X และ Z ในสมการ Y จะได้ Y = 7 ดังนั้นค่าสูงสุดของ Y คือ 7 Y A Z 7 2 3 X

  47. การวิเคราะห์ความเสี่ยงภัยการวิเคราะห์ความเสี่ยงภัย ความเสี่ยงภัย หมายถึง ความผันแปรของเหตุการณ์ ถ้าคิดว่าเหตุการณ์ในอนาคตมีความผันแปรมาก ความเสี่ยงภัยจะสูง การกระจายความน่าจะเป็น การวัดโอกาสที่จะเป็นไปได้ของการพยากรณ์ เรียกว่า “ความน่าจะเป็น” ซึ่งมีค่า 0 - 1 ถ้า 0 หมายถึง เหตุการณ์จะไม่เกิดขึ้น ถ้า 1 หมายถึง เหตุการณ์เกิดขึ้นแน่นอน

  48. การเปรียบเทียบความเสี่ยงภัยการเปรียบเทียบความเสี่ยงภัย ผลตอบแทนจากโครงการ ก และ ข ภาวะเศรษฐกิจ ผลตอบแทน ( ล้านบาท ) โครงการ ก โครงการ ข ตกต่ำ 400 0 ปรกติ 500 500 รุ่งเรือง 600 1,000

  49. การคำนวณผลที่คาดหวัง

  50. จากข้อมูลข้างต้น จะนำมาเขียนเป็นกราฟ โดยโครงการ ก เริ่มตั้งแต่ 400 ถึง 600 บาท โดยมีค่าเฉลี่ย 500 บาท ส่วนโครงการ ข เท่ากับ 500 บาท เหมือนกัน แต่ช่วงของกำไรจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ 0 ถึง 1,000 บาท ดังรูป

More Related