1 / 39

บทที่ 5

บทที่ 5. Application Architecture Design. การออกแบบสถาปัตยกรรม แอปพลิเคชั่น วิชา การออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์อ เพียรทิพย์. 1. การกำหนดความต้องการของระบบ 2. การวิเคราะห์ความต้องการของระบบใหม่ DFD คำอธิบายขั้นตอนการทำงาน ER. 1. การออกแบบฟอร์มและรายงาน

gali
Download Presentation

บทที่ 5

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 5 Application Architecture Design การออกแบบสถาปัตยกรรมแอปพลิเคชั่น วิชา การออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์อ เพียรทิพย์

  2. 1.การกำหนดความต้องการของระบบ1.การกำหนดความต้องการของระบบ • 2. การวิเคราะห์ความต้องการของระบบใหม่ • DFD • คำอธิบายขั้นตอนการทำงาน • ER 1.การออกแบบฟอร์มและรายงาน 2. การออกแบบส่วนประสานงานกับผู้ใช้ (User Interface) 3. การออกแบบฐานข้อมูลระดับตรรกะ (แปลง ER เป็น แบบจำลองข้อมูลเชิงสัมพันธ์ และการนอร์มัลไลซ์) 1.การออกแบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพ 2. การออกแบบ Application ขั้นตอนการออกแบบระบบ 14.2

  3. หัวข้อการบรรยาย • ความแตกต่างระหว่างการออกแบบ Software และการออกแบบApplication • แนะนำระบบงานแบบรวมศูนย์ (Single-location Systems) • แนะนำระบบงานแบบกระจาย (Distributed System Design) • แนะนำระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ (Network Technology) • รูปแบบระบบงานแบบกระจายบนระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ • ทำความรู้จักกับ Tier Architecture

  4. ความแตกต่างระหว่างการออกแบบ Software กับการออกแบบ Aplication • การออกแบบ Software คือ การออกแบบการทำงานภายในตัวโปรแกรม เช่นขั้นตอนในการประมวลผล วิธีการประมวลผล โดยแสดงให้เห็นถึงข้อมูลที่นำเข้าสู่การประมวลผล การตรวจเช็คข้อมูล การส่งผลลัพธ์ที่ได้จากขึ้นตอนนั้นไปสู่ขึ้นตอนใด เพื่อให้เห็นโครงร่างการทำงานภายในโปรแกรมก่อนที่จะเขียนโปรแกรม • การออกแบบ Application คือ การออกแบบว่าจะให้ระบบงานที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นตอนก่อนหน้า ททำงานอยู่บนระบบคอมพิวเตอร์ลักษณะใด โดยพิจารณาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของระบบคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่จะนำระบบงานที่ออกแบบไว้ไปใช้งานบนระบบคอมพิวเตอร์แบบนั้น ๆ

  5. แนะนำระบบงานแบบรวมศูนย์ (Stand-alone system) • รวมการทำงานของระบบทั้งหมดไว้ภายในเครื่องเดียวกัน ทั้งส่วนของ Application และส่วนของฐานข้อมูล • ผู้ใช้แต่ละคนไม่สามารถใช้งานระบบได้จากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นนอกจากเครือ่งที่ติดตั้งระบบงานเท่านั้น • ถ้ามีผู้ใช้หลายคนจะต้องรอให้เครื่องว่างก่อนถึงจะใช้งานได้ ทำงานพร้อมกันไม่ได้

  6. แนะนำงานแบบกระจาย (Distributed system) • ระบบงานแบบกระจาย (Distributed System) เป็นระบบงานที่แบ่งแยกองค์ประกอบต่าง ๆ (Data, Process, Interface) ของระบบไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านั้นแบ่งเบาภาระการทำงานของระบบโดยเชื่อมโยงกันผ่านเครือข่าย • รูปแบบการกระจายส่วนประกอบต่าง ๆ ของระบบงานแบ่งได้ดังนี้ • การกระจายการนำเสนอ (Distributed Presentation) • การกระจายฟังก์ชันงาน (Distributed Function) • การกระจายข้อมูล (Distributed Data) • การกระจายการประมวลผล (Distributed Processing)

  7. Client ส่งคำร้องขอส่วนแสดงผล Server ส่งส่วนแสดงผลไปยัง Client Client Server การกระจายการนำเสนอ (Distributed Presentation) • เป็นการกระจายการนำเสนอของระบบงาน เช่น ส่วน User Interface ไปยัง เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องต่าง ๆ • เครื่อง Server จะทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้ภายในฐานข้อมูล • การจัดการการเข้าถึงข้อมูลและการประมวลผลคำสั่งเพื่อดำเนินการกับข้อมูลในฐานข้อมูล ยังคงเป็นหน้าที่ของเครื่อง Server • แอปพลิเคชั่นสำหรับจัดการงานต่าง ๆ จะรันบนเครื่อง Server • User Interface ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ของแอปพลิเคชั่น จะถูกส่งไปแสดงผลยังเครื่อง Client

  8. การกระจายการนำเสนอ(Distributed Presentation) • ข้อดี • สามารถเรียกดูข้อมูลที่ต้องการได้โดยไม่ต้องไปยังเครื่องที่เก็บระบบงาน • ผู้ใช้หลายคนสามารถเรียกใช้งานได้พร้อม ๆ กัน • ผู้ออกแบบสามารถพัฒนาระบบได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสนใจผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นกับเครื่อง Client • ข้อเสีย • เครื่อง Server ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและประมวลผลยังคงทำงานหนักเช่นเดิม • ปัญหาด้านความหนาแน่นของการจราจรของข้อมูลที่ส่งไปมาระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หากมีมากจะทำให้การแสดงผลที่เครื่อง Client ช้าลง

  9. การกระจายฟังก์ชันงาน(Distributed Function) • เป็นการกระจายฟังก์ชันงานบางส่วนจากเครื่องที่เป็นศูนย์กลางไปไว้บนเครื่อง Client คือ Application บางส่วนของระบบจะเก็บไว้ที่เครื่อง Client • โดยที่การทำงานของเครื่อง Client จะครอบคลุมงานในส่วนของการแสดงผลหรือPresentationทั้งหมด • โดยใช้Application ที่ถูกเก็บไว้บนเครื่อง Clientเป็นเครื่องมือในการติดต่อรับข้อมูลจากเครื่องที่เป็นศูนย์กลาง • หน้าทีหลักของเครื่องที่เป็นศูนย์กลาง คือ บริหาร ดูแล และจัดการข้อมูลเพียงอย่างเดียว

  10. การกระจายฟังก์ชันงาน(Distributed Function) • ข้อดี • ช่วยลดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบงาน เนื่องจากฟังก์ชั่นงานถูกแบ่งไปยังเครื่องที่ต้องการใช้งานอยู่แล้ว • ข้อเสีย • เครื่องคอมพิวเตอร์หลักยังคงต้องรองรับการทำงานจากเครื่อง Client ทุกเครื่อง ถ้ามีข้อมูลที่เครื่อง Server ต้องดูแลและจัดการมีอยู่มาก การทำงานของระบบก็จะล่าช้า

  11. การกระจายข้อมูล (Distributed Data) • เป็นการกระจายข้อมูลบางส่วนที่เก็บไว้บนเครื่อง Server ไปยังเครื่อง Client หรือ Serverอื่น • เพื่อแบ่งเบาภาระในการดูแล และจัดการข้อมูลของเครื่องServer • ตัวอย่างเช่น ระบบงานธนาคาร มีการกระจายข้อมูลไปเก็บไว้ที่ Site ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแต่ละภาค Database Database Database Computer Network

  12. การกระจายข้อมูล (Distributed Data) • ข้อดี • เพิ่มประสิทธิภาพของระบบเนื่องจากคอมพิวเตอร์หลักไม่ต้องรองรับงานจำนวนมาก • ลดความหนาแน่นของการจราจรบนเครือข่าย • การประมวลผลโดยรวมของของระบบดีขึ้น เนื่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บไว้ใกล้กับจุดที่ต้องการใช้ข้อมูลนั้น ทำให้ใช้เวลาในการส่งผ่านข้อมูลน้อยลง • ข้อเสีย • Software และ Technology ที่ใช้ในการควบคุมการกระจายมีความซับซ้อน และมีราคาสูง • หากข้อมูลถูกจัดเก็บไม่สอดคล้องกับเครื่องที่ต้องการใช้งาน จะส่งผลให้การค้นหาช้าลง

  13. การกระจายการประมวลผล(Distributed Processing) • เป็นการกระจายที่รวมเอาข้อดีของการกระจายฟังก์ชันงานและการกระจาย ข้อมูลเข้าด้วยกัน • ในระบบแบบกระจายการประมวลผลนี้ฟังก์ชันงานและข้อมูลที่สัมพันธ์กันจะได้รับการแยกไปอยู่ตามหน่วยประมวลผลต่าง ๆ ในระบบ • เพื่อให้หน่วยประมวลผลนั้น ๆ ใช้ในการประมวลผล โดยไม่ต้องพึ่งพาข้อมูลหรือฟังก์ชันงานจากคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางเลย

  14. การกระจายการประมวลผล(Distributed Processing) • ข้อดี • งานของระบบไม่ขึ้นต่อกัน (Independent) สามารถทำงานพร้อม ๆ กันได้ • เพิ่มความเร็วในการประมวลผล • ข้อเสีย • การทำงานของระบบจัดการฐานข้อมูลมีความซับซ้อนกันมาก • ต้องพิจารณาในการแบ่งแยกฟังก์ชันและข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน

  15. แนะนำระบบเครือข่าย จำแนกตามขนาดทางภูมิศาสตร์ • ระบบเครือข่าย LAN : Local Area Network การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายที่เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในพื้นที่ใกล้กัน เช่น การเชื่อมต่อในตึกเดียวกัน การเชื่อมต่อในมหาวิทยาลัย การเชื่อมต่อในหน่วยงานต่างๆ • ระบบเครือข่าย WAN : การเชื่อมต่อ Lanเข้าด้วยกันในกรณีที่ระยะทางในการเชื่อมต่อระหว่างวง Lanทั้งสองห่างกันมาก • ระบบเครือข่าย MAN : WAN ย่อมาจากคำว่า (Wide Area Network)-ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ เป็นระบบเน็ตเวิร์กที่มีการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ หรือติดตสื่อสารกันได้ทั่วทุกมุมโลก

  16. แนะนำระบบเครือข่ายจำแนกตามระดับความปลอดภัยของข้อมูลแนะนำระบบเครือข่ายจำแนกตามระดับความปลอดภัยของข้อมูล • อินเทอร์เน็ต(Internet) คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก หรือเครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย • อินทราเน็ต(Intranet) คือ ระบบเครือข่ายภายในองค์กร เป็นบริการ และการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหมือนกันอินเทอร์เน็ต แต่จะเปิดให้ใช้เฉพาะสมาชิกในองค์กรเท่านั้น เช่น อินทราเน็ตของธนาคารแต่ละแห่ง หรือระบบเครือข่ายมหาดไทย ที่เชื่อมศาลากลางทั่วประเทศ เป็นต้น • เอ็กทราเน็ต (Extranet) หรือ เครือข่ายภายนอกคือระบบเครือข่ายซึ่งเชื่อมเครือข่ายภายในองค์กร หรือ อินทราเน็ต (Intranet) เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายนอกองค์กร

  17. รูปแบบ Application ที่มีอยู่ในระบบเครือข่ายต่าง ๆ • LAN (Local Area Network) • ระบบ File Server • ระบบ Client Server • WAN (Wide Area Network) • ระบบ Web Based • ระบบ Web Service

  18. ระบบไฟล์เซิร์ฟเวอร์(File Server) • ลักษณะการประมวลผล : • เครื่อง Server : ทำหน้าที่ให้บริการข้อมูลและทรัพยากรให้เครื่อง Client เท่านั้น • เครื่อง Client : จะจัดการเกี่ยวกับการดำเนินการกับข้อมูลทุกอย่าง • ลักษณะการร้องขอข้อมูล เมืองเครื่อง Client ขอข้อมูลไป Server จะส่งไฟล์ข้อมูลทั้งไฟล์มาให้เครื่อง Client

  19. ระบบไฟล์เซิร์ฟเวอร์(File Server) ข้อดี • เครื่อง Server ไม่รับภาระหนักเพราะทำหน้าที่ขนถ่ายไฟล์ข้อมูลให้เครื่อง Client เท่านั้น ข้อเสีย • เครื่อง Client รับภาระหนัก กับการโปรเซสข้อมูล • ต้องใช้เครื่อง Client ที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถรัน Application ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว • เมื่อ Client ร้องขอข้อมูลไปยังเครื่อง Server จะมีการส่งไฟล์ทั้งไฟล์ไปยังเครื่อง Client ส่งผลให้การจราจรบนเครือข่ายหนาแน่นและทำงานช้าลง ในกรณีที่ Client มีจำนวนมาก

  20. ระบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์(Client Server) • เป็นรูปแบบที่นิยมมากในปัจจุบัน • Server จะทำหน้าที่จัดเก็บฐานข้อมูล ควบคุมการเข้าถึงข้อมูล ประมวลผลการร้องขอข้อมูล และควบคุมความถูกต้องของข้อมูล • Client จะทำหน้าที่จัดการการแสดงผล User Interface รวมถึงการแสดงผลข้อมูลบนจอภาพด้วย

  21. ระบบ Client/Server ร้องขอข้อมูลต่าง ๆ ส่งเฉพาะข้อมูลที่ Client ต้องการ Client Server • จากรูป • ผู้ใช้จะติดต่อสื่อสารกับ Application บนเครื่อง Client • Client จะแปลความต้องการของผู้ใช้เป็นภาษา SQL ที่ Server เข้าใจ • จากนั้นส่งคำสั่งไปยัง Server ซึ่งจะประมวลผลตามคำสั่งของ Client • แล้วส่งเฉพาะข้อมูลที่ Client ต้องการกลับไป

  22. ระบบ Client/Server • ข้อดี • ลดต้นทุนในการขยายระบบ เมื่อมีจำนวนผู้ใช้มากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในส่วนของ Server ซึ่งมีราคาสูง • ลดปริมาณข้อมูลที่ต้อการขนส่งลง เพราะ Server จะส่งกลับเฉพาะข้อมูลที่ Client ต้องการเท่านั้น • แอพพลิเคชั่นที่กระจายบน Client ต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่เกิดการซ้ำซ้อน • ข้อเสีย • เนื่องจากเครื่อง Server ต้องรองรับงานจากเครื่อง Client ทุก ๆ เครื่อง ดังนั้นเครื่อง Server จึงต้องทำงานหนัก

  23. ระบบWeb Based Application • Application จะถูกติดตั้งไว้บนหน้าเว็บเพจ ซึ่งสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลได้ (อาจสร้างด้วยภาษา PHP, ASP ,Java) • Application เหล่านี้ ถูกประมวลผลภายใน Web Server • โดยอาศัยข้อมูลที่อยู่ใน Web Database • การทำงานของ Web Server เริ่มจากการรับคำร้องขอใช้บริการจากเครือ่ง Client • จากนั้นนำข้อมูลคำร้องขอไปประมวลผลร่วมกับภาษาโปรแกรมที่เขียนขึ้น • เพื่อคัดเลือกข้อมูลตามความต้องการของ Client • แล้วนำข้อมูลที่ค้นหาได้ส่งกลับไปที่ Client

  24. ระบบWeb Based Application

  25. ระบบ Web BasedApplication • ข้อดี • ผู้ใช้สามารถเข้าถึงระบบงานขององค์กรผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ • ขอบเขตของผู้ใช้กว้างมากขึ้น • ข้อเสีย • จำเป็นต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม • ระบบ Web Based เป็นระบบที่รอการเรียกจากผู้ใช้ จึงทำให้ผู้ที่ไม่รู้จัก URL ขององค์กรไม่สามารถเข้าถึงหน้าเว็บขององค์กรได้

  26. ระบบ Web Service • เว็บเซอร์วิส (Web Service หรือ XML Web Service)Web Services คือ แอพพลิเคชัน หรือ โปรแกรมที่ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งในลักษณะให้บริการ (Service) ที่จะถูกเรียกใช้งานจากแอพลิเคชันอื่นๆ ในรูปแบบ RPC (Remote Procedure Call) หรือระบบสั่งงานระยะไกล • ทำให้ Web Application เข้าถึงข้อมูลที่ให้บริการโดย Application อื่นผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ โดยที่แต่ละ Application ไม่จำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมเหมือนกันก็ได้

  27. ทำความรู้จักกับ Tier Architecture • เป็นการแบ่งภาระการทำงานของ Application ออกเป็นระดับชั้น • แต่ละระดับชั้นจะมีการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน • การแบ่งหน้าที่การทำงานของ Application เป็นระดับชั้นจะพิจารณาจากความซับซ้อนของระบบและโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบ

  28. Tier Architecture แบ่งออกเป็น 4 ระดับชั้น ดังนี้ One-tier Architecture Two-tier Architecture Three-tier Architecture N-tier Architecture

  29. One-tier Architecture • Application ประมวลผลอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว (Stand Alone) • ไม่มีการแบ่งภาระการประมวลผลทั้งทางด้านข้อมูล (Data) และการนำเสนอ (Presentation) • ข้อดี • พัฒนา Application ที่ทำงานแบบ One-Tier นั้นทำได้ง่ายและเร็ว • ข้อเสีย • หากระบบขนาดใหญ่จะทำงานได้ช้า จึงไม่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

  30. Two-tier Architecture • มีการแบ่งภาระการทำงานของแอปพลิเคชั่นออกเป็น 2 ระดับชั้น • Application Layer • Data Layer Application Layer: อยู่ที่ฝั่ง Client หน้าที่ -Presentation Logic -Application Logic Data Layer : Database Server

  31. Two-tier Architecture • Application Layer ทำหน้าที่ดังนี้ • นำเสนอ (Presentation) ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ทางจอภาพ (GUI) • ทำหน้าที่ด้าน Application Logic คือ • ติดต่อกับฐานข้อมูลซึ่งอยู่ในระดับชั้น Data Layer เพื่อดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับจากผู้ใช้ • การติดต่อกับฐานข้อมูลใน Data Layer จะต้องอาศํย Driver ของฐานข้อมูล เช่น ODBC หรือ Middleware อื่นที่ให้บริการการติดต่อกับฐานข้อมูล • ควบคุมการทำงานของระบบให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางธุรกิจ (Business Rule: เงื่อนไขของโปรแกรมที่เขียนขึ้นสำหรับการทำงานต่าง ๆ )

  32. Two-tier Architecture • Data Layer • จะมีเครื่องแม่ข่าย (Server) ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลเรียกว่า Database Server • คอยรับคำร้องขอข้อมูลจากเครื่องลูกข่าย (Client) จาก Application Layer Server: ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลและคอยรับคำร้องขอข้อมูลจาก Client Client : ทุกเครื่องจะต้องติดตั้งโปรแกรมไว้ เพื่อทำหน้าที่ในการติดต่อกับผู้ใช้และติดต่อกับฐานข้อมูล

  33. ข้อดี & ข้อเสีย • ข้อดี • ลดภาระการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูล(Database Server) ใน Data Layer • เหมาะกับระบบงานขนาดกลางและไม่ซับซ้อน • ข้อเสีย • กรณีเป็นระบบขนาดใหญ่ จะทำให้ Client ทำงานหนักเกินไป • หาก Application มีการเปลี่ยนแปลง จะต้องเสียเวลาในการติดตั้งตัว Application เพิ่มเติม เนื่องจากต้องติดตั้งให้กับ Client ทุกเครื่อง

  34. Three-tier Architecture • แบ่งภาระการทำงานของแอปพลิเคชั่นออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้ • Presentation Layer • ทำหน้าที่นำเสนอหรือแสดงผล User Interface ติดต่อกับผู้ใช้ผ่านทางจอภาพคอมพิวเตอร์ที่เครื่อง Client • Business Rule Layer หรือ Middle Tier • ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานกับข้อมูลให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางธุรกิจ (เงื่อนไขของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น) • ติดต่อกับ Database Server • เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ในระดับนี้เรียกว่า Application Server • Data Layer • จัดเก็บและจัดการข้อมูลใน Database Server แล้วส่งข้อมูลคืนกลับไปให้กับ Business Rule Layer ทำงานต่อไป

  35. Three-tier Architecture Presentation Layer: Client: -Presentation Logic Business Rule Layer: Application Server: -Business Logic Data Layer: Database Server

  36. ข้อดี & ข้อเสีย • ข้อดี • หากมีการเปลี่ยนแปลงในบาง Layer จะส่งผลกระทบต่อ Layer อื่นน้อยมาก • สนับสนุนหลักการ Reusability ในบางส่วน เช่น Business Rule สามารถนำไปใช้ใหม่ได้ • คอมพิวเตอร์แต่ละตัวรับภาระน้อยลง ทำให้รองรับการทำงานในปริมาณมากๆ ได้ • ข้อเสีย • ออกแบบและพัฒนา Application ค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องผสมผสานเทคโนโลยีหลายอย่างให้สามารถทำงานร่วมกันได้

  37. N-tier Architecture • เป็นสถาปัตยกรรมที่มีมากกว่า 3 ระดับ โดยอาจจะเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น Application Server ในส่วนของ Application Layer ให้เป็น 2 เครื่องได้ • ตัวอย่างเช่น Web-based Application • แบ่งเป็นหลาย Layer • Web Browser (Client) ex. PC, PDA, Mobile • Application Layer (Web Server) • Business Logic Layer • Web Database Server

  38. N-tier Architecture Application Layer: Web Server -Presentation Logic Client / Web Browser: Business Rule Layer: Application Server / Web Server -Business Logic Data Layer: Web Database Server

  39. แบบฝึกหัด • จงอธิบายความหมายและความแตกต่างระหว่าง • ระบบ File Server • ระบบ Client Server • จงอธิบายความหมายของ • Two-tier Architecture • Three-tier Architecture

More Related