2.93k likes | 7.45k Views
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7. เอกภพ. เอกภพ. ระบบสุริยะ. ดาวฤกษ์. ดาวเคราะห์ ในระบบสุริยะ. เทคโนโลยีอวกาศ. กาแล็กซีและเอกภพ. ระบบสุริยะ. กำเนิดระบบสุริยะ. ดวงอาทิตย์และบริวารเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว
E N D
หน่วยการเรียนรู้ที่7 เอกภพ
เอกภพ • ระบบสุริยะ • ดาวฤกษ์ • ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ • เทคโนโลยีอวกาศ • กาแล็กซีและเอกภพ
กำเนิดระบบสุริยะ • ดวงอาทิตย์และบริวารเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว • มวลสารของแก๊สและมวลสารของกลุ่มธุลีในอวกาศรวมตัวกัน ทำให้เกิดดวงอาทิตย์และดาวบริวาร • ดวงอาทิตย์จะหมุนรอบตัวเอง ส่วนดาวบริวารจะหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์
วัตถุในระบบสุริยะ • ดวงอาทิตย์ (Sun) • เป็นดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ มีอายุประมาณ 5,000 ล้านปี • เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ • ประกอบด้วยแก๊สไฮโดรเจนที่อัดแน่นภายใต้แรงดึงดูดสูง • มีอุณหภูมิที่ผิวประมาณ 5,800 องศาเซลเซียส
ดาวเคราะห์ (Planet) • เป็นดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง • มีทั้งหมด 8 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน • ดาวเคราะห์น้อย (Asteroids) • เป็นดาวที่มีขนาดเล็ก ซึ่งในระบบสุริยะมีอยู่ประมาณ 50,000 ดวง • มีวงโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี • ดาวเคราะห์น้อยดวงแรกที่ถูกค้นพบชื่อว่า เซเรส
ดาวหาง (Comet) • เป็นกลุ่มมวลสารที่หลงเหลือจากการกำเนิดระบบสุริยะ • ประกอบด้วยแก๊สที่รวมตัวกันเป็นก้อนแข็ง น้ำ ฝุ่นธุลี และก้อนหินที่อยู่กันอย่างหลวมๆ ซึ่งไม่มีแสงในตัวเอง • การที่มองเห็นดาวหางมีแสงเนื่องจากดาวหางโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์
อุกกาบาต (Meteor) • เป็นสะเก็ดดาวหรือเศษชิ้นส่วนที่หลุดออกจากดวงดาว ซึ่งโคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ • เมื่อผ่านเข้ามาในบรรยากาศของโลกจะถูก แรงดึงดูดของโลกดึงดูดเข้ามาและเสียดสีกับบรรยากาศจนเกิดการลุกไหม้ • ดาวเคราะห์แคระ (Dwaf Planet) • เป็นวัตถุขนาดเล็กที่มีรูปร่างคล้ายทรงกลม แต่มีวงโคจรเป็นรูปวงรี ซึ่งซ้อนทับกับดาวเคราะห์ดวงอื่น ดาวพลูโต ดาวอีรีส ดาวเซเรส
ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ
ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ • ดาวเคราะห์วงใน คือ ดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ได้แก่ ดาวพุธ และดาวศุกร์ • ดาวเคราะห์วงนอก คือ ดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
โลก (Earth) โลกถือเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต • โลกกับดวงอาทิตย์ • โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง • การที่โลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้เกิดกลางวัน กลางคืน • โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลาประมาณ 365.24 วัน โดยโคจรในลักษณะที่แกนเอียง 23.5 องศา ซึ่งทำให้เกิดฤดูกาล
โลกกับดวงจันทร์ โลกมีดวงจันทร์เป็นบริวาร 1 ดวง โดยดวงจันทร์จะโคจรรอบโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ • ข้างขึ้นข้างแรม • เกิดจากดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองและโคจรรอบโลก ทำให้แต่ละคืนตำแหน่งของดวงจันทร์จะเปลี่ยนไป • ช่วงเวลาที่มองเห็นส่วนสว่างของดวงจันทร์ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า วันข้างขึ้น • วันที่เห็นส่วนสว่างของดวงจันทร์เต็มดวง เรียกว่า วันเพ็ญ • วันที่มองไม่เห็นส่วนสว่างของดวงจันทร์เลย เรียกว่า วันเดือนดับ
แนววงโคจรของดวงจันทร์และการเกิดข้างขึ้นข้างแรมแนววงโคจรของดวงจันทร์และการเกิดข้างขึ้นข้างแรม
น้ำขึ้นน้ำลง • เกิดจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างส่งแรงดึงดูดมายังโลก ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงตามริมทะเล
สุริยุปราคาหรือสุริยคราส • เกิดจากโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์เคลื่อนที่มาอยู่ในแนวเดียวกัน โดยดวงจันทร์อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ • ดวงจันทร์ไปบังแสงจากดวงอาทิตย์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นแสงอาทิตย์
จันทรุปราคาหรือจันทรคราสจันทรุปราคาหรือจันทรคราส • เกิดจากโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ เคลื่อนที่มาอยู่ในแนวเดียวกัน โดยโลกอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ • โลกไปบังแสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์จึงส่องไปไม่ถึงดวงจันทร์ ทำให้มองเห็นดวงจันทร์มืดลงชั่วขณะ
ดาวพุธ (Mercury) • เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด • ไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร • ไม่มีบรรยากาศปกคลุม • กลางวันอุณหภูมิสูงถึง 430 องศาเซลเซียส กลางคืนอุณหภูมิจะต่ำถึง -170 องศาเซลเซียส • ได้รับฉายาว่าเตาไฟแช่แข็ง ดาวศุกร์ (Venus) • เป็นดาวเคราะห์ที่มองเห็นสว่างที่สุดในท้องฟ้า • ไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร • ถ้าเห็นตอนหัวค่ำ เรียกว่า ดาวประจำเมือง ถ้าเห็นตอนเช้ามืด เรียกว่า ดาวประกายพรึก • มีฉายาว่าดาวเคราะห์ฝาแฝดของโลก
ดาวอังคาร (Mars) • เป็นดาวที่มีขนาดเล็กกว่าโลกประมาณครึ่งหนึ่ง • เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ จึงมีการส่งยานอวกาศไปสำรวจหลายครั้ง ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) • เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด จึงมีฉายาว่าดาวเคราะห์ยักษ์ • มีวงแหวนเช่นเดียวกับดาวเสาร์ • มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 63 ดวง • พื้นผิวเต็มไปด้วยแก๊สที่มีความหนาแน่นสูง
ดาวเสาร์ (Saturn) • มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากดาวพฤหัสบดี • มีดวงจันทร์เป็นบริวารอย่างน้อย 30 ดวง • ดวงจันทร์บริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ไททัน • เป็นดาวเคราะห์ที่สวยที่สุดเมื่อมองผ่านกล้องโทรทรรศน์ • มีวงแหวนล้อมรอบประมาณ 7 ชั้น และมีวงแหวนเล็กๆ ซ้อนกันอยู่จำนวนมาก
ดาวยูเรนัส (Uranus) • เป็นดาวเคราะห์แก๊สสีเขียวอ่อน • มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในระบบสุริยะ • มีวงแหวนบางๆ ล้อมรอบอย่างน้อย 9 วง • โคจรรอบดวงอาทิตย์โดยเอาขั้วนำไปก่อน จึงมองเห็นวงแหวนในแนวดิ่ง ดาวเนปจูน (Naptune) • มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ในระบบสุริยะ • แผ่พลังงานออกมามากกว่าได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ • พื้นผิวมีอุณหภูมิเย็นจัดถึง -200 องศาเซลเซียส
กาแล็กซี เป็นบริเวณที่ประกอบด้วยดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ บริวารของดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง อุกกาบาต รวมทั้งแก๊สและฝุ่นธุลีในอวกาศ • ชนิดของกาแล็กซี • หากใช้รูปร่างหรือลักษณะที่มองเห็นจากโลกเป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้ • กาแล็กซีกังหัน • กาแล็กซีกังหันแบบมีคาน • กาแล็กซีรูปไข่ • กาแล็กซีรูปร่างไม่แน่นอน
กาแล็กซีกังหัน: เมื่อมองจากด้านบน ตรงกลางจะมีขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวที่มีอายุมาก ส่วนดาวที่อยู่ตามแขนของกังหันเป็นดาวที่มีอายุน้อย กาแล็กซีกังหันแบบมีคาน: บริเวณตรงกลางมีลักษณะคล้ายคานและมีแขนต่อออกมาจากปลายคานทั้งสองข้าง มีการหมุนเร็วกว่ากาแล็กซีทุกประเภท
กาแล็กซีรูปไข่:มีรูปร่างขึ้นอยู่กับการหมุนของกาแล็กซี ถ้าหมุนช้าจะมีรูปร่างกลม แต่ถ้าหมุนเร็วจะมีรูปร่างยาวรี กาแล็กซีรูปร่างไม่แน่นอน: ส่วนใหญ่เป็นกาแล็กซีขนาดเล็ก
องค์ประกอบของกาแล็กซีองค์ประกอบของกาแล็กซี • กระจุกดาว:กลุ่มดาวฤกษ์ตั้งแต่สิบดวงขึ้นไปจนถึงหลายสิบล้านดวง • สสารระหว่างดาว: ประกอบด้วยแก๊ส ฝุ่นธุลี และชิ้นส่วนของสะเก็ดดาว • เนบิวลา: สิ่งที่ปรากฏเป็นเมฆ หมอก หรือฝุ่นธุลีที่อยู่คงที่ท่ามกลางดาวฤกษ์บนท้องฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ • - เนบิวลาสว่าง โดยแบ่งออกได้เป็นเนบิวลาสะท้อนแสง ซึ่งสะท้อนแสงสว่างที่ส่องมาจากดาวฤกษ์ และเนบิวลาเรืองแสง ซึ่งเปล่งแสงออกมาจากตัวเอง • - เนบิวลามืด เป็นกลุ่มแก๊สและฝุ่นธุลีจำนวนมากที่หนาทึบ
เอกภพ บริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีขอบเขตจำกัด ซึ่งประกอบด้วยกาแล็กซีหลายกาแล็กซีรวมกันอยู่เป็นระบบ กำเนิดเอกภพ ทฤษฎีบิกแบง (Big-Bang Theory) กล่าวว่า “ สรรพสิ่งทั้งมวลในเอกภพที่ปรากฏอยู่นี้ ครั้งหนึ่งเคยรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน และอัดตัวอยู่รวมกันแน่นด้วยพลังมหาศาล ต่อมา เอกภพเกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งมวลและ พลังงานมหาศาลถูกปล่อยออกมา แต่ความร้อน และพลังงานได้ดึงดูดกันไว้ ทำให้สารต่างๆ รวมตัวกันเกิดเป็นดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ กระจุกดาว กาแล็กซี และพลังงานต่างๆ”
การขยายตัวของเอกภพ กาแล็กซีแต่ละกาแล็กซีกำลังเคลื่อนตัว ออกห่างกันไปเรื่อยๆ ทุกทิศทาง โดย สามารถตรวจสอบได้จากการเปลี่ยนแปลง เส้นสเปกตรัมของแสงที่ได้รับที่บ่งบอกว่า กำลังเคลื่อนที่ออกไป ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็นว่า เอกภพมีการขยายตัวออกไปเรื่อยๆ
ดาวฤกษ์ • ดาวฤกษ์ คือ มวลของกลุ่มแก๊สร้อนรูปทรงกลมที่สามารถปล่อยพลังงานแสง ความร้อน และรังสีต่างๆ ออกมาได้ • พลังงานที่ปล่อยออกมาจากดาวฤกษ์ เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน • ดาวฤกษ์มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือไฮโดรเจน ฮีเลียม และธาตุโลหะ ที่อยู่ในสภาพแก๊ส
วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ • เริ่มจากมวลสารระหว่างดวงดาวมารวมกันแล้วเกิดแรงอัดตัวกันกลายเป็นดาวฤกษ์ • ดวงอาทิตย์ คือ ดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันมีสีเหลืองแต่ต่อไปเมื่อใกล้หมดอายุจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีแดง เรียกว่า ดาวยักษ์แดง หลังจากนั้นจะค่อยๆ หดตัว จนมีขนาดเล็กลงและมีสีขาว เรียกว่า ดาวแคระขาว ดาวยักษ์แดง ดาวแคระขาว กลุ่มแก๊สและฝุ่นธุลี ที่รวมเป็นดาวฤกษ์ การแตกดับ จุดเริ่มต้น
อุณหภูมิและสีของดาวฤกษ์อุณหภูมิและสีของดาวฤกษ์ • สีของดาวฤกษ์สามารถบอกถึงอุณหภูมิของดาวแต่ละดวง และยังบอกถึงอายุของดาวฤกษ์ได้ • ดาวฤกษ์ที่มีอายุน้อยจะมีอุณหภูมิสูง และมีสีน้ำเงิน ส่วนดาวฤกษ์ที่มีอายุมากจะมีอุณหภูมิต่ำและมีสีแดง
กลุ่มดาวฤกษ์ เป็นกลุ่มดาวประจำที่ ซึ่งมีระยะห่างกันคงที่เสมอ ทำให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆ ตามที่ ผู้มองจินตนาการ • กลุ่มดาว 12 ราศี • กลุ่มดาวฤกษ์ 12 กลุ่ม ที่ปรากฏอยู่ตามเส้นแถบสุริยวิถี กลางท้องฟ้าที่พาดผ่านจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกไปถึงขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก • วิธีการสังเกต คือ ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับจากขอบฟ้า กลุ่มดาว 12 ราศี จะปรากฏบริเวณใกล้ๆ กับที่ดวงอาทิตย์ตก
กลุ่มดาว 12 ราศีในแต่ละเดือน
กลุ่มดาว 12 ราศีในแต่ละเดือน
กลุ่มดาว 12 ราศีในแต่ละเดือน
กลุ่มดาวฤดูกาลต่างๆ • กลุ่มดาวฤดูหนาว: กลุ่มดาวนายพราน กลุ่มดาววัว กลุ่มดาวลูกไก่ • กลุ่มดาวฤดูร้อน: กลุ่มดาวหมีใหญ่หรือกลุ่มดาวจระเข้ กลุ่มดาวกางเขนใต้ กลุ่มดาวสิงโต กลุ่มดาวคนยิงธนู กลุ่มดาวหญิงพรหมจารี • กลุ่มดาวฤดูฝน: กลุ่มดาวหงส์ กลุ่มดาวพิณ กลุ่มดาวเฮอร์คิวลิส กลุ่มดาวแมงป่อง กลุ่มดาวนายพราน
แผนที่ดาว แผนที่แสดงตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้าที่โคจร รอบโลก มีลักษณะเป็นทรงกลม ซึ่งกำหนดให้ตัวผู้ดู เป็นศูนย์กลางของท้องฟ้าเสมอ • การทำแผนที่ดาว จะต้องทราบสิ่งต่างๆ ดังนี้ • ทิศบนท้องฟ้า: ดวงอาทิตย์และดวงดาวขึ้นทางทิศตะวันออกและลับขอบฟ้าทาง ทิศตะวันตก • เส้นขอบฟ้า: เส้นวงกลมบนพื้นโลกที่จรดกับขอบฟ้าล้อมรอบตัวเรา • เส้นเมอริเดียนท้องฟ้า:เส้นที่แบ่งครึ่งท้องฟ้าออกเป็นสองส่วน คือ ซีกโลกตะวันออกและตะวันตก • เส้นศูนย์สูตรท้องฟ้า: อยู่ในระนาบเดียวกับเส้นศูนย์สูตรของโลก • จุดยอดท้องฟ้า: จุดสูงสุดบนท้องฟ้าซึ่งจะอยู่เหนือศีรษะพอดี
ตำแหน่งและเส้นต่างๆ ที่ควรทราบในการทำแผนที่ดาว
การอ่านแผนที่ดาว แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วยกแผนที่ดาวขึ้นเหนือศีรษะ ตั้งทิศแผนที่ดาวและทิศจริงให้ตรงกัน จะทำให้เห็นดาวบนฟ้าตรงกับแผนที่ดาว
การใช้ประโยชน์จากดาวฤกษ์การใช้ประโยชน์จากดาวฤกษ์ • การหาทิศ • ดาวที่นิยมใช้ในการหาทิศ คือ ดาวเหนือ ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวหมีเล็ก • หากต้องการหาทิศใต้ อาจใช้กลุ่มดาวกางเขนใต้ • การบอกเวลา • กลุ่มดาวหมีใหญ่เป็นกลุ่มดาวที่นิยมใช้บอกเวลา ซึ่งคนไทยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลุ่มดาวจระเข้ • เวลา 24.00 น. กลุ่มดาวจระเข้จะอยู่กลางท้องฟ้า โดยส่วนหัวจะชี้ไปทางทิศเหนือ และเวลาใกล้สว่างส่วนหัวจะค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก
เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีอวกาศ หมายถึง การนำความรู้ เครื่องมือ และวิธีการต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ มาปรับใช้กับการศึกษาทางดาราศาสตร์ และอวกาศ ตลอดจนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้ สอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติ และการดำรงชีวิตของมนุษย์
การเดินทางสู่อวกาศ การเดินทางสู่อวกาศจำเป็นต้องศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ • แรงโน้มถ่วงของโลก • เป็นแรงที่ดึงดูดต่อวัตถุทั้งหมดบนโลกไม่ให้หลุดลอยออกไปนอกโลก • การส่งยานอวกาศหรือดาวเทียมจากโลกสู่อวกาศ จะต้องอาศัยแรงขับมหาศาล และความเร็วสูงมากๆ • ความเร็วที่ทำให้ยานอวกาศเคลื่อนที่หลุดจากแรงโน้มถ่วงของโลก เรียกว่า ความเร็วหลุดพ้น
แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา การส่งยานอวกาศหรือดาวเทียมขึ้นไปต้องอาศัยกฎการเคลื่อนที่ข้อที่ 3 ของนิวตัน ซึ่งกล่าวว่า ทุกแรงกิริยาก็ย่อมมีแรงปฏิกิริยาที่มีขนาดเท่ากันกระทำในทิศตรงกันข้ามเสมอ วงโคจรของดาวเทียม ดาวเทียมที่โคจรรอบโลกได้เนื่องจาก ความเร็วของดาวเทียมที่โคจรรอบโลก สมดุลกับแรงโน้มถ่วงของโลก
ความก้าวหน้าของการสำรวจอวกาศความก้าวหน้าของการสำรวจอวกาศ • ยุคก่อนอวกาศ • พ.ศ. 2152 กาลิเลโอประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ตัวแรกขึ้น • พ.ศ. 2474 มีการใช้คลื่นวิทยุสำรวจดวงดาวที่เรียกว่า วิทยุดาราศาสตร์ และในเวลาต่อมามีการสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุ • การสำรวจวัตถุบนท้องฟ้าในอดีตทำได้เพียงการใช้กล้องโทรทรรศน์ และกล้องโทรทรรศน์วิทยุเท่านั้น
ยุคอวกาศ • มีการประดิษฐ์ยานอวกาศเพื่อส่งไปสำรวจอวกาศ • สหภาพโซเวียตส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นสู่อวกาศชื่อ สปุตนิก 1 • มีการจัดตั้งโครงการสำรวจอวกาศ โดยทั้งสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และ อีกหลายประเทศได้ส่งดาวเทียมและยานอวกาศขึ้นไปโคจรรอบโลก • มีการส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวเคราะห์ต่างๆ และมีการจัดตั้งสถานีอวกาศเพื่อเป็นสถานีทดลองทางวิทยาศาสตร์บนอวกาศ
เทคโนโลยีสำรวจอวกาศ ดาวเทียม เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ส่งไปโคจรรอบโลก โดยอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลกและวงโคจรของดาวเทียม ซึ่งดาวเทียมมีประโยชน์ต่อมนุษย์หลายด้าน • ด้านการสื่อสาร • ใช้ดาวเทียมเป็นสถานีรับส่งคลื่นวิทยุเพื่อการสื่อสาร และโทรคมนาคม • ใช้ติดต่อสื่อสารทั้งในและต่างประเทศ
ด้านการพยากรณ์อากาศ • ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาส่งสัญญาณภาพถ่ายทางอากาศมาสู่พื้นดิน ซึ่งเป็นข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยา • ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาดวงแรกที่ส่งขึ้นไปโคจรรอบโลก คือ ดาวเทียมไทรอส-1 ดาวเทียมไทรอส-1 • ด้านการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ • ใช้ประโยชน์จากดาวเทียมในด้านป่าไม้ การเกษตร การใช้ที่ดิน อุทกวิทยา ธรณีวิทยา สิ่งแวดล้อม และการทำแผนที่ • ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ ที่สำคัญ ได้แก่ ดาวเทียมแลนด์แซทดาวเทียมสปอต ดาวเทียมมอส-1 ดาวเทียมธีออส
ด้านการสำรวจสมุทรศาสตร์ด้านการสำรวจสมุทรศาสตร์ • ใช้ดาวเทียมสำรวจสมุทรศาสตร์ทำการบันทึกข้อมูลในช่วงคลื่นไมโครเวฟ • ดาวเทียมสำรวจสมุทรศาสตร์ที่ถูกส่งไปโคจรรอบโลก เช่น ดาวเทียมซีแซท ดาวเทียมเรดาร์แซท ดาวเทียมมอส-1 ดาวเทียมธีออส
ยานอวกาศ ยานพาหนะที่มีเครื่องยนต์ หรือสิ่งอื่นที่ใช้บังคับยานอวกาศให้เคลื่อนที่ไป หรือกลับสู่พื้นโลก หรือจอดบนพื้นผิวดาวเคราะห์ที่ต้องการสำรวจ • จรวด • สิ่งประดิษฐ์ที่ใช้เป็นอาวุธและใช้ในการส่งยานอวกาศหรือดาวเทียมขึ้นจากพื้นโลก • จรวดที่ใช้ส่งยานอวกาศหรือดาวเทียมจะมีหลายท่อนโดยแต่ละท่อนจะบรรจุเชื้อเพลิงได้