1 / 65

ราคา ผลผลิต และการแข่งขัน

ราคา ผลผลิต และการแข่งขัน. โครงสร้างการตลาด (Market Structure) ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์สามารถเกิดขึ้นได้เสมอในทุกหนทุกแห่ง ถ้ามีอุปสงค์ และอุปทานต่อสินค้า ก็ย่อมมีตลาดเกิดขึ้นในทุกสถานที่ ถ้าจัดประเภทของตลาดตามการแข่งขันจะแบ่งตลาดออกได้เป็น 4 ประเภท คือ 1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Market)

genera
Download Presentation

ราคา ผลผลิต และการแข่งขัน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ราคา ผลผลิต และการแข่งขัน โครงสร้างการตลาด (Market Structure) ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์สามารถเกิดขึ้นได้เสมอในทุกหนทุกแห่ง ถ้ามีอุปสงค์ และอุปทานต่อสินค้า ก็ย่อมมีตลาดเกิดขึ้นในทุกสถานที่ ถ้าจัดประเภทของตลาดตามการแข่งขันจะแบ่งตลาดออกได้เป็น 4 ประเภท คือ 1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Market) 2. ตลาดผูกขาดสมบูรณ์ (Pure Monopoly) 3. ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition) 4. ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly)

  2. ตลาดทั้ง 4 ประเภทนี้ อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. ตลาดสมบูรณ์ (Perfect Market) ได้แก่ ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ 2. ตลาดไม่สมบูรณ์ (Imperfect Market) ได้แก่ตลาดผูกขาดสมบูรณ์ ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด และตลาดผู้ขายน้อยราย

  3. 1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Competition) เป็นรูปแบบตลาดที่มีการแข่งขันในอุดมคติของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capitalism) กำหนดให้การแข่งขันในตลาดขึ้นกับกลไกตลาดเสรี ได้แก่ กลไกของอุปสงค์และอุปทานในตลาด ลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์มีดังนี้ 1. มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก (very large numbers of firms in the industry) 2. สินค้าเหมือนกันทุกอย่าง ( identical products) สินค้าที่มีลักษณะเหมือนกัน ทุกอย่างเรียกว่า “Homogeneous product” 3. ผู้ขายแต่ละรายไม่สามารถมีอิทธิพลต่อราคาได้ (price taker) 4. ผู้ขายเข้า-ออก จากอุตสาหกรรมโดยเสรี (freedom of entry and exit) 5. ผู้ซื้อและผู้ขายต่างรู้สภาพของตลาดสินค้าอย่างดี (perfect knowledge of the market)

  4. กลไกราคาของตลาดแข่งขันสมบูรณ์- เส้นอุปสงค์ มีลักษณะขนานกับแกนนอน แสดงให้เห็นว่า ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์นั้น ผู้ซื้อและผู้ขายแต่ละรายไม่มีอิทธิพลเหนือราคาสินค้า ราคาสินค้ากำหนดโดยกลไกราคา ที่มาจากดุลยภาพของอุปสงค์และอุปทานอย่างแท้จริง เส้นอุปสงค์ที่ขนานกับแกนนอนหมายถึง เมื่อใดที่บริษัท ก ขายผ้าไหมของตนในราคาสูงกว่า Po จะขายไม่ได้เลย และบริษัท ก ก็ไม่มีความจำเป็นต้องขายผ้าไหมในราคาที่ต่ำกว่า Po เพราะขายได้หมดอยู่แล้วในราคา Po

  5. ความหมายของรายรับทั้งหมด(TR), รายรับเฉลี่ยต่อหน่วย (AR) และรายรับหน่วยสุดท้าย (MR)1. รายรับทั้งหมด (Total Revenue, TR)คือ จำนวนเงินที่ผู้ขายได้รับทั้งหมดจากการขายสินค้า ก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ TR = PxQ ; P คือ ราคาสินค้าต่อหน่วยQ คือ ปริมาณสินค้าที่ขายได้ทั้งหมด2. รายรับเฉลี่ยต่อหน่วย (Average Revenue, AR) เนื่องจากการขายสินค้าในแต่ละหน่วยจะขายได้ในราคาเดียวกันดังนั้น รายรับเฉลี่ยต่อหน่วยจึงมีค่าเท่ากับราคานั้น AR = TR/Q ซึ่งในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ = P

  6. 3. รายรับหน่วยสุดท้าย (Marginal Revenue : MR)คือ รายรับที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีการขายสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 1 หน่วย ผู้ผลิตแต่ละรายจะขายสินค้าแต่ละหน่วยได้เพิ่มขึ้นในราคาที่เป็นอยู่ในตลาด รายรับที่เพิ่มขึ้นเมื่อขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นแต่ละหน่วยจึงเท่ากับราคาของสินค้านั้นMR =  TR = P = AR  Q

  7. การคำนวณรายรับ (Revenue) ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ตัวเลขสมมติของบริษัท ก ขายผ้าไหมไทย (หน่วย: บาท)

  8. จากตารางข้างต้น จะเห็นได้ว่า ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ เส้นอุปสงค์ มีราคาขายราคาเดียว (P) รายรับเฉลี่ยต่อหน่วย (AR) และเส้นรายรับหน่วยสุดท้าย (MR) ล้วนมีค่าเท่ากับ 300 ทั้ง 3 เส้น จึงเป็นเส้นเดียวกัน ราคา D = AR=MR=P 300 ปริมาณlสินค้า

  9. ดุลยภาพของหน่วยผลิตในระยะสั้น (The Firm’s Short-run Equilibrium Output) ดุลยภาพของหน่วยผลิตในระยะสั้น เป็นการศึกษาถึงปริมาณการผลิตของหน่วยผลิตว่าควรจะผลิต ณ จุดใด จึงจะได้กำไรสูงสุด เนื่องจากในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ หน่วยผลิตมีหน้าที่ยอมรับราคาที่กำหนดในตลาด การปรับตัวต่อความเคลื่อนไหวของตลาด หน่วยผลิตจะทำได้โดยการปรับปริมาณสินค้าที่เสนอขายอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้น หน่วยผลิตจะมองว่า ณ ระดับราคาหนึ่ง ๆ หน่วยผลิตควรผลิต สินค้าจำนวนเท่าไร จึงจะได้รับประโยชน์มากที่สุด และอะไรเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า หน่วยผลิตได้มาถึงดุลยภาพในระยะสั้นเรียบร้อยแล้ว

  10. ดุลยภาพระยะสั้นของหน่วยผลิต พิจารณาออกได้เป็น 3 กรณี1. กำไรสูงสุด(Profit-maximizing Case) ในสภาวะการณ์ปกติ โดยแยกเป็น กำไรเกินปกติ และกำไรปกติ2.ขาดทุนน้อยที่สุด(Loss-minimizing Case) ถ้าสถานการณ์ทางธุรกิจอยู่ในภาวะเลวร้าย3. กรณีล้มเลิกกิจการ(Close-down Case) ดุลยภาพระยะสั้นจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ณ จุดใดธุรกิจควรจะล้มเลิกกิจการ

  11. ราคา, ต้นทุน และรายได้ MC ATC AVC P1 MR1 P2 MR2 P3 MR3 MR4 P4 E คือ จุด Shutdown Price AFC จำนวนผลผลิต กราฟแสดงดุลยภาพของหน่วยผลิตในระยะสั้น

  12. 1. กรณีได้กำไรสูงสุด 1.1 กำไรเกินปกติ ดุลยภาพระยะสั้นของหน่วยผลิตในตลาดทุกประเภท กำหนดที่จุด MC = MR แต่เนื่องจากในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ค่า MR = P ดังนั้นดุลยภาพระยะสั้นของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ คือ MC = P ในกรณีที่จุดตัดของเส้น MC กับ P อยู่สูงกว่า ATC หน่วยผลิตจะได้กำไรสูงสุด P = MC P >ATC

  13. 1.2 กรณีได้กำไรปกติ ดุลยภาพของหน่วยผลิตจะเปลี่ยนแปลงไป ถ้าราคาสินค้าลดลง หรือต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ราคาสินค้าลดลงเท่ากับต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วย (P=ATC) ณ จุดดุลยภาพของการผลิต หมายความว่า หน่วยผลิตอยู่ในดุลยภาพที่ได้รับกำไรปกติ (normal profit)

  14. 2. กรณีขาดทุนน้อยที่สุด ถ้าราคาสินค้าลดลงต่ำกว่าเส้น ATC หน่วยผลิตจะประสบกับการขาดทุน แต่เป็นการขาดทุนในต้นทุนคงที่ ดังนั้นนักเศรษฐศาสตร์ยังคงแนะนำให้ผลิตต่อไป ตราบใดที่ราคายังคงอยู่สูงกว่าต้นทุนผันแปรเฉลี่ย ( ATC>P>AVC) แสดงว่ารายรับที่ได้รับยังสามารถชดเชยต้นทุนคงที่ได้บางส่วน โดยยังคงผลิตที่จุด P=MC

  15. 3. กรณีล้มเลิกกิจการ ถ้าราคาสินค้าในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งต่ำกว่าเส้น AVC หมายถึง รายรับรวมที่ได้น้อยกว่าต้นทุนผันแปรเฉลี่ยธุรกิจควรจะเลิกกิจการ P<AVC Out of business

  16. เส้นอุปทานของหน่วยผลิตในตลาดแข่งขันสมบูรณ์เส้นอุปทานของหน่วยผลิตในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ เส้นอุปทานของหน่วยผลิตในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ก็คือเส้น MC (เส้นต้นทุนหน่วยสุดท้าย) โดยเริ่มต้นที่จุดตัดระหว่างเส้น MC กับเส้น AVC ขึ้นไปตามเส้น MC โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างราคา กับปริมาณคือ เมื่อราคาสูงขึ้น ธุรกิจก็มีความต้องการเสนอขายเพิ่มขึ้น และเมื่อรวมเส้น supply ของแต่ละธุรกิจ ก็จะเป็นเส้น supply ของอุตสาหกรรม

  17. ดุลยภาพของหน่วยผลิตในระยะยาวดุลยภาพของหน่วยผลิตในระยะยาว หัวใจสำคัญของการผลิตในระยะยาวภายใต้ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ คือ การเข้า-ออกของหน่วยธุรกิจในอุตสาหกรรม (Entry & Exit) โดยมีกำไรเกินปกติเป็นสิ่งจูงใจให้หน่วยผลิตนอกอุตสาหกรรมเข้ามาดำเนินกิจการแข่งขันกันมากขึ้น เมื่อมีการผลิตสินค้ากันมากขึ้นทำให้เส้น Supply เคลื่อนย้ายออกไปทางขวา ราคาดุลยภาพในตลาดจะลดต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง ต่ำกว่า ATC และหน่วยผลิตบางส่วนก็จะเริ่มมองหาหนทางใหม่ในการผลิต จะเกิดการย้ายออกจากอุตสาหกรรมในบางส่วน ทำให้เส้น Supply เคลื่อนมาทางซ้าย และเกิดดุลยภาพใหม่ในตลาด โดยที่ในระยะยาวดุลยภาพจะเกิดที่ P= ATC ซึ่งเป็นจุดที่หน่วยผลิตจะได้รับกำไรปกติ (normal profit) เท่านั้น

  18. กราฟแสดงดุลยภาพของหน่วยผลิตในระยะยาวกราฟแสดงดุลยภาพของหน่วยผลิตในระยะยาว LMC ราคา, ต้นทุน, รายได้ SAC1 SAC4 LAC SAC2 SAC3 MR, LMR จำนวนผลผลิต

  19. ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (Imperfect Markets)ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ เป็นตลาดที่ขาดลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์อย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่ง นั่นคือ 1. มีผู้ขายจำนวนไม่มาก เนื่องมาจากมีการกีดกันทางการค้า 2. สินค้าทั่วไปมีลักษณะไม่เหมือนกันทุกประการ (Heterogeneous Products) เช่น เครื่องหมายการค้า และการโฆษณา 3. ความรู้ในเรื่องความเคลื่อนไหวของตลาดไม่สมบูรณ์ 4. การเข้าหรือออกจากอุตสาหกรรมในความเป็นจริงทำได้ยาก

  20. ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม 1. ตลาดที่มีผู้ขายคนเดียว (Monopoly) หรือตลาดผูกขาดสมบูรณ์ 2. ตลาดผู้ขายมาก (Monopolistic Competition) หรือตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด 3. ตลาดผู้ขายน้อย (Oligopoly)

  21. ตลาดผู้ขายคนเดียว (Pure Monopoly) มีลักษณะดังนี้ 1. มีผู้ขายคนเดียว (Single seller) หมายถึง ในอุตสาหกรรมนี้มีผู้ผูกขาดรายเดียว 2. สินค้าที่ผลิตทดแทนกันไม่ได้ (no close substitute) 3. ผู้ขายเป็นผู้กำหนดราคา 4. สามารถยับยั้งไม่ให้มีผู้ขายรายใหม่ เข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรมของตนเป็นอันขาด (blocked entry)

  22. เนื่องจากผู้ผูกขาดเป็นเพียงผู้เดียวที่ผลิตสินค้าออกจำหน่าย เส้นอุปสงค์ที่ผู้ซื้อมีต่อผู้ผูกขาด จึงเป็นเส้นเดียวกับเส้นอุปสงค์ที่ผู้ซื้อมีต่ออุตสาหกรรม ลักษณะของเส้นอุปสงค์ จะลาดลงจากซ้ายมาขวา เพราะถึงแม้ผู้ผูกขาดจะมีอิทธิพลในการกำหนดราคาสินค้าในตลาดได้ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมปริมาณการซื้อของผู้บริโภคได้ ปริมาณขาย(ปริมาณซื้อของผู้บริโภค) จะเป็นเท่าใดจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์ที่เป็นอยู่ แต่ผู้ผูกขาดจะกำหนดปริมาณขายก็ได้ ถ้าปล่อยให้ราคาเป็นไปตามสภาพอุปสงค์ที่เป็นอยู่ ผู้ผูกขาดจะต้องเลือกที่จะกำหนดราคา หรือปริมาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จะไม่สามารถกำหนดทั้งราคาและปริมาณขายพร้อมๆ กันได้ เส้นอุปสงค์ และรายรับหน่วยสุดท้ายในตลาดผูกขาดเส้นอุปสงค์ในตลาดผูกขาด

  23. ความสัมพันธ์ของราคา (P) รายรับรวม(TR) รายรับเฉลี่ย (AR) และรายรับหน่วยสุดท้าย(MR) ในตลาดผูกขาด

  24. เส้นรายรับหน่วยสุดท้ายของผู้ผูกขาดเส้นรายรับหน่วยสุดท้ายของผู้ผูกขาด เส้นอุปสงค์หรือเส้น AR ของผู้ผูกขาดเป็นเส้นที่ลาดลงจากซ้ายมาขวา จะมีผลทำให้รายรับหน่วยสุดท้ายไม่ใช่เส้นเดียวกับเส้นอุปสงค์ เนื่องจากในตลาดผูกขาดการขายสินค้าเพิ่มขึ้นของผู้ผูกขาดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ผูกขาดลดราคาสินค้าให้ต่ำลง และการลดราคาให้ต่ำลงจะเกิดขึ้นกับทุกๆ หน่วยของสินค้าที่ขาย ไม่ใช่เฉพาะหน่วยที่ขายเพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังนั้น รายรับที่เพิ่มขึ้นเมื่อขายสินค้าเพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วย (MR) ของผู้ผูกขาด จึงเท่ากับรายรับของสินค้าหน่วยนั้น (ซึ่งเท่ากับ P) หักด้วยส่วนของรายรับที่ลดลงของสินค้าหน่วยก่อนๆ ที่เคยขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาในขณะนี้ ดังนั้น MR จึงมีค่าต่ำกว่า P ดังรูป

  25. เส้น AR และ MR ในตลาดผูกขาด รายรับ เส้นอุปสงค์ต่อสินค้าของหน่วยผลิต คือเส้นอุปสงค์ต่อสินค้าของอุตสาหกรรมนั่นเอง และค่ารายรับหน่วยสุดท้าย (MR) ที่ได้รับเมื่อขายสินค้าได้มากขึ้น จะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาสินค้า (P>MR) ในการที่ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมผูกขาดต้องลดราคาเพื่อเพิ่มปริมาณการขายให้มากขึ้น ทำให้รายรับส่วนที่เพิ่มขึ้น คือ MR มีมูลค่าต่ำกว่าราคา ส่วนราคาและรายรับเฉลี่ยต่อหน่วย (AR) มีค่าเท่ากัน D = AR MR ปริมาณสินค้า

  26. ดุลยภาพระยะสั้นของผู้ผูกขาดสมบูรณ์ดุลยภาพระยะสั้นของผู้ผูกขาดสมบูรณ์ ราคา,ต้นทุน AC MC A P B C MR D=AR O Q ปริมาณสินค้า

  27. ดุลยภาพระยะสั้นของผู้ผูกขาดคนเดียวมีหลักในการพิจารณาดังนี้ให้การผลิตอยู่ที่จุด MC = MR ดุลยภาพระยะสั้น คือจุดการผลิตที่ทำให้ได้กำไรเกินปกติ (super normal profit) จากรูป ดุลยภาพการผลิตของผู้ผูกขาดจะอยู่ที่ปริมาณสินค้า Q หน่วย ซึ่งเป็นจุดที่ MR = MC ราคาขายคือ OP มูลค่ากำไรเกินปกติคือ พื้นที่ PABC เพราะว่ารายรับทั้งหมดคือพื้นที่ PAQO และต้นทุนทั้งหมด คือ CBQO หักลบกันได้กำไรเกินปกติคือ พื้นที่ PABCดังนั้นจึงเห็นได้ว่า กิจการที่ผูกขาดมีผู้ขายรายเดียว ไม่ได้มีความสามารถขึ้นราคาได้ตามใจชอบอย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไป เพราะมีข้อจำกัดมากมายนั่นเอง

  28. การวิเคราะห์ตลาดผูกขาดในระยะยาวการวิเคราะห์ตลาดผูกขาดในระยะยาว สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างตลาดผูกขาด และตลาดแข่งขันสมบูรณ์ในระยะยาวก็คือ เรื่องของการเข้ามาของหน่วยธุรกิจใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม เพราะการเข้ามาของธุรกิจใหม่ๆ จะถูกขัดขวางด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าในระยะยาวผู้ผูกขาดจะยังคงนโยบายการผลิตไว้ตามเดิม ในระยะยาวผู้ผูกขาดมีโอกาสปรับขนาดการผลิตและขนาดของโรงงานที่ใช้ให้เหมาะสมได้ตามที่ต้องการ คือจะเปลี่ยนจากการผลิตที่จุด SMC = MR มาอยู่ที่จุด LMC = MRและในขณะเดียวกัน ผู้ผูกขาดก็จะเลือกใช้โรงงานที่ให้ต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำสุด สำหรับปริมาณการผลิตดังกล่าว

  29. กราฟแสดงดุลยภาพของหน่วยผลิตในระยะยาวกราฟแสดงดุลยภาพของหน่วยผลิตในระยะยาว LMC ราคา, ต้นทุน, รายได้ SMC1 SAC1 SMC2 SAC4 LAC SAC2 SMC3 SAC3 MR, LMR จำนวนผลผลิต

  30. ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด(Monopolistic Competition)เป็นตลาดที่มีสภาพคล้ายคลึงกับความเป็นจริงมาก ลักษณะของตลาดมีดังนี้1. มีผู้ขายจำนวนมาก2.สินค้าแตกต่างกันเล็กน้อยแต่ทดแทนกันได้ ความแตกต่างของสินค้าอาจเกิดจากตัวสินค้าเองหรือการบรรจุหีบห่อ หรือการโฆษณา3. มีการเข้า-ออกจากตลาดได้อย่างเสรี4.ผู้ขายแต่ละคนไม่มีอิทธิพลต่อระดับราคาสินค้า

  31. ลักษณะเส้นอุปสงค์ เส้นรายรับเฉลี่ย และเส้นรายรับหน่วยสุดท้าย - เส้นอุปสงค์ ลาดลงจากซ้ายไปขวาเป็นการบ่งบอกว่าสินค้าของผู้ผลิตแต่ละรายมีอำนาจผูกขาดในสินค้าของตนเองได้บ้างหรืออีกนัยหนึ่งคือ การทดแทนกันของสินค้าทดแทนกันได้แต่ไม่สมบูรณ์ และเส้นอุปสงค์เป็นเส้นเดียวกับเส้นรายรับเฉลี่ย (โดยทั่วไปเส้นอุป-สงค์ในตลาดนี้เป็นเส้นที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าเส้นอุปสงค์ในตลาดผูกขาด แต่มียืดหยุ่นน้อยกว่าเส้นอุปสงค์ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์

  32. รายรับ, ต้นทุน ATC MC P ATC D MR Q ปริมาณสินค้า

  33. - เส้น รายรับหน่วยสุดท้าย (MR) หาได้ในทำนองเดียวกับเส้น MRในตลาดผูกขาดทุกประการ ***ตลาดชนิดนี้นิยมการโฆษณาและการส่งเสริมการขาย เพื่อเพิ่มอุปสงค์ เพราะถ้า ประสบผลสำเร็จ อุปสงค์จะเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องลดราคา (เส้นอุปสงค์จะ Shift ขึ้นไป ทางขวามือ จะทำให้ได้กำไรมากขึ้น หรือขาดทุนน้อยลง ถึงแม้การโฆษณาจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น เส้น Supply จะ Shift ซ้ายจาก So เป็น S1 แต่ถ้าการโฆษณาทำให้เส้นDemand Shift จาก Do เป็น D1 จากกราฟ จะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจาก Po เป็น P1

  34. ราคา S P2 P1 D1 Do Q0 Q1 ปริมาณ

  35. ดุลยภาพระยะสั้นในตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาดมีหลักในการพิจารณา ดังนี้ จุดผลิตที่ดีที่สุด อยู่ที่ MC=MRและการพิจารณากำไรจะพิจารณาต้นทุนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย1. กำไร - กำไรเกินปกติ -กำไรปกติ2. ขาดทุนน้อยที่สุด3. การยกเลิกกิจการ

  36. ดุลยภาพในระยะยาวในระยะยาวผู้ผลิตในตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาดจะได้รับกำไรปกติ ณ ระดับการผลิตที่ LMC =MR(แต่ในทางปฏิบัติผู้ขายในตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด อาจได้กำไรเกินปกติได้แม้เวลาผ่านไปนานๆ ถ้าผู้ผลิตสร้างให้บริษัทมีชื่อเสียงติดตลาดเป็นเวลายาวนาน)

  37. ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) มีผู้ขายประมาณ 3-4 บริษัท ที่ครอบครองสัดส่วนการขายในตลาด สาเหตุที่ทำให้เกิดตลาดผู้ขายน้อยราย 1. การประหยัดจากขนาด 2. การกีดกันทางการค้า ทำให้ผู้ผลิตรายใหม่เข้าสู่ตลาดไม่ได้ 3. การควบกิจการ ผู้ผลิตแต่ละรายมีความสัมพันธ์กัน การตัดสินใจของผู้ผลิตรายหนึ่งจะกระทบต่อรายอื่นๆ เสมอ

  38. ลักษณะของตลาดผู้ขายน้อยรายที่ปรากฎออกมาจะมี 2 ลักษณะ คือ1. มีกลยุทธ์ทางการตลาดต่อกัน (Interrivalry) ตลาดผู้ขายน้อยรายจึงมีความผันผวนในเรื่องของ ราคา ปริมาณ และผลกำไร2. มีความร่วมมือกัน(Incentive to Form) เพื่อลดความผันผวนทางด้านราคา ปริมาณการผลิต และกำไร หน่วยธุรกิจในตลาดจึงร่วมมือกัน โดย 2.1 Cartel คือ การรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ เช่น OPEC, สมาคมธนาคารไทย 2.2 Collusion คือ การรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการ หรือเรียกว่า การฮั้วกัน

  39. บัญชีประชาชาติ(NATIONAL ACCOUNT) บัญชีประชาชาติ ก็คือ บัญชีของชาติ ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับ 1) มูลค่าสินค้าและบริการที่ประชาชนทุกคนช่วยกันผลิตในรอบปีที่ผ่านมา เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ประชาชาติ (national product) 2. รายได้ที่ประชาชนทุกคนได้รับในรอบปีที่ผ่านมา เรียกว่า รายได้ประชาชาติ (national income) 3 รายจ่ายที่ประชาชนทุกคนได้จ่ายออกไปในรอบปีที่ผ่านมา เรียกว่า รายจ่ายประชาชาติ (national expenditure)

  40. บัญชีประชาชาติ มีด้วยกัน 8 แบบ ดังนี้1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GrossDomestic Product, GDP) คือ มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นได้ใหม่ด้วยปัจจัยการผลิตที่อยู่ภายในประเทศ สินค้าและบริการใดก็ตามที่ผลิตขึ้นภายในประเทศใด ก็นับเป็นผลผลิตภายในประเทศนั้น โดยไม่คำนึงว่าทรัพยากรที่นำมาผลิตสินค้านั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของชนชาติใด พลเมืองของประเทศนั้นหรือชาวต่างชาติ2. ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product : GNP) หมายถึง มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดที่ผลิตขึ้นใหม่ ด้วยปัจจัยการผลิตที่ถือกรรมสิทธ์โดยประชาชนของประเทศนั้น ภายในระยะเวลา 1 ปี เช่น GNP ของประเทศไทย ก็คือ สินค้าและบริการทุกชนิดที่ผลิตขึ้นโดยประชาชนไทยและทรัพยากรของประชาชนไทย ทั้งที่ผลิตขึ้นภายในและภายนอกประเทศ คูณด้วย ราคาของสินค้าและบริการนั้น( ซึ่งเป็นราคาตลาด)

  41. ** ชาวต่างชาติที่นำปัจจัยการผลิต (ได้แก่ ผู้ประกอบการ เงินทุน และแรงงาน ผลตอบแทนได้แก่ กำไร ดอกเบี้ย และเงินเดือน) เข้ามาตั้งโรงงานผลิตสินค้าในประเทศไทย หรือมีกรรมสิทธ์ในปัจจัยการผลิตในไทย ผลผลิตที่ได้จะไม่รวมอยู่ใน GNP ของไทย (แต่รวมอยู่ใน GDP ของไทย) ในทางตรงข้ามคนไทยนำปัจจัยการผลิตที่ตนเป็นเจ้าของออกไปผลิตสินค้าในต่างประเทศ หรือมีกรรมสิทธ์ในปัจจัยการผลิตในต่างประเทศ ผลผลิตที่ได้จะรวมอยู่ใน GNP ของประเทศไทยฉะนั้น GNP จะเท่ากับ GDP ก็ต่อเมื่อไม่มีการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตระหว่างประเทศ แต่ถ้ามีการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตระหว่างประเทศแล้ว ส่วนต่างระหว่าง GDP กับ GNP จะเท่ากับส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนปัจจัยการผลิตของไทยในต่างประเทศ และผลตอบแทนปัจจัยการผลิตของชาวต่างชาติในไทย ซึ่งเรียกว่า รายได้สุทธิของปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศ (net factor income from abroad) เขียนเป็นสมการได้ดังนี้GNP = GDP+ รายได้สุทธิของปัจจัยการผลิตต่างประเทศ

  42. 3. ผลิตภัณฑ์ในประเทศสุทธิ (NDP) คือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หักด้วยค่าเสื่อมราคา (depreciation or capital consumption allowance) NDP = GDP - Depreciation4. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติสุทธิ(Net National Product , NNP) คือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหักด้วย ค่าเสื่อมราคา (depreciation or capital consumption allowance) NNP = GNP - Depreciationการหา NNP เป็นแนวคิดทางเชิงทฤษฎี เนื่องจากการหาค่าเสื่อมราคาที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงของระบบเศรษฐกิจทั้งหมดทำได้ยาก นักเศรษฐศาสตร์จึงนิยมใช้ GNP และ GDP มากกว่า NNP และ NDP เพราะถือว่าในแง่สถิติ GNP และ GDP มีความถูกต้องมากกว่า

  43. 5. รายได้ประชาชาติ (National Income, NI) หมายถึง รายได้ที่เกิดขึ้นจริงจากการผลิต NI และ NNP มีความหมายใกล้เคียงกันมาก กล่าวคือผลิตภัณฑ์ประชาชาติสุทธิ (NNP) เป็นการพิจารณารายได้ตามราคาตลาด (NNP at market prices)ส่วนรายได้ประชาชาติ (NI) เป็นการพิจารณารายได้ตามราคาปัจจัยการผลิต (NNP at factor costs)(* ราคาปัจจัยการผลิต (factor costs ) หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้ปัจจัยการผลิต ได้แก่ ค่าจ้าง ค่าเช่า ดอกเบี้ย และกำไร ส่วนราคาตลาด (market prices) เป็นราคาปัจจัยการผลิตบวกด้วยภาษีทางอ้อมธุรกิจ (indirect business tax) ) NI = NNP –ภาษีทางอ้อมธุรกิจ (กรณีไม่มีการเก็บภาษีทางอ้อมธุรกิจ NI = NNP)

  44. 6. รายได้ส่วนบุคคล(Personal Income , PI) คือ รายได้ทั้งหมดก่อนหักภาษี แตกต่างจากรายได้ประชาชาติ (NI) คือ รายได้ประชาชาติเป็นสิ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นรายได้ส่วนบุคคลทั้งหมด เพราะแม้รายได้จะเกิดขึ้นแล้วก็ตาม แต่ถ้าหน่วยผลิตไม่จ่ายรายได้ส่วนนั้นให้แก่ครัวเรือน ก็ไม่ถือเป็นรายได้ส่วนบุคคล ได้แก่ ภาษีประกันสังคม ภาษีเงินได้บริษัท เงินกำไรที่ยังไม่ได้นำมาจัดสรร เหล่านี้จึงไม่ถือเป็นรายได้ส่วนบุคคล นอกจากนี้ รายได้ส่วนบุคคลยังรวมรายได้ที่รับมาเปล่าๆ เช่น เงินโอนต่างๆ (เงินโอนต่างๆ ได้แก่ เงินโอนรัฐบาล เช่น เงินสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เงินบำเหน็จบำนาญ เงินประกันสังคม เป็นต้น เงินโอนเอกชน เช่น เงินบริจาคการกุศล เงินถูกลอตเตอรี่ การได้รับมรดก การชนะการพนัน เป็นต้น) 7. รายได้ส่วนบุคคลสุทธิ(Disposable Personal Income , DPI) หรือ รายได้พึงใช้จ่ายได้ คือ รายได้ของบุคคลที่สามาถนำไปใช้จ่ายได้ เป็นรายได้ที่แสดงถึงอำนาจซื้อ (Purchasing power) ที่แท้จริงของประชาชนที่สามารถใช้จ่ายหรือเก็บออมได้ รายได้ส่วนบุคคลสุทธิ (DPI) = รายได้ส่วนบุคคล (PI) –ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

  45. 8. รายได้เฉลี่ยต่อบุคคล (per capita income) รายได้เฉลี่ยต่อบุคคล คำนวณจากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ(GNP) หรือรายได้ประชาชาติ (NI) หรือรายได้ส่วนบุคคล (PI) หารด้วยจำนวนประชากร รายได้เฉลี่ยต่อบุคคล = ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ปีที่ nจำนวนประชากรปีที่ n

  46. วิธีคำนวณบัญชีประชาชาติ มี 3 วิธี คือ 1. คำนวณในด้านการผลิต 2. คำนวณในด้านรายจ่าย 3. คำนวณในด้านรายได้ โดยกองบัญชีประชาชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีหน้าที่จัดทำสถิติต่างๆ ตามระบบบัญชีประชาชาติ เริ่มตั้งแต่ปี 2493 เป็นต้นมา

  47. 1. การคำนวณด้านผลผลิต วิธีนี้ได้แก่ การหาผลรวมมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ประเทศผลิตขึ้นได้ในระยะเวลา 1 ปี การหามูลค่าผลผลิตแบ่งออกเป็น 2 วิธีย่อย คือ1) คิดเฉพาะมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย(final goods and services) รวมทั้งส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือด้วย ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย2) คิดแบบมูลค่าเพิ่ม(Value added methed) วิธีนี้คิดขึ้นมาเพื่อขจัดปัญหาการนับซ้ำ (double counting) การคำนวณตามวิธีมูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายจะเกิดปัญหาการนับซ้ำได้ง่าย เพราะอาจมีการนำมูลค่าของสินค้าขั้นกลาง(intermediate goods) รวมไว้ในรายได้ประชาชาติด้วย ทำให้มูลค่าของผลผลิตสูงกว่าความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้การคำนวณในด้านผลผลิต นักเศรษฐศาสตร์จึงนิยมใช้วิธีรวมมูลค่าเพิ่ม

  48. การคำนวณรายได้โดยวิธีรวมมูลค่าเพิ่มการคำนวณรายได้โดยวิธีรวมมูลค่าเพิ่ม

  49. 2. วิธีการคำนวณด้านรายจ่าย วิธีนี้คำนวณจากรายจ่ายทั้งสิ้นที่นำมาซื้อสินค้าและบริการของระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งแยกออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) รายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน (C) 2) รายจ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชนและรัฐบาล (I) 3) รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการภาครัฐบาล (G) 4) การส่งออกสุทธิ (X-M) การคำนวณรายได้ประชาชาติทางด้านรายจ่ายนี้มีค่าเท่ากับผลรวมของการใช้จ่ายของบุคคลทั้ง 4 กลุ่ม ซึ่งเขียนออกมาเป็นสมการได้ดังนี้ รายได้ประชาชาติ = C + I + G + (X-M)

More Related