1 / 28

การสืบพยานล่วงหน้า

การสืบพยานล่วงหน้า. หัวข้อบรรยาย. 1. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีแพ่ง (ป.วิ.พ.มาตรา 101, 101/1 และ 101/2) 2. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีอาญา (ก่อนฟ้องคดีตาม ป.วิ.อ มาตรา 237 ทวิ) 3. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีอาญา (หลังฟ้องคดีต่อศาลแล้วตาม ป.วิ.อ มาตรา 55/1 และ มาตรา 173/2)

gloria
Download Presentation

การสืบพยานล่วงหน้า

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การสืบพยานล่วงหน้า

  2. หัวข้อบรรยาย 1. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีแพ่ง (ป.วิ.พ.มาตรา 101, 101/1 และ 101/2) 2. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีอาญา (ก่อนฟ้องคดีตาม ป.วิ.อ มาตรา 237 ทวิ) 3. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีอาญา (หลังฟ้องคดีต่อศาลแล้วตาม ป.วิ.อ มาตรา 55/1 และ มาตรา 173/2) 4. การสืบพยานล่วงหน้ากรณีพยานผู้เชี่ยวชาญและพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ (มาตรา 237 ตรี)

  3. 1. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีแพ่ง (ป.วิ.พ.มาตรา 101) กรณีที่ 1 ยังไม่มีการฟ้องคดีต่อศาล เกรงว่าพยานที่จะต้องอ้างอิงภายหน้า จะสูญหาย / ยากแก่การนำมาสืบ กรณีที่ 2 มีการฟ้องคดีแล้ว 1) พยานจะสูญหายเสียก่อนที่จะนำมาสืบ 2) เป็นการยากที่จะนำมาสืบภายหลัง

  4. วิธีการ ทำเป็นคำร้องสองฝ่าย 1. ถ้าเป็นกรณีที่ยังไม่มีการฟ้องคดีต่อศาล  ศาลจะหมายเรียกผู้ขอมาสอบถาม 2. ถ้าเป็นกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลแล้ว  ศาลก็จะเรียกคู่ความ หรือ บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องมาสอบถาม

  5. ข้อสังเกต (1) หากศาลอนุญาตให้ฝ่ายใดสืบพยานล่วงหน้าแล้ว ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลแล้ว คู่ความฝ่ายตรงข้ามมีสิทธิที่จะซักค้านพยานเช่นนั้นได้เช่นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามปกติทุกประการ  แต่ถ้ายังไม่มีการฟ้องคดี ศาลก็อาจใช้ดุลพินิจถามพยานเพิ่มเติมเพื่อให้คำเบิกความสมบูรณ์และกระจ่างชัดได้ (2) กรณีที่ยังไม่มีการฟ้องคดีผู้ที่จะนำพยานมาสืบล่วงหน้ามีสิทธิที่จะแต่งทนายว่าคดีแทนได้ เพราะถือว่าการสืบพยานล่วงหน้าเป็นกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่ง

  6. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีแพ่งโดยขอให้ศาลสั่งให้ยึดหรือให้ส่งเอกสารหรือวัตถุที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานต่อศาลที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานที่ขอสืบไว้ก่อนได้ “มาตรา 101/1 ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินซึ่งจำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานใดเป็นการเร่งด่วนและไม่สามารถแจ้งให้คู่ความฝ่ายอื่นทราบก่อนได้ เมื่อมีการยื่นคำขอตามมาตรา 101 พร้อมกับคำฟ้องหรือคำให้การหรือภายหลังจากนั้น คู่ความฝ่ายที่ขอจะยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องรวมไปด้วยเพื่อให้ศาลมีคำสั่งโดยไม่ชักช้าก็ได้ และถ้าจำเป็นจะขอให้ศาลมีคำสั่งให้ยึดหรือให้ส่งต่อศาลซึ่งเอกสารหรือวัตถุที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานที่ขอสืบไว้ก่อนด้วยก็ได้

  7. คำร้องตามวรรคหนึ่งต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงที่แสดงว่ามีเหตุฉุกเฉินซึ่งจำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานใดโดยเร่งด่วนและไม่สามารถแจ้งให้คู่ความฝ่ายอื่นทราบก่อนได้ รวมทั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการที่มิได้มีการสืบพยานหลักฐานดังกล่าว ส่วนในกรณีที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งให้ยึดหรือให้ส่งต่อศาลซึ่งเอกสารหรือวัตถุที่จะใช้เป็นพยานหลักฐาน คำร้องนั้นต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงที่แสดงถึงความจำเป็นที่จะต้องยึดหรือให้ส่งเอกสารหรือวัตถุนั้นว่ามีอยู่อย่างไร ในการนี้ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำร้องนั้น เว้นแต่จะเป็นที่พอใจของศาลจากการไต่สวนว่ามีเหตุฉุกเฉินและมีความจำเป็นตามคำร้องนั้นจริง แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิคู่ความฝ่ายอื่นที่จะขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานดังกล่าวมาศาลเพื่อถามค้านและดำเนินการตามมาตรา 117 ในภายหลัง หากไม่อาจดำเนินการดังกล่าวได้ ศาลต้องใช้ความระมัดระวังในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน”

  8. โดยมีบทบัญญัติในเรื่องการวางประกันความเสียหายเนื่องจากการยึดหรือให้ส่งเอกสารหรือวัตถุไว้ในมาตรา 101/2 ดังนี้ “ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้ยึดหรือให้ส่งเอกสารหรือวัตถุที่จะใช้เป็นพยานหลักฐาน ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขอย่างใดตามที่เห็นสมควร และจะสั่งด้วยว่าให้ผู้ขอนำเงินหรือหาประกันตามจำนวนที่เห็นสมควรมาวางศาลเพื่อการชำระค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่บุคคลใด เนื่องจากศาลได้มีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่ามีเหตุจำเป็นโดยความผิดหรือเลินเล่อของผู้ขอก็ได้ ให้นำความในมาตรา 261 มาตรา 262 มาตรา 263 มาตรา 267 มาตรา 268 และมาตรา 269 มาใช้บังคับแก่กรณีตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม และในกรณีที่ทรัพย์ซึ่งศาลสั่งยึดนั้นเป็นของบุคคลที่สาม ให้บุคคลที่สามมีสิทธิเสมือนเป็นจำเลยในคดี และเมื่อหมดความจำเป็นที่จะใช้เอกสารหรือวัตถุนั้นเป็นพยานหลักฐานต่อไปแล้ว เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อผู้มีสิทธิจะได้รับคืนร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคืนเอกสารหรือวัตถุนั้นแก่ผู้ขอ”

  9. 2. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีอาญา(ก่อนฟ้องคดีตาม ป.วิ.อ มาตรา 237 ทวิ) หลักการ 1. ก่อนฟ้องคดีต่อศาลมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า 1.1 พยานบุคคลซึ่งจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร 1.2 พยานบุคคลไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง 1.3 พยานบุคคลเป็นบุคคลที่ถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี 1.4 จะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรง หรือ ทางอ้อม 1.5 มีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า

  10. 2. พนักงานอัยการต้องเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีการสืบพยานนั้นไว้ทันที โดยพนักงานอัยการเอง  โดยได้รับการร้องขอจากผู้เสียหาย  โดยได้รับการร้องขอจากพนักงานสอบสวน 3. ถ้ารู้ตัวผู้กระทำผิดและผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ให้นำตัวหรือเบิกตัวผู้นั้นมาศาล ข้อสังเกต ดู ฎ.2980/2547 แม้ผู้ต้องหาจะไม่ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวอยู่ ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานบุคคลล่วงหน้าตาม ป.วิ.อ.มาตรา 237 ทวิได้

  11. 4. คำร้องของพนักงานอัยการจะต้องระบุถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิด 5. ผู้ต้องหาจะซักค้าน หรือตั้งทนายความซักค้านพยานนั้นได้ 6. มาตรา 237 ทวิ ให้สิทธิผู้ต้องหาที่จะขอสืบพยานบุคคลได้ล่วงหน้าเช่นกัน แต่ในทางปฏิบัติไม่ค่อยมีการร้องขอเช่นนี้

  12. 7. ถึงแม้ว่ามาตรา 237 ทวิ จะให้สิทธิในการสืบพยานบุคคลเท่านั้น แต่ในการนำสืบพยานบุคคลนั้นย่อมนำสืบรับรองพยานเอกสารและพยานวัตถุและอ้างส่งพยานเอกสารและพยานวัตถุได้ แต่จะส่งพยานเอกสารและพยานวัตถุโดยไม่มีการนำสืบพยานบุคคลไม่ได้ 8. คำพยานนั้นรับฟังได้เมื่อผู้ต้องหาถูกฟ้องเป็นจำเลยในภายหลัง การฟ้องคดีนั้นต้องเป็นการฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยในการกระทำความผิดอาญานั้นเท่านั้น ถ้าไปฟ้องในความผิดฐานอื่นก็ไม่เข้าองค์ประกอบตามบทบัญญัตินี้

  13. ข้อสังเกต การรับฟังการสืบพยานบุคคลไว้ล่วงหน้านี้ เป็นข้อยกเว้นของหลักที่ว่า การพิจารณาคดีนั้นต้องทำต่อหน้าจำเลย และคำพยานนั้นจะต้องอ่านให้พยานฟังต่อหน้าจำเลย เมื่อกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 237 ทวิ ศาลก็ต้องรับฟังคำพยานเช่นนี้

  14. อย่างไรก็ตาม คำพยานดังกล่าวจะมีน้ำหนักเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ศาลต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักคำพยานนั้นจากการตอบคำถามของพยาน ถ้าคำพยานนั้นมีน้ำหนักให้เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิด และจำเลยนำสืบหักล้างคำพยานนี้ไม่ได้ ศาลก็ต้องพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์

  15. ฎ.9412/2539 ป.วิ.อ.มาตรา 237 ทวิ ที่ให้ศาลซักถามพยานนั้น ต้องเป็นกรณีที่ผู้ต้องหาต้องการทนายความและศาลเห็นว่าไม่สามารถตั้งทนายความได้ทัน เมื่อจำเลยไม่ต้องการทนายความ หากแม้ศาลจะมิได้ซักถามพยานนั้นให้แทนจำเลย การสืบพยานก็ชอบ และรับฟังคำเบิกความของพยานในการพิจารณาคดีเมื่อจำเลยถูกฟ้องได้

  16. ฎ. 757/2545ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ เป็นเรื่องของการสืบพยานผู้เสียหายไว้ก่อนเพราะจะต้องเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรอันเป็นการยากแก่การนำมาสืบ ซึ่งอยู่ในหมวด 2 พยานบุคคล การสืบพยานผู้เสียหายดังกล่าวจึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 172 วรรคสอง เพราะมิใช่การพิจารณาหลังฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าจำเลยกระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู่อย่างไร

  17. ส่วนการสืบพยานผู้เสียหายก่อนฟ้องคดี แม้จะมีการพิมพ์ข้อความแทรกระหว่างบรรทัดในรายงานกระบวนพิจารณาว่า “ก่อนสืบพยานได้สอบถามผู้ต้องหาแล้วแถลงว่าไม่ต้องการทนายความ” แต่จำเลยมิได้ยืนยันว่าศาลชั้นต้นมิได้ถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ แต่กลับบอกว่าจำไม่ได้ว่าศาลถามหรือไม่ จึงต้องฟังว่าศาลชั้นต้นได้ถามจำเลยในเรื่องทนายความแล้ว การสืบพยานผู้เสียหายก่อนฟ้องคดีต่อศาลจึงเป็นไปโดยชอบ

  18. ฎ. 2980/2547 ก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุดังที่ระบุไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคแรก พนักงานอัยการย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งสืบพยานนั้นไว้ทันทีก็ได้ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นกรณีที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่หรือไม่ ประกอบกับ ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคสี่ ก็ให้ศาลสามารถมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานและอ่านคำเบิกความของพยานให้พยานนั้นฟังได้ แม้ผู้ต้องหาจะไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัวอยู่

  19. ฎ.3541-3542/2550 ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้พนักงานอัยการมีสิทธิขอให้สืบพยานไว้ก่อนฟ้องคดีต่อศาล การสืบพยานดังกล่าวจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 172 วรรคสอง คดีนี้ปรากฏว่าในวันนัดสืบพยานปากผู้เสียหายก่อนฟ้องคดีต่อศาล พนักงานอัยการได้แจ้งวันนัดสืบพยานให้จำเลยที่ 3 ทราบแล้ว แต่จำเลยที่ 3ไม่มาศาลและไม่แต่งตั้งทนายความ แสดงว่าจำเลยที่3 ไม่ติดใจจะถามค้านผู้เสียหาย การสืบพยานผู้เสียหายก่อนฟ้องคดีต่อศาลจึงชอบด้วยกฎหมาย 19

  20. 3. การสืบพยานล่วงหน้าในคดีอาญา(หลังฟ้องคดีต่อศาลแล้ว) มาตรา 237 ทวิ เป็นเรื่องการสืบพยานล่วงหน้าก่อนฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งเดิมถ้าต้องการสืบพยานล่วงหน้าหลังจากฟ้องคดีต่อศาลแล้ว น่าจะดำเนินการตาม ป.วิ.พ.มาตรา 101 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ชัดเจน จึงได้มีการเพิ่มเติมบทบัญญัติให้มีการสืบพยานล่วงหน้าได้หลังจากฟ้องคดีต่อศาลแล้วเมื่อมีกรณีเกิดขึ้นตาม ป.วิ.อ มาตรา 55/1 และมาตรา 173/2 จึงต้องถือว่าไม่อาจนำ ป.วิ.พ มาตรา 101 มาใช้ได้อีกแล้ว

  21. 1. การสืบพยานล่วงหน้าตาม ป.วิ.อ.มาตรา 55/1 “ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าศาลมีคำสั่งให้ออกหมายเรียกพยานโจทก์โดยมิได้กำหนดวิธีการส่งไว้ ให้พนักงานอัยการมีหน้าที่ดำเนินการให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่เป็นผู้จัดส่งหมายเรียกแก่พยานและติดตามพยานโจทก์มาศาลตามกำหนดนัดแล้วแจ้งผลการส่งหมายเรียกไปยังศาลและพนักงานอัยการโดยเร็ว หากปรากฏว่าพยานโจทก์มีเหตุขัดข้องไม่อาจมาศาลได้หรือเกรงว่าจะเป็นการยากที่จะนำพยานนั้นมาสืบตามที่ศาลนัดไว้ ก็ให้พนักงานอัยการขอให้ศาลสืบพยานนั้นไว้ล่วงหน้าตามมาตรา 173/2 วรรคสอง”

  22. หลักการ การสืบพยานล่วงหน้าตามมาตรา 55/1 พนักงานอัยการโจทก์อาศัยเหตุ 2 ประการ คือ (1) พยานโจทก์ (พยานบุคคล) มีเหตุขัดข้องไม่อาจมาสืบพยานตามกำหนดฟ้องของศาลได้ หรือ (2) เป็นการยากที่จะนำพยานโจทก์มาสืบพยานตามกำหนดนัดของศาล

  23. ข้อพิจารณาและข้อสังเกตข้อพิจารณาและข้อสังเกต 1. การสืบพยานล่วงหน้าตามมาตรา 55/1 ใช้เฉพาะกับพนักงานอัยการโจทก์เท่านั้น กรณีที่ศาลเห็นสมควรก็ดี ราษฎรเป็นโจทก์ก็ดี จำเลยก็ดี อาจขอสืบพยานหลักฐานไว้ล่วงหน้าได้ตามมาตรา 173/2 วรรคสอง

  24. 2. การสืบพยานล่วงหน้าตามมาตรานี้ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดดังเช่นมาตรา 237 ทวิ ดังนั้น จึงน่าจะถือว่าเป็นกรณีสืบพยานตามปกติเพียงแต่ร่นเวลามาสืบเร็วขึ้น จึงต้องปฏิบัติตามวิธีการสืบพยานในกรณีปกติทุกประการ เช่น ต้องสืบพยานต่อหน้าจำเลย เว้นแต่จะเข้าด้วยข้อยกเว้น ดังนั้น จึงไม่น่าจะนำ ฎ.2980/2547 มาใช้บังคับโดยอนุโลมได้

  25. 2. การสืบพยานล่วงหน้าตาม ป.วิ.อ.มาตรา 173/2 วรรคสอง “ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดร้องขอ ศาลจะมีคำสั่งให้สืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดีไว้ล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดวันนัดสืบพยานก็ได้”

  26. หลักการ 1. การสืบพยานหลักฐานล่วงหน้าตามมาตรา 173/2 วรรคสองกว้างขวางมากเพราะรวมไปถึงพยานหลักฐานทุกประเภท 2. คู่ความทุกฝ่ายมีสิทธิขอและศาลมีดุลพินิจในการสั่งให้สืบพยานหลักฐานล่วงหน้า 3. เงื่อนไขสำคัญที่จะมีการสืบพยานหลักฐานล่วงหน้าตามมาตรา 173/2 วรรคสอง คือ คดีนั้นต้องมีการตรวจพยานหลักฐาน โดยศาลกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐานตามมาตรา 173/2

  27. ข้อพิจารณาและข้อสังเกตข้อพิจารณาและข้อสังเกต การสืบพยานหลักฐานล่วงหน้าตามมาตรานี้ เป็นกรณีเดียวกับการสืบพยานล่วงหน้าตามมาตรา 55/1 ดังนั้นน่าจะถือว่าเป็นกรณีสืบพยานตามปกติเพียงแต่ร่นเวลามาสืบเร็วขึ้น จึงต้องปฏิบัติตามวิธีการสืบพยานหลักฐานในกรณีปกติทุกประการ เช่น ต้องสืบพยานต่อหน้าจำเลย เว้นแต่เข้าด้วยข้อยกเว้น ดังนั้น ไม่น่าจะนำ ฎ.2980/2547 มาใช้บังคับโดยอนุโลมได้

  28. การสืบพยานล่วงหน้ากรณีพยานผู้เชี่ยวชาญและพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์การสืบพยานล่วงหน้ากรณีพยานผู้เชี่ยวชาญและพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ มาตรา 237 ตรี “ให้นำความในมาตรา 237 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กรณีการสืบพยานผู้เชี่ยวชาญ และพยานหลักฐานอื่น และแก่กรณีที่ได้มีการฟ้องคดีไว้แล้วแต่มีเหตุจำเป็นที่ต้องสืบพยานหลักฐานไว้ก่อนถึงกำหนดเวลาสืบพยานตามปกติตามมาตรา 173/2 วรรคสองด้วย ในกรณีที่พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงอันสำคัญในคดีได้ หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากมีการเนิ่นช้ากว่าจะนำพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อันสำคัญมาสืบในภายหน้าพยานหลักฐานนั้นจะสูญเสียไปหรือเป็นการยากแก่การตรวจพิสูจน์ ผู้ต้องหาหรือพนักงานอัยการโดยตนเองหรือเมื่อได้รับคำร้องจากพนักงานสอบสวนหรือผู้เสียหาย จะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ตามความในมาตรา 244/1 ไว้ก่อนฟ้องก็ได้ ทั้งนี้ ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 237 ทวิมาใช้บังคับโดยอนุโลม”

More Related