1 / 54

กรด -เบส

กรด -เบส. กรด – เบส. กรด - เบส คืออะไร กรด เบส ในชีวิตประจำวัน ( Acid Base in Everyday Life)

Download Presentation

กรด -เบส

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. กรด-เบส

  2. กรด – เบส กรด - เบส คืออะไร กรด เบส ในชีวิตประจำวัน ( Acid Base in Everyday Life) สารประกอบจำพวกกรด เบส มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างมาก ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า กรด เบส คืออะไรอย่างง่ายๆสารละลายกรด คือสารละลายที่มีรสเปรี้ยว เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากน้ำเงินเป็นแดง หรือทำปฏิกิริยากับโลหะได้ แก๊ส H 2 และ เกลือสารละลายเบส คือสารละลายที่มีรสขม เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากแดงเป็นน้ำเงิน หรือมีลักษณะลื่นๆ

  3. สารละลายกรด - เบสสมบัติของสารละลายกรด - เบส     สารละลายกรด (Acid) หมายถึง สารประกอบที่มีธาตุไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ เมื่อละลายน้ำสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H+) สารละลายเบส (Base) หมายถึง สารประกอบที่ละลายน้ำแล้วแตกตัวให้ไฮดรอกไซด์ไอออน (OH-) สมบัติของสารละลายกรด     สารละลายกรดมีสมบัติทั่วไป ดังนี้     1.  กรดทุกชนิดจะมีรสเปรี้ยว กรดชนิดใดมีรสเปรี้ยวมากแสดงว่ามีความเป็นกรดมาก เช่น กรดแอซีติกที่เข้มข้นมากจะมีรสเปรี้ยวจัด เมื่อนำมาทำน้ำส้มสายชูจะใช้กรดแอซีติกที่มีความเข้มข้นเพียง 5% โดยมวลต่อปริมาตร (กรดแอซีติก 5 กรัม ละลายในน้ำ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร) เพื่อให้มีรสเปรี้ยวน้อยพอเหมาะกับการปรุงอาหาร     2.  เปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสจากสีน้ำเงินเป็นสีแดง สำหรับกระดาษลิตมัสเป็นอินดิเคเตอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้ทดสอบความเป็นกรดเป็นเบส

  4.  3.  กรดทำปฏิกิริกับโลหะบางชนิด เช่น ทองแดง สังกะสี แมกนีเซียม ดีบุก และอลูมิเนียม ได้แก๊สไฮโดรเจน (H2) เมื่อนำแผ่นสังกะสีจุ่มลงไปในสารละลายกรดเกลือ จะเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ฟองแก๊สไฮโดรเจนผุดขึ้นมาจากสารละลายกรดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ง่าย และเนื่องจากแก๊สไฮโดรเจนเป็นแก๊สที่เบากว่าอากาศ จึงมีผู้นำปฏิกิริยาดังกล่าวมาใช้เตรียมแก๊สไฮโดรเจน     นอกจากนี้กรดจะทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด เช่น ทองคำ ทองคำขาว เงิน ปรอท ได้ช้ามากหรืออาจไม่เกิดปฏิกิริยา

  5.   4.  กรดทำปฏิกิริยากับเบสได้เกลือและน้ำ เช่น กรดเกลือทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮดรอกไซด์ซึ่งเป็นเบส ได้เกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกง ทำปฏิกิริยารหว่างกรดและเบสที่พอดีจะเรียกว่า ปฏิกิริยาสะเทิน  5.  กรดสามารถเกิดปฏิกิริยากับหินปูนซึ่งเป็นสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต ทำให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเราสามารถทดสอบแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นผ่านแก๊สเข้าไปในน้ำปูนใส (สารละลายของแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในน้ำ) ซึ่งจะทำให้น้ำปูนใสขุ่นทันที เนื่องจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในน้ำปูนใสได้แคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำ

  6. 6.  สารละลายกรดทุกชนิดนำไฟฟ้าได้ดี เพราะกรดสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H+)7.กรดทุกชนิดมีค่า pH น้อยกว่า 7     8.  กรดมีฤทธิ์กัดกร่อนสารต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต ถ้ากรดถูกผิวหนังจะทำให้ผิวหนังไหม้ ปวดแสบปวดร้อน หากกรดถูกเส้นใยของเสื้อผ้า เส้นใยจะถูกกัดกร่อนให้ไหม้ได้ นอกจากนี้กรดยังทำลายเนื้อไม้ กระดาษ และพลาสติกบางชนิดได้ด้วย

  7. สมบัติของสารละลายเบส     สารละลายเบสมีสมบัติทั่วไป ดังนี้     1.  เปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสจากสีแดงเป็นสีน้ำเงิน     2.  เบสทำปฏิกิริยากับกรดจะได้เกลือและน้ำ ตัวอย่างเช่น สารละลายโซดาไฟ (โซเดียมไฮดรอกไซด์) ทำปฏิกิริยากับกรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอริก) จะได้เกลือโซเดียมคลอไรด์ นอกจากนี้สารละลายโซดาไฟสามารถทำปฎิกิริยากับกรดไขมันได้เกลือโซเดียมของกรดไขมัน หรือที่เราเรียกว่า สบู่ (Soap)     3.  เบสทำปฏิกิริยากับสารละลายแอมโมเนียมไนเดรตได้แก๊สแอมโมเนีย ซึ่งเรานำมาใช้ดมเมื่อเป็นลม     4.  เบสทุกชนิดมีค่า pH มากกว่า 7 สามารถกัดกร่อนโลหะอลูมิเนียม และสังกะสี ทำให้มีฟองแก๊สเกิดขึ้น

  8. นิยามของกรด-เบส Arrhenius Concept กรด คือ สารประกอบที่มี H และเมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้ H + หรือ H3O+เบส คือ สารประกอบที่มี OH และเมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้ OH -ข้อจำกัดของทฤษฎีนี้คือ สารประกอบต้องละลายได้ในน้ำ และไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมสารประกอบบางชนิดเช่น NH 3 จึงเป็นเบส

  9. Bronsted-Lowry Concept กรด คือ สารที่สามารถให้โปรตอน ( proton donor)แก่สารอื่นเบส คือ สารที่สามารถรับโปรตอน ( proton acceptor)จากสารอื่นปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบสจึงเป็นการถ่ายเทโปรตอนจากกรดไปยังเบสเช่น แอมโมเนียละลายในน้ำ NH 3(aq) + H 2O (1)  NH 4 + (aq) + OH - (aq) base 2 acid 1 acid 2 base 1 ในปฏิกิริยาไปข้างหน้า NH3จะเป็นฝ่ายรับโปรตอนจาก H2O ดังนั้น NH3จึงเป็นเบสและ H2O เป็นกรด แต่ในปฏิกิริยาย้อนกลับ NH4 + จะเป็นฝ่ายให้โปรตอนแก่ OH - ดังนั้น NH4 + จึงเป็นกรดและ OH - เป็นเบส อาจสรุปได้ว่าทิศทางของปฏิกิริยาจะขึ้นอยู่กับความแรงของเบส

  10. Lewis Concept กรด คือ สารที่สามารถรับอิเลคตรอนคู่โดดเดี่ยว ( electron pair acceptor) จากสารอื่นเบส คือ สารที่สามารถให้อิเลคตรอนคู่โดดเดี่ยว ( electron pair donor)แกสารอื่นทฤษฎีนี้ใช้อธิบาย กรด เบส ตาม concept ของ Arrhenius และ Bronsted-Lowry ได้ และมีข้อได้เปรียบคือสามารถอธิบาย กรด เบส ในกรณีที่เกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน และได้สารประกอบที่มีพันธะโควาเลนซ์ เช่น OH - (aq) + CO2 (aq)  HCO3 - (aq) BF3 + NH3 BF3-NH3

  11. คู่กรด – เบส คู่กรด – เบส คือ สารที่เป็นคู่กรด-เบสกัน H + ต่างกัน 1 ตัว โดยที่ คู่กรดจะมี H + มากกว่าคู่เบส 1 ตัว ความแรงของกรดและเบส = การแตกตัวในการให้โปรตอน(กรด) ความสามารถในการรับโปรตอน(เบส) CH3COOH (aq) + H2O (aq)   CH3COO - (aq) + H3O + (aq) เราต้องรู้ทิศทางการเลื่อนของสมดุลก่อน เราจึงจะบอกถึงความแรงได้

  12. 1. ถ้าสมดุลเลื่อนไปทางขวา CH3COOH เป็นกรดแรงกว่า H3O + / H2O เป็นเบสแรงกว่า CH3COO -2. ถ้าสมดุลเลื่อนไปทางซ้าย H3O + เป็นกรดแรงกว่า CH3COOH / CH 3COO - เป็นเบสแรงกว่า H 2O ถ้าค่า K > 1 สมดุลเลื่อนไปข้างหน้า(สารผลิตภัณฑ์มากกว่าสารตั้งต้น)K < 1 สมดุลเลื่อนย้อนกลับ(สารผลิตภัณฑ์น้อยกว่าสารตั้งต้น)K = 1 ไปข้างหน้าเท่ากับย้อนกลับ (สารผลิตภัณฑ์=สารตั้งต้น) ความแรงทั้ง 2 ข้างเท่ากัน

  13. เปรียบเทียบกรดแก่กับเบสแก่เปรียบเทียบกรดแก่กับเบสแก่ กรดแก่ ( strong acid)คือกรดที่สามารถแตกตัวได้ 100% ในน้ำ เช่น HCl H2SO4 HN03 HBr HClO4และ HI เบสแก่ ( weak base)คือกรดที่สามารถแตกตัวได้ 100% ในน้ำ เช่น Hydroxide ของธาตุหมู่ 1 และ 2 ( NaOHLiOHCsOHBa(OH)2 Ca(OH)2)

  14. กรดอ่อน ( weak acid) คือกรดที่สามารถแตกตัวเป็นไอออนได้เพียงบางส่วน เช่น กรดอะซิติคในน้ำส้มสายชู (vinegar) ยาแอสไพริน (acetylsalicylic acid) ใช้บรรเทาอาการปวดศรีษะ saccharin เป็นสารเพิ่มความหวาน niacin (nicotinic acid) หรือ ไวตามินบี เป็นต้น ตัวอย่างปฏิกิริยาของสารละลายกรด CH 3COOH ในส่วนผสมของน้ำส้มสายชูจะมีดังนี้ : CH3COOH (aq) + H2O (1)  H3O + (aq) + CH3COO - (aq) มีค่า Ka เบสอ่อน (weak base)คือเบสที่สามารถแตกตัวเป็นไออนได้เพียงบางส่วน เช่น NH 3 urea aniline เป็นต้น ตัวอย่างปฏิกิริยาของ ammonia มีดังนี้ NH3(aq) + H2O (aq)  NH4 + (aq) + OH - (aq)

  15. ชนิดของกรดและเบส กรด แบ่งตามการแตกตัว แบ่งได้ 3 ชนิด1. กรด Monoproticแตกตัว 1 ได้แก่ HNO3 , HClO3 , HClO4 , HCN2. กรด Diproticแตกตัว 2 ได้แก่ H2SO4 , H2CO33. กรดPolyproticแตกตัว 3 ได้แก่ H3PO4 การแตกตัวของกรด Polyproticแต่ละครั้งจะให้ H + ไม่เท่ากัน แตกครั้งแรกจะแตกได้ดีมาก ค่า Ka สูงมากแต่แตกครั้งต่อ ๆ ไปจะมีค่า Ka ต่ำมาก เพราะประจุลบในไอออนดึงดูด H + ไว้ดังสมการ H2SO4   H+ + HSO4 - Ka1 = 10 11 HSO4 -  H+ + SO4 2- Ka2 = 1.2 x 10 -2

  16. เนื่องมาจากกรด Polyproticมักมีค่า K1 >> K2 >> K3 H+ ในสารละลายส่วนใหญ่จะได้มาจากการแตกตัวครั้งแรกถ้าค่า K 1 มากกว่า K 2 =10 3 เท่าขึ้นไปจะพิจารณาค่า pH ของสารละลายกรด Polyproticได้จากค่า K 1 เท่านั้น แต่ถ้าค่า K 2 มีค่าไม่ต่ำมาก จะต้องนำค่า K 2 มาพิจารณาด้วย เบส แบ่งตาม จำนวน OH - ในเบส แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ1. เบสที่มี OH -ตัวเดียว เช่น LiOHNaOH KOH RbOHCsOH2. เบสที่มี OH - 2 ตัว เช่น Ca(OH)2Sr(OH)2Ba(OH)23. เบสที่มี OH - 3ตัว เช่น Al(OH)3 Fe(OH)3

  17. รวมสูตรที่ใช้คำนวณในกรณีหา กรดอ่อน เบสอ่อน ไม่ผสมกัน

  18. ปฏิกิริยาของกรด - เบส • ปฏิกิริยาของกรด เบส แบ่งได้เป็น 4 ชนิดคือ • ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสแก่ • ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสอ่อน • ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่ • ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสอ่อน  

  19. การแตกตัวของกรดแก่และเบสแก่การแตกตัวของกรดแก่และเบสแก่ การแตกตัวของกรดแก่ กรดแก่  หมายถึงกรดที่เมื่อละลายน้ำแล้วสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ 100 % ให้สังเกตการแตกตัวของกรดแก่ HClเปรียบเทียบกับการแตกตัวของกรดอ่อน HF ซึ่งการแตกตัวเป็นดังสมการ HCl(aq)   H +(aq)  +  Cl-(aq) 0.1 mol/dm3     0.1 mol/dm3   0.1 mol/dm3

  20. ตัวอย่างกรดแก่สามัญ ได้แก่

  21. การแตกตัวของเบสแก่ เบสแก่  หมายถึงเบสที่เมื่อละลายน้ำแล้วสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ 100 % ตัวอย่างเบสแก่ ได้แก่  

  22. สารประกอบไฮดรอกไซด์ของธาตุหมู่ 1  ซึ่งมีสูตรทั่วไป XOH  เมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้ไอออนบวกและไฮดรอกไซด์ไอออน โดยโมลหรือความเข้มข้นของไอออนบวก ไฮดรอกไซด์ไอออนและเบสจะเท่ากัน ดังสมการ XOH(aq)         X+(aq)     +   OH-(aq) ตัวอย่าง        NaOH(aq)       Na+(aq)   +   OH-(aq) KOH(aq)          K+(aq)     +   OH-(aq) 2 mol                     2 mol            2 mol 0.5 mol/dm3           0.5 mol/dm3  0.5 mol/dm3

  23. การแตกตัวของน้ำและค่า pH ของสารละลาย น้ำบริสุทธิ์จัดเป็นตัวทำละลายที่สำคัญ เป็นพวก นอน-อิเลคโตรไลท์ (nonelectrolyte) หรือไม่สามารถนำไฟฟ้า แต่จากการทดลองพบว่า น้ำบริสุทธิ์นำไฟฟ้าได้บ้างเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะว่าน้ำสามารถแตกตัวได้เอง ซึ่งเรียกว่า self-ionization หรือ autoprotolysis H2O (1) + H2O (1)  H3O + (aq) + OH- (aq) acid 1 base 2 acid 2 base 1 หรือ 2H2O (1) = H3O + (aq) + OH - (aq)

  24. จากความสัมพันธ์ของ Kwในปฏิกิริยาการแตกตัวของน้ำ Kw = [H3O+][OH-] = 1.0 x 10 -14 ที่ 25 C (Kwที่ 0 C = 0.12 x 10 -14 และ ที่ 60 C = 9.6 x 10 - 14 M2) จะได้ pK w = pH + pOH โดยที่ pH ของ น้ำ = -log [H30 +] = 7 และpOHของ น้ำ = -log [OH -] = 7 โดยทั่วไปแล้ว ค่า pH ของสารละลายที่พบอยู่ทั่วไป จะมีค่าอยู่ในช่วง 1-14 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ค่า pH อาจแสดงค่าเป็นลบหรือมีค่ามากกว่า 14 ได้เช่นเดียวกัน

  25. ตัวอย่าง ค่า pH ของนมสด เท่ากับ 6.5 ถ้านมเสีย (เปรี้ยว) ค่า pH ของนมเสียจะมากหรือน้อยกว่านมสด ตอบน้อยกว่า ตัวอย่าง จงหาค่า pH ของสารละลายที่เจือจางของ HClเข้มข้น 1.0 x 10- 8 MวิธีทำHClเจือจาง แตกตัวได้ H + 1.0 x 10 - 8 M และน้ำแตกตัวได้ H+ 1.0 x 10 - 7 Mปริมาณ H + ที่เกิดขึ้น = 1.0 x 10 -8 + 1.0 x 10 - 7 M          pH = -log (1.0 x 10 -8 + 1.0 x 10 -7 )          = 6.96

  26. อินดิเคเตอร์ อินดิเคเตอร์ คือ สารที่ใช้ทดสอบกรด-เบสของสารละลาย อินดิเคเตอร์ทั่วไปมีสมบัติเป็นกรดอ่อน เป็นสารที่เปลี่ยนสีได้เมื่อ pH ของสารละลายเปลี่ยนไป *โดยทั่วไปจะใช้ HInแทนสูตรทั่วไปของอินดิเคเตอร์ สมการการแตกตัวของอินดิเคเตอร์ HIn (aq) + H2O(l)    H3O + (aq) + In- (aq) Ka = [H3O +][In -]/[ HIn] ยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ สามารถบอกความเป็นกรดเป็นเบสของสารละลายได้ และบอกค่า pH ได้

  27. การเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์การเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์ HIn (aq) + H2O (l)                 n H3O + (aq) + In- (aq) แดง น้ำเงิน ถ้าเติมกรดลงไปเปรียบเสมือนเติม H 3O + สมดุลจะย้อนกลับจะได้สารละลายสีแดง ถ้าเติมเบสเปรียบเสมือนเติม OH - , OH - จะไปดึง H 3O + ให้กลายเป็นน้ำสมดุลเลื่อนไปข้างหน้าสารละลายเป็นสีน้ำเงิน หลักการเลือกอินดิเคเตอร์ ควรเลือกสารที่มีการเปลี่ยนสีตามการเปลี่ยนค่า pH เเละ สีสังเกตได้ชัด

  28. pH   ของสารละลาย ในสารละลายกรดหรือเบสจะมีทั้ง H3O+และ OH-อยู่ในปริมาณที่แตกต่างกัน การบอกความเป็นกรด เป็นเบสของสารละลายโดยใช้ความ เข้มข้นของ H3O+หรือ OH-มักเกิดความผิดพลาดได้ง่ายเพราะสารละลายมักมีความเข้มข้นของ H3O+ หรือ OH-น้อย  ดังนั้นในปี ค.ศ. 1909 นักเคมีชาวสวีเดนชื่อ ซอเรสซัน (Sorensen)  ได้เสนอให้บอกความเป็นกรด-เบสของสารละลายในรูปมาตราส่วนpH  ย่อมาจากภาษาฝรั่งเศสว่า  puissance d,hydrogineแปลว่า กำลังของไฮโดรเจน (power of hydrogen)  โดยกำหนดว่า

  29. เมื่อความเข้มข้นของ H3O+ มีหน่วยเป็น  mol/dm3หรือ Molar ในสารละลายที่เป็นกลาง  [H3O+]  =  [OH-] =  1.0 x 10-7 mol/dm3ดังนั้น  หา  pH  ของสารละลายได้ ดังนี้      pH  =  - log[H3O+] =  - log 1.0 x 10-7 =  - (log 1.0 – 7log10) =  0 + 7  = 7 นั่นคือสารละลายที่เป็นกลางมี    pH   =   7

  30. ค่า pH ที่ใช้ระบุความเป็นกรดหรือเบสของสารละลาย สรุปได้ดังนี้ สารละลายกรด มี [H3O+] มากกว่า 1.0 x 10-7 mol/dm3ดังนั้น pH<7.00 สารละลายที่เป็นกลาง มี [H3O+] เท่ากับ 1.0 x 10-7 mol/dm3ดังนั้น pH = 7.00 สารละลายเบส มี [H3O+] น้อยกว่า 1.0 x 10-7 mol/dm3ดังนั้น pH>7.00

  31. นอกจากนี้สามารถบอกความเป็นกรด-เบสของสารละลายในรูปความเข้มข้นของ OH- ก็ได้ โดยค่า pOHค่า pOHใช้บอกความความเป็นกรด - เบสของสารละลายเจือจางได้เช่นเดียวกับค่า pH ซึ่งค่า pOHจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ OH-โดยกำหนดความสัมพันธ์ดังนี้  

  32. ตัวอย่างการคำนวณค่า pOHตัวอย่างการคำนวณค่า pOH • สารละลาย NaOHเข้มข้น 0.01 โมลต่อลูกบาศก์เซนติเมตร มี pH เท่าใด • วิธีทำNaOH (aq)     Na+ (aq) + OH- (aq) • 0.01 mol/dm3   0.01 mol/dm3 = 1 x 10-2 mol/dm3 • pOH  =  -log[OH-] •                                     =  -log 1×10-2 mol/dm3 •                                     =   2log10 – log1 • pOH  =    2

  33. ในสารละลายที่เป็นกลางซึ่งมี   [OH-]  = 1.0 x 10-7 mol/dm3  จะมี    pOH   =   7 ความสัมพันธ์ระหว่าง  pH  กับ  pOH [H3O+][ OH-]         =  1.0 x 10-14 log[H3O+][ OH-]       =  log1.0 x 10-14 log[H3O+]  +  log[OH-]   =  log1.0 – 14 log10- log[H3O+] – log[OH-]  =  14 log10

  34. ปฏิกิริยาของกรด-เบส (Neutralization) เกลือ(salt)เป็นสารประกอบที่เกิดจากการรวมกันระหว่างอนุมูลเบสและอนุมูลกรด อนุมูลเบส + อนุมูลเบส เกลือCation Anion Saltชนิดของเกลือแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่1.เกลือที่มีสมบัติเป็นกรด PH < 7 [H3O+] =รากที่ 2 ของ Kw/Kb).Csไอออนที่มีสมบัติเป็นกรดจะให้ H+ กับ H2Oเช่นNH4Cl , NH4Br,NH4NO3,NaHSO4 2.เกลือที่มีสมบัติเป็นเบส(PH>7) [OH-] = รากที่ 2 ของ (Kw/Ka).Csไอออนที่มีสมบัติเป็นเบสจะรับ H+ จาก H2Oเช่น CH3COONa,KCN,NaH2PO4,Na3PO4

  35. 3.เกลือที่ประกอบด้วยไอออนที่เป็นกรดและเป็นเบสอาจมีPH= 7 , PH>7,PH<7เช่น NH4NO2, (NH4)3PO4 ,NH4HSO4ทั้งไอออนบวกและไอออนลบจะทำปฏิกิริยากับน้ำ ถ้า Ka ของอนุมูลกรด > Kb ของอนุมูลเบส : PH < 7ถ้า Ka ของอนุมูลกรด > Kb ของอนุมูลเบส : PH > 7ถ้า Ka ของอนุมูลกรด = Kb ของอนุมูลเบส : PH = 7

  36. ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส (Hydrolysis) เป็นปฏิกิริยาที่สารทำกับน้ำแล้วทำให้สารละลายมี pH เปลี่ยนแปลงไปทำให้ได้สารละลายที่มีสมบัติเป็นกรด , เบส หรือกลาง Ex   NH4Cl (aq)   <------>   NH + 4(aq)  + Cl - (aq) ….(1)  NH4 +  + H 2O   <------>    H3O +  +  NH3 ในกรณีนี้ H3O+> OH- ,PH <7 สารละลายที่ได้มีสมบัติเป็นกรด CH3COONa (aq) <------>  CH3COO - (aq) + Na+ (aq)...(2)        CH3COO - (aq) + H2O   <------>   CH3COOH (aq)+ OH - (aq)

  37. ในกรณีนี้ OH-> H3O+, PH > 7 สาระลายที่ได้มีสมบัติเป็นเบส NaNO3(aq)  <------>  Na+(aq) + NO3 -(aq) ...(3) NO3 - เป็นคู่เบสของกรดแก่ไม่สามารถรับH+ได้เช่นเดียวกับ Na+สารละลายที่ได้จึงมีสมบัติเป็นกลาง

  38. การไฮโดรไลซิสเกลือ คือ ปฏิกิริยาระหว่างเกลือหรือไอออนจากเกลือกับน้ำ  แล้วเกิด H3O+หรือ  OH- ทำให้สารละลายมีสมบัติเป็นกรดหรือเบส โดย จะแบ่งเกลือตามลักษณะการไฮโดรไลซิสได้ดังนี้ (ตัวอย่างของเกลือต่างๆสามารถดูเพื่อเติมได้ที่เรื่อง >> "เกลือ") 1. เกลือที่เกิดจาก กรดแก่ เบสแก่ จะเป็นเกลือกลางเพราะไอออนทั้งสองไม่ทำปฏิกิริยากับ H 2O  2. เกลือที่เกิดจาก กรดแก่ เบสอ่อน จะเป็นเกลือกรด เพราะไอออนของเบสอ่อนจะไปทำปฏิกิริยากับน้ำ (ไฮโดรไลซิส)

  39. 3. เกลือที่เกิดจาก กรดอ่อน เบสแก่3. เกลือที่เกิดจาก กรดอ่อน เบสแก่ จะเป็นเกลือเบส เพราะไอออนของกรดอ่อนจะไปทำปฏิกิริยากับน้ำ (ไฮโดรไลซิส) 4. เกลือที่เกิดจาก กรดอ่อน เบสอ่อน เมื่อละลายน้ำไอออนของกรดอ่อน เบสอ่อนจะไปเล่นน้ำ(ไฮโดรไลซิส)

  40. สารละลายบัฟเฟอร์ สารละลายบัฟเฟอร์  คือ สารละลายที่เมื่อเติมกรดแก่หรือเบสแก่ลงไปเพียงเล็กน้อยทำให้  pH  ของสารละลายเปลี่ยนไปน้อยมาก  จนถือได้ว่าไม่เปลี่ยนแปลง ชนิดของบัฟเฟอร์   แบ่งออกเป็น  2  ชนิด บัฟเฟอร์กรด  คือ บัฟเฟอร์ที่เกิดจากกรดอ่อนกับเกลือของกรดอ่อน  pH < 7

  41. บัฟเฟอร์เบส  คือ บัฟเฟอร์ที่เกิดจากเบสอ่อนกับเกลือของเบสอ่อน  pH > 7

  42. สารละลายบัฟเฟอร์ในธรรมชาติสารละลายบัฟเฟอร์ในธรรมชาติ น้ำทะเล เป็นบัฟเฟอร์ที่มีองค์ประกอบซับซ้อนมาก สารและไอออนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุม  pH  ของน้ำทะเลได้แก่กรดคาร์บอนิก (H2CO3) ไฮโดรเจนคาร์บอเนต  ไอออน (HCO3-) และคาร์บอเนตไอออน (CO32-)ถ้าเติมกรดลงในน้ำทะเล  pH จะเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เพราะ H3O+ในกรดที่เพิ่มลงไปจะทำปฏิกิริยา กับ HCO3- , CO32-ดังสมการ

  43. สารละลายบัฟเฟอร์ในสิ่งมีชีวิต สารละลายบัฟเฟอร์ในสิ่งมีชีวิต  1. ฟอสเฟตบัฟเฟอร์ H2PO4- /  HPO42-จะเกี่ยวข้องกับการทำงานของไต เมื่อเราออกกำลังกายนาน ๆ จะมีกรดเกิดขึ้นทำให้ pH ของ เลือดเปลี่ยนไป ระบบบัฟเฟอร์H2PO4- /  HPO42-ในเลือดจะเข้าทำปฏิกิริยาเพื่อลดความเข้มข้นของกรดได้H2PO4-จะถูกกำกัดออกมาทางปัสสาวะ 2. ระบบ H2CO3/HCO3-จะควบคุม pH ของพลาสมาในเลือดให้มีค่าอยู่ระหว่าง7.35-7.45 ซึ่งเกิดปฏิกิริยาดังนี้

  44. การไทเทรตกรด– เบส

  45. การไทเทรตกรด-เบส (Acid-base titration) เป็นกระบวนการวิเคราะห์หาปริมาณของกรดหรือเบส โดยให้สารละลายกรดหรือเ บสทำปฏิกิริยาพอดีกับสารละลายมาตรฐาน เบสหรือกรดซึ่งทราบความเข้มข้นที่แน่นอน และใช้อินดิเคเตอร์เป็นสารที่บอกจุดยุติ ด้วยการสังเ กตจากสีที่เปลี่ยน ขณะไทเทรต pH จะเปลี่ยนไป ถ้าเลือกใช้อินดิเคเตอร์เหมาะสม จะบอกจุดยุติใกล้เคียงกับจุดสมมูล จุดสมมูล ( จุดสะเทิน = Equivalence point) คือจุดที่กรดและเบสทำปฏิกิริยาพอดีกัน จุดสมมูลจะมี pH เป็นอย่างไร<wbr>นั้นขึ้นอยู่กับชนิดของกรดและเบสที่นำมาไทเทรตกัน และขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของกรดและเบส

  46. จุดยุติ (End point) คือจุดที่อินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี ขณะไทเทรตกรด- เบสอยู่ จุดยุติจะใกล้เคียงกับจุดสมมูลได้นั้น จะ ต้องเลือกอินดิเคเตอร์เหมาะสม ในทางปฏิบัติถือว่าจุดยุติ เป็นจุดเดียวกับจุดสมมูล จุดยุติ (End point) การที่จะทราบว่า ปฏิกิริยาการไทเทรตถึงจุดสมมูลหรือยังนั้น จะต้องมีวิธีการที่จะหาจุดสมมูล วิธีการหนึ่งคือ การใช้อินดิเคเตอร์ โดยอินดิเคเตอร์จะต้องเปลี่ยนสีที่จุดที่พอดีหรือใกล้เคียงกับจุดสมมูล นั่นคือ จุดที่อินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี จะเรียกว่า จุดยุติ

  47. การหาความเข้มข้นของกรดไฮโดรคลอริก โดยการไทเทรตชันa) ตวงปริมาตรของสารละลายกรดด้วยปิเปดต์ใส่ขวดชมพู่b) ไทเทรตสารละลายมาตรฐานจากบิวเรตต์ลงในขวดชมพู่ที่มีสารละลายกรดไฮโดรคลอริกอยู่ด้วยc) การไทเทรตกรด- เบสจนถึงจุดยุติโดยสังเกตจากอินดิเคเตอร์เปลี่ยนสีd) อ่านปริมาตรของสารละลายเบส ( สารละลายมาตรฐาน) ที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาพอดีกับสารละลายกรดนี้ บันทึกข้อมูล วิธีการไทเทรตกรด - เบส คือ นำสารละลายกรดหรือเบสตัวอย่างที่ต้องการวิเคราะห์หาปริมาณ มาทำการไทเทรตกับสารละลายเบสหรือกรดมาตรฐานที่ทราบค่าความเข้มข้นที่แน่นอน กล่าวคือ ถ้าสารละลายตัวอย่างเป็นสารละลายกรด ก็ต้องใช้สารละลายมาตรฐานเป็นเบส นำมาทำการไทเทรต แล้วบันทึกปริมาตรของสารละลายมาตรฐานที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาพอดีกัน จากนั้นนำไปคำนวณหาปริมาณของสารตัวอย่างต่อไป หรือทางตรงกันข้าม ถ้าใช้สารละลายตัวอย่างเป็นเบส ก็ต้องใช้สารละลายมาตรฐานเป็นกรด

  48. กราฟของการไทเทรต 1.อินดิเคเตอร์สำหรับปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสแก่ รูปกราฟของการไทเทรตระหว่างกรดแก่และเบสแก่ จะแสดง pH ที่จุดสมมูลอยู่ที่ pH ใกล้เคียง 7

  49. 2.อินดิเคเตอร์สำหรับปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่2.อินดิเคเตอร์สำหรับปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่        การเลือกอินดิเคเตอร์สำหรับการไทเทรตกรดอ่อน เช่น กรดแอซิติก กับเบสแก่ เช่น NaOHจะมีข้อจำกัดมากกว่าที่จุดสมมูลของการไทเทรต สารละลายจะมีโซเดียมแอซิเตต ทำให้สารละลายเป็นเบส มี pH มากกว่า 7 รูปกราฟแสดงการไทเทรตระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่และอินดิเคเตอร์ที่เหมาะสม

More Related