1.22k likes | 3.35k Views
กรด -เบส. กรด – เบส. กรด - เบส คืออะไร กรด เบส ในชีวิตประจำวัน ( Acid Base in Everyday Life)
E N D
กรด – เบส กรด - เบส คืออะไร กรด เบส ในชีวิตประจำวัน ( Acid Base in Everyday Life) สารประกอบจำพวกกรด เบส มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างมาก ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า กรด เบส คืออะไรอย่างง่ายๆสารละลายกรด คือสารละลายที่มีรสเปรี้ยว เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากน้ำเงินเป็นแดง หรือทำปฏิกิริยากับโลหะได้ แก๊ส H 2 และ เกลือสารละลายเบส คือสารละลายที่มีรสขม เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากแดงเป็นน้ำเงิน หรือมีลักษณะลื่นๆ
สารละลายกรด - เบสสมบัติของสารละลายกรด - เบส สารละลายกรด (Acid) หมายถึง สารประกอบที่มีธาตุไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ เมื่อละลายน้ำสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H+) สารละลายเบส (Base) หมายถึง สารประกอบที่ละลายน้ำแล้วแตกตัวให้ไฮดรอกไซด์ไอออน (OH-) สมบัติของสารละลายกรด สารละลายกรดมีสมบัติทั่วไป ดังนี้ 1. กรดทุกชนิดจะมีรสเปรี้ยว กรดชนิดใดมีรสเปรี้ยวมากแสดงว่ามีความเป็นกรดมาก เช่น กรดแอซีติกที่เข้มข้นมากจะมีรสเปรี้ยวจัด เมื่อนำมาทำน้ำส้มสายชูจะใช้กรดแอซีติกที่มีความเข้มข้นเพียง 5% โดยมวลต่อปริมาตร (กรดแอซีติก 5 กรัม ละลายในน้ำ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร) เพื่อให้มีรสเปรี้ยวน้อยพอเหมาะกับการปรุงอาหาร 2. เปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสจากสีน้ำเงินเป็นสีแดง สำหรับกระดาษลิตมัสเป็นอินดิเคเตอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้ทดสอบความเป็นกรดเป็นเบส
3. กรดทำปฏิกิริกับโลหะบางชนิด เช่น ทองแดง สังกะสี แมกนีเซียม ดีบุก และอลูมิเนียม ได้แก๊สไฮโดรเจน (H2) เมื่อนำแผ่นสังกะสีจุ่มลงไปในสารละลายกรดเกลือ จะเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ฟองแก๊สไฮโดรเจนผุดขึ้นมาจากสารละลายกรดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ง่าย และเนื่องจากแก๊สไฮโดรเจนเป็นแก๊สที่เบากว่าอากาศ จึงมีผู้นำปฏิกิริยาดังกล่าวมาใช้เตรียมแก๊สไฮโดรเจน นอกจากนี้กรดจะทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด เช่น ทองคำ ทองคำขาว เงิน ปรอท ได้ช้ามากหรืออาจไม่เกิดปฏิกิริยา
4. กรดทำปฏิกิริยากับเบสได้เกลือและน้ำ เช่น กรดเกลือทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮดรอกไซด์ซึ่งเป็นเบส ได้เกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกง ทำปฏิกิริยารหว่างกรดและเบสที่พอดีจะเรียกว่า ปฏิกิริยาสะเทิน 5. กรดสามารถเกิดปฏิกิริยากับหินปูนซึ่งเป็นสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต ทำให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเราสามารถทดสอบแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นผ่านแก๊สเข้าไปในน้ำปูนใส (สารละลายของแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในน้ำ) ซึ่งจะทำให้น้ำปูนใสขุ่นทันที เนื่องจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในน้ำปูนใสได้แคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำ
6. สารละลายกรดทุกชนิดนำไฟฟ้าได้ดี เพราะกรดสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H+)7.กรดทุกชนิดมีค่า pH น้อยกว่า 7 8. กรดมีฤทธิ์กัดกร่อนสารต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต ถ้ากรดถูกผิวหนังจะทำให้ผิวหนังไหม้ ปวดแสบปวดร้อน หากกรดถูกเส้นใยของเสื้อผ้า เส้นใยจะถูกกัดกร่อนให้ไหม้ได้ นอกจากนี้กรดยังทำลายเนื้อไม้ กระดาษ และพลาสติกบางชนิดได้ด้วย
สมบัติของสารละลายเบส สารละลายเบสมีสมบัติทั่วไป ดังนี้ 1. เปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสจากสีแดงเป็นสีน้ำเงิน 2. เบสทำปฏิกิริยากับกรดจะได้เกลือและน้ำ ตัวอย่างเช่น สารละลายโซดาไฟ (โซเดียมไฮดรอกไซด์) ทำปฏิกิริยากับกรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอริก) จะได้เกลือโซเดียมคลอไรด์ นอกจากนี้สารละลายโซดาไฟสามารถทำปฎิกิริยากับกรดไขมันได้เกลือโซเดียมของกรดไขมัน หรือที่เราเรียกว่า สบู่ (Soap) 3. เบสทำปฏิกิริยากับสารละลายแอมโมเนียมไนเดรตได้แก๊สแอมโมเนีย ซึ่งเรานำมาใช้ดมเมื่อเป็นลม 4. เบสทุกชนิดมีค่า pH มากกว่า 7 สามารถกัดกร่อนโลหะอลูมิเนียม และสังกะสี ทำให้มีฟองแก๊สเกิดขึ้น
นิยามของกรด-เบส Arrhenius Concept กรด คือ สารประกอบที่มี H และเมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้ H + หรือ H3O+เบส คือ สารประกอบที่มี OH และเมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้ OH -ข้อจำกัดของทฤษฎีนี้คือ สารประกอบต้องละลายได้ในน้ำ และไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมสารประกอบบางชนิดเช่น NH 3 จึงเป็นเบส
Bronsted-Lowry Concept กรด คือ สารที่สามารถให้โปรตอน ( proton donor)แก่สารอื่นเบส คือ สารที่สามารถรับโปรตอน ( proton acceptor)จากสารอื่นปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบสจึงเป็นการถ่ายเทโปรตอนจากกรดไปยังเบสเช่น แอมโมเนียละลายในน้ำ NH 3(aq) + H 2O (1) NH 4 + (aq) + OH - (aq) base 2 acid 1 acid 2 base 1 ในปฏิกิริยาไปข้างหน้า NH3จะเป็นฝ่ายรับโปรตอนจาก H2O ดังนั้น NH3จึงเป็นเบสและ H2O เป็นกรด แต่ในปฏิกิริยาย้อนกลับ NH4 + จะเป็นฝ่ายให้โปรตอนแก่ OH - ดังนั้น NH4 + จึงเป็นกรดและ OH - เป็นเบส อาจสรุปได้ว่าทิศทางของปฏิกิริยาจะขึ้นอยู่กับความแรงของเบส
Lewis Concept กรด คือ สารที่สามารถรับอิเลคตรอนคู่โดดเดี่ยว ( electron pair acceptor) จากสารอื่นเบส คือ สารที่สามารถให้อิเลคตรอนคู่โดดเดี่ยว ( electron pair donor)แกสารอื่นทฤษฎีนี้ใช้อธิบาย กรด เบส ตาม concept ของ Arrhenius และ Bronsted-Lowry ได้ และมีข้อได้เปรียบคือสามารถอธิบาย กรด เบส ในกรณีที่เกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน และได้สารประกอบที่มีพันธะโควาเลนซ์ เช่น OH - (aq) + CO2 (aq) HCO3 - (aq) BF3 + NH3 BF3-NH3
คู่กรด – เบส คู่กรด – เบส คือ สารที่เป็นคู่กรด-เบสกัน H + ต่างกัน 1 ตัว โดยที่ คู่กรดจะมี H + มากกว่าคู่เบส 1 ตัว ความแรงของกรดและเบส = การแตกตัวในการให้โปรตอน(กรด) ความสามารถในการรับโปรตอน(เบส) CH3COOH (aq) + H2O (aq) CH3COO - (aq) + H3O + (aq) เราต้องรู้ทิศทางการเลื่อนของสมดุลก่อน เราจึงจะบอกถึงความแรงได้
1. ถ้าสมดุลเลื่อนไปทางขวา CH3COOH เป็นกรดแรงกว่า H3O + / H2O เป็นเบสแรงกว่า CH3COO -2. ถ้าสมดุลเลื่อนไปทางซ้าย H3O + เป็นกรดแรงกว่า CH3COOH / CH 3COO - เป็นเบสแรงกว่า H 2O ถ้าค่า K > 1 สมดุลเลื่อนไปข้างหน้า(สารผลิตภัณฑ์มากกว่าสารตั้งต้น)K < 1 สมดุลเลื่อนย้อนกลับ(สารผลิตภัณฑ์น้อยกว่าสารตั้งต้น)K = 1 ไปข้างหน้าเท่ากับย้อนกลับ (สารผลิตภัณฑ์=สารตั้งต้น) ความแรงทั้ง 2 ข้างเท่ากัน
เปรียบเทียบกรดแก่กับเบสแก่เปรียบเทียบกรดแก่กับเบสแก่ กรดแก่ ( strong acid)คือกรดที่สามารถแตกตัวได้ 100% ในน้ำ เช่น HCl H2SO4 HN03 HBr HClO4และ HI เบสแก่ ( weak base)คือกรดที่สามารถแตกตัวได้ 100% ในน้ำ เช่น Hydroxide ของธาตุหมู่ 1 และ 2 ( NaOHLiOHCsOHBa(OH)2 Ca(OH)2)
กรดอ่อน ( weak acid) คือกรดที่สามารถแตกตัวเป็นไอออนได้เพียงบางส่วน เช่น กรดอะซิติคในน้ำส้มสายชู (vinegar) ยาแอสไพริน (acetylsalicylic acid) ใช้บรรเทาอาการปวดศรีษะ saccharin เป็นสารเพิ่มความหวาน niacin (nicotinic acid) หรือ ไวตามินบี เป็นต้น ตัวอย่างปฏิกิริยาของสารละลายกรด CH 3COOH ในส่วนผสมของน้ำส้มสายชูจะมีดังนี้ : CH3COOH (aq) + H2O (1) H3O + (aq) + CH3COO - (aq) มีค่า Ka เบสอ่อน (weak base)คือเบสที่สามารถแตกตัวเป็นไออนได้เพียงบางส่วน เช่น NH 3 urea aniline เป็นต้น ตัวอย่างปฏิกิริยาของ ammonia มีดังนี้ NH3(aq) + H2O (aq) NH4 + (aq) + OH - (aq)
ชนิดของกรดและเบส กรด แบ่งตามการแตกตัว แบ่งได้ 3 ชนิด1. กรด Monoproticแตกตัว 1 ได้แก่ HNO3 , HClO3 , HClO4 , HCN2. กรด Diproticแตกตัว 2 ได้แก่ H2SO4 , H2CO33. กรดPolyproticแตกตัว 3 ได้แก่ H3PO4 การแตกตัวของกรด Polyproticแต่ละครั้งจะให้ H + ไม่เท่ากัน แตกครั้งแรกจะแตกได้ดีมาก ค่า Ka สูงมากแต่แตกครั้งต่อ ๆ ไปจะมีค่า Ka ต่ำมาก เพราะประจุลบในไอออนดึงดูด H + ไว้ดังสมการ H2SO4 H+ + HSO4 - Ka1 = 10 11 HSO4 - H+ + SO4 2- Ka2 = 1.2 x 10 -2
เนื่องมาจากกรด Polyproticมักมีค่า K1 >> K2 >> K3 H+ ในสารละลายส่วนใหญ่จะได้มาจากการแตกตัวครั้งแรกถ้าค่า K 1 มากกว่า K 2 =10 3 เท่าขึ้นไปจะพิจารณาค่า pH ของสารละลายกรด Polyproticได้จากค่า K 1 เท่านั้น แต่ถ้าค่า K 2 มีค่าไม่ต่ำมาก จะต้องนำค่า K 2 มาพิจารณาด้วย เบส แบ่งตาม จำนวน OH - ในเบส แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ1. เบสที่มี OH -ตัวเดียว เช่น LiOHNaOH KOH RbOHCsOH2. เบสที่มี OH - 2 ตัว เช่น Ca(OH)2Sr(OH)2Ba(OH)23. เบสที่มี OH - 3ตัว เช่น Al(OH)3 Fe(OH)3
รวมสูตรที่ใช้คำนวณในกรณีหา กรดอ่อน เบสอ่อน ไม่ผสมกัน
ปฏิกิริยาของกรด - เบส • ปฏิกิริยาของกรด เบส แบ่งได้เป็น 4 ชนิดคือ • ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสแก่ • ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสอ่อน • ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่ • ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสอ่อน
การแตกตัวของกรดแก่และเบสแก่การแตกตัวของกรดแก่และเบสแก่ การแตกตัวของกรดแก่ กรดแก่ หมายถึงกรดที่เมื่อละลายน้ำแล้วสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ 100 % ให้สังเกตการแตกตัวของกรดแก่ HClเปรียบเทียบกับการแตกตัวของกรดอ่อน HF ซึ่งการแตกตัวเป็นดังสมการ HCl(aq) H +(aq) + Cl-(aq) 0.1 mol/dm3 0.1 mol/dm3 0.1 mol/dm3
ตัวอย่างกรดแก่สามัญ ได้แก่
การแตกตัวของเบสแก่ เบสแก่ หมายถึงเบสที่เมื่อละลายน้ำแล้วสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ 100 % ตัวอย่างเบสแก่ ได้แก่
สารประกอบไฮดรอกไซด์ของธาตุหมู่ 1 ซึ่งมีสูตรทั่วไป XOH เมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้ไอออนบวกและไฮดรอกไซด์ไอออน โดยโมลหรือความเข้มข้นของไอออนบวก ไฮดรอกไซด์ไอออนและเบสจะเท่ากัน ดังสมการ XOH(aq) X+(aq) + OH-(aq) ตัวอย่าง NaOH(aq) Na+(aq) + OH-(aq) KOH(aq) K+(aq) + OH-(aq) 2 mol 2 mol 2 mol 0.5 mol/dm3 0.5 mol/dm3 0.5 mol/dm3
การแตกตัวของน้ำและค่า pH ของสารละลาย น้ำบริสุทธิ์จัดเป็นตัวทำละลายที่สำคัญ เป็นพวก นอน-อิเลคโตรไลท์ (nonelectrolyte) หรือไม่สามารถนำไฟฟ้า แต่จากการทดลองพบว่า น้ำบริสุทธิ์นำไฟฟ้าได้บ้างเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะว่าน้ำสามารถแตกตัวได้เอง ซึ่งเรียกว่า self-ionization หรือ autoprotolysis H2O (1) + H2O (1) H3O + (aq) + OH- (aq) acid 1 base 2 acid 2 base 1 หรือ 2H2O (1) = H3O + (aq) + OH - (aq)
จากความสัมพันธ์ของ Kwในปฏิกิริยาการแตกตัวของน้ำ Kw = [H3O+][OH-] = 1.0 x 10 -14 ที่ 25 C (Kwที่ 0 C = 0.12 x 10 -14 และ ที่ 60 C = 9.6 x 10 - 14 M2) จะได้ pK w = pH + pOH โดยที่ pH ของ น้ำ = -log [H30 +] = 7 และpOHของ น้ำ = -log [OH -] = 7 โดยทั่วไปแล้ว ค่า pH ของสารละลายที่พบอยู่ทั่วไป จะมีค่าอยู่ในช่วง 1-14 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ค่า pH อาจแสดงค่าเป็นลบหรือมีค่ามากกว่า 14 ได้เช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง ค่า pH ของนมสด เท่ากับ 6.5 ถ้านมเสีย (เปรี้ยว) ค่า pH ของนมเสียจะมากหรือน้อยกว่านมสด ตอบน้อยกว่า ตัวอย่าง จงหาค่า pH ของสารละลายที่เจือจางของ HClเข้มข้น 1.0 x 10- 8 MวิธีทำHClเจือจาง แตกตัวได้ H + 1.0 x 10 - 8 M และน้ำแตกตัวได้ H+ 1.0 x 10 - 7 Mปริมาณ H + ที่เกิดขึ้น = 1.0 x 10 -8 + 1.0 x 10 - 7 M pH = -log (1.0 x 10 -8 + 1.0 x 10 -7 ) = 6.96
อินดิเคเตอร์ อินดิเคเตอร์ คือ สารที่ใช้ทดสอบกรด-เบสของสารละลาย อินดิเคเตอร์ทั่วไปมีสมบัติเป็นกรดอ่อน เป็นสารที่เปลี่ยนสีได้เมื่อ pH ของสารละลายเปลี่ยนไป *โดยทั่วไปจะใช้ HInแทนสูตรทั่วไปของอินดิเคเตอร์ สมการการแตกตัวของอินดิเคเตอร์ HIn (aq) + H2O(l) H3O + (aq) + In- (aq) Ka = [H3O +][In -]/[ HIn] ยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ สามารถบอกความเป็นกรดเป็นเบสของสารละลายได้ และบอกค่า pH ได้
การเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์การเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์ HIn (aq) + H2O (l) n H3O + (aq) + In- (aq) แดง น้ำเงิน ถ้าเติมกรดลงไปเปรียบเสมือนเติม H 3O + สมดุลจะย้อนกลับจะได้สารละลายสีแดง ถ้าเติมเบสเปรียบเสมือนเติม OH - , OH - จะไปดึง H 3O + ให้กลายเป็นน้ำสมดุลเลื่อนไปข้างหน้าสารละลายเป็นสีน้ำเงิน หลักการเลือกอินดิเคเตอร์ ควรเลือกสารที่มีการเปลี่ยนสีตามการเปลี่ยนค่า pH เเละ สีสังเกตได้ชัด
pH ของสารละลาย ในสารละลายกรดหรือเบสจะมีทั้ง H3O+และ OH-อยู่ในปริมาณที่แตกต่างกัน การบอกความเป็นกรด เป็นเบสของสารละลายโดยใช้ความ เข้มข้นของ H3O+หรือ OH-มักเกิดความผิดพลาดได้ง่ายเพราะสารละลายมักมีความเข้มข้นของ H3O+ หรือ OH-น้อย ดังนั้นในปี ค.ศ. 1909 นักเคมีชาวสวีเดนชื่อ ซอเรสซัน (Sorensen) ได้เสนอให้บอกความเป็นกรด-เบสของสารละลายในรูปมาตราส่วนpH ย่อมาจากภาษาฝรั่งเศสว่า puissance d,hydrogineแปลว่า กำลังของไฮโดรเจน (power of hydrogen) โดยกำหนดว่า
เมื่อความเข้มข้นของ H3O+ มีหน่วยเป็น mol/dm3หรือ Molar ในสารละลายที่เป็นกลาง [H3O+] = [OH-] = 1.0 x 10-7 mol/dm3ดังนั้น หา pH ของสารละลายได้ ดังนี้ pH = - log[H3O+] = - log 1.0 x 10-7 = - (log 1.0 – 7log10) = 0 + 7 = 7 นั่นคือสารละลายที่เป็นกลางมี pH = 7
ค่า pH ที่ใช้ระบุความเป็นกรดหรือเบสของสารละลาย สรุปได้ดังนี้ สารละลายกรด มี [H3O+] มากกว่า 1.0 x 10-7 mol/dm3ดังนั้น pH<7.00 สารละลายที่เป็นกลาง มี [H3O+] เท่ากับ 1.0 x 10-7 mol/dm3ดังนั้น pH = 7.00 สารละลายเบส มี [H3O+] น้อยกว่า 1.0 x 10-7 mol/dm3ดังนั้น pH>7.00
นอกจากนี้สามารถบอกความเป็นกรด-เบสของสารละลายในรูปความเข้มข้นของ OH- ก็ได้ โดยค่า pOHค่า pOHใช้บอกความความเป็นกรด - เบสของสารละลายเจือจางได้เช่นเดียวกับค่า pH ซึ่งค่า pOHจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ OH-โดยกำหนดความสัมพันธ์ดังนี้
ตัวอย่างการคำนวณค่า pOHตัวอย่างการคำนวณค่า pOH • สารละลาย NaOHเข้มข้น 0.01 โมลต่อลูกบาศก์เซนติเมตร มี pH เท่าใด • วิธีทำNaOH (aq) Na+ (aq) + OH- (aq) • 0.01 mol/dm3 0.01 mol/dm3 = 1 x 10-2 mol/dm3 • pOH = -log[OH-] • = -log 1×10-2 mol/dm3 • = 2log10 – log1 • pOH = 2
ในสารละลายที่เป็นกลางซึ่งมี [OH-] = 1.0 x 10-7 mol/dm3 จะมี pOH = 7 ความสัมพันธ์ระหว่าง pH กับ pOH [H3O+][ OH-] = 1.0 x 10-14 log[H3O+][ OH-] = log1.0 x 10-14 log[H3O+] + log[OH-] = log1.0 – 14 log10- log[H3O+] – log[OH-] = 14 log10
ปฏิกิริยาของกรด-เบส (Neutralization) เกลือ(salt)เป็นสารประกอบที่เกิดจากการรวมกันระหว่างอนุมูลเบสและอนุมูลกรด อนุมูลเบส + อนุมูลเบส เกลือCation Anion Saltชนิดของเกลือแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่1.เกลือที่มีสมบัติเป็นกรด PH < 7 [H3O+] =รากที่ 2 ของ Kw/Kb).Csไอออนที่มีสมบัติเป็นกรดจะให้ H+ กับ H2Oเช่นNH4Cl , NH4Br,NH4NO3,NaHSO4 2.เกลือที่มีสมบัติเป็นเบส(PH>7) [OH-] = รากที่ 2 ของ (Kw/Ka).Csไอออนที่มีสมบัติเป็นเบสจะรับ H+ จาก H2Oเช่น CH3COONa,KCN,NaH2PO4,Na3PO4
3.เกลือที่ประกอบด้วยไอออนที่เป็นกรดและเป็นเบสอาจมีPH= 7 , PH>7,PH<7เช่น NH4NO2, (NH4)3PO4 ,NH4HSO4ทั้งไอออนบวกและไอออนลบจะทำปฏิกิริยากับน้ำ ถ้า Ka ของอนุมูลกรด > Kb ของอนุมูลเบส : PH < 7ถ้า Ka ของอนุมูลกรด > Kb ของอนุมูลเบส : PH > 7ถ้า Ka ของอนุมูลกรด = Kb ของอนุมูลเบส : PH = 7
ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส (Hydrolysis) เป็นปฏิกิริยาที่สารทำกับน้ำแล้วทำให้สารละลายมี pH เปลี่ยนแปลงไปทำให้ได้สารละลายที่มีสมบัติเป็นกรด , เบส หรือกลาง Ex NH4Cl (aq) <------> NH + 4(aq) + Cl - (aq) ….(1) NH4 + + H 2O <------> H3O + + NH3 ในกรณีนี้ H3O+> OH- ,PH <7 สารละลายที่ได้มีสมบัติเป็นกรด CH3COONa (aq) <------> CH3COO - (aq) + Na+ (aq)...(2) CH3COO - (aq) + H2O <------> CH3COOH (aq)+ OH - (aq)
ในกรณีนี้ OH-> H3O+, PH > 7 สาระลายที่ได้มีสมบัติเป็นเบส NaNO3(aq) <------> Na+(aq) + NO3 -(aq) ...(3) NO3 - เป็นคู่เบสของกรดแก่ไม่สามารถรับH+ได้เช่นเดียวกับ Na+สารละลายที่ได้จึงมีสมบัติเป็นกลาง
การไฮโดรไลซิสเกลือ คือ ปฏิกิริยาระหว่างเกลือหรือไอออนจากเกลือกับน้ำ แล้วเกิด H3O+หรือ OH- ทำให้สารละลายมีสมบัติเป็นกรดหรือเบส โดย จะแบ่งเกลือตามลักษณะการไฮโดรไลซิสได้ดังนี้ (ตัวอย่างของเกลือต่างๆสามารถดูเพื่อเติมได้ที่เรื่อง >> "เกลือ") 1. เกลือที่เกิดจาก กรดแก่ เบสแก่ จะเป็นเกลือกลางเพราะไอออนทั้งสองไม่ทำปฏิกิริยากับ H 2O 2. เกลือที่เกิดจาก กรดแก่ เบสอ่อน จะเป็นเกลือกรด เพราะไอออนของเบสอ่อนจะไปทำปฏิกิริยากับน้ำ (ไฮโดรไลซิส)
3. เกลือที่เกิดจาก กรดอ่อน เบสแก่3. เกลือที่เกิดจาก กรดอ่อน เบสแก่ จะเป็นเกลือเบส เพราะไอออนของกรดอ่อนจะไปทำปฏิกิริยากับน้ำ (ไฮโดรไลซิส) 4. เกลือที่เกิดจาก กรดอ่อน เบสอ่อน เมื่อละลายน้ำไอออนของกรดอ่อน เบสอ่อนจะไปเล่นน้ำ(ไฮโดรไลซิส)
สารละลายบัฟเฟอร์ สารละลายบัฟเฟอร์ คือ สารละลายที่เมื่อเติมกรดแก่หรือเบสแก่ลงไปเพียงเล็กน้อยทำให้ pH ของสารละลายเปลี่ยนไปน้อยมาก จนถือได้ว่าไม่เปลี่ยนแปลง ชนิดของบัฟเฟอร์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด บัฟเฟอร์กรด คือ บัฟเฟอร์ที่เกิดจากกรดอ่อนกับเกลือของกรดอ่อน pH < 7
บัฟเฟอร์เบส คือ บัฟเฟอร์ที่เกิดจากเบสอ่อนกับเกลือของเบสอ่อน pH > 7
สารละลายบัฟเฟอร์ในธรรมชาติสารละลายบัฟเฟอร์ในธรรมชาติ น้ำทะเล เป็นบัฟเฟอร์ที่มีองค์ประกอบซับซ้อนมาก สารและไอออนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุม pH ของน้ำทะเลได้แก่กรดคาร์บอนิก (H2CO3) ไฮโดรเจนคาร์บอเนต ไอออน (HCO3-) และคาร์บอเนตไอออน (CO32-)ถ้าเติมกรดลงในน้ำทะเล pH จะเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เพราะ H3O+ในกรดที่เพิ่มลงไปจะทำปฏิกิริยา กับ HCO3- , CO32-ดังสมการ
สารละลายบัฟเฟอร์ในสิ่งมีชีวิต สารละลายบัฟเฟอร์ในสิ่งมีชีวิต 1. ฟอสเฟตบัฟเฟอร์ H2PO4- / HPO42-จะเกี่ยวข้องกับการทำงานของไต เมื่อเราออกกำลังกายนาน ๆ จะมีกรดเกิดขึ้นทำให้ pH ของ เลือดเปลี่ยนไป ระบบบัฟเฟอร์H2PO4- / HPO42-ในเลือดจะเข้าทำปฏิกิริยาเพื่อลดความเข้มข้นของกรดได้H2PO4-จะถูกกำกัดออกมาทางปัสสาวะ 2. ระบบ H2CO3/HCO3-จะควบคุม pH ของพลาสมาในเลือดให้มีค่าอยู่ระหว่าง7.35-7.45 ซึ่งเกิดปฏิกิริยาดังนี้
การไทเทรตกรด-เบส (Acid-base titration) เป็นกระบวนการวิเคราะห์หาปริมาณของกรดหรือเบส โดยให้สารละลายกรดหรือเ บสทำปฏิกิริยาพอดีกับสารละลายมาตรฐาน เบสหรือกรดซึ่งทราบความเข้มข้นที่แน่นอน และใช้อินดิเคเตอร์เป็นสารที่บอกจุดยุติ ด้วยการสังเ กตจากสีที่เปลี่ยน ขณะไทเทรต pH จะเปลี่ยนไป ถ้าเลือกใช้อินดิเคเตอร์เหมาะสม จะบอกจุดยุติใกล้เคียงกับจุดสมมูล จุดสมมูล ( จุดสะเทิน = Equivalence point) คือจุดที่กรดและเบสทำปฏิกิริยาพอดีกัน จุดสมมูลจะมี pH เป็นอย่างไร<wbr>นั้นขึ้นอยู่กับชนิดของกรดและเบสที่นำมาไทเทรตกัน และขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของกรดและเบส
จุดยุติ (End point) คือจุดที่อินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี ขณะไทเทรตกรด- เบสอยู่ จุดยุติจะใกล้เคียงกับจุดสมมูลได้นั้น จะ ต้องเลือกอินดิเคเตอร์เหมาะสม ในทางปฏิบัติถือว่าจุดยุติ เป็นจุดเดียวกับจุดสมมูล จุดยุติ (End point) การที่จะทราบว่า ปฏิกิริยาการไทเทรตถึงจุดสมมูลหรือยังนั้น จะต้องมีวิธีการที่จะหาจุดสมมูล วิธีการหนึ่งคือ การใช้อินดิเคเตอร์ โดยอินดิเคเตอร์จะต้องเปลี่ยนสีที่จุดที่พอดีหรือใกล้เคียงกับจุดสมมูล นั่นคือ จุดที่อินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี จะเรียกว่า จุดยุติ
การหาความเข้มข้นของกรดไฮโดรคลอริก โดยการไทเทรตชันa) ตวงปริมาตรของสารละลายกรดด้วยปิเปดต์ใส่ขวดชมพู่b) ไทเทรตสารละลายมาตรฐานจากบิวเรตต์ลงในขวดชมพู่ที่มีสารละลายกรดไฮโดรคลอริกอยู่ด้วยc) การไทเทรตกรด- เบสจนถึงจุดยุติโดยสังเกตจากอินดิเคเตอร์เปลี่ยนสีd) อ่านปริมาตรของสารละลายเบส ( สารละลายมาตรฐาน) ที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาพอดีกับสารละลายกรดนี้ บันทึกข้อมูล วิธีการไทเทรตกรด - เบส คือ นำสารละลายกรดหรือเบสตัวอย่างที่ต้องการวิเคราะห์หาปริมาณ มาทำการไทเทรตกับสารละลายเบสหรือกรดมาตรฐานที่ทราบค่าความเข้มข้นที่แน่นอน กล่าวคือ ถ้าสารละลายตัวอย่างเป็นสารละลายกรด ก็ต้องใช้สารละลายมาตรฐานเป็นเบส นำมาทำการไทเทรต แล้วบันทึกปริมาตรของสารละลายมาตรฐานที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาพอดีกัน จากนั้นนำไปคำนวณหาปริมาณของสารตัวอย่างต่อไป หรือทางตรงกันข้าม ถ้าใช้สารละลายตัวอย่างเป็นเบส ก็ต้องใช้สารละลายมาตรฐานเป็นกรด
กราฟของการไทเทรต 1.อินดิเคเตอร์สำหรับปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสแก่ รูปกราฟของการไทเทรตระหว่างกรดแก่และเบสแก่ จะแสดง pH ที่จุดสมมูลอยู่ที่ pH ใกล้เคียง 7
2.อินดิเคเตอร์สำหรับปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่2.อินดิเคเตอร์สำหรับปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่ การเลือกอินดิเคเตอร์สำหรับการไทเทรตกรดอ่อน เช่น กรดแอซิติก กับเบสแก่ เช่น NaOHจะมีข้อจำกัดมากกว่าที่จุดสมมูลของการไทเทรต สารละลายจะมีโซเดียมแอซิเตต ทำให้สารละลายเป็นเบส มี pH มากกว่า 7 รูปกราฟแสดงการไทเทรตระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่และอินดิเคเตอร์ที่เหมาะสม