1 / 19

หน่วยการศึกษาที่ 1 เรื่อง ความเป็นมาของวิชาพันธุศาสตร์

หน่วยการศึกษาที่ 1 เรื่อง ความเป็นมาของวิชาพันธุศาสตร์. พันธุศาสตร์( Genetics ). พันธุศาสาตร์ (Genetics) เป็นวิชาที่ว่าด้วยการถ่ายทอดพันธุกรรม (heredity) ของลักษณะต่างๆในสิ่งมีชีวิต. 1. ยุคเริ่มแรก

helen
Download Presentation

หน่วยการศึกษาที่ 1 เรื่อง ความเป็นมาของวิชาพันธุศาสตร์

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. หน่วยการศึกษาที่ 1เรื่อง ความเป็นมาของวิชาพันธุศาสตร์

  2. พันธุศาสตร์(Genetics) พันธุศาสาตร์(Genetics) เป็นวิชาที่ว่าด้วยการถ่ายทอดพันธุกรรม (heredity) ของลักษณะต่างๆในสิ่งมีชีวิต

  3. 1. ยุคเริ่มแรก มนุษย์รู้จักผสมพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ แต่ไม่มีการบันทึกเป็นแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เรียกว่าพันธุประวัติ หรือพงศาวลี หรือ เพดดิกรี (pedigree)ไว้เป็นหลักฐาน เพิ่งเริ่มเมื่อประมาณหกพันปีมานี่เอง โดยชาวบาบิโลนได้ทำการผสมและปรับปรุงพันธุ์ม้า และผลอินทผาลัม ก่อนคริสตกาลชาวยีนเริ่มรู้จักวิธีการปรับปรุงพันธุ์ข้าว มนุษย์พยายามจะตอบปัญหาเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะ โดยตั้งทฤษฎีหรือสมมติฐานต่าง ๆ ขึ้นอธิบาย สมมติฐานและทฤษฎีต่าง ๆ ที่พอจะรวบรวมได้ มีดังนี้ ประวัติวิชาพันธุศาสตร์

  4. ประมาณ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ไพราโกรัส เสนอว่า เวเปอร์ ซึ่งสร้างขึ้นโดยอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายเกิดการเรียงตัวต่อกันเป็นคนขึ้นมา และเป็นผู้ตั้งทฤษฎีเวเปอร์และฟลูอิด (Vapors and Fluids) • 384-322 ปีก่อนคริสต์ศักราช อริสโตเติล เสนอว่า ในน้ำอสุจิของฝ่ายชายนั้น มีคนขนาดเล็กสำเร็จรูปอยู่แล้วและเป็นตัวที่ก่อให้เกิดมนุษย์ในครรภ์ขึ้น • ค. ศ. 1694 นักวิทยาศาสตร์ชาวดัทช์ ชื่อ แจน สแวมเมอร์แดม (Jan Swammerdam) เสนอทฤษฎีพรีฟอร์เมชัน (preformation) ที่กล่าวว่า มีคนตัวเล็ก ๆอยู่ในไข่ของฝ่ายหญิงและถูกกระตุ้นให้เจริญเติบโตขึ้นโดยอสุจิของฝ่ายชายทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือกันโดยทั่วไป

  5. ค. ศ. 1738-1794 ซี.เอฟ.วอล์พ (C.F.Walff) และ เค. อี. วอน แบร์ (K.E.VonBear)นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันได้เสนอทฤษฎี อีพิเจเนซีส   (Epigenesis) ซึ่งมีใจความสำคัญว่าสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยการเจริญเติบโต (growth) และกระบวนการพัฒนาการ (development) เซลล์สืบพันธุ์เป็นเพียงหยดของเหลว ซึ่งภายในปราศจากตัวตนและรูปร่างของสิ่งมีชีวิตแต่เมื่อเซลล์สืบพันธุ์รวมตัวกันหรือที่เรียกว่า การปฏิสนธิ   (fertilization) จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับ จนกลายเป็นตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ในไข่ของไก่ไม่มีลูกไก่ขนาดเล็กอยู่ในนั้นซึ่งเป็นการหักล้างเกี่ยวกับ ทฤษฎี พรีฟอร์เมชัน แต่ทฤษฎีนี้ก็ไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง

  6. ค. ศ. 1744-1829 ชอง บัปตีสต์ เดอ ลามาร์ก (Jean Baptiste de Lamarck) ได้เสนอทฤษฎีการใช้และไม่ใช้ (used and   disused theory) โดยอธิบายว่าลักษณะต่างๆในสิ่งมีชีวิตเกิดจากการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมอวัยวะใดมีการใช้งานมากก็จะเจริญเติบโตและแข็งแรง ส่วนอวัยวะใดไม่ถูกใช้งานก็จะฝ่อและสูญหายไปและลักษณะเหล่านี้สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ • ค. ศ. 1809-1882 ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ได้ตั้งทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีใจความว่า สปีชีส์ใหม่ของสิ่งมีชีวิต เกิดจากการคัดเลือก โดยธรรมชาติสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงมีลักษณะเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมจะประสบความสำเร็จในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดและสิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์ย่อมมีความแปรผันของลักษณะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ดาร์วินยังได้เขียนและพิมพ์เผยแพร่หนังสือเรื่องจุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต (The origin of species) เมื่อ ค. ศ.1865 ด้วย

  7. ค. ศ. 1823-1913 อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ (Alfred Russel Wallace) ได้ตั้งทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งตรงกับ ชาลส์ ดาร์วินโดยที่ไม่รู้กันมาก่อน • ค. ศ.1834-1914 เอากุสต์ ไวส์มันน์ (August Weismann) ได้ทำการทดลองตัดหางหนู รุ่นพ่อแม่ ถึง 22 รุ่นก็ยังปรากฏว่าลูกหนูทุกตัวที่เกิดจากพ่อแม่ที่ถูกตัดหางยังคงมีหางยาว เป็นการแสดงว่าลักษณะหางกุด ซึ่งเกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมไม่สามารถถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูกหลานได้นอกจากนี้ เขายังได้ตั้งทฤษฎีเจิร์มพลาซึม (Germplasm theory) ซึ่งกล่าวว่าร่างกายของสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยเนื้อเยื่อสองชั้น คือ โซมาโทพลาซึม (somatoplasm) และเจิร์มพลาซึม โดยที่ โซมาโทพลาซึม คือส่วนที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกาย และเจิร์มพลาซึม คือส่วนที่เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ • ค. ศ. 1849-1922 เฮิร์ทวิก (Hertwig) ได้ทำการศึกษาในหอยเม่น (sea urchin) และพบว่ากระบวนการปฏิสนธิเกิดจากการรวมกันระหว่างนิวเคลียสของไข่และสเปิร์ม

  8. ค. ศ. 1862-1915 โบเฟรี (Boveri), เฮนกิง (Henking) และมอนท์โกเมอรี (Montgomery) ได้ศึกษาและอธิบายกลไกของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซีส (mitosis) และไมโอซีส (meiosis) • ค. ศ. 1822-1884 เกรกอร์ โยฮันน์ เมนเดล (Gregor Johann Mendel) อธิบายและสรุปผลการทดลองว่า ลักษณะต่าง ๆ จะถูกควบคุมโดยแฟกเตอร์ (factors) ต่อมาเรียกว่า ยีน (gene) ซึ่งมีอยู่เป็นคู่ และสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปได้โดยผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์ • ค. ศ. 1844-1895 โยฮันน์ ฟรีดริช มีเชอร์ (Johann Friedrich Miescher) สามารถแยกนิวเคลียสออกจากไซโทพลาซึม (cytoplasm) ของเซลล์ที่เกิดหนอง (pus cell) จึงเรียกว่า นิวคลีอิน(nuclein) ต่อมาศึกษาพบว่ามีคุณสมบัติเป็นกรด และตั้งชื่อใหม่ว่า กรดนิวคลีอิก (nucleic   acid) จึงถือว่า มีเชอร์ เป็นบุคคลแรกที่พบ ดีเอ็นเอ

  9. ค. ศ. 1848-1935 เด ฟรีส์ ฮูโก (De Vries Hugo) ได้ทำการทดลอง และค้นพบกฎการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม ตรงตามที่เมนเดลรายงานไว้และยกย่องให้เกียรติแก่เมนเดลเป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์ นอกจากนี้เขายังได้เสนอทฤษฎีการกลายของสิ่งมีชีวิต (mutation theory) • ค.ศ. 1861-1926 วิลเลียม เบตสัน (William Bateson) เป็นผู้ค้นพบลักษณะพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครโมโซมและเป็นผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์สาขานี้ว่า พันธุศาสตร์ • ค. ศ. 1862-1915 เทโอดอร์ ไฮน์ริช โบเฟรี (Theodor Heinrich Boveri) ค้นพบการแยกตัวของโครโมโซมในไข่ของแอสคารีส เวอร์มิคูลารีส (   Ascaris vermicularis)

  10. ค. ศ.1871-1962 เอริช แชร์มาค ฟอนไซเซเนกก์ (Erich Tschermak von Seysenegg)   ค้นพบหลักการถ่ายทอดกรรมพันธุ์เช่นเดียวกับเมนเดล โดยไม่รู้กันมาก่อน ซึ่งต่อมาเรียกว่า กฎของเมนเดล • ค. ศ. 1877-1916 วอลเตอร์ สแตนบะระ ซัตตัน (Walter Stanborough Sutton) ได้เสนอทฤษฎีโครโมโซมโดยได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงมีโครโมโซม (chromosome) ที่เหมือนกันและอยู่กันเป็นคู่ ๆ เรียกว่า โฮโมโลกัสโครโมโซม   (homologous chromosome) โครโมโซมที่เป็นคู่กันนี้ ถ้าหากมียีนเหมือนกันทุกตำแหน่ง เรียกว่า โฮโมไซกัสโครโมโซม (homozygous   chromosome) หากมียีน ต่างกันบางตำแหน่ง หรือมีรูปร่างต่างกันแต่ยังเป็นคู่กันอยู่ เรียกว่าเฮเทโรไซกัส โครโมโซม (heterozygous   chromosome) ซัตตันได้รับการยกย่อง ว่าเป็นผู้ค้นพบยีนอยู่บนโครโมโซม • ค. ศ. 1902 การ์รอด (Garrod) ได้ค้นพบโรคพันธุกรรมในมนุษย์เป็นครั้งแรก คือ โรคโลหิตไหลไม่หยุด (haemophillia)   จากตระกูลของพระนางเจ้าวิกตอเรีย ราชินีแห่งราชวงศ์อังกฤษ

  11. ค. ศ. 1908 ฮาร์ดี และ ไวน์ เบิร์ก (Hardy and Weinberg) เป็นผู้เสนอ กฎเกี่ยวกับความสมดุลของประชากร เรียกว่า กฎของฮาร์ดีและไวน์เบิร์ก • ค. ศ. 1909 โจฮันเซน (Johansen) เป็นผู้นำคำว่า ยีน มาใช้แทนคำว่า แฟกเตอร์ในสมัยของเมนเดล • ค. ศ.1910 ทอมัส ฮันต์ มอร์แกน (Thomas Hunt Morgan) ศึกษาเกี่ยวกับโครโมโซมเพศของแมลงหวี่ โดยสรุปว่าลักษณะตาสีขาวของแมลงหวี่ถูกควบคุมด้วยยีนด้อยที่มีตำแหน่งอยู่บนโครโมโซมเพศและต่อมาในปี ค.ศ.1911 เขายังแสดงให้เห็นอีกว่าบนโครโมโซมแต่ละแท่งประกอบด้วยยีนหลาย ๆ ตำแหน่งรวมกันอยู่ (linkage) และตั้งทฤษฎีโครโมโซมเกี่ยวกับพันธุกรรม • ค. ศ. 1913 สเทอร์ทีวันต์ (Sturtevant) เป็นบุคคลแรกที่สร้างแผนที่ยีน (genetic map) • ค.ศ. 1927 เฮอร์มันน์ โจเซฟ มัลเลอร์ (Hermann Joseph Muller) ค้นพบว่า รังสีเอกซ์ (x-rays) ก่อให้เกิดการกลายของยีน

  12. ค.ศ. 1928 เอฟ. กริฟฟิต (F. Griffith) ได้ค้นพบปรากฏการณ์ ทรานสฟอร์เมชัน (transformation) จากการทดลองกับแบคทีเรียนิวโมคอกคัส   (pneumococcus bacteria) สาเหตุของโรคปอดอักเสบ (pneumonia) ซึ่งเกิดจากเชื้อนิวมอเนีย (Diplococcus neumoniae) • ค. ศ. 1931 คริกทัน แมกซ์ คลินทอกและสเทิร์น (Creighton, Mc Clintock and Stern) พบการจัดเรียงตัวใหม่ของยีนบนโครโมโซม   (genetic   recombination) สัมพันธ์กับการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนของโครโมโซม • ค. ศ. 1941 จอร์จ เวลส์ บีเดิล (George Wells Beadle) ร่วมกับ ทาทัม และเลเดอร์เบิร์ก (Tatum and Lederberg)ได้เสนอสมมติฐาน "1 ยีน   1 เอ็นไซม์" (one gene one enzyme hypothesis) จากการทดลองในเชื้อรานิวโรสปอรา (neurospora) • ค. ศ. 1944 โอ. ที. เอเวอรี, ซี. แมกลอยด์ และ เอ็ม. แมกคาร์ที (O. T. Avery, C.Macleodand M. Mc Carty) ได้ทำการทดลองทำนองเดียวกับที่ กริฟฟิต ทำการทดลองในปี ค.ศ.1928   พบว่าสารที่ทำให้เกิดการทรานสฟอร์เมชันในแบคทีเรียคือ ดีเอ็นเอและสรุปว่าดีเอ็นเอเป็นสารพันธุกรรม

  13. ค. ศ.1946 เลเดอร์เบิร์กและทาทัม (Lederberg and Tatum) พบการสืบพันธุ์ของแบคทีเรีย เรียกว่า การคอนจูเกชัน (conjugation)   โดยมันจะใช้ร่องของลำตัวมาประกอบกันแล้วเกิดการแลกเปลี่ยนนิวเคลียสซึ่งกันและกัน • ค. ศ. 1950 แมกซ์คลินทอก (Mc Clintock) ได้ค้นพบว่า ดีเอ็นเอ ในข้าวโพดเคลื่อนที่ได้และตั้งชื่อว่า ทรานส์โพสเบิล อีลีเมนต์ (transposable   element) • ค. ศ. 1952 เฮอร์ชีส์ และเชส (Hershey and Chase) ทำการทดลองในฝาจ T2 (phageT2) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดหนึ่ง พบว่ามี ดีเอ็นเอ เช่นเดียวกัน จึงสรุปว่า ดีเอ็นเอ เป็นสารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด • ค. ศ. 1952 ซินเดอร์และเลเดอร์เบิร์ก (Zinder and Lederberg) พบการเกิดทรานสดักชัน(transduction) ในแบคทีเรีย • ค. ศ. 1953 เจมส์ ดิวอีย์ วอตสัน (James Dewey Watson ) เสนอโครงสร้าง 3 มิติของดีเอ็นเอ ร่วมกับฟรานซิส คริก และ มอริช วิลคินส์

  14. ค. ศ. 1955 เบนเซอร์ (Benzer) ศึกษาไวรัสฝาจ T4 และรายงานโครงสร้างอย่างละเอียดของยีนที่ตำแหน่ง r II • ค. ศ. 1955 ฟรังเกล คอนรัท และซิงเกอร์ (Fraenkel Conrat and Singer) ได้ทำการทดลองในไวรัสที่ทำให้เกิดโรคใบด่างในยาสูบ (tobaeco   mosaic virus) พบว่า อาร์เอ็นเอ (RNA = ribonucleic acid) ก็เป็นสารพันธุกรรม เช่นเดียวกับ ดีเอ็นเอ • ค. ศ. 1956 ทะจิโอะและเลแวน (Tjio and Levan) แสดงให้เห็นว่าโครโมโซมของมนุษย์มี 46 โครโมโซม • ค. ศ.1958 มีเซลสันและสเทาล์ (Meselson and Stahl) พิสูจน์ให้เห็นว่าแบบแผนการจำลองตัวเองของดีเอ็นเอ เป็นแบบกึ่งอนุรักษ์   (semiconservative type) • ค. ศ. 1958 คอร์นเบิร์ก (Kornberg) สามารถแยกเอ็นไซม์ ดีเอ็นเอโพลีเมอเรส I (DNA polymerase I) ออกจากเอสเชอริเชีย คอไล   (Escherichia   coli) ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในวงการพันธุวิศวกรรมในปัจจุบัน

  15. ค. ศ. 1959 ออกโค (Ochoa) ค้นพบเอ็นไซม์ อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรส (RNA polymerase) นับเป็นพื้นฐานให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านพันธุวิศวกรรมอย่างรวดเร็ว • ค. ศ. 1961 เบรนเนอร์ ยาคบ และมีเซลสัน (Brenner, Jacob and Meselson) ค้นพบเอ็มอาร์เอ็นเอ (mesenger = mRNA) • ค. ศ. 1961 ยาคบและโมนอด (Jacob and Monod) ได้เสนอทฤษฎี ที่อธิบายกลไกการควบคุมการแสดงออกของยีน (gene expression)   หรือกลไกการควบคุมกระบวนการลอกรหัส (transcription) เรียกว่า ทฤษฎีโอเปรอน (operon theory) • ค. ศ.1964ยานอฟสกีและคนอื่นๆ (Yanofskyetal) พร้อมทั้งเบรนเนอร์และคนอื่นๆ (Brenneretal) ได้ร่วมกันเสนอผลงานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างยีน และโพลีเปปไทด์ที่ยีนนั้นผลิตขึ้น • ค. ศ. 1966 นิเรนเบิร์กและโครานา (Nirenberg and Khorana) สามารถหารหัสพันธุกรรม(genetic code)   สำหรับควบคุมการสร้างกรดอะมิโนแต่ละชนิดจนครบสมบูรณ์

  16. ค. ศ. 1970 นาธานและสมิธ (Nathans and Smith) แยกเอ็นไซม์ตัดจำเพาะ (restriction enzyme) ชนิดแรกได้สำเร็จนับเป็นก้าวแรกที่เข้าสู่ยุคแห่งการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ • ค. ศ. 1970 บัลติมอร์ (Baltimore) ได้ศึกษาอาร์เอ็นเอ ทูเมอร์ ไวรัส (RNA tumor virus) และสามารถแยกเอ็นไซม์รีเวอร์สทรานสคริพเทส   (reverse   transcriptase) ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก • ค. ศ. 1972 เบิร์ก (Berg) สังเคราะห์ดีเอ็นเอสายผสม (recombinant DNA) ในหลอดแก้วได้สำเร็จ • ค. ศ. 1973 โบเวอร์และโคเฮ็น (Boyer and Cohen) ศึกษาการใช้พลาสมิดจากแบคทีเรียในการโคลนดีเอ็นเอได้สำเร็จ • ค. ศ. 1977 แมกซัม, กิลเบิร์ท, แซงเกอร์, คริกเคลน และคูลสัน (Maxam, Gilbert,Sanger, Kicklen and Coulson)   ได้ร่วมกันเสนอกรรมวิธีในการหาลำดับเบสในโมเลกุลของดีเอ็นเอ

  17. ค. ศ. 1977 แซงเกอร์และคนอื่น ๆ (Sanger et al) สามารถหาลำดับเบสในดีเอ็นเอของฝาจ แลมบ์ดา 174 ได้จำนวน 5,387 เบส และต่อมาในปี ค.ศ. 1982 นักวิทยาศาสตร์คณะนี้ก็ได้หาลำดับเบสของดีเอ็นเอในฝาจแลมบ์ดาได้สมบูรณ์ถึง 48,502 เบส • ค. ศ. 1983 คีชและอัลท์มัน (Cech and Altman) ค้นพบเอ็นไซม์ไรโบไซม์ (ribozyme) จากอาร์เอ็นเอ แสดงว่า อาร์เอ็นเอ มีคุณสมบัติในการผลิตเอ็นไซม์ เช่นเดียวกับ ดีเอ็นเอ • ค. ศ. 1985 มัลเลสและฟาลูนากับคนอื่น ๆ (Mulles and Faloona et al) ได้ค้นพบเทคนิคพีซีอาร์ (PCR หรือ polymerase chain reaction) ซึ่งเป็นวิธีการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอโดยไม่ต้องโคลนอีกต่อไป • ค. ศ. 1988 วอตสัน (Watson) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประสานงานโครงการจีโนมของมนุษย์ ซึ่งใช้นักวิทยาศาสตร์สาขาอณูพันธุศาสตร์   (molecular   genetics) จากทั่วโลกร่วมกันหาลำดับเบสในดีเอ็นเอของมนุษย์ออกมาให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลก

  18. ค. ศ. 1988 โมชิ (Moyzis) ได้ค้นพบเทโลเมียร์ (telomere) ในโครโมโซมของมนุษย์ซึ่งมีลำดับเบสซ้ำ ๆ กันเป็น TTAGGG และมีซ้ำ ๆ กันตั้งแต่   250 ถึง 1,000 ซ้ำ • ค. ศ. 1989 ทะสุอิ, ริโอดัน และคอลลินกับคนอื่น ๆ (Tsui, Riordan and Collin et al) สามารถแยกและโคลนยีน ซีสติกไฟโบรซีส (cystic   fibrosis   gene) ได้สำเร็จ • ค. ศ. 1990 วอตสันและคนอื่น ๆ (Watson et al) และนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกได้ร่วมกันทำแผนที่ยีนและหาลำดับเบสของจีโนมที่สมบูรณ์ในมนุษย์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก รวมทั้งของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อีกหลายชนิด • ค. ศ. 1993 มัลลีสและสมิธ (Mullis and Smith) ปรับปรุงเทคนิค PCR (polymerase chain reaction) และ SDM (site-directed   mutagenesis) และในปีเดียวกันนี้ โรเบิร์ทและชาร์ป (Robertsand Sharp) ค้นพบกลไกควบคุมการทำงานของ RNA (RNA processing   of split   genes)

  19. ค. ศ. 1994 นักวิทยาศาสตร์แห่งบริษัทคาลยีน (Calgene) เมืองเดวิส แคลิฟอร์เนีย ได้ผลิตมะเขือเทศตัดแต่งยีน ชื่อ เฟลเวอร์ ซาเวอร์ (Flav'r   Sav'r)   ซึ่งทำโดยการสอดใส่ยีนยับยั้งการสร้างเอ็นไซม์ PG (poly-galacturonase) เข้าไปในเซลล์ของมะเขือเทศเอ็นไซม์นี้จะสลายเพกตินที่ผนังเซลล์ซึ่งทำให้ผลนิ่มเละเมื่อผลสุก แต่เมื่อเอ็นไซม์ถูกยับยั้งผลมะเขือเทศจะสุกแต่มีรสชาติดีและไม่เละนับเป็นพืชแต่งพันธุ์ชนิดแรกของโลกที่นำออกจำหน่าย • ค. ศ. 1995 ลิวอีสและคนอื่น ๆ (Lewis et al) ค้นพบยีนที่ควบคุมการพัฒนาเบื้องต้นในแมลงหวี่ • ค. ศ. 1997 แอน วิลมัท (Ian Wilmut) สร้างแกะดอลลี่ได้สำเร็จ • ค. ศ. 1998 นักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศทั่วโลก สามารถโคลนสัตว์ชนิดต่าง ๆ ได้เช่น แกะ วัว หมี ฯลฯ • ค. ศ. 2001 บริษัท ACT (Applied Cell Technology) แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถโคลนเซลล์ต้นแบบ (stem cell) จากมนุษย์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก

More Related