280 likes | 540 Views
บทที่ 9. Photomorphogenesis. รองศาสตราจารย์ ดร.ดนัย บุณยเกียรติ ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2. 1. Phototropism 2. Photoperiodism 3. Photomorphogenesis. 3. 1. ไฟโตโครม (Phytochrome) 2. คริพโตโครม (Cryptochoe) 3. UV-B photoreceptor
E N D
บทที่ 9 Photomorphogenesis รองศาสตราจารย์ ดร.ดนัย บุณยเกียรติ ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2 1. Phototropism 2. Photoperiodism 3. Photomorphogenesis
3 1. ไฟโตโครม (Phytochrome) 2. คริพโตโครม (Cryptochoe) 3. UV-B photoreceptor 4. โปรโตคลอโรฟิลด์ เอ (Protochlorophyllide a)
4 • Photomorphogenesis มี 2 ระยะ คือ Pattern specification เป็นระยะที่เซลล์และเนื้อเยื่อพัฒนาให้มีความสามารถที่จะตอบสนองต่อแสง และ Pattern realization เป็นระยะที่เป็นกระบวนการที่ตอบสนองต่อแสง • ไฟโตโครม เป็นระยะของสารสี ซึ่งพบทั่วไปในพืชชั้นสูงและสาหร่ายมีมวลประมาณ 120,000 ดัลตัน พบในปริมาณที่น้อยมากประมาณ 0.1% ของโปรตีน ทั้งหมดประกอบด้วยโปรตีนที่มีกลุ่มพรอสทิติค (Prosthetic Group) 1 กลุ่ม ซึ่งเป็นเตตราไพโรลที่เป็นลูกโซ่เปิด (Open-chain tetrapyrrole type) ซึ่งเป็นส่วนที่ดูดแสงได้
5 • ไฟโตโครมที่สามารถดูดแสงสีแดงซึ่งมีความยาวคลื่น 660 nm อยู่ในรูป Pr ซึ่งเป็นรูปที่สังเคราะห์โดยพืชเมื่อได้รับแสงสีแดงPrจะเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเป็น Pfr ซึ่งจะดูดซับแสง Far Red ซึ่งมีความยาวคลื่น730 nm รูป Pr ของไฟโตโครมเป็นรูปที่ค่อนข้างอยู่ตัวส่วน Pfr นั้นสลายตัวง่ายในพืชใบเลี้ยงคู่บางชนิด เช่นกะหล่ำดอก Pfr จะสามารถเปลี่ยนกลับไปเป็น Pr ได้ในขณะที่อยู่ในที่มืดเรียกว่า เกิด "Dark Reversion"
6 • Pfr นั้นเมื่อได้รับแสง Far Red จะเปลี่ยนกลับเป็น Pr อย่างรวดเร็วภายในเวลา 20-30 มิลลิเซคกัน (milliseconds) ส่วน Pr จะกลับเป็น Pfr เมื่อได้รับแสงสีแดงเป็นเวลาหลายวินาที • โดยทั่วไปแสงสีแดงจะทำให้เกิด Pfr ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์และ Pr 20 เปอร์เซ็นต์
7 สาหร่ายBryophytes และPteridophytes • การงอกของสปอร์ • การเคลื่อนที่ของคลอโรพลาสต์ • การเจริญและพัฒนาของ Protonema
8 Gymnosperms • การงอกของเมล็ด • การโค้งของส่วนใต้ใบเลี้ยงของต้นอ่อน • การขยายตัวของปล้อง • การพักตัวของตา
9 Angiosperms • การงอกของเมล็ด • การโค้งของส่วนใต้ใบเลี้ยงของต้นอ่อน • การขยายตัวของปล้อง • การเกิดส่วนที่เจริญเป็นราก • การเกิดใบและการเจริญเติบโต • การเคลื่อนที่ของใบย่อย • การยอมให้สารผ่านเข้าออกของเยื่อหุ้มเซลล์ • การโค้งเข้าหาและออกจากแสง • การตอบสนองต่อแรงดึงดูดของโลก • การสังเคราะห์แอนโธไซยานิน
10 • ไฟโตโครมนั้นมีสองชนิดเรียกว่าชนิดที่ 1 (Type I) และชนิดที่ 2 (Type II) ชนิดที่ 1 นั้นพบมากในต้นอ่อนที่เจริญเติบโตในที่มืด (Etiolated seeding) และชนิดที่ 2 พบมากในพืชสีเขียวและเมล็ด (อย่างน้อยพบในเมล็ดของข้าวโอ๊ต) • จากการศึกษาปฏิกิริยาทาง Immunology โปรตีนของไฟโตโครมชนิดที่ 1 และ 2 ต่างกันอย่างชัดเจน
11 • การสลายตัวของ Pfr ของไฟโตโครมชนิดที่ 1 นั้นในปัจจุบันทราบแน่ชัดแล้วว่าเกิดโดยกระบวนการซึ่ง Pfr จะไปเกาะติดกับโปรตีนขนาดเล็กซึ่งชื่อว่า Ubiquitin ซึ่งพบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตชนิด Eucaryote ทั่วไปแต่ไม่พบใน ProcaryoteUbiq uitin เป็นโปรตีนขนาดเล็กซึ่งมีกรดอะมิโนเพียง 76 ลำดับการเกาะติดกับ Ubiquitin ของ Pfr มีผลทำให้เกิดการทำลาย Pfr โดยการคะตะไลท์ของเอนไซม์ 3 ชนิดและเป็นกระบวนการซึ่งต้องการ ATP
13 ผลของแสงต่อการเรียงตัวของคลอโรพลาสต์13 • เมื่อความเข้มของแสงสูง ตามปกติคลอโรพลาสต์จะเรียงตัวในแนวตรงไปตามรัศมีของผนังเซลล์ เพื่อให้บังร่มกันเองป้องกันการถูกทำลายจากแสง ในสภาพแสงความเข้มน้อยหรือในที่มืดคลอโรพลาสต์จะแยกออกเป็นสองกลุ่มกระจายไปตามผนังเซลล์ที่ใกล้ที่สุดจากแหล่งแสงเพื่อให้ดูดรับแสงให้ได้มากที่สุด
14 ผลของแสงในการกระตุ้นการสังเคราะห์ฟลาโวนอยส์ (Flavonoid) • ผลแอปเปิลที่อยู่ทางด้านใต้ทรงพุ่มจะสังเคราะห์แอนโธไซยานินได้มากกว่าและเร็วกว่าผลที่อยู่ทางด้านเหนือของทรงพุ่ม • การสังเคราะห์ฟลาโวนอยส์ต้องการน้ำตาลเพื่อเกิดเป็น Phosphoenolpyruvate และ Erythrose-4-phosphate ซึ่งเป็นแหล่งของคาร์บอนในวงแหวน B และเป็นแหล่งของกลุ่มอะซีเตทซึ่งอยู่ในวงแหวน A
15 ผลของแสงในการกระตุ้นการสังเคราะห์ฟลาโวนอยส์ (Flavonoid) 15 • การใช้ Phenylalanine ในการสร้างวงแหวน B เพราะว่า Phenylalanine นั้นสามารถถูกนำไปใช้ในกระบวนการเมตาบอลิสม์เป็นจำนวนมาก การควบคุมของแสงเป็นขั้นตอนแรกในการเปลี่ยน Phenylalanine ให้เกิดวงแหวน B ขั้นตอนนี้ต้องการเอนไซม์ชื่อ Phenylalanine ammonia lyase และแสงจะกระตุ้นกิจกรรมของเอ็นไซม์นี้ในพืชหลายชนิด • ในทำนองเดียวกันลิกนินซึ่งเกิดโดย Shikimic pathway เหมือนฟลาโวนอยด์ก็เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ Phenylalanine ammonia lyase
16 ผลของแสงในการงอกของเมล็ด • เมล็ดที่ต้องการแสงในการงอกเรียกว่า Photodormant • ระดับอุณหภูมิก่อนและหลังการได้รับแสงจะมีความสำคัญมากกว่าในระหว่างการได้รับแสงโดยตรง • กระบวนการทางเคมีซึ่งควบคุมโดย Phytochrome จะมีความไวต่ออุณหภูมิ • เมล็ดของผักสลัดพันธุ์ Grand Rapids ซึ่งปกติแสงจะกระตุ้นการงอกแต่ถ้าให้เมล็ดอยู่ที่อุณหภูมิ 35 oC หลังจากการได้รับแสงหรือในขณะได้รับแสงจะทำให้เมล็ดนี้พักตัว • เมล็ดของผักสลัดพันธุ์ Great Lakes ไม่ต้องการแสงในการงอก แต่ถ้าหากเมล็ดที่ชื้นอยู่ภายใต้อุณหภูมิ 35 oC เมล็ดนี้จะกลายเป็นเมล็ดชนิด Photodormant
17 กลไกการทำงานของไฟโตโครม • การเปลี่ยนแปลงการยอมให้สารผ่านเข้าออกของเยื่อหุ้มเซลล์ (Change in Membrane Permeability) • ผลในขั้นทีสองของไฟโตโครม คือ การควบคุมระบบเอนไซม์