450 likes | 617 Views
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7. เซตและตรรกศาสตร์. 1. เซต ( Set ).
E N D
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เซตและตรรกศาสตร์
1. เซต (Set) • เซต (Set) เป็นชุดคำสั่งที่ต้องการกล่าวถึง โดยเขียนไว้ภายในเครื่องหมายวงเล็บปีกกา (Set) แต่ละสิ่งที่ต้องกล่าวถึงเรียกว่า สมาชิกของเซต (Element) เขียนแทนด้วยอักษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็กคั่นด้วยจุลภาค “.” (Comma) เช่น {a, e, i, o, u} การเขียนชื่อของเซตจะใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น A={a, e, i, o, u} “เป็นสมาชิกของเซต” เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ เช่น a A อ่านว่า a เป็นสมาชิกของ A “ไม่เป็นสมาชิกของเซต” เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ เช่น b A อ่านว่า a ไม่เป็นสมาชิกของ A
วิธีการเขียนเซต 1. เขียนแบบแจกแจงสมาชิก เป็นการเขียนสมาชิกไว้ในเครื่องหมายวงเล็บปีกกาและคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น A เป็นเซตของสีธงชาติไทย A={แดง, ขาว, น้ำเงิน} B เป็นเซตของสระในภาษาอังกฤษ B={a, e, i, o, u}
2. เขียนแบบบอกเงื่อนไข โดยใช้ตัวแปรแทนสมาชิกทุกตัวที่จะกล่าวถึง และบอกว่าตัวแปรนั้นแทนอะไร เช่น x แทนสระทุกตัวในภาษาอังกฤษ จะต้องบอกว่า x โดยที่ x เป็นสระในภาษาอังกฤษ เขียนแบบบอกเงื่อนไขได้ดังนี้ {x|x เป็นสระทุกตัวในภาษาอังกฤษ } เซตว่าง (Empty Set หรือ Null) เป็นเซตที่ไม่มีสมาชิก เขียนแทนด้วย { } หรือ
ชนิดของเซต 1. เซตจำกัด (Finite Set) เป็นเซตที่บอกสมาชิกเป็นจำนวนสมาชิกเต็มบวกได้ เช่น {1, 3, 5,…, 99 } {a, f, d, f } {x|x เป็นจำนวนเต็มบวกที่น้อยกว่า 12} 2. เซตอนันต์ (Infinite Set) เป็นเซตที่สมาชิกเป็นจำนวนสมาชิกเต็มบวกที่ไม่สามารถบอกจำนวนทั้งหมดได้ จะเขียน “…” เช่น {-2, -1, 0, 1, 2, …. } {1, 3, 5, …. } {x|x >1}
ชนิดของเซต 3. เซตที่เท่ากัน (Equivalent Set) เป็นเซตที่มีสมาชิกเหมือนกันทุกตัวแม้จะเรียงลำดับต่างกัน เช่น A= {2, 4, 6} B= {6, 4, 2} แสดงว่า A=B C= {2, 4, 6, 8} D= {6, 4, 2} แสดงว่า C≠D
2. เอกภพสัมพัทธ์ (Relative Universe) • เอกภพสัมพัทธ์ (Relative Universe) เป็นเซตหลักที่กำหนดขึ้นมาจากการเขียนเซตแบบบอกเงื่อนไข ภายในเอกภพสัมพัทธ์จะประกอบไปด้วยสมาชิกตามเงื่อนไขที่กำหนดมา จะมีสมาชิกนอกเหนือไปจากที่กำหนดไม่ได้ เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ Uถ้าไม่ระบุเอกภพสัมพัทธ์ ถือว่าเป็นจำนวนจริงใด ๆ (R)เช่น A= {x|x2 -2x-15 = 0} จาก x2 -2x-15 = 0 (x-5)(x+3)= 0 x = 5, -3 ∴ A = {5} เพราะ -3 ไม่เป็นสมาชิกของเอกภพสัมพัทธ์
3. ความสัมพันธ์ระหว่างเซต 3.1 เซตย่อย (Subset) กำหนดให้ A= {1, 2, 3} พิจารณาจากเซต {1}, {2}, {3}, {1, 2} , {1, 3} , {2, 3} , {1, 2, 3} จะเห็นว่า เซตต่างๆ มีสมาชิกที่มาจากสมาชิกของเซต A เรียกว่าเป็นเซตย่อยของเซต A เขียนแทนด้วยสัญลักลักษณ์ “⊂” เซต A จะเป็นเซตย่อยของ B ก็ต่อเมื่อสมาชิกของเซต A ทุกตัวเป็น สมาชิกของเซต B เขียนแทนด้วย A ⊂ B
3.2 เซตยกกำลัง (Power Set) เซตกำลังของเซตใดๆ คือเชตที่มีสมากชิกเป็นเซตย่อยทั้งหมดของเซตที่กำหนด ถ้า A เป็นเซตใดๆ เซตกำลังของ A เขียนแทนด้วย P(A)ถ้า เป็นเซตใดๆ เซตกำลังของ B เขียนแทนด้วย P(B) A= {o, u, t} เซตย่อยของเซต A คือ {o}, {u}, {t}, {o, u} , {o, t} , {u, t} ,{o, u, t}, P(A) = {o}, {u}, {t}, {o, u} , {o, t} , {u, t}, {o, u, t},
3.3 แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ (Venn – Euler Diagram) แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ เป็นการเขียนรูปแทนเอกภพสัมพันธ์ เซต และเซตย่อยเพื่อแสดงความสัมพันธ์ของเซตให้ชัดเจนขึ้น นิยมใช้รูปสี่เหลี่ยมแทนเอกภพสัมพันธ์ วงกลมหรือวงรีแทนเซตใดๆ เช่น A และ B เป็นเซตต่างสมาชิกกัน A B U
A ⊂B และ A ≠B U B A
A = B, C ⊂B, A และ C ไม่มีสมาชิกรวมกัน U B A C
4. การดำเนินการเกี่ยวกับเซต 4.1 ยูเนียน (Union) เป็นเซตที่เกิดจากการนำเซตหลายๆ เซตมาสร้างเป็นเซตใหม่โดยเซตใหม่ที่ได้จะมีสมาชิกเป็นเซตที่เกิดจากสมาชิกทุกตัวของเซตที่นำมาสร้าง เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ “U”A ยูเนียน B เขียนแทนด้วย A U B เช่น A= {1, 2, 3, 4}, B= {2, 4, 6, 8}, A U B = {1, 2, 3, 4, 6, 8} เขียนแผนภาพการยูเนียนของเซต A และเชต B ได้ดังรูป
4.2 อินเตอร์เซกชัน (Intersection) เป็นเซตที่เกิดจากการนำเซตหลายๆ เซตมาสร้างเป็นเซตใหม่โดยเซตที่ได้จะมีสมาชิกเป็นสมาาชิกที่อยู่ร่วมกันในทุกเซตที่นำมาสร้าง เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ “∩”A อินเตอร์เซกชัน B เขียนแทนด้วย A ∩B เช่น A= {1, 2, 3, 4}, B= {2, 4, 6, 8}, A ∩ B = {2, 4} เขียนแผนภาพการอินเตอร์เซกชัน ของเซต A และเชต B ได้ดังรูป
4.3 คอมพลีเมนต์ (Complement) เป็นเซตที่เกิดจากการนำเซตหนึ่งซึ่งเป็นเซตย่อยของ U มาเทียบกับ U คอมพลีเมนต์ของเซตที่นำมาจะเป็นเซตใหม่ที่เป็นสมาชิกของ U แต่ไม่เป็นสมาชิกที่นำมาเทียบ เซตใหม่นี้เรียกว่า คอมพลีเมนต์ของเซตเช่น เซตที่นำมาเป็นเซต A เชตใหม่ที่เรียกว่าคอมพลีเมนต์ของเซต A เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ “A′” อ่านว่า เอคอมพลีเมนต์ดังตัวอย่าง U = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7}, A = {1, 2, 3, 4}, A′= {5, 6, 7} เขียนเป็นแผนภาพดังรูป
U A 6 1 2 5 3 4 7
พีชคณิตของเซต ให้ U เป็นเอกภพสัมพัทธ์ที่มีเซตย่อยเป็น A, B, C และ • กฎการสลับที่ (Commutative Law) เซตที่นำมายูเนียนกันหรืออินเตอร์เซกชันกันสามารถสลับกันได้ A ∪ B = B ∪ A A ∩ B = B ∩ A 2. กฎการจัดหมู่ (Associative Law) A ∪ (B ∪C) = (A ∪ B) ∪C A ∩ (B ∩C) = (A ∩ B) ∩C
3. กฎการกระจาย (Distributive Law) A ∪ (B ∩C) = (A ∪ B) ∩(A ∪ C) A ∩ (B ∪C) = (A ∩ B) ∪(A ∩ C) 4. กฎการเหมือนกัน (Independent Law) A ∪ A = A A ∩ A = A
5. กฎการคอมพลีเมนต์ (Complement Law) A ∪ A′ = ∪ A ∩ A′ = Ø (A′) ′ = A ∪′ = Ø Ø ′ = ∪ A-B = A ∩ B ′
5. ตรรกะ ตรรกะ (Logic) เป็นเหตุผลที่ที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาต่าง ในวิชาคณิตศาสตร์ ตรรกศาตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยข้อเท็จจริงที่สามารถอ้างเหตุผลได้ ในวิชาคอมพิวเตอร์ตรรกะเป็นขั้นตอนหรือแนวทางในการดำเนินการของโปรแกรมที่ประกอบด้วยแนวคิด สมมติฐาน การทดสอบเงื่อนไข การดำเนินการ ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกแบบวงจรจะใช้วงจรตรรกะใช้วงจรตรรกะในการตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ที่สามารถเขียนเป็นสมการทางคณิตศาสตร์
6. ประพจน์และตัวแปร 6.1 ประพจน์ ประพจน์ (Proposition or Statement) เป็นประโยคบอกเล่า หรือประโยคปฏิเสธที่มีค่าความจริงหรือเป็นเท็จอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น 2 x 9 = 2 + 9 เป็นเท็จ 2 + 4 = 3 + 3 เป็นจริง โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ เป็นจริง การคำนวณในคอมพิวเตอร์ไม่มีการลบ เป็นจริง จำนวนจริงทุกจำนวนมีอินเวอร์สของการคูณ เป็นเท็จ จริง (True) และเท็จ(False) ของประพจน์เรียกว่า “ค่าความจริงของประพจน์” ข้อความที่ไม่เป็นประโยคบอกเล่า หรือปฏิเสธ ไม่จัดเป็นประพจน์ เช่น มีไวรัสในเครื่องคอมพิวเตอร์ไหม, โปรดเงียบ, X< 0 เป็นต้น
6.2 ตัวแปร ตัวแปรเป็นสัญลักษณ์แทนสมาชิกในเอกภพสัมพันธ์ (Relative Universe) ประโยคที่มีตัวแปรเป็นนิพจน์หรือไม่เป็นนิพจน์ก็ได้ แต่สามารถทำให้เป็นประพจน์ได้ด้วยการแทนที่ตัวแปร เช่น 3x - 2 = 1 มีตัวแปรที่ไม่ทราบค่าคือ x ไม่เป็นประพจน์ แต่ถ้าแทนค่า x ด้วยจำนวนใดๆ จะหาค่าออกมาได้ เช่น x = 0 ได้ผลลัพธ์ 0 – 2 = 1 เป็นเท็จ x = 1 ได้ผลลัพธ์ 3 – 2 = 1 เป็นจริง x = 2 ได้ผลลัพธ์ 6 – 2 = 1 เป็นเท็จ
7. การเชื่อมประพจน์ ตัวเชื่อม(Connective) เป็นคำที่ใช้เชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน ได้แก่ และ หรือ ถ้า ... แล้ว ก็ต่อเมื่อ ดังตัวอย่าง ประพจน์ที่ 1 “2 น้อยกว่า 5” ประพจน์ที่ 2 “2 เป็นจำนวนคู่” นำประพจน์ที่ 1 และ 2 มาสร้างประพจน์ใหม่ได้ดังนี้ 2 น้อยกว่า 5 และ 2 เป็นจำนวนคู่ 2 น้อยกว่า 5 หรือ 2 เป็นจำนวนคู่ ถ้า2 น้อยกว่า 5 แล้ว 2 เป็นจำนวนคู่ 2 น้อยกว่า 5 ก็ต่อเมื่อ 2 เป็นจำนวนคู่
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “และ” ใช้สัญลักษณ์ การเชื่อมประพจน์เข้าด้วยกันจะใช้ตัวอักษร “p, q, r, s” แทนแต่ละประพจน์ p q p q T T T T F F F T F F F F
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “หรือ” ใช้สัญลักษณ์ การเชื่อมประพจน์เข้าด้วยกันจะใช้ตัวอักษร “p, q, r, s” แทนแต่ละประพจน์ p q p q T T T T F T F T T F F F
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “ถ้า ... แล้ว” ใช้สัญลักษณ์ การเชื่อมประพจน์เข้าด้วยกันจะใช้ตัวอักษร “p, q, r, s” แทนแต่ละประพจน์ p q p q T T T T F F F T T F F T
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “ก็ต่อเมื่อ” ใช้สัญลักษณ์ การเชื่อมประพจน์เข้าด้วยกันจะใช้ตัวอักษร “p, q, r, s” แทนแต่ละประพจน์ p q p q T T T T F F F T F F F T
8. การหาค่าความจริงของประพจน์ 8.1 การหาความความจริงของประพจน์ด้วยตารางค่าความจริง ตัวอย่างที่ 1ตารางแสดงค่าความจริงของประพจน์ p q p p q p q p q p T T T T T F T T F T T F F F F T
8. การหาค่าความจริงของประพจน์ 8.1 การหาความความจริงของประพจน์ด้วยตารางค่าความจริง ตัวอย่างที่ 2ตารางแสดงค่าความจริงของประพจน์ p q p q p q q p q p q p q p q T T F T T T T F T T T T F T F T F F F F T F T T
8.2 การหาความความจริงของประพจน์ด้วยผังโครงสร้างต้นไม้ (Tree Diagram) ตัวอย่างที่ 3ถ้า p เป็นจริง q เป็นเท็จ q เป็นเท็จ r เป็นเท็จ s เป็นจริง จงหา ค่าความจริงของประพจน์ต่อไปนี้ ก. q r F F T
T F ข. p q r F F T ค. p s r T T T F F
T F ง. p q r F F F จ. p s r s F T T F T T T
9. การอ้างเหตุผล การอ้างเหตุผลมีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือ เหตุ และอีกส่วนหนึ่งคือ ผล การอ้างเหตุผลจะใช้ตัวเชื่อม เชื่อมเหตุทั้งหมดและใช้ตัวเชื่อม เชื่อมส่วนที่เป็นเหตุและผล เมื่อเชื่อมแล้วได้ผลเป็นสัจนิรันดร์ถือว่าการอ้างเหตุผลนี้ สมเหตุสมผล (Valid) ถ้าไม่เป็นสัจนิรันดร์ถือว่าการอ้างเหตุผลนี้ ไม่สมเหตุสมผล (Invalid) สัจนิรันดร์ (Tautology)คือประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นจริงตลอด ไม่ว่าค่าความจริงของประพจน์ย่อยที่เป็นตัวแปรจะมีค่าความจริงอย่างไร การอ้างเหตุผลจะใช้รูปแบบ เหตุ ผล ซึ่งรูปแบบนี้จะมีกรณีเป็นเท็จได้เพียงกรณีเดียวคือ T F
ตัวอย่าง จงพิจารณาว่าการอ้างเหตุผลต่อไปนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ เหตุ1. p q 2. p ผล q วิธีทำ จัดรูปแบบของเหตุผลใหม่เป็น [(p q) p] q p q p q [p q ] p [p q p] q T T T T T T F F F T F T T F T F F T F T
จากตารางได้ค่าความจริงของ [{P(x) Q(x)} P(x)] Q(x)เป็นสัจนิรันดร์ การอ้างเหตุผลกับประโยคเปิด เช่น[{P(x) Q(x)} P(x)] Q(x)เมื่อแทนค่า x ในเอกภพสัมพันธ์จะได้ประพจน์ในรูปแบบ p q p ซึ่งมีค่าความจริงเป็นจริงเสมอ เหตุ1. P(x) Q(x) 2. P(x) ผล Q(x) เป็นการอ้างเหตุผลที่สมเหตุสมผล
ตัวอย่างรูปแบบของประพจน์ที่เป็นสัจนิรันดร์เป็นการอ้างเหตุผลที่สมเหตุสมผลตัวอย่างรูปแบบของประพจน์ที่เป็นสัจนิรันดร์เป็นการอ้างเหตุผลที่สมเหตุสมผล รูปแบบที่ 1 เหตุ1. p q รูปแบบที่ 2 เหตุ1. p q 2. p 2. q ผลp ผลp รูปแบบที่ 3เหตุ1. p q รูปแบบที่ 4 เหตุ1. p q 2. q r 2. q p ผลp r ผลp q
ตัวอย่างรูปแบบของประพจน์ที่เป็นสัจนิรันดร์เป็นการอ้างเหตุผลที่สมเหตุสมผลตัวอย่างรูปแบบของประพจน์ที่เป็นสัจนิรันดร์เป็นการอ้างเหตุผลที่สมเหตุสมผล รูปแบบที่ 5เหตุ1. p q รูปแบบที่ 6เหตุ1. p q 2. p 2. q r ผลq 3. p q ผลr s รูปแบบที่ 7เหตุ1. p q รูปแบบที่ 8 เหตุ1. p 2. p ผลp q ผลq
การอ้างเหตุผลด้วยแผนภาพการอ้างเหตุผลด้วยแผนภาพ เหตุ1. คอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำ 2. Talking Dictionary เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ผลTalking Dictionary มีหน่วยความจำ ให้ a แทน Talking Dictionary A แทนเชตของคอมพิวเตอร์ B แทนเซตของหน่วยความจำ เหตุ 1. AB 2. aA ผล aB แสดงว่าการสรุปนี้สมเหตุสมผล U B A a
การอ้างเหตุผลด้วยแผนภาพการอ้างเหตุผลด้วยแผนภาพ เหตุ1. คนเขียนโปรแกรมเป็นโปรแกรมเมอร์ 2. ชาวตะวันตกเป็นเป็นโปรแกรมเมอร์ ผลคนเขียนโปรแกรมเป็นชาวตะวันตก ให้ A แทนเซตของคนเขียนโปรแกรม B แทนเชตของโปรแกรมเมอร์ C แทนเซตของชาวตะวันตก เหตุ 1. AB 2. CB ผล AC
U U B B A C A C กรณีที่ 1 กรณีที่ 2 กรณีที่ 3 จากแผนภาพ กรณีที่ 1และกรณีที่ 3A C แสดงว่าการสรุปนี้ไม่สมเหตุสมผล U B A C
การอ้างเหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Reasoning or Deduction) การอ้างเหตุผลจากความรู้พื้นฐานที่ยอมรับกันมาก่อน เช่น เหตุ (Premise) สมมุติฐาน (Hypothesis)หรือสัจพจน์ (Axiom) วิธีสรุปความรู้พื้นฐานที่ยอมรับกันมาก่อนนี้นิยมใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ เช่น เทลีสใช้พิสูจน์ความรู้ทางเรขาคณิตให้เป็นเหตุเป็นผลด้วยสัจพจน์ 10ข้อ การให้เหตุผลเป็บนิรนัย เป็นการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์โดยใช้ตรรกศาสตร์เข้ามาช่วย โดยเริ่มจากเหตุหลักเรียกว่า การวางนิรนัยทั่วไป แล้สมีเหตุย่อยประกอบ จากนั้นจึงพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุหลักและเหตุย่อยเพื่อหาข้อสรุป
ตัวอย่างการใช้เหตุผลแบบนิรนัยตัวอย่างการใช้เหตุผลแบบนิรนัย เหตุ1. นักเรียนทุกคนต้องสอบปลายภาค 2. นายทรงพลเป็นนักเรียน ผลนายทรงพลต้องสอบปลายภาค เหตุ1. ถ้าอุณหภูมิในซีพียูสูงเกิน 70องศาเซลเซียส คอมพิวเตอร์จะปิดตัวเอง 2. เครื่องวัดอุณหภูมิอ่านค้าได้ 72องศาเซลเซียส ผลคอมพิวเตอร์ปิดตัวเอง
The End หน่วยการเรียนรู้ที่ 7