550 likes | 708 Views
บทที่ 7 (ต่อ). การจัดเวลาซีพียู. CPU Scheduling. เนื้อหา. การจัดเวลาซีพียู การจัดคิวในระยะสั้น การจัดคิวในระยะยาว ระบบหลายโปรเซสเซอร์ การทำงานของระบบหลายโปรเซสเซอร์. การจัดเวลาซีพียู (CPU Scheduling).
E N D
บทที่ 7 (ต่อ) การจัดเวลาซีพียู CPU Scheduling
เนื้อหา • การจัดเวลาซีพียู • การจัดคิวในระยะสั้น • การจัดคิวในระยะยาว • ระบบหลายโปรเซสเซอร์ • การทำงานของระบบหลายโปรเซสเซอร์
การจัดเวลาซีพียู (CPU Scheduling) • การจัดเวลา CPU เป็นหลักการทำงานหนึ่งของ OS ที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการรันโปรแกรมได้หลาย ๆ โปรแกรมในเวลาเดียวกัน • เหตุการณ์ที่ซีพียูเปลี่ยนจากการทำงานหนึ่งไปยังอีกงานหนึ่งเรียกว่าการเปลี่ยนสถานะ (context switching)
การจัดเวลาซีพียู (CPU Scheduling)… ต่อ เป้าหมาย • ใช้งานซีพียูได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สิ่งที่ต้องคำนึง • ในระบบโปรเซสเซอร์เดียวซีพียูจะทำงานได้ครั้งละ 1 งาน • ถ้ามีหลาย ๆ งานจะต้องเกิดการรอ
การจัดเวลาซีพียู (CPU Scheduling) … ต่อ • ระบบโปรแกรมเดียว • ไม่ซับซ้อน • ทำงานทีละโปรแกรมจนเสร็จกระบวนการ • ทำงานตัวเองจนเสร็จ หรือจนกระทั่งมีการรออะไรบางอย่าง เช่น I/O • การรอนี้ทำให้ซีพียูเกิดการว่างงาน อยู่เฉย (idle) ระบบหลายโปรแกรม • เสมือนกับหลายโปรแกรมดำเนินไปพร้อมกัน • จะไม่ยอมให้ซีพียูเกิดการรอ • โปรเซสใดมีการรอการใช้ อุปกรณ์ I/O จะมีการนำออกไปจากซีพียู และนำโปรเซสใหม่เข้าไปใช้งานซีพียูแทน
ข้อพิจารณาในการจัดเวลาข้อพิจารณาในการจัดเวลา • การใช้สอยซีพียู (CPU Utilization) • ทรูพุต (Throughput) • เวลาทั้งหมด (Turnaround Time) • เวลารอคอย (Waiting Time) • เวลาตอบสนอง (Response Time)
ข้อพิจารณาในการจัดเวลาข้อพิจารณาในการจัดเวลา • การใช้สอยซีพียู(CPU Utilization) : การใช้ประโยชน์จากซีพียูอย่างสูงสุด โดยทำให้ซีพียูมีงานทำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซีพียูควรจะถูกใช้อยู่ระหว่าง 40-90 %
ข้อพิจารณาในการจัดเวลาข้อพิจารณาในการจัดเวลา • ทรูพุต (Throughput) จำนวนงานที่เสร็จต่อหน่วยเวลา
ข้อพิจารณาในการจัดเวลาข้อพิจารณาในการจัดเวลา • เวลาทั้งหมด (Turnaround Time) : คือช่วงเวลาทั้งหมดที่ใช้ในการทำงานใดงานหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้นเข้าไปในระบบ จนงานถูกทำจนเสร็จเรียบร้อย (รวมเวลาที่รอเข้าหน่วยความจำ เวลาที่คอยอยู่ในคิว เวลาที่ใช้ซีพียู และเวลาของอินพุต/เอาต์พุต)
ข้อพิจารณาในการจัดเวลาข้อพิจารณาในการจัดเวลา • เวลารอคอย (Waiting Time): ช่วงเวลาที่งานใดงานหนึ่งต้องรอการทำงานของตัวจัดเวลา โดยไม่รวมเวลาของการใช้ซีพียู และเวลาของการติดต่ออินพุต/เอาต์พุตส่วนใหญ่ก็คือเวลาที่งานต้องคอยอยู่ในคิว (Ready Queue)
ข้อพิจารณาในการจัดเวลาข้อพิจารณาในการจัดเวลา • เวลาตอบสนอง (Response Time) คือเวลาที่วัดระหว่างเวลาที่มีการร้องขอการกระทำใด ๆ ต่อระบบแล้วมีการตอบรับกลับออกมา (ความเร็วของเวลาตอบสนองจึงมักจะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต)
การจัดคิวระยะสั้น(Short-term scheduling) • ขั้นตอนนี้เป็นการคัดเลือกโปรเซสซึ่งรออยู่ในสถานะพร้อมที่เหมาะสมที่สุดให้เข้าไปอยู่ในสถานะรัน (ครอบครอง CPU) • การจัดคิวให้กับโปรเซสนั้นถือว่าเป็นหน้าที่ ของหน่วยจัดคิวในระยะสั้น (Short-term Scheduler) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน OS • สำหรับการส่งโปรเซสที่ถูกเลือกแล้วให้เข้าไปอยู่ในสถานะรัน เป็นหน้าที่ของตัวส่ง (Dispatcher) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน OS
การจัดคิวระยะสั้น (Short-term scheduling) … ต่อ • การจัดคิวระยะสั้นมีดังนี้ • การจัดคิวแบบ FCFS • การจัดคิวแบบ RR • การจัดคิวแบบลำดับความสำคัญ (Priority) • การจัดคิวแบบ SJF (Short Job First) • การจัดคิวแบบ SRJ (Shortest-remaining-first) • การจัดคิวแบบหลายระดับ
การจัดคิวแบบมาก่อนได้ก่อน(First-come-first-served : FCFS) … ต่อ • เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด • โปรเซสใดเข้ามารอในคิวก่อนจะมีสิทธิครอบครอง CPU ก่อน • โปรเซสที่ได้ครอบครอง CPU จะทำงานไปจนเสร็จ ไม่มีระยะเวลาควอนตัม • ถ้าโปรเซสมีการเรียกใช้งานอุปกรณ์อินพุต/เอาท์พุต หรือรอเหตุการณ์บางอย่าง โปรเซสนั้นต้องปลดปล่อยซีพียู และออกจากสถานะรันไปอยู่ในสถานะบล็อค • เมื่อการเรียกใช้อุปกรณ์อินพุต/เอาท์พุตเสร็จสิ้นลง หรือเกิดเหตุการณ์ที่กำลังรออยู่ โปรเซสนั้นจะกลับไปอยู่ต่อท้ายคิวของสถานะพร้อม
โปรเซส ลำดับการเข้าคิว เวลาที่ต้องการใช้ CPU (วินาที) เวลาที่รอ อยู่ในคิว (วินาที) เวลาที่โปรเซส ทำงานเสร็จ (วินาที) A 1 15 0 0+15=15 B 2 1 15 15+1=16 C 3 10 16 16+10=26 การจัดคิวแบบมาก่อนได้ก่อน(First-come-first-served : FCFS) … ต่อ ข้อดีคือการจัดคิวทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน ตัวอย่างการจัดคิวเมื่อมี 3 โปรเซส ( A,B,C) ต้องการใช้ CPU
การจัดคิวแบบมาก่อนได้ก่อน(First-come-first-served : FCFS) … ต่อ ถึงแม้ว่าลำดับการเข้ามาในคิวอาจจะเป็น A,B,C แต่การใช้หลักการของการจัดลำดับความสำคัญ จะจัดคิวออกมาในลักษณะดังนี้ A B C 26 15 16 โปรเซส A ต้องรอเวลาในการประมวลผล = 0 วินาที โปรเซส B ต้องรอเวลาในการประมวลผล = 15 วินาที โปรเซส C ต้องรอเวลาในการประมวลผล = 16 วินาที เวลาเฉลี่ยในการรอ = (0+15+16)/3 =10.33 วินาที
การจัดคิวแบบมาก่อนได้ก่อน (First-come-first-served : FCFS) … ต่อ จากตัวอย่างจะพบว่าการจัดคิวแบบ FCFS เป็นผลเสียอย่างมากกับโปรเซส B คือ โปรเซส B ต้องการเวลาในการทำงานเพียง 1 วินาที แต่ต้องรอให้โปรเซส A ซึ่งเข้ามาก่อนทำงานเสร็จ เวลาเฉลี่ยในการรอ =(15+16)/3 = 10.33 วินาที ทำให้การทำงานของโปรเซส B นั้นใช้เวลา 16 วินาทีจึงจะเสร็จสิ้น เทียบเวลาในการทำงานคือ (1/16)*100 = 6 % สำหรับเวลาในการรอคือ 100-6 = 94 % ซึ่งจะเห็นว่าโปรเซส B ต้องเสียเวลารอนานมาก
การจัดคิวแบบงานสั้นทำก่อน(Short-Job-first : SJF) จากปัญหาของการจัดคิวแบบมาก่อนได้ก่อน จึงทำให้เกิดแนวคิดที่จะคัดเลือกโปรเซสที่ต้องการเวลาในการทำงานน้อยที่สุดเข้ามาใช้ CPU ก่อนเพื่อทำให้ โปรเซสที่ต้องการเวลาในการทำงานน้อยจบออกไปได้เร็วขึ้น และจำนวนโปรเซสที่รออยู่ในคิวก็จะมีจำนวนลดลง แต่ถ้ามีโปรเซสหลายตัวที่มีความต้องการเวลาในการทำงานเท่ากัน ก็จะใช้หลักการแบบมาก่อนได้ก่อนมาใช้ในการคัดเลือก
โปรเซส ระยะเวลาความต้องการ CPU (วินาที) A B C D 6 8 7 3 การจัดคิวแบบงานสั้นทำก่อน (Short-Job-first : SJF) … ต่อ ตัวอย่างการจัดคิวเมื่อมี 4 โปรเซส (A,B,C,D) ต้องการใช้ CPU โดยมีลำดับการเข้ามาในคิวเป็น A,B,C,D
D A C B การจัดคิวแบบงานสั้นทำก่อน (Short-Job-first : SJF) … ต่อ ถึงแม้ว่าลำดับการเข้ามาในคิวอาจจะเป็น A,B,C,D แต่การใช้หลักการของ SJF จะจัดคิวออกมาในลักษณะดังนี้ 0 3 9 16 24 เวลาเฉลี่ยในการรอ 0+3+9+16 =28/4=7 เวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ 3+9+16+24=52/4=13
การจัดคิวแบบงานสั้นทำก่อน (Short-Job-first : SJF) … ต่อ • จากการทดลองพบว่า SJF จะให้ค่าเฉลี่ยของการคอยได้ต่ำที่สุด เพราะมีการเลื่อนโปรเซสที่มีเวลาใช้ CPU น้อยสุดมาไว้หน้าคิว • ปัญหาสำหรับการจัดคิวแบบ SJF คือตัวจัดคิวระยะสั้นไม่ทราบว่าแต่ละโปรเซสต้องการใช้เวลาเท่าใด • วิธีแก้คือ • ให้แต่ละโปรเซสกำหนดเวลาที่ต้องการในการใช้ CPU มาด้วยให้ OS สร้างโปรเซสเพื่อคำนวณเวลาโดยประมาณของแต่ละโปรเซสที่ต้องการใช้ CPU
การจัดคิวแบบตามลำดับความสำคัญ (Priority Queue) วิธีนี้จะมีการจัดลำดับความสำคัญให้กับแต่ละโปรเซสที่ต้องการใช้ CPU โปรเซสที่อยู่ ณ. ต้นคิวก็จะเป็นโปรเซสที่มีความ สำคัญมากที่สุด และลดลงเรื่อย ๆ โปรเซสที่อยู่ท้ายคิวคือโปรเซสที่มีความสำคัญต่ำสุด ถ้ามีโปรเซสใหม่เข้ามาในคิว ก็จะมีการแซงคิวได้ถ้าโปรเซสที่เข้ามาใหม่มีลำดับความสำคัญสูงกว่าโปรเซสที่กำลังบรรจุอยู่ในคิว
โปรเซส เวลาความต้องการ CPU (วินาที) ลำดับความสำคัญ A B C D 10 1 2 5 3 2 4 1 การจัดคิวแบบตามลำดับความสำคัญ(Priority Queue) … ต่อ ตัวอย่างการจัดคิวเมื่อมี 4 โปรเซส (A,B,C,D) ต้องการใช้ CPU โดยมีลำดับการเข้ามาในคิวเป็น A,B,C,D
D B A C การจัดคิวแบบตามลำดับความสำคัญ (Priority Queue) … ต่อ ถึงแม้ว่าลำดับการเข้ามาในคิวอาจจะเป็น A,B,C,D แต่การใช้หลักการของการจัดลำดับความสำคัญ จะจัดคิวออกมาในลักษณะดังนี้ 0 5 6 16 18 โปรเซส B ต้องรอเวลาในการประมวลผล = 5 วินาที โปรเซส A ต้องรอเวลาในการประมวลผล = 6 วินาที โปรเซส C ต้องรอเวลาในการประมวลผล = 16 วินาที เวลาเฉลี่ยในการรอ = (0+5+6+16)/4 = 6.75 วินาที เวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ =(5+6+16+18)/4=11.25
การจัดคิวแบบตามลำดับความสำคัญ (Priority Queue) … ต่อ • คำถาม • ถ้าเป็นการจัดคิวแบบ FCFS เวลาเฉลี่ยในการรอและเวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จเท่ากับเท่าใด • ถ้าเป็นการจัดคิวแบบ SJFเวลาเฉลี่ยในการรอและเวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จเท่ากับเท่าใด
การจัดคิวแบบตามลำดับความสำคัญ (Priority Queue) … ต่อ • คำตอบ เวลาเฉลี่ยในการรอและเวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จในการทำงานและแบบ • Priority • เวลาเฉลี่ยในการรอ =6.75 • เวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ =11.25 • FCFS • เวลาเฉลี่ยในการรอ =8.5 • เวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ =13 • SJF • เวลาเฉลี่ยในการรอ =3 • เวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ =7.5
การจัดคิวแบบตามลำดับความสำคัญ (Priority Queue) … ต่อ ปัญหาที่สำคัญสำหรับการจัดคิวแบบนี้ได้แก่ โปรเซสที่มีลำดับความสำคัญต่ำอาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้ CPU ถ้ามีโปรเซสที่มีลำดับความสำคัญสูงอยู่เป็นจำนวนมาก หรือมีโปรเซสที่มีลำดับความสำคัญสูงเข้ามาใหม่ตลอดเวลา
การจัดคิวแบบตามลำดับความสำคัญ (Priority Queue) … ต่อ • วิธีการพิจารณากำหนดลำดับความสำคัญของโปรเซสต่าง ๆ อาจพิจารณาได้จากองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น • เจ้าของโปรเซส : โปรเซสที่มาจากผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป จะมีลำดับความสำคัญต่ำกว่า โปรเซสที่มาจากผู้ควบคุมระบบ • ประเภทของโปรเซส : โปรเซสของงานในระบบแบตซ์ (Batch mode) มักมีลำดับความสำคัญต่ำกว่าโปรเซสของงานแบบตอบโต้ (Interactive mode) • ผู้ใช้ที่ยินยอมจ่ายเงินเพิ่ม • ระยะเวลาที่โปรเซสเข้ามาอยู่ในระบบ
การจัดคิวแบบงานที่เหลือเวลาน้อยทำก่อน (Shortest-remaining-first : SRJ) วิธีการนี้จะคล้ายกับแบบ SJF แต่ SRJ จะนำเอาโปรเซสที่เหลือเวลาในการใช้ CPU น้อยที่สุดมาอยู่ที่ต้นคิวเพื่อเข้าไปใช้งาน CPU ก่อน วิธีการนี้จะทำให้ทั้งโปรเซสที่ต้องการเวลาในการใช้ CPU น้อย และโปรเซสที่ต้องการเวลาในการใช้ CPU มากแต่ใกล้จะจบสามารถออกจากระบบได้เร็วขึ้น วิธีการนี้นอกจากจะต้องทราบเวลาที่ต้องการใช้ CPU แล้วยังต้องมีการบันทึกเวลาที่โปรเซสทำงานไปแล้วด้วย
การจัดคิวแบบวนรอบ (Round-Robin : RR) ใช้กับระบบงานคอมพิวเตอร์แบบแบ่งเวลา โดยมีลักษณะการจัดคิวเป็นแบบ FCFS แต่ให้มีกรรมวิธีของการให้สิทธิในการครอบครอง CPU ของแต่ละโปรเซส คือ “แต่ละโปรเซสที่เข้ามาในระบบจะถูกจำกัดเวลาการเข้าไปใช้ CPU เท่า ๆ กัน ”ซึ่งเรียกช่วงเวลานี้ว่า เวลาควันตัม (Quantum Time) ตัวจัดเวลาระยะสั้นจะมีการให้ CPU กับโปรเซสที่อยู่ในคิวแบบวนรอบ โดยมีกฏเกณฑ์ว่า ถ้าโปรเซสใดไม่สามารถกระทำได้สำเร็จภายใน 1 ควันตัม โปรเซสจะต้องถูกนำกลับไปไว้ในคิวเช่นเดิม สถานภาพต่าง ๆ ของโปรเซสที่ยังทำไม่เสร็จจะถูกบันทึกไว้ เมื่อถึงโอกาสได้ครอบรอง CPU อีก ก็จะได้เริ่มต้นรันต่อจากครั้งที่แล้วโดยไม่ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด
เริ่ม สิ้นสุด รัน พร้อม บล็อก การจัดคิวแบบวนรอบ (Round-Robin : RR) … ต่อ
การจัดคิวแบบวนรอบ (Round-Robin : RR) … ต่อ โปรเซส ลำดับการเข้าคิว เวลาที่ต้องการใช้ CPU (วินาที) เวลาที่รอ อยู่ในคิว (วินาที) เวลาที่โปรเซส ทำงานเสร็จ (วินาที) A 1 15 0 0+15=15 B 2 1 15 1+15=16 C 3 10 16 10+16=26 ตัวอย่างการจัดคิวแบบ FCFS เมื่อมี 3 โปรเซส ( A,B,C) ต้องการใช้ CPU เวลาเฉลี่ยในการรอ =(15+16)/3 = 10.33 วินาที
โปรเซส ลำดับการเข้าคิว เวลาที่ต้องการใช้ CPU (วินาที) เวลาที่รอ อยู่ในคิว (วินาที) เวลาที่โปรเซส ทำงานเสร็จ (วินาที) A 1 15 11 15+11=26 B 2 1 1 1+1=2 C 3 10 11 10+11=21 การจัดคิวแบบวนรอบ (Round-Robin : RR) … ต่อ ตัวอย่างการจัดคิวแบบ RR เมื่อมี 3 โปรเซส (A,B,C) ต้องการใช้ CPU โดยมีเวลาควันตัมเป็น 1 วินาที เวลาเฉลี่ยในการรอ =(11+1+11)/3 = 7.67 วินาที
การจัดคิวแบบวนรอบ (Round-Robin : RR) … ต่อ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26
การจัดคิวแบบวนรอบ(Round-Robin : RR) … ต่อ • จากตัวอย่างจะเห็นว่าการทำงานแบบ RR จะเป็นประโยชน์ต่อโปรเซส B หรือโปรเซสที่ต้องการเวลาในการใช้ CPU น้อยแต่เข้าคิวมาทีหลัง • ในทางตรงกันข้ามจะเกิดผลเสียต่อโปรเซส A หรือโปรเซสที่ต้องการเวลาในการใช้ CPU มากประสิทธิภาพของการวนรอบขึ้นอยู่กับการกำหนดขนาดของควันตัมเป็นอย่างยิ่ง • ถ้าขนาดของควันตัมใหญ่หรือนานเกินไป ประสิทธิภาพของการวนรอบก็จะใกล้เคียงกับแบบมาก่อนได้ก่อน • ถ้าขนาดของควันตัมเล็กเกินไป ระยะเวลาที่ใช้ในการทำงานของระบบ (throughput) ก็จะช้าลง
โปรเซส ลำดับการเข้าคิว เวลาที่ต้องการใช้ CPU (วินาที) A 1 15 B 2 1 C 3 10 การจัดคิวแบบวนรอบ(Round-Robin : RR) • คำถาม เมื่อมี 3 โปรเซส (A,B,C) ต้องการใช้ CPU แบบ RR • ถ้าเวลาควันตัมเป็น 3 วินาที เวลาเฉลี่ยในการคอย เวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ เป็นเท่าใดเวลาควันตัมเป็น 6 วินาที เวลาเฉลี่ยในการคอย และเวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ เป็นเท่าใด
โปรเซส เวลา A B C D E 10 29 3 7 12 ตัวอย่าง จงหาค่าเฉลี่ยทั้ง 3 วิธี คือ FCFS, SJF และ RR เวลาควอนตัม = 10
เฉลย A B C D E 0 10 39 42 49 61 FCFS เวลาในการรอ (0+10+39+42+49) / 5 = 28 เวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ (10+39+42+49+61) / 5 =40.2
เฉลย SJF เวลาในการรอ (0+3+10+20+32) / 5 = 13 เวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ (3+10+20+32+61)/5 =25.5 C D A E B 0 3 10 20 32 61
เฉลย RR เวลาในการรอ A=0 B=10+20+2=32 C=20 D=10+10+3 E=30+10 (0+32+20+23+40) / 5 = 23 เวลาเฉลี่ยในการทำงานเสร็จ A=0+10=10 B=32+29=61 C=20+3=23 D=23+7=30 E=40+12=52 (10+61+23+30+52)/5=35.2 A B C D E B E B 0 10 20 23 30 40 50 52 61
CPU A B C การจัดคิวแบบหลายระดับ การจัดคิวดังที่กล่าวมาแล้วทั้งสิ้นเป็นการจัดคิวภายในคิวเพียง 1 คิว เรียกว่าการจัดคิวแบบ 1 ระดับดังรูป เพื่อให้การจัดคิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราจึงจัดให้มีคิวหลาย ๆ คิวแทนที่จะมีเพียงคิวเดียว เรียกว่าเป็นการจัดคิวแบบหลายระดับ
การจัดคิวแบบหลายระดับ … ต่อ • การจัดคิวแบบหลายระดับนั้น แต่ละคิวไม่จำเป็นเป็นต้องเป็นประเภทเดียวกัน • การคัดเลือกโปรเซสนั้นจะคัดเลือกจากคิวที่ 1 ก่อนจนกระทั่งโปรเซสภายในคิวที่ 1 ทำงานเสร็จทั้งหมด แล้วจึงคัดเลือกโปรเซสในคิวลำดับถัดไป • โปรเซสที่มีความสำคัญมาก มักจะอยู่ในคิวระดับแรก โปรเซสที่มีลำดับความสำคัญน้อยลงไปก็จะอยู่ในคิวระดับหลัง • โปรเซสประเภทเดียวกันมักอยู่ในคิวระดับเดียวกัน
An A2 A1 Bn B2 B1 Cn C2 C1 การจัดคิวแบบหลายระดับ … ต่อ CPU คิวที่n RR Queue คิวที่ 2 FCFS Queue คิวที่ 1 Priority Queue
การจัดคิวแบบหลายระดับ … ต่อ System processes queue Interactive processes queue Interactive processes queue Batch 14 processes queue Student processes queue
การจัดคิวระยะยาว การจัดคิวระยะสั้นเป็นการจัดคิวในระดับโปรเซส โดยมีตัวจัดคิวระยะสั้นทำหน้าที่คัดเลือกโปรเซสที่อยู่ในคิวที่มีสถานะพร้อม ส่งเข้าไปอยู่ในสถานะรัน การจัดคิวระยะยาวเป็นการจัดคิวในระดับงาน ไม่ใช่ระดับโปรเซส เมื่อผู้ใช้ส่งงานเข้ามาในระบบ งานเหล่านี้จะไปรออยู่ในคิวงานเมื่อระบบอยู่ในสภาพพร้อมที่จะรับโปรเซสใหม่ได้ เช่น มีหน่วยความจำเหลือมากพอ
การจัดคิวระยะยาว … ต่อ ตัวจัดคิวระยะยาวจะคัดเลือกงานที่อยู่ในคิวงานขึ้นมาพร้อมทั้งสร้างโปรเซสใหม่สำหรับงานนั้น ส่งให้กับตัวจัดคิวระยะสั้นทำงานต่อไป ตัวจัดคิวระยะสั้นยังมีหน้าที่ยุติโปรเซสที่จบการทำงานแล้ว คิวงานจะต่างกับคิวของโปรเซสเล็กน้อย คือ งานที่ถูกคัดเลือกขึ้นมาและสร้างเป็นโปรเซสใหม่แล้วจะไม่มีการวนกลับมาเข้าคิวใหม่เหมือนกับโปรเซส การคัดเลือกงานเพื่อสร้างโปรเซสใหม่ มีวิธีการเหมือนกับการคัดเลือกโปรเซสที่อยู่ในคิว ยกเว้นวิธีแบบ RR ที่ไม่ได้ใช้กับคิวงาน
ระบบหลายโปรเซสเซอร์ (Multi-processor System) • หมายถึงระบบที่มี CPU หลายตัวช่วยกันทำงานดังนั้นโปรเซสเซอร์ในที่นี้หมายถึง CPU นั่นเอง • การจัดระบบคอมพิวเตอร์ตามการทำงานของโปรเซสเซอร์ เราสามารถแบ่งได้ 4 ประเภทดังนี้ • คำสั่งเดี่ยวและข้อมูลเดี่ยว ( Single Instruction Single Data : SISD ) • คำสั่งเดี่ยวและหลายชุดข้อมูล ( Single Instruction Multiple Data : SIMD ) • หลายชุดคำสั่งและข้อมูลเดี่ยว ( Multiple Instruction Single Data : MISD ) • หลายชุดคำสั่งและหลายชุดข้อมูล ( Multiple Instruction Multiple Data : MIMD )
I P D O คำสั่งเดี่ยวและข้อมูลเดี่ยว( Single Instruction Single Data : SISD ) คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไปในปัจจุบันจะเป็นประเภท SISD ระบบคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มีโปรเซสเซอร์อยู่เพียงตัวเดียว การทำงานของโปรเซสเซอร์ในระบบนี้จะทำงานได้ทีละ 1 คำสั่งและรับข้อมูลได้ 1 ชุด P (Processor) แทนโปรเซสเซอร์ I (Instruction) แทนคำสั่ง D (Data) แทนข้อมูล และ O (Output) แทนผลลัพธ์
คำสั่งเดี่ยวและหลายชุดข้อมูล ( Single Instruction Multiple Data : SIMD ) การทำงานของระบบนี้เป็นการทำงานของโปรเซสเซอร์หลายตัวพร้อมกัน หรือที่เรียกว่าทำงานขนานกัน (parallel processing)โปรเซสเซอร์ทุกตัวทำคำสั่งเดียวกันหมด แต่มีข้อมูลเป็นของตนเอง ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้จึงมีหลายชุด
คำสั่งเดี่ยวและหลายชุดข้อมูล( Single Instruction Multiple Data : SIMD) … ต่อ I P1 P2 P3 Pn D1 D2 D3 Dn O1 O2 O3 On