1 / 45

โครงสร้างโลก

โครงสร้างโลก.

janiep
Download Presentation

โครงสร้างโลก

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. โครงสร้างโลก

  2. เมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว กลุ่มก๊าซในเอกภพบริเวณนี้ ได้รวมตัวกันเป็นหมอกเพลิงมีชื่อว่า “โซลาร์เนบิวลา” (Solar แปลว่า สุริยะ, Nebula แปลว่า หมอกเพลิง) แรงโน้มถ่วงทำให้กลุ่มก๊าซยุบตัวและหมุนตัวเป็นรูปจาน ใจกลางมีความร้อนสูงเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชั่น กลายเป็นดาวฤกษ์ที่ชื่อว่าดวงอาทิตย์ ส่วนวัสดุที่อยู่รอบๆ มีอุณหภูมิต่ำกว่า รวมตัวเป็นกลุ่มๆ มีมวลสารและความหนาแน่นมากขึ้นเป็นชั้นๆ และกลายเป็นดาวเคราะห์ในที่สุด

  3. โลกในยุคแรกเป็นของเหลวหนืดร้อน ถูกกระหน่ำชนด้วยอุกกาบาตตลอดเวลา องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุหนัก เช่น เหล็ก และนิเกิล จมตัวลงสู่แก่นกลางของโลก ขณะที่องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุเบา เช่น ซิลิกอน ลอยตัวขึ้นสู่เปลือกนอก ก๊าซต่างๆ เช่น ไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ พยายามแทรกตัวออกจากพื้นผิว ก๊าซไฮโดรเจนถูกลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ทำลายให้แตกเป็นประจุ ส่วนหนึ่งหลุดหนีออกสู่อวกาศ อีกส่วนหนึ่งรวมตัวกับออกซิเจนกลายเป็นไอน้ำ เมื่อโลกเย็นลง เปลือกนอกตกผลึกเป็นของแข็ง ไอน้ำในอากาศควบแน่นเกิดฝน น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์ลงมาสะสมบนพื้นผิว เกิดทะเลและมหาสมุทร

  4. สองพันล้านปีต่อมาการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ได้นำคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการสังเคราะห์แสง เพื่อสร้างพลังงาน และให้ผลผลิตเป็นก๊าซออกซิเจน ก๊าซออกซิเจนที่ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบน แตกตัวและรวมตัวเป็นก๊าซโอโซน ซึ่งช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีอุลตราไวโอเล็ต ทำให้สิ่งมีชีวิตมากขึ้น และปริมาณของออกซิเจนมากขึ้นอีก ออกซิเจนจึงมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลกในเวลาต่อมา

  5. นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามหาวิธีการต่างๆ ที่จะศึกษาโครงสร้างโลก แบ่งการศึกษาได้ ดังนี้ 1. การศึกษาโลกทางตรง เช่น

  6. 2. การศึกษาโลกทางอ้อม เช่น

  7. การศึกษาลักษณะโครงสร้างโลก สามารถศึกษาทางอ้อมได้จากคลื่นไหวสะเทือนที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งคลื่นไหวสะเทือน แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. คลื่นในตัวกลาง (body wave) เป็นคลื่นที่มีจุดกำเนิดอยู่ภายในโลกและเคลื่อนที่ผ่านโครงสร้างภายในโลก 2. คลื่นพื้นผิว (surface wave) เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ตามแนวผิวโลกหรือใกล้ผิวโลก

  8. คลื่นในตัวกลาง (body wave) 1. คลื่นปฐมภูมิ หรือ คลื่น P (Primary waves,P waves) เป็นคลื่นที่สามารถเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่เป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊สได้ เป็นคลื่นตามยาว

  9. 2. คลื่นทุติยภูมิ หรือ คลื่น S (Secondary waves,S waves) เป็นคลื่นที่สามารถเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่เป็นของแข็งเท่านั้น เป็นคลื่นตามขวาง

  10. คลื่นปฐมภูมิ (P wave) และคลื่นทุติยภูมิ (S wave)

  11. เป็นของแข็งแกร่ง

  12. โลกมีลักษณะคล้ายทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางในแนวเหนือใต้ 12,711 กิโลเมตร ในแนวตะวันออกและตะวันตก 12,755 กิโลเมตร หมุนรอบตัวครบรอบกินเวลา 23 ชั่วโมง 56 นาที และหมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบกินเวลา 365.25 วัน

  13. ทฤษฎีของคานท์ และลาพลาส พ.ศ. 2339 กล่าวว่า โลก ดาวเคราะห์ และดวงอาทิตย์เกิดจากกลุ่มก๊าซร้อนที่กำลังหมุนอยู่แรงเหวี่ยงจากการหมุนทำให้ส่วนข้างนอกหลุดออกในลักษณะเป็นวงแหวน และวงแหวนแต่ละวงรวมตัวกันแล้วหดตัวกลายเป็นโลก และดาวเคราะห์ กลุ่มก๊าซบริเวณศูนย์กลางหดตัวกลายเป็นดวงอาทิตย์ ทฤษฎีของเจมส์ ยีนส์ พ.ศ.2444กล่าวว่า มีดาวฤกษ์ขนาดใหญ่เคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดระหว่างดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ ทำให้มวลบางส่วนของดาวฤกษ์และดวงอาทิตย์หลุดออกมากลายเป็นดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งโลกและวัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะ ทฤษฎีของเฟรด ฮอยล์ และ ฮานส์ อัลเฟน พ.ศ.2493กล่าวว่า ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นก่อนจากการรวมตัวของกลุ่มก๊าซและฝุ่นละออง แล้วดวงอาทิตย์จึงดึงดูดให้กลุ่มก๊าซและฝุ่นละอองที่อยู่รอบๆ รวมตัวกันและมีความหนาแน่นมากขึ้นกลายเป็นดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์

  14. โลกของเราสามารถแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ตามองค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อม คือ

  15. 1.ชีวภาค (Biosphere) บริเวณของผิวโลก รวมทั้งในบรรยากาศและใต้ดินที่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นทั้งที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว ได้แก่ พืช สัตว์ มนุษย์ โดยพื้นที่หรือถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่มีความสัมพันธ์กันและมีการปรับปรุงตัวของสิ่งมีชีวิตให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมของท้องถิ่นนั้นๆ

  16. 2. อุทกภาค (Hydrosphere) ส่วนที่ห่อหุ้มเปลือกโลกที่เป็นน้ำทั้งหมด รวมทั้ง ความชื้นในบรรยากาศ (atmospheric moisture) หยาดน้ำฟ้า (precipitation)  ความชื้นในดิน (soil moisture) และน้ำใต้ดิน (groundwater)

  17. 3. บรรยากาศ (Atmosphere) อากาศที่ห้อหุ้มโลกของเราอยู่โดยรอบ โดยมีขอบเขตนับจากระดับน้ำทะเลขึ้นไปประมาณ 1000 กม. ที่บริเวณใกล้พื้นดินอากาศจะมีความหนาแน่นมากและความหนาแน่นของอากาศจะลดลงเมื่อสูงขึ้นไปจากระดับพื้นดิน

  18. 4. ธรณีภาค (Lithosphere) ประกอบไปด้วยชั้นเปลือกโลกและชั้นหินหนืดตอนบน ซึ่งเป็นชั้นนอกสุดของโลกที่มีความแข็ง และถูกแบ่งตามลักษณะองค์ประกอบทางเคมีโดยมีแนวความไม่ต่อเนื่องของโมโฮเป็นแนวรอยต่อ

  19. นักธรณีวิทยาแบ่งโครงสร้างภายในของโลก โดยใช้เกณฑ์ในการแบ่งตามองค์ประกอบของหินและทางเคมี ดังนี้

  20. 1. เปลือกโลก (Crust) ส่วนที่เป็นแผ่นดินทั้งหมด มีซิลิคอน (Si) อะลูมิเนียม (Al) และแมกนีเซียม (Mg) เป็นองค์ประกอบหลักในเนื้อดิน และหินของเปลือกโลก มีความหนาประมาณ 0-50 กิโลเมตร หินที่พบส่วนใหญ่เป็นหินอัคนี และหินตะกอน เปลือกโลกมี 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนที่เป็นภาคพื้นทวีป และส่วนที่เป็นใต้มหาสมุทร

  21. 1.1 เปลือกโลกภาคพื้นทวีป (Continental crust)  เป็นส่วนประกอบของเปลือกโลกเป็นส่วนใหญ่  อยู่ลึกจากพื้นดินประมาณ 35-70 กิโลเมตร  หินที่เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นซิลิกากับอะลูมินา  เรียกชื่อชั้นที่เป็นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปอีกชื่อว่า “ไซอัล”

  22. 1.2 เปลือกโลกใต้มหาสมุทร (Oceanic crust)  เป็นส่วนของเปลือกโลกที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำ  มีความหนาประมาณ 5-10 กิโลเมตร  หินที่เป็นส่วนประกอบเป็นหินบะซอลต์ ที่มีสีเข้ม เช่น สีเทาดำ สีเขียวแก่  เรียกชื่อชั้นที่เป็นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรอีกชื่อว่า “ไซมา”

  23. 2. ชั้นเนื้อโลก (mantle) ชั้นของโลกที่อยู่ระหว่างเปลือกโลกกับแก่นโลก มีความหนาประมาณ 2,900 กิโลเมตร บางส่วนเป็นหินหลอมเหลว หรือหินหนืด แบ่งเป็น 2 ชั้น คือ ชั้นเนื้อโลกส่วนบน กับชั้นเนื้อโลกส่วนล่าง

  24. 2.1 เนื้อโลกส่วนบน (Upper mantle)  ประกอบด้วยส่วนของชั้นธรณีภาคกับชั้นฐานธรณีภาค (asthenosphere)  มีความหนาประมาณ 100-350 กิโลเมตร มีสภาพเป็นพลาสติก ทำหน้าที่คล้ายฉนวนกันความร้อนจากชั้นเนื้อโลกส่วนล่าง  มีความยืดหยุ่นเพื่อการปรับตัวจากการเคลื่อนไหวของชั้นธรณีภาค อุณหภูมิประมาณ 1,400-3,000 0C

  25. ชั้นเนื้อโลกส่วนบนกับชั้นเปลือกโลกซึ่งเป็นชั้นหินแข็ง รวมเรียกว่า “ธรณีภาค”  มีสภาพเป็นหินหลอมละลายร้อน หรือเรียกว่า “หินหนืด (magma)” เป็นของเหลวร้อนที่แน่นและหนืดกว่าตอนบน  มีความสำคัญ เพราะเป็นชั้นที่มีลักษณะคล้ายฉนวนป้องกันความร้อนจากแมกมาในชั้นเนื้อโลกไม่ให้แผ่ ความร้อนขึ้นมากเกินไป

  26. 2.2 เนื้อโลกส่วนล่าง (Lower mantle)  เรียกอีกอย่างว่า ชั้น มัชฌิมภาค  เป็นชั้นที่อยู่ใต้ฐานธรณีภาค  มีสภาพเป็นของแข็ง อยู่ในระดับความลึกจากผิวโลก 350-2,900 กิโลเมตร  ส่วนใหญ่ประกอบด้วยซิลิเกตของเหล็ก และแมกนีเซียม  อุณหภูมิประมาณ 3.000 องศาเซลเซียส

  27. แนวแบ่งเขตโมโฮโรวิซิก (Mohorovicic discontinuity) แบ่งเขตระหว่างเปลือกโลกกับชั้นเนื้อโลก มีความหนาประมาณ 50 กิโลเมตร

  28. 3. แก่นโลก (Core) ส่วนชั้นในสุดของโลก ถัดจากชั้นเนื้อโลกมีความหนาแน่น และความดันสูงมาก มีอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 6,670 องศาเซลเซียส มีรัศมียาวประมาณ 3,500 กิโลเมตร ประกอบด้วยธาตุเหล็ก และนิกเกิลเป็นส่วนใหญ่ แบ่งเป็น 2 ชั้น คือ แก่นโลกชั้นนอก (outer core) กับแก่นโลกชั้นใน (inner core)

  29. 3.1 แก่นโลกชั้นนอก (Outer core)  อยู่ในระดับความลึกจากผิวโลกประมาณ 2,900–5,000 กิโลเมตร มีความหนาประมาณ 2,270 กิโลเมตร  แก่นโลกชั้นนี้เป็นของเหลว ประกอบด้วย สารละลายเหล็กเหลวหนักที่มีธาตุเหล็ก และนิกเกิล การไหลหมุนวนไปมาของสารละลายนี้เองที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์คิดว่า คือ สาเหตุที่ทำให้โลกมีสนามแม่เหล็ก

  30. 3.2 แก่นโลกชั้นใน (inner core)  อยู่ในระดับความลึกจากผิวโลกระหว่าง 5,000 กิโลเมตร กับจุดศูนย์กลางโลก (ประมาณ 6,370 กิโลเมตร) มีความหนาประมาณ 1,216 กิโลเมตร  อุณหภูมิที่ใจกลางอาจสูงถึง 6,000 องศาเซลเซียส  ประกอบด้วยธาตุนิกเกิล และธาตุที่มีความถ่วงจำเพาะสูงมาก อยู่ในสภาพของแข็ง

  31. นักธรณีวิทยาได้แบ่งโครงสร้างของโลก โดยใช้องค์ประกอบทางคลื่นไหวสะเทือนเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 5 ชั้น 1. ชั้นธรณีภาค (Lithosphere) ส่วนของโลกที่เป็นของแข็งห่อหุ้มอยู่รอบนอกสุดของโลก หมายถึง ชั้นเปลือกโลกทั้งหมดกับชั้นบางๆ ของเนื้อโลก มีความหนาเฉลี่ย 0-100 กิโลเมตร

  32. 2. ชั้นฐานธรณีภาค (Asthenosphere) มีความอ่อนตัว และความเป็นพลาสติกมากกว่าธรณีภาค เพื่อปรับให้ธรณีภาคอยู่ในภาวะสมดุล อยู่ในระดับความลึกจากผิวโลก 100-350 กิโลเมตร เป็นบริเวณที่เกิดหินหนืด คลื่นแผ่นดินไหวหรือคลื่นไหวสะเทือน เมื่อเคลื่อนผ่านชั้นนี้จะมีความเร็วลดลง

  33. 3. ชั้นมัชฌิมภาค (mesosphere) เป็นชั้นที่อยู่ใต้ฐานธรณีภาค และเหนือแก่นโลก อยู่ในระดับความลึกจากผิวโลก 350-2800 กิโลเมตร ส่วนใหญ่ประกอบด้วยซิลิเกตของเหล็ก และแมกนีเซียม

  34. 4. แก่นโลกชั้นนอก (outer core) อยู่ในระดับความลึกจากผิวโลก 2,800-5,100 กิโลเมตร ประกอบด้วย ของไหล ที่มีธาตุเหล็กและนิกเกิลเป็นส่วนประกอบ

  35. 5. แก่นโลกชั้นใน (inner core) เป็นชั้นที่มีความลึกจากชั้นแก่นโลกชั้นนอก ลงไป ประกอบด้วยธาตุนิกเกิล และธาตุที่มีความถ่วงจำเพาะสูงมาก อยู่ในสภาพของแข็ง

More Related