150 likes | 281 Views
初念淺~轉念深 หวนคิดอีกนิด (เพราะสะกิดแรกมักผิวเผิน). หมู่นี้ เมืองไทยมีแต่คนชี้หน้าด่าคนอื่นว่าเลว แต่ไม่เคยดูว่าตัวเองบริสุทธิ์แค่ไหน เฮ้อ นี่แหละคนไทย ถอดความจากบนเว็บ ให้อ่านเล่นๆ ksd @ 18.06.2008. “ ไฟเขียวแล้ว ทำไมยังไม่ออกรถวะ ทำบ้าอะไรอยู่อีกล่ะ ”
E N D
初念淺~轉念深 หวนคิดอีกนิด (เพราะสะกิดแรกมักผิวเผิน) หมู่นี้ เมืองไทยมีแต่คนชี้หน้าด่าคนอื่นว่าเลว แต่ไม่เคยดูว่าตัวเองบริสุทธิ์แค่ไหน เฮ้อ นี่แหละคนไทย ถอดความจากบนเว็บ ให้อ่านเล่นๆksd @ 18.06.2008
“ไฟเขียวแล้ว ทำไมยังไม่ออกรถวะ ทำบ้าอะไรอยู่อีกล่ะ” ข้าพเจ้าต้องกดแตรไล่อย่างมีอารมณ์ไปสองครั้ง กว่ารถคันหน้าจะเคลื่อนออกไปได้เหมือนเพิ่งตื่นนอน
“บ้านเมืองเรายุ่ง ก็เพราะไอ้คนพวกนี้แหละ ไฟแดงจะฝ่า ไฟเขียวดันหยุด ตาบอดสี ยังมาขับรถ” ข้าพเจ้ายังคงสงบไม่ลง บ่นกับเพื่อน(สาว)ข้างๆ ยังกะข้าพเจ้าเป็นคนที่ขับรถดีที่สุดในโลก
“แปร๊น แปร๊น แปร๊น แปร๊น” “กดทำเห้- อะไรวะ” มีเสียงแตรรถไล่เตือนจากข้างหลัง ข้าพเจ้าพลันตื่นจากภวังค์ มองอีกที ไฟเขียวแล้วจริงๆ จึงต้องรีบออกรถอย่างเสียไม่ได้
เมื่อวานแม่ป่วยหนัก เข้าห้อง ไอ ซี ยู กำลังปรึกษากับพี่ชายว่าจะให้แม่เข้ารับการผ่าตัดดีไหม ใจหนึ่งก็กังวลว่าท่านอายุมากแล้ว จะมีอันตราย แต่หากไม่ผ่าตัด อาการต้องทรุดหนักลงแน่ๆ จะเอาไงดีนะ
“เมื่อตะกี้ที่ไม่เห็นไฟแดง ก็เพราะกังวลในเรื่องนี้หรอก รถคันหลังก็ช่างกระไร ไม่มีน้ำใจบ้างเลย ทำยังกะจะไปเกิดใหม่” ตอนนั้นข้าพเจ้าขับรถอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อน(สาว)เหมือนครั้งก่อน แต่ก็ยังอดบ่นพึมพำอยู่คนเดียวไม่ได้ คนเราก็อย่างนี้แหละ คิดเพื่อตัวเองเสมอ จนกว่าจะรู้แจ้งในธรรม
เคยอ่านเจอเรื่องหนึ่งในหนังสือเคยอ่านเจอเรื่องหนึ่งในหนังสือ ผู้เขียนเล่าว่าตอนนั้นเขากำลังอยู่ในรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ค มีเด็กชายคนหนึ่ง ทั้งร้องไห้ทั้งแผดเสียงเป็นที่น่ารำคาญ แต่คนข้างๆที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อของเด็ก กลับนั่งนิ่งอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
คนอื่นๆในรถ ต่างรู้สึกรำคาญ แต่ไม่มีใครกล้าออกมาปราม จนผู้เขียนต้องทำตัวเป็นฮีโร่ ออกหน้าซะเอง “นี่คุณ ไม่เห็นเหรอว่าเด็กมันทำตัวหนวกหูชาวบ้านเขา ดูแลซะบ้างซี”
ชายผู้นั้นเหมือนเพิ่งได้สติชายผู้นั้นเหมือนเพิ่งได้สติ “โอ๊ะ ขอโทษครับ แม่ของเด็กเพิ่งเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง ผมกำลังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ต้องขอโทษด้วยครับ” ทันใดนั้น กลายเป็นผู้เขียนที่รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก กับความโหดร้ายของตัวเอง
พวกเราส่วนใหญ่ มักชอบตำหนิคนอื่น มักจะนึกว่า คนอื่นไม่มีเหตุผล ไม่ยอมเข้าใจเรา “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ฟังดูง่าย แต่แท้จริงแล้ว ปฏิบัติยากมาก
แต่พวกเราก็ไม่ควรที่จะเสียกำลังใจแต่พวกเราก็ไม่ควรที่จะเสียกำลังใจ เพราะยังไงๆ พวกเราก็ยังเป็นปุถุชนธรรมดา การ “ปรุงแต่ง” ในสะกิดแรก เป็นเรื่องธรรมดา แต่ตอนที่จะโต้ตอบ ลองหวนคิดสักนิด บางที คู่กรณีอาจกำลังเข้าจุดอับ หรืออยู่ระหว่างทางหลายแพร่งที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตก็เป็นได้
“หวนคิดอีกนิด เพราะสะกิดแรกมักผิวเผิน” สะกิดแรก มักเป็นการ“ปรุงแต่ง”จากสังขารที่มีอยู่เดิม จึงมักผิวเผิน สร้างความเข้าใจผิดได้ง่าย หาก“หวนคิดอีกนิด” เราอาจช่วยคู่กรณีคิดหาเหตุผล บางที พอความคิดผ่อนคลาย ความโกรธก็พาลหายไป การแก่งแย่งเอาชนะที่ไม่จำเป็นก็อาจไม่เกิดขึ้น
อืม คราวหน้าหากติดไฟแดงที่สี่แยกอีก ข้าพเจ้าจะอดทนขึ้นอีกนิด เพราะบางที เจ้าของรถคันหน้า อาจกำลังมีมรสุมชีวิตที่สาหัสสากรรฐ์อย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้
ถอดความจาก “มองโลกที่ขัดแย้งด้วยอารมณ์ขัน” (ตอนนี้ พอข้าพเจ้าเห็นคนในรถคันหน้าโทรศัพท์ขณะขับรถ ข้าพเจ้ามักจะนึกว่า เขาคงกำลังเดือดร้อน ต้องโทรบอกญาติๆให้ช่วยจองเมรุที่วัดใดวัดหนึ่ง เพราะมีญาติผู้ใหญ่เพิ่งเสียชีวิตไปก็เป็นได้) ksd@16.06.2008
มีคน e-mail มาให้คุณอีกแล้ว รู้สึกดีไหมล่ะ...... ~ Bye ~