430 likes | 805 Views
สัญญาประกันภัย. อ.จักรภพ ศิ ริภากร กาญจน์. ปพพ. มาตรา 861 “อันว่าสัญญาประกันภัยนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดังระบุไว้ในสัญญา และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัย”.
E N D
สัญญาประกันภัย อ.จักรภพ ศิริภากรกาญจน์
ปพพ. มาตรา 861 • “อันว่าสัญญาประกันภัยนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดังระบุไว้ในสัญญา และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัย”
ปพพ. มาตรา 862 • “ตามข้อความในลักษณะนี้ • คำว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ • คำว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย • คำว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทน หรือรับจำนวนเงินใช้ให้ • อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”
ประเภทของสัญญาประกันภัยประเภทของสัญญาประกันภัย
1. สัญญาประกันวินาศภัย • สัญญาประกันวินาศภัย คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ในกรณีวินาศภัยเกิดขึ้นและในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกัน • เช่น ประกันอัคคีภัย ประกันรถยนต์เกิดอุบัติเหตุ • ปพพ. มาตรา 869 • “อันคำว่า “วินาศภัย” ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดาซึ่งพึงประมาณเป็นเงินได้”
2. สัญญาประกันภัยค้ำจุน • ปพพ. มาตรา 887 • “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัย ซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”
3. สัญญาประกันชีวิต • สัญญาประกันชีวิต คือสัญญาประกันภัยอันกำหนดจำนวนเงินแน่นอนซึ่งเป็นสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงใช้เงินจำนวนหนึ่งในเหตุความตายในอนาคตดังระบุไว้ในสัญญาและในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกัน
ผู้เอาประกันต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยผู้เอาประกันต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย • ปพพ. มาตรา 863 • “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”
หลักฐานการฟ้องร้อง • ปพพ. มาตรา 867 • “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ • ให้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยอันมีเนื้อความต้องตามสัญญานั้นแก่ผู้เอาประกันภัยฉบับหนึ่ง”
การเปิดเผยข้อความจริงการเปิดเผยข้อความจริง • ปพพ. มาตรา 865 • “ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ • ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”
การรับช่วงสิทธิ • ปพพ. มาตรา 880 • “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย”
ปพพ. มาตรา 896 • “ถ้ามรณภัยเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลภายนอก ผู้รับประกันภัยหาอาจจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นได้ไม่ แต่สิทธิของฝ่ายทายาทแห่งผู้มรณะในอันจะได้ค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นหาสูญสิ้นไปด้วยไม่”
ปพพ. มาตรา 898 • “อันตั๋วเงินตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้มีสามประเภท ประเภทหนึ่งคือตั๋วแลกเงิน ประเภทหนึ่งคือตั๋วสัญญาใช้เงิน ประเภทหนึ่งคือเช็ค”
ตั๋วเงินต้องมีมูลหนี้เดิมตั๋วเงินต้องมีมูลหนี้เดิม • เป็นสื่อกลางเพื่อชำระหนี้เงิน
เป็นตราสารเปลี่ยนมือได้เป็นตราสารเปลี่ยนมือได้ • โอนตั๋วเงินกันได้โดยการส่งมอบ (ตั๋วเงินชนิดไม่ระบุชื่อผู้ถือโดยเฉพาะ) หรือสลักหลังและส่งมอบ (ตั๋วเงินชนิดระบุชื่อ)
ตั๋วแลกเงิน • ปพพ. มาตรา 908 • “อันว่าตั๋วแลกเงินนั้น คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้สั่งจ่าย สั่งบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จ่าย ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลคนหนึ่ง” • ตัวอย่าง • ก. ออกตั๋วแลกเงินให้ ข. เพื่อชำระหนี้ให้แก่ ข. (หรือผู้ถือ) โดยในตั๋วแลกเงินนั้นสั่งให้ ค. ชำระหนี้ให้ ข.
ตั๋วแลกเงินมีบุคคลที่เกี่ยวข้องสามฝ่าย คือ • “ผู้สั่งจ่าย” คือบุคคลที่เขียนสั่งจ่ายตั๋วแลกเงิน โดยปกติผู้สั่งจ่ายจะเป็นเจ้าหนี้ของผู้จ่าย จึงย่อมมีอำนาจสั่งให้ผู้จ่ายจ่ายเงินแก่ผู้รับเงินได้ • “ผู้จ่าย” คือบุคคลซึ่งผู้สั่งจ่ายระบุให้เป็นผู้จ่ายเงินตามตั๋ว • “ผู้รับเงิน” คือบุคคลซึ่งผู้สั่งจ่ายระบุให้รับเงินตามตั๋วซึ่งผู้จ่ายจะจ่ายให้ มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ผู้สั่งจ่าย
ตั๋วสัญญาใช้เงิน • ปพพ. มาตรา 892 • “อันว่าตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ออกตั๋ว ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน” • ตัวอย่าง ก. ยืมเงิน ข. ก.จึงได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสัญญาว่าจะใช้เงิน ข. ภายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553
ตั๋วสัญญาใช้เงินมีบุคคลเกี่ยวข้องสองฝ่าย คือ • “ผู้ออกตั๋ว” คือบุคคลที่เป็นลูกหนี้ของผู้รับเงิน เป็นผู้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจ่ายให้กับผู้รับเงิน • “ผู้รับเงิน” คือ บุคคลที่เป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกตั๋ว ซึ่งผู้ออกตั๋วมีหน้าที่ชำระหนี้
เช็ค • ปพพ. มาตรา 987 • “อันว่าเช็คนั้น คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามแก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน” • ตัวอย่าง • ก. ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอาไว้กับธนาคารกรุงไทย 5 ล้านบาท ธนาคารได้มอบสมุดเช็คให้ 1 เล่ม ต่อมา ก. ได้ซื้อรถยนต์จาก ข. จึงได้สั่งจ่ายเช็คโดยสั่งให้ธนาคารกรุงไทยจ่ายเงินให้ ข. 1 ล้านบาท
เช็คนั้น มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย • “ผู้สั่งจ่าย” คือบุคคลที่เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอาไว้กับธนาคาร เป็นผู้สั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คให้กับผู้รับเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตน • “ผู้จ่าย (ธนาคาร) คือผู้ที่ทำหน้าที่จ่ายเงินตามเช็ค • “ผู้รับเงิน” คือบุคคลซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้สั่งจ่าย โดยผู้สั่งจ่ายระบุให้มีสิทธิไปเรียกเก็บเงินตามเช็ค
เช็คขีดคร่อม • จะมีเครื่องหมาย / / อยู่ในเช็ค หมายความว่าธนาคารจะต้องจ่ายเงินให้ทางบัญชีเท่านั้น จะไม่จ่ายเป็นเงินสด
ผู้ทรงตั๋วเงิน • ปพพ. มาตรา 904 • “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่าบุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครอง โดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ผู้ถือก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”
ผู้ที่ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินต้องรับผิดผู้ที่ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินต้องรับผิด • บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินไม่ว่าจะในฐานะผู้ออกตั๋ว, ผู้สลักหลัง, ผู้รับอาวัล, ผู้รับรอง จะต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นแก่ผู้ทรง ผู้ที่ไม่ได้ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินจะไม่เกิดความรับผิดตามตั๋วเงินเลย
การโอนตั๋วเงิน • 1. ตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ หมายถึงตั๋วเงินที่ผู้สั่งจ่าย หรือผู้ออกตั๋วได้ออกตั๋วเงินโดยการระบุชื่อของผู้รับเงินลงไว้ในตั๋วเงิน บุคคลที่สามารถนำตั๋วเงินไปขึ้นเงินได้ต้องเป็นบุคคลที่มีชื่ออยู่ในตั๋วเงินในฐานะผู้รับเงินเท่านั้น ส่วนบุคคลอื่นที่จะขึ้นเงินได้ต้องเป็นผู้ที่ได้รับตั๋วเงินมาจากผู้ทรงตั๋วคนเดิมโดยการ สลักหลังและส่งมอบ • เช่น ก. ออกตั๋วเงินโดยสั่งให้ ข. จ่ายเงินให้แก่ ค. ค. ได้สลักหลังและส่งมอบตั๋วเงินให้แก่ ง. ง. ก็ได้สลักหลังและส่งมอบตั๋วเงินให้แก่ จ.
วิธีการสลักหลัง ทำได้ 2 วิธี คือ • 1. การสลักหลังเฉพาะ คือลงลายมือชื่อผู้สลักหลังและระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง • 2. การสลักหลังลอย คือ ลงลายมือชื่อของผู้สลักหลังแต่ไม่ได้ระบุชื่อผู้รับสลักหลัง ผู้ที่ได้ตั๋วมาจากการสลักหลังลอยจะโอนตั๋วโดยการสลักหลังเฉพาะและส่งมอบต่อไป หรือสลักหลังลอยและส่งมอบต่อไป หรือแค่ส่งมอบอย่างเดียวต่อไปก็ได้ • เว้นแต่มีข้อความห้ามเปลี่ยนมือ เช่น เปลี่ยนมือไม่ได้ (Not negotiable)ห้ามสลักหลังต่อ (No further indorsement) หรือ เข้าบัญชีผู้รับเงินเท่านั้น (AC payee only)
2. ตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ หรือ ตั๋วผู้ถือ • หมายถึงตั๋วเงินที่ผู้สั่งจ่ายได้ออกตั๋วเงินโดยไม่ได้ระบุชื่อของผู้รับเงินเอาไว้ในตั๋วเงินโดยเฉพาะ หรืออาจจะระบุชื่อผู้รับเงินเอาไว้แต่มิได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ออก ผลแห่งการนี้ถือว่า บุคคลใดเป็นผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครอง หรือเป็นผู้ถือตั๋วเงินก็ถือว่าเป็นผู้ทรง สามารถนำตั๋วเงินนั้นไปขึ้นเงินกับผู้จ่ายได้ • การโอนตั๋วเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้แก่กัน โดยไม่ต้องสลักหลัง หากสลักหลังไปจะมีผลทำให้ผู้สลักหลังเป็นอาวัลผู้สั่งจ่ายไป
การอาวัล (aval) • อาวัล คือการค้ำประกันความรับผิดชอบตามตั๋วเงิน ผู้รับอาวัลจะเป็นบุคคลภายนอกหรือเป็นคู่สัญญาคนใดคนหนึ่งในตั๋วเงินนั้นก็ได้
รูปแบบของการอาวัล • 1. เขียนด้วยถ้อยคำสำนวน “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสำนวนอื่น เช่น “ค้ำประกัน” “รับประกัน” และลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล และต้องระบุชื่อผู้ถูกรับอาวัลด้วย หากไม่ระบุไว้ให้ถือว่ารับอาวัลผู้สั่งจ่าย • 2. เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าของตั๋วเงิน โดยไม่เขียนข้อความใด ๆ ก็เป็นการรับอาวัลแล้ว เว้นแต่เป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายและผู้จ่าย • 3. สลักหลังตั๋วเงินที่ออกให้แก่ผู้ถือ ย่อมเท่ากับเป็นการอาวัลผู้สั่งจ่ายแล้ว
ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลที่ตนประกันผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลที่ตนประกัน • เมื่อผู้รับอาวัลใช้เงินแล้ว มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลซึ่งตนประกันไว้ได้
ตัวอย่าง • หนึ่งสั่งจ่ายเช็คผู้ถือ ส่งมอบให้แก่ สอง สองส่งมอบให้แก่สามโดยสลักหลัง ถือว่าสองเป็นผู้รับอาวัลหนึ่งผู้สั่งจ่าย หากสามนำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ สามย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับนายหนึ่งผู้สั่งจ่าย หรือสองผู้รับอาวัลคนใดคนหนึ่งก็ได้ • เมื่อสองผู้รับอาวัลใช้หนี้ตามตั๋วให้แก่สามแล้ว ก็มีสิทธิไล่เบี้ยเอากับนายหนึ่งผู้สั่งจ่ายได้
การรับรองตั๋วเงิน • การรับรองหมายถึง การแสดงเจตนาของผู้จ่ายในอันที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้สั่งจ่าย • โดยทั่วไปตั๋วเงินฉบับหนึ่ง ผู้จ่ายจะถูกระบุชื่อไว้ในตั๋วโดยผู้สั่งจ่ายเท่านั้น ยังไม่มีลายมือชื่อของผู้จ่าย จึงยังไม่มีความรับผิดต่อผู้ทรงตั๋ว ผู้ทรงสามารถเอาตั๋วไปให้ผู้จ่ายรับรองได้ เมื่อผู้จ่ายลงลายมือชื่อรับรอง เช่นใช้สำนวนว่า “รับรองแล้ว” เมื่อได้กระทำการดังกล่าวแล้ว ผู้จ่ายจะเปลี่ยนฐานะเป็นผู้รับรองตั๋วและต้องผูกพันรับผิดด้วยเช่นเดียวกับผู้สั่งจ่ายและบรรดาผู้สลักหลัง
การรับผิดตามตั๋วเงิน • ปพพ. มาตรา 967 • “บรรดาผู้สั่งจ่ายก็ดี รับรองก็ดี สลักหลังก็ดี หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง • สิทธิเช่นเดียวกันนี้ ย่อมมีแก่บุคคลทุกคนซึ่งได้ลงมือชื่อในตั๋วเงินและเข้าถือเอาตั๋วเงินนั้น ในการที่จะใช้บังคับเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตน”
ปพพ. มาตรา 971 • “ผู้สั่งจ่ายก็ดี ผู้รับรองก็ดี ผู้สลักหลังคนก่อนก็ดีซึ่งเขาสลักหลังหรือโอนตั๋วให้อีกทอดหนึ่งก็ดีนั้น หามีสิทธิจะไล่เบี้ยเอาแก่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตนย่อมต้องรับผิดต่อเขาอยู่ก่อนแล้วตามตั๋วเงินนั้นได้ไม่”
ตัวอย่าง • หนึ่งออกเช็คชำระหนี้ 50,000 บาทให้แก่สอง ต่อมาสองสลักหลังโดยระบุชื่อโอนให้แก่สาม สามสลักหลังลอยส่งมอบให้แก่สี่ สี่ส่งมอบให้แก่ห้า ห้านำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคาร ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ ห้าผู้ทรงสามารถฟ้องร้องให้ • - หนึ่งรับผิดตามเช็คได้ ในฐานะผู้สั่งจ่าย (ได้ลงลายมือชื่อในเช็ค) • - สองในฐานะผู้สลักหลัง (ได้ลงลายมือชื่อในเช็ค) • - สามในฐานะผู้สลักหลังลอย (ได้ลงลายมือชื่อในเช็ค) • แต่ห้าไม่สามารถฟ้องให้สี่รับผิดได้ เพราะสี่ไม่ได้ลงลายมือชื่อของตนในเช็คนั้น
ตัวอย่าง • จันทร์ออกตั๋วแลกเงินฉบับหนึ่งสั่งอาทิตย์ให้จ่ายเงินแก่อังคาร อังคารสลักหลังโอนตั๋วให้พุธ พุธได้ยื่นตั๋วให้อาทิตย์รับรองและอาทิตย์รับรองให้แล้ว ต่อมาพุธสลักหลังโอนตั๋วให้พฤหัส แล้วพฤหัสสลักหลังโอนตั๋วชำระหนี้ให้อังคาร ครั้นตั๋วถึงกำหนด อังคารนำไปยื่นต่ออาทิตย์เพื่อให้ใช้เงิน อาทิตย์ไม่ใช้ ให้วินิจฉัยว่าใครจะต้องรับผิดและไม่ต้องรับผิดต่ออังคารผู้ทรงบ้าง