510 likes | 902 Views
Chemical Bonding I: Basic Concepts. เนื้อหาที่จะเรียน. 1 ทฤษฎีลูอิส 2 พันธะโคเวเลนท์ 3 การเขียนโครงสร้างลูอิส 4. เรโซแนนซ์ ข้อยกเว้นของกฎออกเต็ท 6 รูปร่างของโมเลกุล 7 ลำดับและความยาวพันธะ 8 พลังงานพันธะ. ทฤษฎีของลูอิส. เวเลนซ์อิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเกิดพันธะเคมี
E N D
เนื้อหาที่จะเรียน 1 ทฤษฎีลูอิส 2 พันธะโคเวเลนท์ 3 การเขียนโครงสร้างลูอิส 4. เรโซแนนซ์ ข้อยกเว้นของกฎออกเต็ท 6 รูปร่างของโมเลกุล 7 ลำดับและความยาวพันธะ 8 พลังงานพันธะ
ทฤษฎีของลูอิส • เวเลนซ์อิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเกิดพันธะเคมี • บางครั้งก็เกิดการถ่ายโอนอิเล็กตรอนขึ้นทำให้เกิดเป็นพันธะไอออนิก • ถ้ามีการใช้อิเล็กตรอนร่วมกันระหว่างอะตอมที่เกิดพันธะจะได้พันธะโคเวเลนท์ • อิเล็กตรอนรอบอะตอมที่เกิดพันธะโคเวเลนท์จะมี 8 อิเล็กตรอน
•• •• •• •• •• As Bi P Sb N • • • • • • • • • • • • • • • •• •• •• Al Ar • Se •• I • •• • • •• • • •• • •• สัญลักษณ์ลูอิส • สัญลักษณ์ของธาตุ – แสดงถึงนิวเคลียส กับ coree-. • จุดที่อยู่รอบๆสัญลักษณ์ของธาตุ – แสดงเวเลนซ์อิเล็กตรอน • Si • • •
ตัวอย่างที่ 1 • •• 2+ 2- •• Ba O Ba O •• • • • •• •• •• จงเขียนโครงสร้างแบบลูอิสของสารประกอบไอออนิก: (a) BaO; (b) MgCl2 ; (c) aluminum oxide. BaO ลูกศรครึ่งซีกหมายถึงมีการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนมีตัวเดียว ลูกศรที่มีสองด้านหมายถึงการเคลื่อนที่ของ 2 อิเล็กตรอน
ตัวอย่างที่ 2 •• Cl •• • •• • 2+ - •• Mg Mg 2 Cl •• • •• •• •• Cl •• • •• MgCl2
H F F F B F B N H + H H F F H - •• N H Cl •• •• H N H •• •• H H H N H H • • พันธะโคออร์ดิเนทโคเวเลนซ์ Cl H +
• • • • • •• •• N N C O O •• •• •• •• • • • •• •• • • • • •• •• C O O C O O N N N N •• •• •• •• •• •• •• •• • • พันธะโคเวเลนซ์หลายพันธะ • • • O C O • • • • • • • • • • • • • • • •• N N •• • • • •
พันธะโพลาร์โคเวเลนท์ และ Electrostatic Potential Maps
ค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตี
เปอร์เซ็นต์ความเป็นไอออนิกเปอร์เซ็นต์ความเป็นไอออนิก
การเขียนโครงสร้างลูอิสการเขียนโครงสร้างลูอิส • ต้องแสดงเวเลนซ์อิเล็กตรอนทุกตัว • โดยทั่วไปอิเล็กตรอนต้องเข้าคู่กัน • โดยทั่วไปอิเล็กตรอนรอบอะตอมหนึ่งจะต้องมี 8 ยกเว้น H มี 2 อิเล็กตรอน • โมเลกุลอาจจะมีพันธะคู่หรือพันธะสาม โดยมักจะเกิดกับอะตอม C, N, O, S, และ P
การเขียนโครงสร้างลูอิสการเขียนโครงสร้างลูอิส • ต้องจำแนกว่าอะตอมใดเป็นอะตอมกลางและอะตอมปลาย H H H C C O H H H โครงสร้างหลักที่มีอะตอมเชื่อมต่อกัน (skeletal structure)
การเขียนโครงสร้างลูอิสการเขียนโครงสร้างลูอิส • ไฮโดรเจนจะเป็นอะตอมปลายเสมอ • โดยทั่วไปอะตอมกลางจะมีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีต่ำที่สุด • คาร์บอนจะเป็นอะตอมกลางเสมอ
วิธีเขียนโครงสร้างแบบลูอิสวิธีเขียนโครงสร้างแบบลูอิส นับจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้งหมดในโครงสร้าง วาดโครงสร้างหลัก แทนที่พันธะด้วย 2 อิเล็กตรอน จำแนกอะตอมปลาย ทำให้อะตอมปลายมี 8 อิเล็กตรอนหรือ 2 อิเล็กตรอนสำหรับ H หักอิเล็กตรอนที่ใช้ไปจากเวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้งหมด ดูว่ายังเหลืออิเล็กตรอนอีกหรือไม่
หักอิเล็กตรอนที่ใช้ไปจากเวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้งหมด ดูว่ายังเหลืออิเล็กตรอนอีกหรือไม่ ไม่เหลือ เหลือ อะตอมมีอิเล็กตรอนครบ 8 หรือยัง เติมอิเล็กตรอนที่เหลือบนอะตอมกลาง ครบ ไม่ครบ โครงสร้างลูอิสที่น่าพอใจ สร้างพันธะคู่หรือพันธะสามเพื่อให้มีอิเล็กตรอนครบ 8
ตัวอย่างการเขียนโครงสร้างลูอิสตัวอย่างการเขียนโครงสร้างลูอิส •• •• ขั้นที่ 4: ใส่e-ที่อะตอมปลาย: O—N—O •• •• •• •• เขียนโครงสร้างลูอิสของ nitronium ion NO2+ ขั้นที่ 1: ผลรวมของเวเลนซ์ e- = 5 + 6 + 6 – 1 = 16 e- ขั้นที่ 2: จำแนกอะตอมกลางและอะตอมปลาย ขั้นที่ 3: เขียนโครงสร้างที่เป็นไปได้: O—N—O
ตัวอย่างการเขียนโครงสร้างลูอิส (ต่อ) •• •• O=N=O •• •• •• •• O—N—O •• •• •• •• ขั้นที่ 5: หาจำนวนe-ที่เหลือ 16 – 4 – 12 = 0 ขั้นที่ 6: เขียน multiple bond เพื่อให้ครบ octet +
•• •• O=N=O •• •• 1 FC(O) = 6 - 4 – (4) = 0 2 1 FC(N) = 5 - 0 – (8) = +1 2 การหาค่า Formal Charge 1 FC = #valence e- - #lone pair e- - #bond pair e- 2 +
•• •• •• O N O •• 1 FC(O≡) = 6 - 2 – (6) = +1 2 1 FC(O—) = 6 - 6 – (2) = -1 2 1 FC(N) = 5 - 0 – (8) = +1 2 โครงสร้างลูอิสแบบอื่น + - + •• •• O—N—O •• •• •• ••
- •• + + O≡N—O •• •• •• โครงสร้างลูอิสแบบอื่น • ผลรวมของ FC ก็คือประจุของโมเลกุล • FC จะต้องมีค่าน้อยที่สุด • FC ที่เป็นลบจะเป็นอะตอมที่มีอิเล็กโตรเนกราทิวิตีสูงที่สุด • FC ที่มีประจุแบบเดียวกันแต่อะตอมอยู่ติดกัน จะไม่เสถียร
นิสิตลองเขียนโครงสร้างลูอิสนิสิตลองเขียนโครงสร้างลูอิส จงเขียนโครงสร้างลูอิสของ nitrosyl chloride, NOCl - 2+ 2- - 2+ - +
+ -½ -½ •• •• •• O O O •• •• เรโซแนนซ์ (Resonance) - + - + •• •• •• •• •• •• O O O O O O •• •• •• •• •• ••
ข้อยกเว้นของกฎ octet • Odd e- species. N=O •• •• • •• H •• O—H • H—C—H • ••
•• •• •• F •• •• F •• + - B B •• - •• •• •• •• F F •• •• F F + •• •• •• •• •• •• •• ข้อยกเว้นของกฎ octet • Incomplete octets. •• •• F •• B •• •• F F •• •• •• •• ionic character
•• •• •• F •• Cl •• •• •• •• •• •• F •• •• Cl F •• Cl •• •• •• •• •• S P •• •• •• F F •• •• Cl Cl •• •• F •• •• •• •• •• •• •• •• ข้อยกเว้นของกฎ octet • Expanded octets. •• •• Cl •• P •• •• •• Cl Cl •• •• •• ••
Valence Shell กับความเหมาะสมของ FC
รูปร่างของโมเลกุล H O H
คำศัพท์ที่ควรรู้ • Bond length – distance between nuclei. • Bond angle – angle between adjacent bonds. • VSEPR Theory • Electron pairs repel each other whether they are in chemical bonds (bond pairs) or unshared (lone pairs). Electron pairs assume orientations about an atom to minimize repulsions. • Electron group geometry – distribution of e- pairs. • Molecular geometry – distribution of nuclei.
Table1 Molecular Geometry as a Function of Electron Group Geometry
การใช้ประยุกต์ทฤษี VSEPR • Draw a plausible Lewis structure. • Determine the number of e- groups and identify them as bond or lone pairs. • Establish the e- group geometry (lone pair or bond pair) • Determine the molecular geometry. • Multiple bonds count as one group of electrons. • More than one central atom can be handled individually.
ตัวอย่างโจทย์ เทลลูเรียม (Te) เป็นธาตุที่ไม่ค่อยมีผู้สนใจศึกษามากนัก จากหลักการของ VSEPR จงทำนายสูตรเคมีของสารประกอบหรือไอออนของเทลลูเรียมกับฟลูออรีนที่มีโครงสร้างดังต่อไปนี้ (a) T-shaped (b) angular (c) trigonal pyramidal(d) seesaw (e) square planar (f) Square pyramidal (g) trigonal bipyramidal (h) octahedral
ลำดับของพันธะ (bond order) และความยาวพันธะ (bond length) • Bond Order • Single bond, order = 1 • Double bond, order = 2 • Bond Length • Distance between two nuclei • Higher bond order • Shorter bond • Stronger bond
ตัวอย่างการคำนวณหาเอ็นทาลปีของปฏิกิริยาจากพลังงานพันธะตัวอย่างการคำนวณหาเอ็นทาลปีของปฏิกิริยาจากพลังงานพันธะ ให้คำนวณหา H ของปฏิกิริยาระหว่างมีเทน (CH4) กับคลอรีนซึ่งจะให้ผลิตภัณฑ์ดังสมการ ΔHrxn = ΔH(product bonds) - ΔH(reactant bonds) = ΔH bonds formed - ΔH bonds broken = -770 kJ/mol – (657 kJ/mol) = -113 kJ/mol