750 likes | 909 Views
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การเลือกใช้ คอมพิวเตอร์ ให้ เหมาะสมกับงาน. การเลือกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์. การเลือกหน่วยประมวลผลกลาง (CPU).
E N D
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3การเลือกใช้คอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงาน
การเลือกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์การเลือกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
การเลือกหน่วยประมวลผลกลาง(CPU)การเลือกหน่วยประมวลผลกลาง(CPU) • การเลือกการเลือกหน่วยประมวลผลกลาง(CPU)เป็นสิ่งแรกที่คำนึงถึงเพราะซีพียูเป็นตัวที่กำหนดอุปกรณ์อื่นๆ ความเร็วของเครื่องขึ้นอยู่กับซีพียูแทบทั้งสิ้น การเลือกซีพียูมีวิธีพิจารณาการเลือกดังนี้ 1.ความเร็วของซีพียู ความเร็วของซีพียูใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวกำหนดมีหน่วยเป็น เฮิรตซ์(Hz)ในปัจุบัน ซีพียูนั้นมีความเร็วระดับ กิกะเฮิรตซ์(GHz) ยิ่งมีค่ามากยิ่งทำให้ทำงานเร็วมากเท่านั้น เช่น Intel Core 2 Duo 2.66GHz
2.หน่วยความจำแคช • หน่วยความจำแคช (Cache) เป็นหน่วยความจำหนึ่งที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่ซีพียูใช้บ่อยๆ เพื่อส่งให้ซีพียู ซึ่งจะทำงานร่วมกับแรมเพื่อเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่า2อุปกรณ์ให้เชื่อมต่อกัน ยิ่งแคชมากก็ยิ่งเร็ว มี3ระดับ ดังนี้ • แคชระดับที่1 (L1) เป็นแคชขนาดเล็กสุด 32-128 KBแลอยู่ใกล้ชิดCPUสุด • แคชระดับที่2(L2) มีขนาดใหญ่ขึ้นทำการเก็บข้อมูลจากแรมเป็นหลัก • แคชระดับ3(L3) คั่นระหว่างแรมกับL2 มีขนาดใหญ่ประมาณ2-8MB และอยู่ใกล้บัสเพื่อถ่ายโอนข้อมูลไปส่วนต่างๆได้เร็วขึ้น
3.บัส • บัส(BUS) คือการนำไฟฟ้าเดินข้อมูลจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง บัสในคอมพิวเตอร์หมายถึงบัสข้อมูล(Data bus) มีหน่วยเป็น เฮิรตซ์(Hz) จะมีค่าFSB เช่น FSB 1066 เป็นต้น
4.ผู้ผลิตซีพียู • มี2ค่ายหลักๆ ได้แก่ 1.Intel เป็นผู้ผลิตรายแรกและรายใหญ่ที่สุดในโลก ซีพียูที่ทาง Intel ผลิตดังนี้คือ 1.CELERON-D เป็นซีพียูที่อยู่ในตลาดระดับล่าง โดยจะออกแบบให้ใช้กับการทำงานพื้นฐานต่างๆ และมีราคาที่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ต้องการอะไรมากนัก ใช้โปรแกรมทางด้านพื้นฐานเป็นพอ ทั้ง ดูหนังฟังเพลง หรือแค่เล่นอินเตอร์เน็ต เล่นเกมส์เฟรชบาง สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาเลยครับ 2. CELERON-Duo Coreสำหรับ CELERON-Duo Core นี้ได้พัฒนามาจาก CELERON-Dรุ่นเดิม แต่เปลี่ยนมาผลิตจากที่เป็น ซิงเกอร์คอร์มาเป็น ดูอัลคอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำงานดีขึ้น
3.INTEL Duo Core เป็นซีพียูที่มีความเร็วมากกว่า CELERONตอบสนองการใช้งานได้มากกว่า โดยได้พัฒนาจาก ซีพียูรุ่น Pentiumนั้นเอง โครงสร้างก็เป็นแบบ Duo Coreคือมีลักษณะเป็น 2 หัว 4.INTEL CORE 2 DUO เป็นซีพียูที่พัฒนามาจาก INTEL Duo Coreโดยจะมีเลข 2 ก็หมายถึง พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 นั่นเองครับ โดยจะมีการเพิ่ม L 2 เพิ่มขึ้นจาก Duo Coreมีอยู่ 2MB มาเป็น 3MB และมีความเร็วบัสเพิ่มขึ้นด้วย 5.INTEL CORE 2 QUAD เป็นซีพียูที่ได้มีการพัฒนาจาก INTEL CORE 2 DUOโดยการนำ INTEL CORE 2 DUOมารวมกันเป็น เป็น 1ตัวได้ทั้งหมดถึง 4 หัวเลย และยังช่วยการใช้พลังงานที่ลดลงกว่า เดิมอีกด้วย
6. CORE 2 QUAD Extreme เป็นการนำเอา INTEL CORE 2 DUOมารวมตัวกันโดยเป็นการแยกการทำงานโดยอิสระ และมีการแบ่งการทำงาน ของ L2 เป็น 2 ส่วน ซึ่งเป็น ซีพียูทีมีราคมสูงมาก 7.Intel Core i7 เป็นซีพียูที่ ใหม่ล่าสุดที่เริ่มขายแล้ว ซึ่งยังมีราคาที่สูงอยู่ และถือได้ว่าเป็น ซีพียูที่มีความเร็วสูงที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยมีการเพิ่ม แคชระดับ L3 ที่นำมาใช้ถึง 4-8 MB และมีการลองรับ Dual Channel DDR3 เป็นครั้งแรก ซึ่งจะต้องทำงานกับแรม 3 แผงขึ้นไป เพราะฉะนั้นเราต้องใช้แรม 3 แผงเป็นอย่างต่ำ
2. AMD เป็นผู้ผลิตที่นอกเหนือจาก Intel ที่เข้ามาแย่งตลาดกัน โดยจะมีราคาที่ถูกกว่าเมือเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพ โดยจะมีซีพียูของด้วย AMD ดั้งนี้ 1.SEMPRON Sempronเป็นซีพียูที่อยู่ในตลาดระดับล่างของ AMD เป็นซีพียูที่มาราคาถูกและตอบสนองการใช้งานด้านพื้นฐานต่างๆได้ดี 2.AMD 940 X2 เป็นซีพียู ที่มีความเร็วมากกว่า Sempronขึ้นมาอีกหน่อย เพรำหรับคนที่ใช้งานพื้นฐานทั่วไปและก็เล่นกราฟิกบาง เป็นหรือเกมส์บ้างพอสมควร ที่ราคาไม่แพง รองรับ HyperTransport
3. PHENOM X3 เค้าบอกว่า 3 หัวดีกว่า 2 หัว ก็เลยได้มีการผลิต 3 หัวออกมาจำหน่วยกัน โดยพัฒนามาจากCPU AMD 940 X2เพิ่มมาอีก 1หัว 4.PHENOM X4 สำหรับตัวนี้มีการเพิ่มมาอีก 1 หัวเพื่อเพิ่มไประสิทธิภาพในการทำงานแต่ราคานั้นสูง HyperTransportเป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันได้อย่างอิสระ ระหว่าง คอร์ต่าง ๆ และหน่วยความจำภายในเครื่อง ซึ่งสามารถ ปรับความกว้างของการรับ/ส่งของของข้อมูล เป็นระบบบัสที่พัฒนาขึ้นให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า FBS
การเลือกเมนบอร์ด(Main board) • เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญเช่นกัน เพราะเป็นแผงวงจรที่เชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายในทั้งหมด ที่สำคัญจะมีอุปกรณ์ที่สำคัญหลายอย่างที่ติดมาพร้อมกับเมนบอร์ด เพราะฉะนั้นคุณภาพในการใช้งานขึ้นอยู่กับการเลือกซื้อด้วย โดยจะมีขั้นตอนการเลือกซื้อดังต่อไปนี้
1.ซ็อกเก็ตซ็อกเก็ตมีตำแหน่งที่ติดตั้ง ซีพียู ซึ่งจะเลือกซ็อกเก็ตแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กันที่เราเลือกซื้อซีพียูด้วย ไม่ว่าจะเป็นซ็อกเก็ตไหนเราก็ต้องที่จะเลือกซีพียูนั้นก่อน ถึงที่จะเลือกในขั้นต่อไปได้ ซึ้งได้ทำการเปรียบเทียวกับการเลือกซื้อ ซีพียู ก่อนหน้านี้แล้ว 2.. ซิปเซ็ตซิปเซ็ตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่รองรับเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงรองรับอุปกรณ์ต่างๆด้วย ควนที่จะคำนึงถึงตรงนี้ก่อนครับ ว่าเข้ากับอุปกรณ์อะไรบ้าง โดยจะมีซิปเซตอยู่ 2 แบบก็คือ - North Bridgeเป็นซิปเซตที่ควบคุมการทำงานที่ควบคุมอุปกรณ์หลักใหญ่ๆ เลยได้แก่ ซีพียู แรมและ สล็อตของการ์อจอด้วย - South Bridgeเป็นซิปเซต ที่ควบคุมอุปกรณ์ที่นอกเหนือจาก North Bridge ที่ควบคุมอยู่ จะเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ และสล็อตต่างๆด้วย
ยี่ห้อของซิปเซต ยี่ห้อของซิปเซตก็มีความสำคัญเช่นกันเพราะเทคโนโลยีต่างๆ เริ่มต้นจากตรงนี้เพราะฉะนั้นแล้วแต่ล่ะยี่ห้องจะมีความสามารต่างกันเช่นกัน จะขอยกตาอย่างผู้ผลิตของซิปเซตต่างๆ ดังนี้ -ของ SiSเป็นซิปที่มีจำหน่ายมานานแล้ว เคยได้รับความนิยมในช่วงหนึ่งและมีราคาค่อยข้างที่จะถูกด้วย แต่ในช่วงหลังมีคู่แข่งที่มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่า -ของ VIA ซึ่งชิปนี้ได้รับความนิยมเมื่อก่อนเช่นกัน แต่ในปัจจุบันก็ยังนิยมใช้อยู่ในเรื่องของเทคโนโลยีแล้วก็ถือว่ายังไม่พัฒนาเท่าที่ควร แต่ก็สามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่งเหมาะสำหรั บการใช้งานพื้นฐานทั่วไปได้ -ของ Intel สำหรับคนที่ใช้ซีพียูของ Intel เท่านั้น หากเปรียบเทียบแล้วคนที่ซีพียูของอินเทล ต้องขอบอกว่าเป็นซิปเซตที่ดีที่สุด เพราะในเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว และก็ประสิทธิภาพการใช้งาน ถืดว่าดีที่สุด -ของ nVidiaส่วนใหญ่แล้วจะใช้กับซีพียูของ AMD เป็นส่วนมาก และจะเน่นในเรื่องของการสนับสนุนอุปกรณ์ใหม่ๆได้ดีมาก
3.สล็อกต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญมากในการเลือกซื้อเช่นกัน เพราะว่าจะเลือกแบบมี ที่ใส่แรม หรือสล็อกPCI มาแค่ไหนขึ้นอยู่กับความต้องการว่าจะมีอุปกรณ์ใดมาเสริมอีกหรือไม่ 4.หน่วยความจำรอมไบออส ไบออส BIOS (Basic Input Output System) หรืออาจเรียกว่าซีมอส (CMOS) เป็นชิพหน่วยความจำชนิด หนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และโปรแกรมขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ โดยในอดีต ส่วนของชิพรอมไบออสจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ชิพไบออส และชิพซีมอส ซึ่งชิพซีไปออสจะทำหน้าที่ เก็บข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนชิพซีมอสจะทำหน้าที่ เก็บโปรแกรมขนาดเล็ก ที่ใช้ในการบูตระบบ และสามารถเปลี่ยนข้อมูลบางส่วนภายในชิพได้ ชิพไบออสใช้พื้นฐานเทคโนโลยีของรอม ส่วนชิพซีมอสจะใช้เทคโนโลยีของแรม
5.ยี่ห้อ ในปัจจุบันมียี่ห้อต่างๆมากมายที่ ผลิตเมนบอร์ดขึ้นมาใช้งานเป็นจำนวนมากหลายยี่ห้อ เราควรที่จะคำนึงถึงประสิทธิภาพเป็นสำคัญ เพราะบางยี่ห้ออาจจะราคาถูกแต่ไม่ได้คุณภาพเลย รวมไม่ถึงความเสถียนของเมนบอร์ดด้วย อาจจะไปยังเว็บบอร์ดต่างๆ หรือเว็บที่เค้ารีวิว ให้เรารู้ถึงประสิทธิภาพ รวมไปถึงการสอบถามไปยังคนที่ได้ลองใช้แล้วเป็นอย่าง สมควรซื้อหรือไม่ และการทำงานว่าเป็นอย่างไร และก็การรับประกันจากตัวแทนจำหน่ายด้วย ส่วนมากในปัจจุบันจะรับประกันถึง 3 ปี เพราะในบางครั้งทางร้านเองก็อาจจะไม่สามารให้ข้อมูลได้ตรงกับข้อมูลจริงถ้ายังไงเราควรที่จะหาข้อมูลจากเว็บไซต์ผู้ผลิตโดยตรงจะถูกต้องกว่า
การเลือกซื้อแรม(RAM) • 1.ประเภทของแรม 1.1 DDR 2 สำหรับ DDR 2 นั้นมีความนิยมเป็นอย่างยิ่งในขนาดนี้ถือเป็นแรมตลาด เพราะในปัจจุบันนี้เมนบอร์ดเองก็สามารถรองรับการทำงานของแรมชนิดนี้ได้หมดแล้ว แล้วราคาในขณะนี้ก็มีราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับชนิดอื่นๆ และในเรื่องของความเร็วก็สามารถใช้ได้เร็วมากเลยที่เดียว มีความเร็วตั้งแต่ 400-1,066 MIzใช้แรงดันไฟฟ้า 1.8 V 1.2 DDR3 เป็นแรมประเภทมี่พึ่งมาใหม่ล่าสุดเลย ซึ่งมีความเร็วสูงสุด ถึง 1,600-2,000 MHz แล้วใช้แรงดันไฟฟ้าแค่เพียง 1.5 V เท่านั้น ถือได้ว่ามีความเร็วสูงกว่าทุกประเภทแต่ปัจจุบันนี้ได้มี DDR4 มาแล้วเอาไว้คราวหน้าตอนที่มีคนใช้เยอะๆ จะมาเล่าให้ฟังนะครับ ส่วนราคาตอนนี้ยังสูงอยู่ แต่ถ้าใครต้องการซื้อหรือมีตังพอไม่ขัด ครับ เพราะว่ากำลังจะเป็นที่นิยมกันแล้ว แต่ต้องดูด้วยว่าเมนบอร์ดของเรานั้นรองรับหรือไม่ เพราะว่ายังมีเมนบอร์ดที่ยังไม่รองรับอีกเยอะครับ ที่สำคัญ DDR3กับ DDR2 ใช้สล็อตเดียวกันไม่ได้เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ผิด
2.หน่วยความจำ แรมนั้นมีหน่วยความจำหลัก ที่จำเป็นต้องการความจำสูงเพื่อประสิทธิภาพของการทำงานเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย โดยหน่วยความจำของแรมนั้น มีหน่วยเป็น GHz ยิ่งมีความจำมากก็ทำให้เครื่องเราเร็วขึ้นไปด้วย ราคมของแรมที่มีความจุสูงๆ เดี่ยวนี้ราคาไม่แพงมากนัก แต่ก็ควรที่จะดูว่าขนาดไหนเหมาะกับเรา เพื่อจะได้ไม่สิ้นเปลืองมากกว่าปกติ 3.ความเร็ว ความเร็วหรือว่า บัสของแรมนั้นก็มีความสำคัญเพาะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การถ่ายโดนข้อมูลได้เราขึ้น ซึ่งก็ได้กล่าวไปแล้ว่าประเภทของแรมนั้นก็มีความเร็วที่แตกต่างกัน แล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดเราอีกนั้นล่ะว่าจะรองรับได้มากแค่ไหน หรือถ้าใครซื้อแรมชนิดไหนก็ได้ที่มีความเร็วสูงไปที่เมนบอร์ดจะรองรับก็สามารถจะใส่ได้เมื่อซื้อแรมที่เป็นประเภทเดียวกันเท่านั้นแต่ความเร็วของแรมก็เท่ากับ เมนบอร์ดรองรับ และใครที่ซื้อแรมมา 2 ตัวแต่ มีความเร็วเท่ากัน มันก็จะใช้แรมที่มีความเร็วต่ำกว่านั้นเอง
4.ก็การเลือกยี่ห้อ การเลือกยี่ห้อนั้นแล้วผู้ใช้ ไม่ว่ากันแต่จะมีการรับประกันที่แต่ต่างกันไม่มาก อย่างเช่นการเครมที่ไหม้ได้ไม่ได้ รวมทั้งราคาของแรมด้วย
การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) 1.ประเภทของ ฮาร์ดดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ (สำหรับฮาร์ดดิสก์ที่เชื่อมต่อภายนอกจะขอกล่าวในลำดันถัดไป) - แบบ IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ ที่จะบอกว่ารุ่นเก่าแล้วก็ว่าได้ เพราะว่ามีรุ่นใหม่ที่เร็วกว่าประหยัดทั้งพื้นที่ประทั้งพลังงานได้ดีกว่า และเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะราคาแพงกว่า SATA ด้วยซ้ำ - แบบ SATA เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามนตอนนี้และได้มีความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าในเมนบอร์ดรุ่นใหม่นั้นก็ลองรับได้หมดแล้ว และมีราคาที่ถูกกว่า ฮาร์ดดิสก์ แบบSATA
2.ขนาดของความจุ ความจุของฮาร์ดดิสก์หรือพื้นจัดเก็บข้อมูล นั้นมีความสำคัญว่าเราจะใช้งานประเภทใดและต้อง เลือกความจุขนาดใดใครที่ชอบทำงานด้านมัลติมีเดียก็ต้องเลือกความจุมากๆ ปัจจุบันนี้มีความจุ ถึง 2 GB ไปแล้วซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจนลืมไปเลยว่าซื้อมาตอนไหน ไม่รู้จักเต็มสักที แต่ก็ยังมีราคาที่สูงอยู่นั้นเอง 3.ความเร็วรอบ ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นย่อมมีผลโดยตรงต่อความเร็วของฮาร์ดดิสก์ คือถ้าฮาร์ดดิสก์มีความเร็วรอบสูงแล้ว ข้อมูลก็จะเคลื่อนมาถึงหัวอ่านได้อย่างรวดเร็วขึ้น ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นมีหน่วยเป็น “รอบต่อนาที (rpm) ในปัจุจบันความเร็วรอบนั้น 5,400-7,200 rpm แล้ว และยังมีการพัฒนาความเร็วได้ถึง 10,000 rpm
4.บัฟเฟอร์ของ ฮาร์ดดิสก์ บัฟเฟอร์ก็คือหน่วยความจำแคชของฮาร์ดดิสก์นั้นเองครับ เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเร็วและประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ ถ้าเกิดฮาร์ดดิสก์ไหนที่มีขนาดบัฟเฟอร์ขนาดใหญ่ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะกลับไปนำข้อมูลนั้นมาใช้ซ้ำอีก โดยการทำงานนั้นจะทำงานรวมกับแรม แรมจะนำข้อมูลจากบัฟเฟอร์มาใช้โดยตรง ในปัจจุบันแล้วขนาดบัฟเฟอร์ ก็มีจำนวน 8-32 MB ไปแล้ว 5.ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ช่วงเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (Seek Time) คือช่วงเวลาที่ตำแหน่องบนจานของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนมาพอดีกับตรงที่หัวอ่านพอดี ความเร็วนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์เอง ยิ่งมีความเร็วที่น้อยก็สามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์นั้นอ่านเขียนได้เร็วขึ้น
การเลือกการ์ดจอ(Graphic Card) • การ์ดจอที่เหมาะสมต่อการทำงานแต่ละประเภท 1.ให้สำหรับการทำงานทั่วไป ใช้แบบOn board เหมาะสมสุด 2. สำหรับงานด้านกราฟิก ใช้แบบที่มีประสิทธิภาพสูง 3.สำหรับใช้เล่นเกม ใช้แบบที่ประสิทธิภาพระดับกลางถึงสูง
1.ประเภท ในปัจจุบันนั้นมีประเภทของการ์ดแสดงผลที่นิยม อยู่ 2 ประเภทคือ -AGP สำหรับ AGP นั้นมีความเร็วที่ 266 MB /s นั้นคือความเร็วที่ตั้งแต่เริ่มแรก แล้วได้มีการพัฒนาแต่มา คือ 2x – 8x ซึ่งในปัจจุบันได้มีการลดความสำคัญลงไปเพราะมีสล็อต ที่เร็วกว่ามาแทน แต่ยังมีผู้ที่ใช้เมนบอร์ดรุ่นเก่าอยู่ยังต้องใช้ แบบ AGP อยู่ -PCI Express จะมีความเร็วกว่า AGP ซึ่งเป็นมาตรฐานแบบใหม่ที่เข้าแทนการเชื่อมต่อ แบบ AGP และแบบ PCI ธรรมดา โยความสามารถของ PCI Express คือมีการควบคุมการรับส่งข้อมูลขึ้นมา เรียกว่า “สวิตช์(Switch) สำหรับข้อดีที่ความเร็วเร็วกว่า AGP นั้น ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วถึง 250 MB/s เลยทีเดียว และสามารถปรับขนาดของความกว้างของบัสเองได้มากกว่าทำให้ความเร็วไปได้ถึง 4 GB/s มากว่า AGP ถึง 2 เท่า
2.ซิปการฟิก nVidia: ถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตที่ได้ผลิตมาตั้งแค่เริ่มต้นเลย ผลิตมาเป็นเวลานาน ที่โด่งดังในตอนนั้นก็คือ TNT 2 ที่เป็นกราฟการ์ด 3 มิติ ที่มีประสิทธิภาพในตอนนั้นและมีการพัฒนาต่อมาเรื่อยๆจน ในปัจจุบันมีชื่อว่า GeForceนั้นเอง ถือได้ว่าเป็นที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้ มีให้เลือกหลากหลายขนาดหลายราคา ให้เลือก ATi: ได้พัฒนามาเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผู้ผลิตกราฟิกตระกูล Radeonที่มีประสิทธิภาพสูงได้รับการยอมรับจากคนเล่นเกมส์ต่างๆ ว่ามีประสิทธิภาพเยื่ยมเลยทีเดียว
3.หน่วยความจำ ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง เพราะเป็นส่วนที่ช่วยให้ความเร็วในการแสดงผลรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งหน่วยความจำของการ์ดแสดงผล เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์จำต้องมีหน่วยความจำแรม ส่วนของการ์ดแสดงผลนั้นก็มีหน่วยความจำที่ทำงานเช่นเดียวกัน นั้นมีหลายประเภทในปัจจุบันคือ 1.GDDR 2 เป็นแรม DDR2 ที่ออกแบบให้เมาะสมกับการ์ดแสดงผล จะรองรับการทำงานด้วยความเร็ว 500MHz 2.GDDR3 ได้รับการพัฒนามาจาก DDR2 โดยจะทำงานด้วยความเร็วที่สูงกว่า 2 เท่าคือ 1 GHz ขึ้นไป 3.GDDR 4 เป็นแรมที่พัฒนามาจาก DDR3 ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงกว่า DDR2 ถึง 3 เท่าคือ 1.5 GHz 4.GDDR 5 ก็เป็นการพัฒนาจาก DDR4 โดยมีความเร็วสูงที่สุกเลยก็ว่าไ
การเลือกจอภาพ(Monitor) • 1.เลือกขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน ในการใช้งานจอภาพนั้นจำเป็นจะต้องเลือก ใช้งานขนาดของจอภาพให้เหมาะสมกับงานเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะได้ช่วยให้การทำงานนั้นมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น อย่างเช่นการทำงานที่เกี่ยวกับงานเอกสารนั้น ก็สามารถที่จะเลือกซื้อจอที่มีขนาดตังแต่ 14"-17" ได้ แต่ถ้าจะใช้จอภาพ ที่มีขนาดใหญ่ไปกว่านี้ก็จำเป็น ต้องปรับขนาดของ ตัวหนังสือให้เล็กลง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็อาจจะ ทำให้เกิดอาการปวดตาขึ้นมากได้ เพราะตัวหนังสือ ที่แสดงมีขนาดใหญ่จนเกินไป สำหรับ การทำงานทางด้านการออกแบบกราฟิก ตกแต่งรูปภาพ การ ใช้จอภาพที่มีขนาดใหญ่อย่าง 17", 19" และ 21" นั้นก็จะช่วยให้การทำงานนั้นมีประสิทธิภาพ เพิ่มขึ้น เพราะการทำงานแบบนี้จะเป็นต้องใช้ความละเอียด และการมองภาพ และวัตถุบนจอภาพที่มากกว่าการทำงานปกติเป็นอย่างมาก และสำหรับผู้ที่ใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อความบันเทิงนั้น สามารถ ที่จะเลือกใช้งานจอภาพได้ตามความเหมาะสมกับงบที่มีอยู่ โดยน่าจะเริ่มใช้งานที่ 17" ขึ้นไป เนื่องจากว่าการ ใช้งานจอภาพขนาด 15" นั้นดูเหมือนจะไม่เพียงพอกับการใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม และชมภาพยนตร์ แต่สิ่งที่สำคัญนั้นคือจอภาพแบบ LCD นั้นที่มีขนาด ใหญ่นั้นราคายังคงแพงอยู่เป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อคิดจะเลือกซื้อนั้นให้คำนึงถึงความเหมาะสม และงบให้เป็นอย่างมาก
2.ความละเอียดของจอภาพ ในส่วนของเรื่องความละเอียดของจอภาพแบบ LCD นั้น จะมีจำนวนของ Pixel ที่แน่นอน ซึ่งแตกต่างจากจอภาพแบบ CRT ที่มีจำนวนของ Dot pitch ที่ไม่แน่นอน และสามารถที่จะปรับความละเอียดได้หลายค่า ขึ้นอยู่กับแต่ละเทคโนโลยี แต่สำหรับจอภาพแบบ LCD นั้น แม้จอภาพจะใช้ เทคโนโลยีที่แตกต่าง กันแต่ความ ละเอียดสูงสุดของจอภาพก็จะเท่ากันเสมอ เช่น จอภาพขนาด 15" นั้นก็จะมีความละเอียดสูงสุดที่ 1024x768 เท่ากัน และ จอภาพขนาด 17" นั้นก็ จะมีความ ละเอียดสูงสุดที่ 1240x1024 เท่ากันอีกเช่นกัน จะเห็นได้ว่าจอภาพที่มีขนาดใหญ่ก็จะมีค่าความละเอียดของภาพสูงขึ้นตามลำดับ นี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง ที่น่าสังเกตในการเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD
3.ค่าของ Dot Pitchสำหรับค่าระยะห่างของจุดภาพนั้น อย่างที่กล่าวมากข้างต้นนั้นจอภาพแบบ LCD อาศัยหลักการเรืองแสงของผลึกเหลว ดังนั้นค่าระยะห่างของจุดภาพนั้น จึงมักจะเท่าๆ กันเสมอในทุกๆ เทคโนโลยีที่จอภาพมีการใช้งาน ซึ่งในส่วนนี้นั้นก็มักจะมีบ้างผู้ผลิตที่สามารถจะทำการปรับเปลี่ยนระยะให้มีขนาดเล็กลง ได้บ้าง เพียงเล็กน้อย ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่ายิ่งค่าของ Dot Pitch มีขนาดเล็กลงความละเอียด และความคมชัดของภาพ ก็มักจะมีมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับจอภาพขนาด 15" นั้นส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีค่าของ Dot Pitch ที่ 0.297 มิลลิเมตร สำหรับจอภาพนาด 17" นั้นก็ จะมีค่า 0.264 มิลลิเมตร ซึ่งจอภาพบ้างจอ อาจจะมีค่าที่ แตกต่างไป แต่ค่าของ Dot Pitch ที่ให้ไว้นั้นเป็นมาตรฐานของจอภาพแบบ LCD เป็นส่วนใหญ่
4.จำนวนของเม็ดสี (Bit Depth)สำหรับค่าของ Bit Depth นั้นเป็นค่าตัวเลข ที่จะบอกถึงความสามารถในการแสดงของจำนวนเม็ดสี ที่จอภาพสามารถที่จะแสดงได้ โดยค่าตัวเลขดังกล่าว จะอยู่ในรูปของตัวเลขในรูปแบบดิจิตอล คือ 8 bit, 16 bit และ 24 bit ยิ่งมีค่าของ Bit Depth ยิ่งมาก สีที่แสดงออกมาก็จะยิ่งมากขึ้นตาม นั้นคือถ้าเป็นแบบ 8 bit สีที่ได้ ก็คือ ตัวเลขฐาน 2 คูณกัน 8 ครั้ง นั้นคือ 2x2x2x2x2x2x2x2 ก็จะเท่ากับ 256 สี และถ้าหากเป็นแบบ 16 bit แล้ว สีที่ได้ก็จะมีจำนวน 65,536 สี ซึ่งเป็นค่าที่เพียงพอสำหรับการแสดงภาพถ่าย และภาพ 3 มิติทั่วไป ถ้าจะให้ดีและสีที่แสดง ออกมาไม่มีผิดเพี้ยน และได้สีที่ครบถ้วนนั้น ก็ควรที่จะใช้งานที่ ระดับ Bit Depth มากว่า 16 bit ขึ้นไป
5.ค่า Viewing Angleสำหรับค่าของ Viewing Angle นี้เป็นค่าของมุมในการแสดงภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในเฉพาะจอภาพแบบ LCD เท่านั้น เพราะจอภาพแบบ LCD ดันมักจะมีการสะท้อนของแสงสีขาวที่ ออกมาจากจอภาพ ทำให้ภาพที่ได้นั้นพร่ามัว และ สีของภาพจะไม่ชัดเจนไม่เหมือนจริง ซึ่งในจอภาพ ในแต่ละรุ่นจะมีค่า นี้เป็น “องศา” นั้นคือ มุมที่สามารถมองเฉียงออกจากกลางจอภาพได้เป็นระยะ กี่องศา ทั้ง 4 ด้าน โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ทิศทาง เป็นแนวตั้ง คือ มองจากด้านบน และด้านล่าง แนวนอน คือ ด้านซ้าย และด้านขวา โดยที่ค่านี้ยิ่งมากเท่าไร มุมมองที่สามารถจะแสดงแล้วภาพไม่พร่ามัว ก็จะยิ่งมากตามขึ้นไปด้วย
6.ค่าความสว่างของจอภาพ จอภาพที่ดีนั้น ควรที่จะมีความสว่างที่เพียงพอกับการใช้งานในระดับปกติ แต่ถ้าจอภาพ นั้นมีแสงสว่างมากจนเกินไปก็จะทำให้แสงสีขาวมีมากเกินไปทำ ให้ภาพนั้นดูซีด และไม่เป็นผลดีกับสายตาอย่างแน่นอน ซึ่งค่านี้สามารถที่จะดูได้ที่ค่า Contrast Ratio ซึ่งเป็นค่าของอัตราส่วนระหว่าง “ความสว่างของแสง สีขาว” กับ “ความคมชัดของแสงสีดำ” โดยในบ้างครั้ง ค่าเหล่านี้มักจะไม่มีผลกับการเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD มากนัก เพราะ เนื่องจากว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่แล้ว มักจะตัดสินใจเลือกซื้อจอภาพที่ให้แสงสว่างได้เหมาะสมกับผู้ใช้เป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือในการเลือกซื้อนั้นผู้ซื้อควรที่ จะทำการทดสอบใช้งานด้วยสายตาตนเอง จะเป็นดี ที่สุด เพราะว่าความเหมาะสมกับแสงสว่างที่ใช้งาน ในสายตาของคนแต่ล่ะคนย่อมที่จะแตกต่างกันออกไป การทดสอบด้วยตาตนเองจะเป็นการดีที่สุด
7.ความเร็วในการตอบสนองของภาพ ความเร็วในการตอบสนองนั้น เราสามารถ ที่จะวัดได้จาดค่า Response time ซึ่งเป็นค่าที่ จะทำการวัดช่วงระยะเวลาที่ภาพสามารถตอบสนอง และ แสดงเป็นภาพได้ โดยจะมีหน่วยเป็น “มิลลิ--วินาที” ซึ่งค่านี้ยิ่งน้อยเท่าไร ก็แสดงว่าจอภาพนั้นสามารถที่จะแสดงภาพได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยค่านี้จะไม่มีผลกับ ผู้ที่ทำงานทางด้านเอกสารทั่วไป แต่จะเห็นผลกับผู้ที่ใช้งานจอภาพในด้านการแสดงภาพ วิดีโอ การทำงานทางด้านกราฟิกต่างๆ รวมทั้งการเล่นเกม เพราะถ้าค่า นี้ยิ่งน้อยเท่าไร อาการที่จะเกิดการกระตุกของภาพระหว่าง การแสดงภาพยิ่งลดน้อยลง
การเลือกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงานการเลือกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงาน
การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ควรคำนึงวัตถุประสงค์หลักหรือความต้องการในการใช้คอมพิวเตอร์ การเลือกคอมพิวเตอร์มาใช้งานจำแนกการใช้งานออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.งานทางด้านเอกสาร รายงาน สำนักงาน 2.งานด้านกราฟิก ออกแบบสิ่งพิมพ์ และสื่อมัลติมีเดีย 3.เล่นเกมคอมพิวเตอร์และความบันเทิงเป็นหลัก
1.งานทางด้านเอกสาร รายงานหรืองานสำนักงาน โปรแกรมส่วนใหญ่จะเป็น Microsoft Office และชุดโปรแกรมสำเร็จรูป -CPU ใช้ Intel Core 2 DuoหรือAMD Athlon X2 มีความเร็วสัญญาณนาฬิกาไม่น้อยกว่า 2.66 GHz -Main Board รองรับการอัพเกรด มีอุปกรณ์ VGA ,SOUND, MODEM,LAN,USB และพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ -Memory RAM DDR2 อย่างน้อย 1GB
-Hard Disk ความจุอย่างน้อย 320 GB ความเร็ว 7200rpm-Graphics Card ควรมีความจำอย่างน้อย 512 MB -Monitor LCD/LED Widescreen 18.5 นิ้วขึ้นไป -Optical Drive DVD-RW 22X -printer Laser Printing -อุปกรณ์อื่นๆ ลำโพง optical mouse Keyboard
2.งานด้านกราฟิก ออกแบบสิ่งพิมพ์ และสื่อมัลติมีเดีย โปรแกรมส่วนใหญ่เป็น Photoshop,3Dmax,Illustrator และโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ -CPU ใช้ Intel i7หรือAMD Phenom II X4มีความเร็วสัญญาณนาฬิกาไม่น้อยกว่า 2.80 GHz -Main Board รองรับการอัพเกรด มีอุปกรณ์ VGA ,SOUND, MODEM,LAN,USB และพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ -Memory RAM DDR2/DDR3 อย่างน้อย 4GB
-Hard Disk ความจุอย่างน้อย 500 GB ความเร็ว 7200rpm-Graphics Card ควรมีความจำอย่างน้อย 1 GB -Monitor LCD/LED Widescreen 22 นิ้วขึ้นไป -Optical Drive DVD-RW 22X -printerMultifunction printer -อุปกรณ์อื่นๆ ลำโพง optical mouse Keyboard
3.เล่นเกมคอมพิวเตอร์และความบันเทิงเป็นหลัก3.เล่นเกมคอมพิวเตอร์และความบันเทิงเป็นหลัก การ์ดจอ (Graphic Card)มีความสำคัญมากที่สุดสำหรับการใช้งานประเภทนี้ -CPU ใช้ Intel i7หรือAMD Phenom II X4มีความเร็วสัญญาณนาฬิกาไม่น้อยกว่า 2.60 GHz -Main Board รองรับการอัพเกรด มีอุปกรณ์ VGA ,SOUND,MODEM,LAN,USB และพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ -Memory RAM DDR2/DDR3 อย่างน้อย 4GB
-Hard Disk ความจุอย่างน้อย 500 GB ความเร็ว 7200rpm-Graphics Card ควรมีความจำอย่างน้อย 2 GB -Monitor LCD/LED Widescreen 22 นิ้วขึ้นไป -Optical Drive DVD-RW 22X -อุปกรณ์อื่นๆ ลำโพง optical mouse Keyboard
คอมพิวเตอร์แบบขายเป็นชุดมียี่ห้อ(Brand)คอมพิวเตอร์แบบขายเป็นชุดมียี่ห้อ(Brand) ข้อดี -มีบริการหลังการขายที่ดีส่งซ่อมได้ทันทีเมื่อเครื่องมีปัญหา ข้อเสีย -ไม่สามารถเลือกชิ้นส่วนอุปกรณ์ตามความต้องการได้ -ผู้ไม่มีความรู้อาจเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ผิดวัตถุประสงค์การใช้งานได้
คอมพิวเตอร์แบบเลือกชิ้นส่วนประกอบเองคอมพิวเตอร์แบบเลือกชิ้นส่วนประกอบเอง ข้อดี -ได้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตามความต้องการ ราคาถูก เลือกได้ ข้อเสีย -ต้องแก้ไขเองเมื่อคอมพิวเตอร์เกิดปัญหา
การเลือกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงานการเลือกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงาน