720 likes | 1.38k Views
คีตกวีสากล. Felix Mendehlssohn Bartholdy (1809-1847). ประวัติและผลงาน.
E N D
Felix Mendehlssohn Bartholdy (1809-1847)
ประวัติและผลงาน Mendehlssohn เกิดที่เมืองฮัมบูร์กในครอบครัวชาวยิวที่อพยพมาอยู่เบอร์ลินตั้งแต่ปี 1811 ท่านเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะเด็กอัจฉริยะทางดนตรี ออกแสดงคอนเสิร์ทครั้งแรกตั้งแต่ิอายุเพียง 9 ขวบเท่านั้น มีผลงานด้านการประพันธ์เพลงเมื่ออายุเพียง 11 ขวบ ผลงานชิ้นเยี่ยมที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ Octet สำหรับวงเครื่องสาย และ Overture ที่เขียนขึ้นในขณะที่ท่านยังอยู่ในวัยหนุ่ม
นอกจากนั้นชื่อ เสียงของท่านยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักเปียโนและวาทยากรอีกด้วย โดยเฉพาะในเยอรมันและอังกฤษ แต่หลังจากที่ Fanny Hensel Mendelssohn น้องสาวของท่านเสียชีวิตได้ไม่นาน สุขภาพของท่านก็เริ่มทรุดหนักลงตามลำดับ หลังจากนั้นเพียง 2-3 เดือนท่านก็ได้เสียชีวิตลงที่เมืองไลพ์ซิก นอกเหนือจากงานด้านการประพันธ์แล้วท่านยังเป็นครูสอนดนตรีอีกด้วย นับเป็นศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานออกมาเป็นจำนวนมากท่านหนึ่ง ท่านได้ประพันธ์ซิมโฟนีไว้ 5 บทด้วยกัน บทที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Italian Symphony (1833) และ Scottish Symphony (1843) นอกจากนั้นยังได้ประพันธ์คอนแชร์โตที่มีชื่อเสียงคือ Violin Concerto ในบันไดเสียง E minor
George Frideric Handel (1685-1759)
ประวัติและผลงาน เขาเป็นชาวเยอรมัน เกิดวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1685 เกิดที่เมือง ฮันเล่อะ (Halle) ประเทศเยอรมัน แฮนเดิ้ล เกิดในตระกูลผู้มีอันจะกิน พ่อเป็นหมอและเป็นช่างตัดผมชื่อ Handel สมัยนั้นใครเป็นอะไรก็มาผ่าตัดที่ร้านตัดผมได้เลย แม่ของเขาเป็นแม่บ้านที่เพียบพร้อม น่ารักและอ่อนหวาน ต่อมาฮันเดลมามีชื่อเสียงและมีชีวิตในประเทศอังกฤษ ภายหลังจึงแปลงสัญชาติเป็นอังกฤษ ในสมัยเด็กพ่อหวังให้แฮนเดิ้ล เรียนกฎหมายแต่แฮนเดิ้ลไม่ชอบ แฮนเดิ้ลสนใจดนตรีตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เขาชอบเสียงระฆังที่ดังแว่วมาจากโบสถ์ประจำหมู่บ้านอย่างฝังจิตฝังใจ และชอบเล่นเครื่องดนตรีของเล่นที่ป้าซื้อให้ ครั้งหนึ่งเขาชวนเพื่อนมาเล่นเครื่องดนตรีของเล่นกันคนละชิ้น แล้วแฮนเดื้ลก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า“บัดนี้พวกเรามีวงออร์เคสต้าของพวกเราเองแล้ว"
ทันที ที่แฮนเดิ้ลให้สัญญาณ เครื่องดนตรีทุกชิ้นก็บรรเลงขึ้นพร้อมกันด้วยเสียงที่ฟังไม่เป็นเพลง เด็กๆพอใจและมีความสุขกันมาก แต่คนที่ไม่พอใจก็คือพ่อของเขาซึ่งกลับมาบ้านพอดี เขาไล่พวกเด็กๆออกจากบ้านไป แล้วเก็บเครื่องดนตรีของเล่นเหล่านั้นใส่ตู้ล็อคกุญแจไว้ แต่แฮนเดิ้ลก็ไม่ยอมแพ้ เด็กน้อยรบเร้าให้แม่ช่วยย้าย ฮาร์พซีคอร์ดซึ่งเพื่อนคนหนึ่งของครอบครัวยกให้ ไปไว้บนห้องใต้หลังคา ในยามค่ำคืนเขาก็ย่องขึ้นไปเล่นฮาร์พซีคอร์ดนั้น แต่แม้ว่าเขาจะเล่นให้เสียงเบาอย่างไร ผู้คนก็จะได้ยินเสียงเสมอ จนกระทั่งคืนวันหนึ่งขณะที่เขาแอบขึ้นไปเล่นเหมือนเช่นเคย พ่อก็ทนรำคาญไม่ไหวจึงขึ้นไปดุและลากเอาตัวเขาลงมานอน ทำให้แฮนเดิ้ลกลัวและหยุดเล่นไปพักหนึ่ง พอหายกลัวเขาก็กลับมีความตั้งใจที่จะเล่นดนตรีให้ได้
เมื่อแฮนเดิ้ล อายุได้ 9 ขวบ วันหนึ่งพ่อนั่งรถม้าเข้าไปธุระในเมือง แฮนเดิ้ลก็วิ่งล้มลุกคลุกคลานตามหลังรถม้าไป พ่อทำเป็นไม่เห็นเพราะคิดว่าสักพักเขาจะเลิกวิ่งตามไป แต่เขาก็ไม่เลิก จนพ่อทนไม่ไหว ตะโกนถามว่า "วิ่งตามมาทำไม?" แฮนเดิ้ลตอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยว่า"ผมขอไปด้วย" ในสมัยนั้นแม่น้ำเทมส์เป็นแม่น้ำเส้นทางแห่งการค้าขาย และเป็นที่ที่ราชวงศ์อังกฤษนิยมจัดงานชุมนุมขึ้นที่ริมแม่น้ำ ในการประพาสครั้งนั้นนอกจากเรือพระที่นั่งของพระมาหากษัตริย์และพระราชินี แล้ว ก็ยังมีเรือตามเสด็จในขบวนอีกราว 1000 ลำ นับว่าเป็นการเดินทางที่โอ่อ่าครึกครื้นยิ่ง ในครั้งนี้ แฮนเดิ้ลได้แต่งเพลง Water Music ถวาย จึงทำให้พระเจ้ายอร์ชทรงพอพระราชหฤทัยมาก นอกจากเขาจะได้รับรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแล้ว เขายังได้รับรายได้จากคนอื่นๆด้วย
แฮนเดิ้ลได้เขียนอุปรากรออกแสดง ทั้งในอังกฤษและยุโรปรวม 45 เรื่อง แต่ในการจัดแสดงอุปรากรนั้น แฮนเดิ้ลมักจะประสบกับความยุ่งยากใจเสมอ เช่น คราวหนึ่งเขาตกลงใจให้ ฟรานเซสก้า ดัชโชนี ให้มาแสดงที่อิตาลี นางยื่นเงื่อนไขในการซ้อมอุปรากร เรื่อง Ottone ว่าถ้าแฮนเดิ้ลไม่ยอมให้นางร้องโน้ตเสียงสูงเพิ่มเติมเข้าไปนอกเหนือจากที่ แฮนเดิ้ลแต่งแล้ว นางจะไม่ยอมแสดงเด็ดขาด ทั้งสองจึงโต้เถียงกัน แฮนเดิ้ลถึงกับยกนางดัชโชนีชูไปที่หน้าต่าง ทำท่าจะโยนเธอออกไป หลังจากนั้นเธอจึงยอมโดยดี แต่หลังจากประสบความสำเร็จได้ช่วงหนึ่ง ผู้คนก็เริ่มเสื่อมความนิยมในอุปรากรแบบอิตาเลียน หันมานิยมอุปรากรที่ร้องเป็นภาษาอังกฤษ บริษัทของแฮนเดิ้ลถึงกับล้มละลาย แม้ว่า แฮนเดิ้ลจะทุ่มทุนลงไปอีก 10,000 ปอนด์ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่ออุปรากรแบบอิตาลีเสื่อมความนิยมลง แฮนเดิ้ลจึงหันไปแต่งเพลงแบบ Oratorio ซึ่งเป็นเพลงศาสนาออกมาแทนอุปรากรแบบอิตาลี โดยเขียนขึ้นมาประมาณ 20 เพลง เพลง Oratorio Messiah เป็นเพลงที่ขึ้นชื่อของเขา เขียนขึ้นในปี ค.ศ.1741 และได้นำออกแสดงเป็นครั้งแรกเมื่อ 13 เมษายน ค.ศ.1742 ที่เมืองดับลิน นิตยสารรายเดือนชื่อ ฟอล์คเน่อร์ เจอร์นอล ได้กล่าวถึงการแสดงเพลงนี้ว่า"ผู้ มาฟังที่ชื่นชมต่างคอยจะกล่าวแสดงความยินดีอย่างยิ่งแก่ผู้ประพันธ์ ความงดงาม ความผ่าเผย และความนุ่มนวลของเพลงนี้ ก่อให้เกิดความยินดีแก่ผู้ฟังด้วยความประทับใจอย่างสูง"
เพลง Messiah ทำให้คนอังกฤษเกิดความนิยมต่อแฮนเดิ้ลอีก และช่วยให้เขารอดพ้นจากการล้มละลาย ทั้งๆที่เป็นงานเขียนที่ใช้เวลาเพียง 24 วันเท่านั้น เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงได้ฟังก็ทรงเต็มตื้นไปด้วยความ รู้สึกประทับใจในท่อน Hallelujah Chorus จนถึงกับลุกขึ้นยืน แล้วนับตั้งแต่นั้นมาก็เป็นธรรมเนียมที่ผู้ฟังจะลุกขึ้นยืนเมื่อถึงตอนนี้
Johann Sebastian Bach (1685-1750)
ประวัติและผลงาน Bach เกิดวันที่ 21 มีนาคม 1685 ที่เมืองไอเซนาค (Eisenach) ประเทศเยอรมันเกิดในตระกูลนัก ดนตรีได้รับการศึกษาเกี่ยวกับดนตรีจากพ่อซึ่งเป็นนักไวโอลินในราช สำนักชื่อโยฮัน อัมโบรซีอุส บาค(Johann Ambrosius Bach) และญาติหลังจากพ่อเสียชีวิตลง บาคได้ไปอาศัยอยู่กับพี่ชาย โยฮันน์ คริสโตฟ บาค (Johann Chistoph Bach) และบาคก็ขอให้พี่ชายช่วยสอนเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดให้ ต่อมาเรียนออร์แกนกับครูออร์แกนชื่อ เอลีอาส เฮอร์เดอร์ (Elias Herder) บาคเรียนเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดได้เร็วมากพี่ชายเห็นบาคก้าวหน้าทางดนตรี และเล่นดนตรีเก่ง พอ ๆ กับตนเลยเกิดความอิจฉากลัวน้องจะเกินหน้าเกินตาจึงเก็บโน้ตดนตรีของตนทั้ง หมดใส่ตู้ไม่ให้บาคเอาไปเล่น
เมื่อ อายุได้ 15 ปี เขาก็เริ่มเลี้ยงตัวเองโดยการเป็นนักออร์แกนและหัวหน้าวงประสานเสียงตาม โบสถ์หลายแห่งในประเทศเยอรมันปี 1723 บาค ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยเพลงร้องที่โบสถ์ St.Thomas’ Church ในเมือง Leipzig ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งสูงสุดทางดนตรีของโบสถ์ในนิกาย Luther บาคเป็นนักออร์แกนและคลาเวียร์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมมากทีเดียว เขาเป็นผู้คิดวิธีการเล่นคลาเวียร์โดยการใช้หัวแม่มือและนิ้วก้อยเพิ่มเข้า ไปเป็นคนแรก เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครเคยทำกันมาก่อน ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ในการเล่นคลาเวียร์ในสมัยต่อมา บาคแต่งงานกับ ญาติของเขาเองชื่อ มาเรีย บาร์บารา (Maria Barbara) ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1707 เมื่อเขาอายุได้ 20 ปี และมีลูก 7 คนก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลงในปี 1720 บาคแต่งงานอีกครั้งกับนักดนตรีสาวชื่อแอนนา แมกดาเลนา วิลเคน (Anna Magdalena Wilcken)เดือนธันวาคม ค.ศ. 1721 และมีลูกด้วยกันอีก 13 คน ในบรรดาลูกทั้ง 20 คนมีเพียงคาร์ล ฟิลลิป เอมานูเอล (Carl Philip Emanuel Bach) ลูกคนที่ 2 และ โยฮัน คริสเตียน บาค (Johann Christian Bach) ลูกคนสุดท้องที่ได้กลายมาเป็นคีตกวีสำคัญในสมัยต่อ ๆ มา
บาคถึงแก่ กรรมเมื่อ ปี ค.ศ. 1750 ไม่มีใครเอาใจใส่เก็บรักษาผลงานของเขาไว้เลย ปล่อยให้กระจัดกระจายหายไปมากต่อมาปี ค.ศ. 1829 เกือบร้อยปีหลังจากที่บาคถึงแก่กรรม เฟลิกซ์ เม็นเดิลโซห์น (Felix Mendelssohn) คีตกวีชาวเยอรมันได้นำเพลงเซ็นต์ แม็ทธิว แพ็สชั่น (St. Matthew Passion) ของบาคออกแสดงที่กรุงเบอร์ลิน จึงทำให้ชื่อเสียงของบาคเริ่มเป็นที่รู้จักขยายวงกว้างออกไปทำให้คนเห็นคุณ ค่างานของเขา นอกจากนี้ยังถือว่าการถึงแก่กรรมของในปี ค.ศ. 1750 เป็นเครื่องหมายของการสิ้นสุดดนตรีสมัยบาโรกด้วยผลงานที่มีชื่อเสียงมากของBachคือ เพลง Air on a G String , Minuet in G , Jesus, Joy of Man' s Desiring , Ave-Maria , Toccata and Fugue iin D minor
อันโตนิโอ วิวัลดี (Antonio Vivaldi, 1678-1741)
ประวัติและผลงาน วิวัลดี ถือเป็นนักดนตรีเอกในยุคบาโรก คำว่า “Baroque” มาจากคำว่า “Barroco” ในภาษาโปรตุเกสซึ่งหมายถึง “ไข่มุกที่มีสัณฐานเบี้ยว” (Irregularly shaped pearl) Jacob Burckhardt เป็นคนแรกที่ใช้คำนี้เรียกสไตล์ของงานสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมในคริสต์ศตวรรษ ที่ 17 ที่เต็มไปด้วยการตกแต่งประดับประดาและให้ความรู้สึกอ่อนไหว (ไขแสง ศุขวัฒนะ,2535:96) ใน ด้านดนตรี ได้มีผู้นำคำนี้มาใช้เรียกสมัยของดนตรีที่เกิดขึ้นในยุโรป เริ่มตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 และมาสิ้นสุดลงราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นเวลาร่วม 150 ปี เนื่องจากสมัยบาโรกเป็นสมัยที่ยาวนานรูปแบบของเพลงจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตาม เวลา อย่างไรก็ตามรูปแบบของเพลงที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะเด่นที่สุดของดนตรี
บาโรกได้ปรากฏในบทประพันธ์ของ เจ.เอส.บาคและยอร์ช ฟริเดริค เฮนเดล ซึ่งคีตกวีทั้งสองนี้ได้แต่งขึ้นในช่วงเวลาครึ่งแรกของศตวรรษที่ 18 ลักษณะ สำคัญอีกอย่างหนึ่งของดนตรีสมัยบาโรกคือ การทำให้เกิด “ความตัดกัน” (Contrasting) เช่น ในด้าน ความเร็ว – ความช้า ความดัง – ความค่อย การบรรเลงเดี่ยว – การบรรเลงร่วมกัน วิธีเหล่านี้พบในงานประเภท ตริโอโซนาตา (Trio Sonata) คอนแชร์โต กรอซโซ (Concerto Grosso) ซิมโฟเนีย (Simphonia) และคันตาตา (Cantata) ตลอดสมัยนี้คีตกวีมิได้เขียนบทบรรเลงส่วนใหญ่ของเขาขึ้นอย่างครบบริบูรณ์ ทั้งนี้เพราะเขาต้องการให้ผู้บรรเลงมีโอกาสแสดงความสามารถการเล่นโดยอาศัย คีตปฏิภาณหรือการด้นสด (Improvisation) และการประดิษฐ์เม็ดพราย (Ornamentation) ในแนวของตนเองในสมัยบาโรกนี้การบันทึกตัวโน้ตได้ รับการพัฒนามาจนเป็นลักษณะการบันทึกตัวโน้ตที่ใช้ในปัจจุบัน คือการใช้บรรทัด 5 เส้น การใช้กุญแจซอล (G Clef) กุญแจฟา (F Clef) กุญแจอัลโต และกุญแจเทเนอร์ (C Clef) เป็นต้น
วิวัลดีเป็นผู้ ประพันธ์เพลงและนักไวโอลินชาวอิตาเลียน เกิดปี ค.ศ. 1678 ที่เมืองเวนิสอันลือชื่อ เป็นลูกของนักไวโอลินประจำโบสถ์เซ็นต์มาร์ค (St.Mark’s) ในเมืองเวนิส วิวัลดีได้รับการฝึกฝนเบื้องต้นทางด้านดนตรีจากพ่อ จากนั้นได้เรียนกับจีโอวานนี เลเกร็นซี (Giovanni Legrenzi) อาจารย์ดนตรีผู้มีชื่อเสียง วิวัลดีเป็นพระซึ่งรับผิดชอบการสอนดนตรีให้สถานเลี้ยงเด็กหญิงกำพร้าแห่งกรุงเวนิชจากกิริยาท่าทางความใจบุญสุนทานและผมสีแดงตลอดจนการแต่งเนื้อ แต่งตัวสีสันก็กระเดียดไปทางพระของเขานั่นเองทำให้คนทั่วไปเรียกเขาว่า “II prete rosso” (the red priest) หรือเป็นภาษาไทยเรียกว่า “พระแดง”
เพลงที่วิวัลดีแต่งโดยมากมักเป็นเพลงสำหรับ ร้องและเล่นด้วยเครื่องดนตรีประเภทสตริง (String) ซึ่งมีผู้ชอบฟังมาก และมีนักแต่งเพลงในศตวรรษที่ 20 ของอิตาลีคนหนึ่ง ชื่อ คาเซลลา (Casella) ได้เขียนยกย่องงานของวิวัลดีไว้ว่า “เป็นผู้สร้างงานขึ้นมาด้วยความประณีตบรรจงอย่างยิ่ง สามารถทำให้ผู้ฟังปล่อยอารมณ์เคลิบเคลิ้มตามเนื้อและทำนองเพลงได้โดยไม่รู้ ตัว” งานของวิวัลดีมีมากมายไม่แพ้คีตกวีคนอื่น ๆ ปัจจุบันนี้งานของเขายังมีต้นฉบับเก็บรักษาไว้ที่ห้องสมุดเมืองเดรสเดน (Dresden Library) อย่างสมบูรณ์
วิวัลดีถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1741 ที่เมืองเวียนนา ออสเตรีย อายุได้ 66 ปี โดยไม่มีตำราหรือเอกสารใด ๆ กล่าวถึงการสมรสจึงเชื่อว่าวีวัลดีไม่มีภรรยาไม่มีบุตร อยู่ตัวคนเดียวในวัยชราและจากโลกนี้ไปในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตนเองผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของวิวัลดี ได้แก่ คอนแชร์โต กรอซโซ ชุด “The Four Seasons”, Concerto in E minor for Cello & Orchestra, Concerto for violin in A minor,Concerto for Two Trumpet and Strings
Gustav Mahler (1860-1911)
ประวัติและผลงาน Mahler เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 1860 ที่เมือง Kalischt แคว้นBohemia ประเทศเช็คโกสโลวาเกีย ต่อมาท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ออสเตรียในภายหลัง ท่านเกิดในครอบครัวชาวยิวที่ครอบครัวแตกแยก บิดาของท่านมีนิสัยเลือดร้อนและอารมณ์หยาบกร้าน ส่วนมารดาเป็นคนเงียบๆ และบอบบาง ท่านมีพี่น้องถึง 11 คนโดยที่ท่านเป็นพี่ชายคนโต ท่านเริ่มหัดเล่นแอคคอร์เดี้ยนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 4 ขวบ อีก 2 ปีต่อมาท่านบังเอิญไปพบเปียโนเก่าๆ อยู่บนห้องใต้หลังคาของปู่ ซึ่งท่านพยายามที่จะหัดเล่นด้วยตนเอง บิดาของท่านจึงพยายามสนับสนุนให้เล่นดนตรี โดยจัดหาครูมาสอนให้เพราะเล็งเห็นถึงโอกาสที่ครอบครัวจะมีฐานะดีขึ้นจาก อาชีพนักดนตรี
พออายุได้ 10 ขวบ ท่านเริ่มมีการแสดงดนตรีของตนเองโดยการวิ่งเต้นของผู้เป็นพ่อ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นกล่าวขวัญถึงการแสดงของท่านอย่างน่าภาคภูมิใจ หลังจากนั้นอีก 5 ปี พ่อของท่านได้ส่งท่านไปเรียนที่สถาบันการดนตรีแห่งเวียนนา โดยมีอาจารย์ Julius Epstein เป็นทั้งครูผู้สอนและผู้อุปถัมภ์ตลอดมา ท่านเรียนทั้งการบรรเลงเปียโน การประสานเสียง และการประพันธ์ ท่านจบการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ด้วยคะแนนเกียรตินิยม ในปี 1889 ซึ่งท่านมีอายุได้ 29 ปี บิดามารดาของท่านได้เสียชีวิตลง ท่านต้องดูแลน้องๆ ทั้งหมดด้วยความรู้สึกรับผิดชอบอย่างจริงจัง สิ่งที่พ่อของท่านทำไปไม่ว่าจะเป็นด้วยความรักหรือว่าหวังผลประโยชน์จากลูก ก็ตาม แต่พ่อของท่านก็ได้ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายคนนี้เท่าที่ชายจนๆ คนหนึ่งจะพึงกระทำได้
แม้ว่าท่านจะขัดสนเรื่องเงินทองก็ตาม แต่ท่านเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวางยินดีที่จะช่วยเหลือเพื่อนฝูงเท่าที่จะ ช่วยได้ ท่านเริ่มเป็นผู้อำนวยเพลงครั้งแรกที่เมืองไลพ์ซิก ประเทศเยอรมันนี และวงเวียนนาฟิลฮาร์โมนิค หลังจากนั้นในปี 1907 ท่านได้ย้ายไปพำนักที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นผู้อำนวยเพลงให้กับการแสดงโอเปรา 2 เรื่อง ณ โรงละครเมโทรโพลิแทน โอเปรา มหานครนิวยอร์ค และแสดงคอนเสิร์ตกับวงนิวยอร์ค ซิมโฟนีออเคสตร้าอีก 3 รายการ ในช่วงนี้ท่านเริ่มมีอาการของโรคหัวใจ หลังจากที่ท่านกลับมาใช้ชีวิตในเวียนนาได้ไม่นานท่านก็ถึงแก่กรรมเมื่อวัน ที่ 18 พฤษภาคม 1911 รวมอายุได้ 51 ปี ทันทีที่รู้ข่าวมรณกรรมของ เขา Richard Strauss กล่าวแก่เพื่อนๆ เขาว่า “การตายของ Mahler ทำให้ผมตกใจมาก ทีนี้ล่ะคุณจะรู้ว่าแม้แต่ชาวเวียนนาก็จะตระหนักว่าเขาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ คนหนึ่ง” แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขบวนแห่ศพของเขาผ่านไปตามถนนเรียงรายไปด้วยผู้ไว้อาลัยเหมือนเช่นที่ผู้คน เคยไว้ทุกให้กับไฮเดิ้นและเบโธเฟ่นมาแล้ว
ผลงานการประพันธ์ดนตรีของ Mahler ที่สำคัญ คือ บทเพลงขับร้องขนาดยาวที่เรียกว่า Lieder หลายบท และ Symphony อีก 10 บท ซึ่งบทสุดท้ายแต่งไม่จบเพราะท่านถึงแก่กรรมเสียก่อน ต่อมาเดริก คุก ได้ประพันธ์บทนี้ต่อจนจบ ผลงานของ Mahler เป็นดนตรีโรแมนติคที่มีความยิ่งใหญ่ แสดงออกถึงความรู้สึก คละเคล้าทั้งความเศร้ารันทดและความรุนแรงชนิดที่ชวนหวั่นใจอย่างประหลาด หลังจากท่านถึงแก่กรรมแล้วแต่ผลงานของท่านกลับไม่ได้รับความนิยมมากนัก จวบจนช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 ผลงานของท่านเริ่มมีผู้ให้ความสนใจตราบจนทุกวันนี้
จิอะโคโม ปุกชินี (Giacomo Puccini, 1858-1924)
ประวัติและผลงาน ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน เกิดเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1858 ที่ลุคคา (Lucca) บิดาชื่อมิเชล ปุชชินี (Michele Puccini) ซึ่งเป็น นักออร์แกนและอัลบินา ปุกชินี (Albina Puccini) มีพี่สาว 4 คน และน้องสาว 1 คน พ่อถึงแก่กรรมเมื่อปุกชินีอายุเพียง 6 ขวบ แม่ก็เป็นผู้เลี้ยงดูเพียงลำพังด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่ง แม่มักอบรมลูก ๆ อยู่เสมอว่า “คนขี้ขลาดจะอยู่ในโลกด้วยความลำบาก” และจากคติของชาวอิตาเลียนที่ถือว่า “ลูกแมวก็ย่อมจะจับหนูได้” (The children of cats catch mice) จึงทำให้ทางราชการเมืองลุคคา ได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือครอบครัวของเขาโดยหวังว่าสักวันหนึ่งปุกชินี ต้องสามารถเป็นนักออร์แกนแทนพ่อของเขาได้
จนเมื่อปุกชินีอายุได้ 14 ปีเขาก็สามารถเล่นออร์แกนตามโบสถ์ต่าง ๆ หลายแห่งได้ตลอดจนเล่นเปียโนตามสถานที่เต้นรำได้บ้าง พออายุได้ 19 ปีก็สามารถแต่งเพลงโมเต็ต (Motet)ได้ นอกจากนี้ยังได้ทำงานเป็นนักออร์แกนประจำอยู่ San Martino ในระหว่างที่เรียนไปด้วย ปุกชีนีเป็นคีตกวีที่มีความสามารถในด้านการประพันธ์อุปรากรโดยเฉพาะเรื่อง ลา โบแฮม (La Boheme) เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนอารมณ์อย่างแรงเพราะปุกชินีคิดเปรียบเทียบตัวเขา เองว่าคล้ายกับโรดอลโฟ (Rodolfo) พระเอกในเรื่อง พอเรื่องดำเนินถึงบทของมิมี (Mimi) นางเอกของเรื่องกำลังจะตายปุกชินีจะนั่งน้ำตาไหลเพราะมีอารมณ์คล้อยตาม เรื่องไปด้วย
ปุกชินีได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องแต่งอุปรากรที่ทำความสั่นสะเทือนอารมณ์และ ความรู้สึกของคนทั่วทั้งโลกให้ได้เขาจึงศึกษาและอ่านหนังสือต่าง ๆ นับเป็นพัน ๆ เรื่อง แล้วเขาจึงแต่งมหาอุปรากรเรื่องทอสกา (Tosca) ขึ้น ทอสกาเป็นมหาอุปรากรสำคัญเรื่องหนึ่งของโลกได้นำออกแสดงครั้งแรกที่โรงละคร เทียโตร กอสตันซี (Teatro Costanzi) ในกรุงโรม อิตาลี เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1900 และในปีเดียวกันก็นำไปแสดงที่นครลอนดอน ประเทศอังกฤษ และใน นครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา นับเป็นความสำเร็จอย่างน่าพอใจที่สุดสำหรับปุกชินี
ในบั้นปลายชีวิตของปุกชีนีได้ใช้เวลาหาความสุขสำราญและพักผ่อนหย่อนใจอย่าง เต็มที่และสนุกสนานอยู่กับการเล่นเรือยอร์ชการขับรถยนต์คันใหม่ ๆ ใช้เสื้อผ้าราคาแพง ๆ แต่เขาก็สนุกเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ไม่นานนักก็เบื่อ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ใจเขาไม่สบายคือเรื่องผมหงอกของเขาและเขาก็พยายามย้อมให้ ดำอยู่เสมอ(อ่ะเหอๆ )ขณะ อายุ 66 ปี หมอได้ตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งในหลอดลมจึงเข้ารับการผ่าตัด เมื่อการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วโรคหัวใจก็ตามมาอีก ปุกชีนี ถึงแก่กรรมในวันที่ 20 พฤศจิกายนค.ศ. 1924 ที่กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยมผลงานที่สำคัญของปุกชีนี ประกอบด้วย Manon Lescaut, La Boheme, Tosca, Madama Butterfly และ Turandot เสร็จสมบูรณ์โดย Franco Alfano หลังปุกชินีถึงแก่กรรม นอกจากนี้โอเปร่าชวนหัวองค์เดียวจบ เรื่อง Gianni Schicchi เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นิยมแสดงเสมอ ปุกชินีเป็นผู้หนึ่งที่เน้นการประพันธ์โอเปร่าในแนวชีวิตจริงด้วยการเน้น สถานการณ์และความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์เป็นหลักของการดำเนินเรื่องราว
จิอุเชปเป แวร์ดี (Giuseppe Verdi,1813-1901)
ประวัติและผลงาน ผู้ประพันธ์อุปรากร ชาวอิตาเลียน เกิดที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเมืองรอนโคล (Le Roncole) ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองบุสเซโต (Busseto) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1813 เป็นลูกชายของคาร์โล แวร์ดี (Carlo Verdi) และลุยเจีย (Luigia) เป็นผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับวงการเมืองของอิตาลีมาตลอดนอกเหนือจากเป็นนักดนตรี
เมื่ออายุ 10 ขวบ พ่อได้ส่งเขาไปเรียนหนังสือที่เมืองบุสเซโต ซึ่งอยู่ห่างจากรอนโคลประมาณ 3 ไมล์ พ่อได้นำเขาไปฝากไว้กับเพื่อนที่สนิทคนหนึ่งมีอาชีพเป็นช่างซ่อมรองเท้าอยู่ ในเมืองนั้นเมื่อมีเวลาว่างแวร์ดีมักจะไปขลุกอยู่กับแอนโตนิโอ บาเรสซี่ (Antonio Barezzi) เจ้าของร้านขายของชำผู้มั่งคั่งและที่สำคัญที่สุดก็คือที่นั่นมีแกรนด์ เปียโนอย่างดีทำมาจากกรุงเวียนนา แวร์ดีมักจะมาขอเขาเล่นเสมอ ๆ เมื่อบาเรสซี่เห็นหน่วยก้านเด็กคนนี้ว่าต่อไปอาจจะเป็นนักดนตรีผู้อัจฉริยะ จึงรับมาช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆที่ร้านขายของชำของเขาในตอนเย็นหลังจากเลิกโรงเรียนแล้วจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ตัดสินใจรับเด็กน้อยแวร์ดีมาอยู่ที่ร้านและอยู่ในความอุปการะของเขา ที่นี่เองเด็กชายวัย 14 ขวบ ก็ได้เล่นเปียโนดูเอทคู่กับมาร์เกริตา (Margherita) เด็กหญิงวัย 13 ขวบ ซึ่งเป็นลูกสาวของบาเรสซี่นั่นเอง ซึ่งต่อมาทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1836
บาเรสซี่มักจะใช้เวลาส่วนมากมาคอยดูแลและนั่งฟังเด็กน้อยทั้งสองเล่นเปียโน ด้วยความพอใจอย่างยิ่งเขาให้ความรักและสนิทสนมกับเด็กน้อยแวร์ดีอย่างลูกชาย ของเขาทีเดียว ผลงานส่วนใหญ่ของแวร์ดี คืออุปรากรหรือโอเปร่า (Opera) เพราะสมัยของแวร์ดีนั้น ชาวอิตาเลียนชอบชมอุปรากรมากแวร์ดีเป็นคนที่มีความเสียสละมาตลอดชีวิตเมื่อ ภรรยาและตัวเขาเองตายไปแล้วทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ถูกนำไปใช้สร้างอาคาร สงเคราะห์ให้เป็นที่พักอาศัยของนักดนตรีที่ยากจนนอกนั้นก็นำไปใช้สร้างโรงแสดงดนตรีแวร์ดี (Verdi Concert Hall) และพิพิธภัณฑ์แวร์ดี (Verdi Museum) ในเมืองมิลาน เป็นอนุสาวรีย์เตือนชาวโลกให้รำลึกถึงเขาในฐานะคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ของ อิตาลี และของโลก การมรณกรรมของเขาจึงมิใช่เป็นการสูญเสียผู้ประพันธ์โอเปร่าที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ผลงานโอเปร่าที่เด่นประกอบด้วย Nabucco : Chorus 1842, Macbeth : Aria from Act III 1847,La traviata 1853, Aida : Triumphal Scene 1871
จิอะซิโน รอสชินี (Gioacchino Rossini,1792-1868)
ประวัติและผลงาน ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน เกิดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1792 ที่เมืองเปซาโร (Pesaro) เรียนดนตรีครั้งแรกกับพ่อและแม่ซึ่งพ่อเป็นผู้เล่นฮอร์น และทรัมเปต ส่วนแม่เป็นนักร้องที่มีเสียงใสต่อมาจึงได้เรียนการประพันธ์ดนตรีแบบ เคาน์เตอร์พอยท์ อย่างจริงจังกับTesei และ Mattei ที่เมืองโบโลญา (Bolongna) รอสชินีมีชื่อเสียงจากการประพันธ์โอเปร่า และโอเปร่าชวนหัวมีแนวการแต่งเพลงแบบค่อย ๆ พัฒนาความสำคัญของเนื้อหาดนตรีทีละน้อยไปจนถึงจุดสุดยอดในที่สุด ผลงานโอเปร่าของรอสชินีได้แก่ La Scala di Seta, La Gazza Ladra, La Cenerentola, Semiramide, The Baber of Seville และ William Tell
ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner, 1813-1883)
ประวัติและผลงาน ผู้ประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน เกิดที่เมืองไลพ์ซิก (Leipzig) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1813 มีชื่อเดิมว่า วิลเฮล์ม ริชาร์ด วากเนอร์ (Wilhelm Richard Wagner) ต่อมาเมื่ออายุ 20 ปี จึงตัด คำว่า Wilhelm ออกคงเหลือแต่ Richard Wagner เป็นลูกคนที่ 9 ของครอบครัวพ่อชื่อ ฟริดริช วิลเฮ็ล์ม วากเนอร์ (Friedrich Wilhelm Wagner) มีอาชีพเป็นเสมียนอยู่ศาลโปลิศของท้องถิ่นแม่ชื่อ โจฮันนา โรซีน (Johanne Rosine Wagner) หลังจากวากเนอร์เกิดได้ 6 เดือน พ่อของเขาก็ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคระบาดจากนั้นแม่ก็ได้แต่งงานใหม่กับ ลุดวิก เกเยอร์ (Ludwig Gayer) ซึ่งเป็นนักแสดงละครอาชีพและจิตรกร
วากเนอร์เริ่มเรียนเปียโนเมื่ออายุ 11 ขวบ กับ Humann แต่ตัวเขาเองมีความสนใจเกี่ยวกับอุปรากร (Opera) มากเพราะหลังจากที่เขาได้มีโอกาสเข้าชมอุปรากรของเวเบอร์ (Weber) เรื่อง De Freishutz แล้วก็รู้สึกประทับใจมาก ประกอบกับคลารา (Clara) และโรซาลี (Rosalie) พี่สาวของเขาเป็นนักร้องอุปรากรในคณะนั้นด้วย ปี ค.ศ. 1829 ขณะอายุ 16 ปี ก็เรียนไวโอลินและทฤษฎีดนตรี อายุ 17 ปี ได้ฟังเพลงของเบโธเฟนอีกครั้งหนึ่งที่เมืองไลพ์ซิกมีเพลงFidelio อันมีชื่อเสียงของเบโธเฟน จึงมีแรงบันดาลใจให้เขาเขียนเพลงโอเวอร์เจอร์ ในบันไดเสียงบีแฟลตเมเจอร์(Overture in B – Flat Major) และได้นำออกแสดงในปีเดียวกัน การแสดงครั้งนั้นไม่ได้รับความสนใจมากนักต่อจากนั้นวากเนอร์พยายามศึกษาหา ความรู้เพิ่มเติมทั้งทางด้านการเรียบเรียงเสียงประสาน เคาน์เตอร์พอยท์ เป็นต้น จนเขาสามารถประพันธ์เพลงไว้มากมายและยังเป็นผู้ที่ปฏิวัติรูปแบบของโอเปร่า การเรียบเรียงเสียงประสานสำหรับวงออร์เคสตรา รวมทั้งแนวความคิดเกี่ยวกับด้านศิลปะและปรัชญาซึ่งมีอิทธิพลมากในสมัยที่เขา ยังมีชีวิต
วากเนอร์เป็นคนที่ไม่ค่อยยอมลงกับใครหรือยกเว้นให้แก่ใครได้ง่าย ๆ แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นพ่อ แม่ เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งกษัตริย์ก็ตาม เพราะฉะนั้นเพลงแต่ละเพลง อุปรากรแต่ละเรื่องของเขาในศตวรรษที่ 19 จึงฟังดูพิลึก ๆ ชอบกล ชีวิตในบั้นปลายของวากเนอร์เป็นไปในทำนองต้นร้ายปลายดี เพราะเขาได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญกับโคสิมาภรรยาสาวซึ่งเป็นลูกสาวของ เพื่อนนักดนตรีรุ่นพี่ คือ ฟรานซ์ ลิสซต์ จนกระทั่งเธอตายในวันเกิดครบรอบ 59 ปี ของวากเนอร์นั่นเอง ชาวเยอรมันได้วางศิลาฤกษ์ โรงละคร Festival Theater ขึ้นในเมือง Bayreuth และบ้าน Wahnfried ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่วากเนอร์และให้เป็นที่อยู่ของเขา เพราะชาวโลกได้ยอมรับแล้วว่า วากเนอร์เป็นนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
ผลงานที่มีชื่อเสียง ผลงานที่เด่นประกอบด้วย The Mastersingers of Nuremberg : Prelude 1868Lohengrin : Bridal March 1850, Siegfried Idy II 1870, The Valkyries : Ride of the Valkyries 1870
จอร์จ บิเซต์ (George Bizet, 1838-1875)
ประวัติและผลงาน ผู้ประพันธ์เพลงชาวฝรั่งเศส เกิดที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1838 พ่อเป็นครูสอนร้องเพลงและแม่เป็นนักเปียโนบิเซต์เรียนดนตรีโดยแม่เป็น ผู้สอนให้โดยการสอน เอ บี ซี ไปพร้อมกับสอน โด เร มี ฯลฯ บิเซต์ชอบดนตรีมาก เขาสามารถร้องเพลงที่ยากมากได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องดนตรีช่วยในช่วงเด็ก สร้างความภาคภูมิใจและความประหลาดใจให้แก่ทั้งครอบครัวเป็นอย่างยิ่งจากความ เก่งเกินกว่าเด็กอื่น ๆ ในขณะอายุเพียง 9 ขวบ พ่อแม่จึงส่งไปทดสอบเพื่อเรียนในสถาบันการดนตรี (Conservatory) จนสามารถผ่านการทดสอบ ซึ่งนับว่าเป็นกรณีพิเศษอย่างยิ่งที่สถาบันแห่งนี้รับนักศึกษาอายุ 9 ขวบ
บิเซต์เป็นที่ชื่นชมยินดีของครูที่สอนเนื่องจากเขาเป็นคนที่สุขภาพดีหน้าตา ดี อ่อนโยนด้วยมิตรภาพ ไม่อวดเก่งและอุปนิสัยดีซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นักดนตรีในรุ่นหลัง ๆ น่าจะให้เป็นตัวอย่างเป็นอย่างยิ่งอายุ 18 ปี เขาก็ได้รับรางวัลปรีซ์ เดอ โรม (Prix de Rome) ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับนักประพันธ์ ดนตรีวัยรุ่นให้ได้เข้าไปอยู่ใน French Academy ในโรม อิตาลีเป็นการเจือจุนให้ได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ในการประพันธ์ดนตรีอย่าง เดียว รางวัลนี้เป็นความฝันของนักศึกษาวิชาดนตรีในฝรั่งเศสทุกคน
บิเซต์เป็นนักเปียโนฝีมือดีแม้จะไม่ได้ออกแสดงต่อสาธารณะชน เขาสามารถหาเลี้ยงชีพได้ไม่ยากนักด้วยการรับสอนแต่บิเซต์มีความทะเยอทะยาน ที่จะมีชื่อเสียงในฐานะทั้งนักเปียโนและ นักประพันธ์ดนตรี บิเซต์ลองทำทุกอย่างเท่าที่มีโอกาสแม้แต่การเขียนคอลัมน์ดนตรี บทความชิ้นหนึ่งของเขาพูดถึงแฟชั่นและตัวการที่มีผลต่อวงการดนตรี เขาเขียนด้วยความรู้สึกอันดีประจำตัวเขามีใจความว่า “โลกเรามีดนตรีฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน ฮังการี โปแลนด์ และอีกมากมาย…..เรามีดนตรีอนาคต ดนตรีปัจจุบันและดนตรีในอดีต แล้วก็ยังมีดนตรีปรัชญา ดนตรีการเมือง และดนตรีที่พบใหม่ล่าสุด…..แต่สำหรับข้าพเจ้าดนตรีมีอยู่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ ดนตรีดี กับดนตรีเลว”
ผลงานที่มีชื่อเสียง ในชีวิตอันสั้นของบิเซต์ ผลงานชิ้นเอกคือดนตรีสำหรับอุปรากร สำหรับเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือ “คาร์เม็น” (Carmen) แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เขาถึงแก่กรรมก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จอันยิ่ง ใหญ่ที่สุดของคาร์เม็น นอกจากนี้ก็มี The Girl from Arles (L' Arlesienne), The Pearl Fishers, The Fair Maid of perth บิเซต์ถึงแก่กรรมเมื่อ วันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1875 ที่กรุงปารีส เมื่ออายุเพียง 37 ปี
ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟิน ( Ludwig van Beethoven )
ประวัติและผลงาน ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟินเกิดที่เมืองบอนน์ (ประเทศเยอรมนี) เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1770และได้เข้าพิธีศีลจุ่มในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1770 เป็นลูกชายคนรองของโยฮันน์ ฟาน เบโทเฟิน (Johann van Beethoven) กับ มาเรีย แม็กเดเลนา เคเวริช (Maria Magdelena Keverich) ขณะที่เกิดบิดามีอายุ 30 ปี และมาดามีอายุ 26 ปี
เป็นคีตกวีและนักเปียโนชาวเยอรมัน เกิดที่เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมัน เบโทเฟินเป็นตัวอย่างของศิลปินยุคโรแมนติกผู้โดดเดี่ยว และไม่เป็นที่เข้าใจของบุคคลในยุคเดียวกันกับเขา ในวันนี้ เขาได้กลายเป็นคีตกวี ที่ มีคนชื่นชมยกย่องและฟังเพลงของเขากันอย่างกว้างขวางมากที่สุดคนหนึ่ง ตลอดชีวิตของเขามีอุปสรรคนานัปการที่ต้องฝ่าฟัน ทำให้เกิดความเครียดสะสมในใจเขา ในรูปภาพต่างๆ ที่เป็นรูปเบโธเฟน สีหน้าของเขาหลายภาพแสดงออกถึงความเครียด แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของเขา ก็สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆในชีวิตของเขาได้ ตำนานที่คงอยู่นิรันดร์เนื่องจากได้รับการยกย่องจากคีตกวีโรแมนติกทั้งหลาย เบโทเฟินได้กลายเป็นแบบอย่างของพวกเขาเหล่านั้นด้วยความเป็นอัจฉริยะที่ไม่ มีใครเทียมทาน ซิมโฟนีของเขาเป็นผลงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็มิได้รวมเอาความเป็นอัจฉริยะทั้งหมดของคีตกวีไว้ในนั้น