1 / 34

อุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิ

อุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิ. โดย อาจารย์สุ วินันท์ จันท อุไร. ความสำคัญของการวัดและการควบคุม. 1. วัตถุประสงค์ของการวัดและการควบคุม มีความสำคัญดังต่อไปนี้ 2. การวัดเป็นการแสดงตัวแปรซึ่งเป็นรายละเอียดของระบบ

kirsi
Download Presentation

อุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. อุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิ โดย อาจารย์สุวินันท์จันทอุไร

  2. ความสำคัญของการวัดและการควบคุมความสำคัญของการวัดและการควบคุม 1. วัตถุประสงค์ของการวัดและการควบคุม มีความสำคัญดังต่อไปนี้ 2. การวัดเป็นการแสดงตัวแปรซึ่งเป็นรายละเอียดของระบบ 3. เพื่อควบคุมความแน่นอนในการปฏิบัติงานหรือกระบวนการ หลักการของการวัดคือ เปรียบเทียบค่าจริงกับค่าที่ต้องการจะปฏิบัติงาน 4. การจำลองสภาพของระบบ 5. เป็นการทดลองเพื่อศึกษาการออกแบบ 6. เพื่อใช้ในการปรับกระบวนการ 7. เพื่อทดสอบวัสดุ รักษามาตรฐาน และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ 8. เพื่อยืนยันปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์/ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ 9. เพื่อควบคุมคุณภาพในอุตสาหกรรม

  3. การเลือกเครื่องมือวัดการเลือกเครื่องมือวัด การเลือกเครื่องมือวัดใด ๆ ที่ให้เป็นไปตามความต้องการหรือตอบสนองได้ เต็มที่ จะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติในการปฏิบัติงานของเครื่องมือวัดแต่ละชนิดรวมไป ถึงราคา แต่โดยทั่วไปการเลือกอุปกรณ์นั้นจะขึ้นอยู่กับค่าสูงสุดของ “อัตราส่วน ของการใช้จ่าย”หรือ “ทรานส์เฟอร์ฟังก์ชัน” ของการลงทุนซึ่งคิดได้จาก อัตราส่วนดังต่อไปนี้ ราคาค่างวดที่ใช้สอย ราคาค่างวดที่จำเป็น มีการพิจารณาหลาย ๆ ปัจจัยที่จะเกี่ยวข้องกับการเลือกเครื่องมือวัด ซึ่ง ประกอบไปด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

  4. คุณภาพของเครื่องมือวัด เกณฑ์ของราคา • คุณสมบัติของความแน่นอน ความเที่ยงตรง และส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น ความไว ความเป็นเชิงเส้น ฮิสเตอร์รีซีส ค่าดริฟต์ศูนย์และดริฟต์ความไว เดดแบนด์ เป็นต้น • ธรรมชาติและชนิดของความสามารถทางด้านข้อมูล เช่น แบบแอนะล็อก แบบดิจิตอล • แบบต่อเนื่อง หรือแบบสุ่ม • 3. ธรรมชาติและชนิดของการอ่านค่าออก เช่น ตัวบันทึกค่า หรือตัวบอกค่า เป็นต้น • 4. ธรรมชาติของการคำนวณข้อมูล (หากว่าต้องการ) • 5. คุณสมบัติของการรบกวนสัญญาณของทรานสดิวเซอร์ และความมั่นคงของระบบ เมื่อมีการขยายสัญญาณแล้วส่งออกไป หรือมีการแปลงข้อมูลไปอยู่ในรูปอื่น • 6. คุณสมบัติของผลตอบสนองทางพลวัตร ถ้าสัญญาณอินพุตเปลี่ยนแปลงไปกับเวลา • 7. ความรู้สึกไว (susceptibility) ต่อการรบกวนของสิ่งแวดล้อมที่รบกวน

  5. การพิจารณาในแง่ความสะดวก เกณฑ์ความเหมาะสม • มีความเหมาะสม (suitability) สำหรับงานที่จะใช้ เช่น ใช้ในห้องทดลอง ในสนาม หรือ ทั้งสองข้อรวมกัน • ความสามารถในการดัดแปลง (adaptability) เมื่อใช้กับค่าทางอินพุตหลาย ๆ ค่าที่แตกต่างกัน เช่น การขยายสเกล การเปลี่ยนย่าน เป็นต้น • ง่ายต่อการปรับแต่ง เมื่อจำเป็น • ง่ายและสะดวกต่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของเครื่องมือวัด • ต้องมีความทนทานของวัสดุที่ประกอบ และการออกแบบถูกหลักเกณฑ์ ไม่ยุ่งยากต่อการใช้งาน

  6. ต่อ 6. มีส่วนประกอบที่ป้องกันการใช้งายของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง (fool-proof) 7. พิจารณาการบำรุงรักษา การซ่อม ความเหมาะสมในการติดตั้ง และการบริการที่มั่นคง 8. ต้องมีระบบบอกความพร้อมในการทำงานด้วยตัวมันเอง หรือความสามารถตรวจสอบตัวเองได้ในกรณีที่เครื่องมือวัดทำงานผิดปกติ 9. มีความปลอดภัยต่อการใช้งาน 10. มีรูปร่างที่เหมาะสม รูปทรงสวยงาม และจำเป็นต้องมีตัวห่อหุ้มหรือปกปิด ต่อสภาวะแวดล้อมการใช้งาน

  7. ราคาในสภาวะแรกและงบที่อาจจะบานปลายราคาในสภาวะแรกและงบที่อาจจะบานปลาย 1. ราคาเบื้องต้นของเครื่องมือวัด ราคาในการติดตั้ง และราคาค่างวดอื่น ๆ 2. ราคาในการปรับแต่ง การซ่อม การบำรุงรักษา เป็นต้น 3. ราคาในการปฏิบัติงาน 4. การพิจารณาอายุการใช้งาน หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่สามารถจะทดแทนเข้ากันได้ กับเครื่องมือแบบเดียวกัน จากหัวข้อด้านบนพบว่าเราจะต้องพิจารณาในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งคะต้องทำการศึกษา ทั้งทาง ด้านบวกและด้านลบ และพบว่าการพิจารณาเรื่องคุณภาพหรือแง่ของเกณฑ์ ราคา เป็นแง่ที่พิจารณามากที่สุดสำหรับการใช้งาน

  8. การตรวจวัดความร้อน (Thermal Sensors) นิยามของอุณหภูมิ (Definition of Temperature) 1. พลังงานความร้อน (Thermal Energy) ในวัสดุที่เป็นของแข็ง แต่ละอะตอมหรือแต่ละโมเลกุลจะยึดเกาะหรือมีพันธะต่อกันอย่างแข็งแรงสภาวะดังกล่าวนี้เรียกว่า “ตำแหน่งสมดุล” (equilibrium position) อย่างไรก็ตามแต่ล่ะอะตอมยังคง สามารถสั่นสะเทือนรอบตำแหน่งที่มันตั้งอยู่ได้ แต่ถ้าของแข็งที่ไม่มีการสั่นสะเทือนของโมเลกุล แสดงว่าพลังงานความร้อนภายในอะตอมเป็นศูนย์หรือ WTH = 0 ตอนนี้หากเราเพิ่มพลังงานให้กับวัตถุดังกล่าวจะทำให้โมเลกุลเกิดการสั่นสะเทือนรอบ ๆ ตำแหน่งสมดุลของมันจึงกล่าวได้ว่าขณะนี้มีพลังงานความร้อนเกิดขึ้นหรือ WTH > 0 หากเราเพิ่มพลังงานเข้าไปในวัตถุนี้อีก การสั่นสะเทือนจะเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายสภาวะในการยึดเกาะก็จะน้อยลงและแตกออกในที่สุด แสดงว่าวัตถุดังกล่าวนี้เกิดการหลอมละลายและกำลังจะกลายเป็นของเหลว

  9. ในกรณีของแก๊ส หากเพิ่มพลังงานความร้อนในวัตถุที่เป็นของเหลวให้มากขึ้นต่อไปอีก ความเร็วของโมเลกุลก็จะเพิ่มขึ้นจนอยู่ในสภาวะสุดท้ายทำให้เกิดช่องว่างระหว่างแต่ละโมเลกุลเต็มที่ หากถึงขั้นโมเลกุลไม่สัมผัสกันและเคลื่อนที่อย่างสุ่ม ๆ (random) ในภาชนะ วัตถุดังกล่าวก็จะกลายเป็นแก๊สไปในที่สุดมีผลทำให้โมเลกุลชนกระแทกกับโมเลกุลอื่น ๆ รวมถึงผนังของภาชนะ ในงานจริง วัตถุประสงค์ของการตรวจวัดความร้อน อุปกรณ์วัดความร้อนของวัตถุหรือสิ่งแวดล้อมจะอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน

  10. 2. อุณหภูมิ (Temperature) หน่วยของการวัดพลังงานที่เหมาะสมก็คือ “จูล” (Joule) ซึ่งเป็น หน่วยในระบบ SI ค่านี้จะขึ้นอยู่กับขนาดของวัตถุ เพราะมันจะเป็นตัวบอก ปริมาณในการเก็บความร้อน ส่วนการวัดพลังงานความร้อนเฉลี่ยต่อโมเลกุล ก็มีหน่วยเป็นจูลเช่นเดียวกัน

  11. 2.1 สเกลของอุณหภูมิสัมบูรณ์ (Absolute Temperature Scale) มีการใช้งาน 2 สเกลด้วยกัน คือ สเกลเคลวิน(K) และสเกลแรงคิล(0 R) ซึ่งมี ความสัมพันธ์กันดังนี้ ( 1K ) = 180/100 ( 10 R ) = 9/5 10 R ดังนั้น การแปลงสเกล ก็จะกำหนดได้เป็น T (K) = 9/5 T (0 R) เมื่อ T (K) = อุณหภูมิในหน่วย K T (0 R) = อุณหภูมิในหน่วย 0 R

  12. 2.2 สเกลอุณหภูมิสัมพัทธ์ (Relative to Thermal Energy ) สเกลนี้คือสเกลขององศาเซลเซียส (สัมพันธ์กับองศาเคลวิน) และองศาฟาเรนไฮต์ (สัมพันธ์กับองศาเคลวิน) T (0 C) = 9/5 T(K) – 273.15 T (0 F) = T(R) - 459.6 T (0 F) = T (0 C) + 32 ความสัมพันธ์กับพลังงานความร้อน ( Relative to Thermal Energy ) WTH = 3/2kT เมื่อ k = 1.38 x 10 –23 J/K เป็นค่าคงที่ของโบลซ์มาน

  13. การวัดอุณหภูมิ (Measurement of Temperature) วิธีการวัดที่ไม่ใช่วิธีทางไฟฟ้า ( Non-Electrical Methods )วิธีที่ไม่ใช่ การวัดอุณหภูมิทางไฟฟ้า อาจจะอยู่บนวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้ - การเปลี่ยนแปลงสถานะทางฟิสิกส์ - การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางเคมี - การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางฟิสิกส์

  14. โดยทั่วไปวิธีการแสดงผลของอุณหภูมิโดยทั่วไปวิธีการแสดงผลของอุณหภูมิ 1. เทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งโลหะ (Solid Rod thermometer)หลักการของ เทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งโลหะนี้ อยู่บนหลักการของการขยายตัวเชิงเส้นของโลหะเมื่อ อุณหภูมิสูงขึ้น

  15. 2. เทอร์โมมิเตอร์แบบไบเมทัล (Bimetallic Thermometer) เทอร์โมมิเตอร์นี้ใช้หลักการขยายตัวของของแข็ง

  16. 3. เทอร์โมมิเตอร์แบบเติมของเหลวในหลอดแก้ว (Liquid-in-Glass Thermometer) เทอร์โมมิเตอร์แบบนี้ใช้วัดอุณหภูมิซึ่งใช้ความแตกต่างของการขยายตัวนี้เป็นตัวบอก ระดับอุณหภูมิ

  17. 4. เทอร์โมมิเตอร์แบบความดัน (Pressure Thermometer) ทำงานบนพื้นฐานการ ขยายตัวของของไหล อันเนื่องมาจากการเพิ่มความดันของปริมาตรที่ใช้วัดอุณหภูมิ เทอร์โมมิเตอร์แบบนี้ใช้งานกันอย่างกว้างขวางในการวัดอุณหภูมิทางอุตสาหกรรม

  18. 5. เทอร์โมมิเตอร์แบบปรอทที่อยู่ในโลหะ (Mercury-in-steel Thermometer) เทอร์โมมิเตอร์แบบนี้มีสเกลเป็นเชิงเส้น และมีกำลังเพียงพอที่จะใช้งานกับปากกา บันทึกได้

  19. 6. เทอร์โมมิเตอร์แบบปริมาตรคงที่ (Constant Volume Thermometer) เทอร์โมมิเตอร์แบบดังกล่าวนี้ใช้แก๊สเฉื่อย (ปกติจะเป็นไนโตรเจน) เป็นตัวทำงาน แทนที่ปรอท หลักการทำงานคือ อาศัยการเพิ่มความดันของแก๊สเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ณ จุดที่ซึ่งปริมาตรคงที่

  20. 7. เทอร์โมมิเตอร์แบบความดันไอ ( Vapor Pressure Thermometer ) เทอร์โมมิเตอร์แบบนี้สเกลไม่เป็นเชิงเส้น

  21. การเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานของโลหะกับอุณหภูมิการเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานของโลหะกับอุณหภูมิ ความต้านทานของโลหะกับอุณหภูมิ (Temperature Versus Resistance of Metallic) โลหะเกิดจาการรวมอะตอมในสถานะของแข็ง ซึ่งในแต่ละอะตอมจะมีตำแหน่ง การสั่นที่ซ้อนทับกันและพลังงานความร้อนจะสมดุลกัน คุณสมบัติที่สำคัญของโลหะอยู่ที่ว่า ในแต่ละอะตอมจะมีอิเล็กตรอน 1 ตัว เรียกว่า “ วาเลนซ์อิเล็กตรอน “ (valance electron ) ที่สามารถเคลื่อนที่ผ่านวัตถุได้อย่างอิสระซึ่งกลายเป็นอิเล็กตรอนตัวนำ ( conduction electron )

  22. เมื่ออิเล็กตรอนเคลื่อนที่ผ่านวัตถุอะตอมแต่ละตัวจะเกิดการกระแทกกับอะตอมที่ เมื่ออิเล็กตรอนเคลื่อนที่ผ่านวัตถุอะตอมแต่ละตัวจะเกิดการกระแทกกับอะตอมที่ อยู่กับที่ ( stationary atom ) หรือโมเลกุลของวัตถุ เป็นผลทำให้เกิดพลังงานความ ร้อนขึ้น อะตอมก็จะสั่นและทำให้อิเล็กตรอนการนำสั่นด้วย ทำให้มีการเคลื่อนที่ของ อิเล็กตรอนและมีการดูดกลืนพลังงานเกิดขึ้น นั่นคือ ขณะนี้วัตถุดังกล่าวจะกลายเป็น ตัวต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้า และจะมีการสั่นสะเทือนมากขึ้นหากได้รับ ความร้อนเพิ่มขึ้น

  23. การประมาณค่าความต้านทานกับอุณหภูมิ ( Resistance Versus Temperature Approximation ) การประมาณค่าความเป็นเชิงเส้น ( linear approximation ) คือการหาค่าจาก สมการเส้นตรงซึ่งพล๊อตระหว่างค่าความต้านทานเทียบกับอุณหภูมิ ( R-T curve ) ในบางช่วงที่ต้องการ ตัวตรวจวัดอุณหภูมิ โดยใช้หลักการเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทาน ( resistance Temperature Detectors ; RTD )

  24. อาร์ทีดี คือ ตัวเซ็นเซอร์อุณหภูมิที่ใช้หลักการเปลี่ยนแปลงค่าความ ต้านทานของโลหะซึ่งค่าความต้านทานดังกล่าวจะมีค่าเพิ่มตามอุณหภูมิ ความ ต้านทานของโลหะที่เพิ่มเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นนี้ เรียกว่า “ สัมประสิทธิ์การ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบบวก “ ( Positive Temperature Coefficient ; PTC ) นอกจากนี้อาร์ทีดียังมีชื่อเรียกได้อีกอย่างว่า “ เทอร์โมมิเตอร์แบบค่าความต้านทาน ” ( Resistance Temperatures )

  25. อาร์ทีดีค้นพบในปีเดียวกับที่ซีแบ็คค้นพบปรากฏการณ์เทอร์โมอิเล็กทริก โดย Sir Humphry Day ซึ่งพบว่า ความต้านทานในโลหะจะมีผลตามค่าความ ร้อน อีก 50 ปีต่อมา Sir Willium Siemens ก็นำเอาแพลทินัมมาทำเป็น เทอร์โมมิเตอร์ และจัดให้เป็นเทอร์โมมิเตอร์แบบปฐมภูมิที่มีความแน่นอนสูง ใน ความเป็นจริงค่าความต้านทานของอาร์ทีดีแบบแพลทินัม ( PRTD ) ที่ใช้กันใน ทุกกวันนี้จะมีการกำหนดสเกลมาตรฐานจากจุดออกซิเจน ( -182.960 C ) ถึง จุดแอนติโมนี ( 630.740 C ) โดย IPTS

  26. เราพบว่าความนำ (conductivity) ; ของโลหะใดๆ จะเป็นฟังก์ชันกับค่าของอุณหภูมิ ในทางกลับกันค่าความต้านทานจำเพาะ (resistivity) ซึ่งเป็นส่วนกลับของความนำ ก็จะเปลี่ยนแปลงเกือบเป็นเชิงเส้นกับอุณหภูมิในย่านอุณหภูมิห้อง เช่น อะลูมิเนียม ทองแดง และเงิน จะมีค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4% เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเคลวิน

  27. ชนิดของอาร์ทีดี (Type of RTD) แพลทินัม เป็นแบบที่นิยมใช้มากที่สุด เขียนบอกไว้เป็น PT ได้แก่ PT-10, PT-100, PT-1000 ความสามารถในการทำซ้ำสูง แต่ความไวต่ำ ราคาแพงมากเมื่อเทียบกับ นิกเกิลซึ่งมี ความสามารถในการทำซ้ำน้อย แต่มีความไวมากกว่า และราคาถูกกว่า ทองคำและเงิน ธาตุทั้งสองมีค่าความต้านทานจำเพาะต่ำทังสเตนมีค่าความต้านทาน จำเพาะสัมพัทธ์สูง มักใช้กับการวัดอุณหภูมิที่มีค่าสูง เพราะ หากใช้ที่อุณหภูมิปกติจะมี ความเปราะและยากต่อการใช้งานนิกเกิล ใช้กับย่านวัดอุณหภูมิสูงๆ มีความเป็นเชิงเส้น ต่ำ ทำให้เกิดค่าดริฟต์ (drift) กับเวลา นอกจากนี้ยังมีวัสดุชนิดอื่นๆ ที่ใช้ทำอาร์ทีดี ได้แก่ เหล็ก เป็นต้น

  28. คุณลักษณะของอาร์ทีดี (Characteristic of RTD) 1. ความไว (Sensitivity) ความไวของอาร์ทีดีหาได้จากค่าของ พบว่าแพลทินัมจะมีค่า = 0.00385 / /0C (ประมาณ 0.004/0C ) ดังนั้น สำหรับแพลทินัมอาร์ทีดีแบบ 100 จึงเปลี่ยนค่าความต้านทานไปเพียง 0.4 เท่านั้น หากอุณหภูมิเปลี่ยนไป 1000C 2. ผลตอบสนองต่อเวลา (Response Time) เวลาในการตอบสนองของอาร์ทีดีเกิดจากการนำความร้อน โดยทั่วไปเวลาคงที่จะกำหนดโดยสภาวะอากาศอิสระ (หรือสภาวะใดๆ ที่สมมูลกัน) หากว่าหากมันอยู่ในฝักป้องกัน (sheath) มันจะสัมผัสความร้อนได้ไม่ดีจึงทำให้ได้ผลตอบสนองต่อเวลาช้า 3. โครงสร้าง (Construction) แน่นอนว่าอาร์ทีดีที่มีความยาวของสายมาก จะทำให้ความต้านทานเป็นฟังก์ชันกับอุณหภูมิมาก 4. การปรับสภาพสัญญาณ (Sine Conditioning) 5. ค่าคงที่ในการสูญเสีย (Dissipation Constan

  29. 6. ย่านการใช้งาน (Range) ย่านประสิทธิผลการใช้งานของอาร์ทีดีจะขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ใช้เป็นอุปกรณ์แอกทีฟ พบว่า อาร์ทีดีแบบแพลทินัมจะมีย่านใช้งานจาก -1000C ถึง 6500C ในขฯะที่อาร์ทีดีที่ทำจากนิกเกิลจะมีช่วงใช้งานจาก -1800C ถึง 3000C ข้อควรจำในการวัดอุณหภูมิโดยใช้อาร์ทีดี คือ - ต้องมีการชีลด์สายและเดินสายบิดเกลียวเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน - อาร์ทีดีมีความเปราะบาง จึงต้องป้องกันและระวังการใช้งาน - เนื่องจากที่อาร์ทีดีไม่สามารถกำเนิดพลังได้เหมือนกับเทอร์โมคัปเปิล จึงทำให้มีกระแสไหลผ่านและเกิดผลของความร้อนจูล (I2R)กับตัวมันเอง

  30. แบบฝึกหัด 1. จงบอกความสำคัญของการวัดและการควบคุม 2. การเลือกเครื่องมือวัดควรคำนึงถึงอะไรบ้าง 3. พลังงานความร้อน คือ 4. เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดอุณหถูมิมีอะไรบ้าง จงอธิบาย พร้อมยกตัวย่าง 5. Bimetallic Thermometer มีหลักการทำงานอย่างไร 6. Liquid-in-Glass Thermometer มีหลักการทำงานอย่างไร 7. Constant Volume Thermometer มีหลักการทำงานอย่างไร 8. การเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานของโลหะกับอุณหภูมิ เป็นอย่างไร 9. RTD หมายถึง 10. Characteristic of RTD เป็นอย่างไร จงอธิบาย

More Related