3.72k likes | 8.7k Views
พฤติกรรม. พฤติกรรม ( Behavior). การตอบสนองของสิ่งมีชีวิตต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในร่างกายเพื่อการอยู่รอด พฤติกรรมของสัตว์เป็นผลจากการทำงานร่วมกันระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม. Gene. Behavior. Environment.
E N D
พฤติกรรม (Behavior) การตอบสนองของสิ่งมีชีวิตต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในร่างกายเพื่อการอยู่รอด พฤติกรรมของสัตว์เป็นผลจากการทำงานร่วมกันระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม Gene Behavior Environment
โดยทั่วไปแล้วการแสดงพฤติกรรมของสัตว์ในธรรมชาติมักเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการอยู่รอดตลอดจนเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเอง พฤติกรรมที่ถูกจัดว่ามีแบบแผนที่ง่ายที่สุดและทำให้สัตว์อยู่รอดได้คือการหลีกเลี่ยงที่จะถูกฆ่า ดังนั้นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหลบหลีกหนีศัตรูจึงแสดงออกได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วการแสดงพฤติกรรมของสัตว์ในธรรมชาติมักเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการอยู่รอดตลอดจนเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเอง พฤติกรรมที่ถูกจัดว่ามีแบบแผนที่ง่ายที่สุดและทำให้สัตว์อยู่รอดได้คือการหลีกเลี่ยงที่จะถูกฆ่า ดังนั้นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหลบหลีกหนีศัตรูจึงแสดงออกได้อย่างรวดเร็ว
ความหมายของพฤติกรรม พฤติกรรม (Behavior) หมายถึง กิริยาของสิ่งมีชีวิตที่แสดงออกมาเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นทั้ง สิ่งเร้าภายในและสิ่งเร้าภายนอกสิ่งเร้า (Stimulus)คือ สัญญาณหรือการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีผลต่อกิจกรรมของสิ่งมีชีวิต โดยทั่วๆไปจะแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ1) สิ่งเร้าภายในร่างกาย ได้แก่ ฮอร์โมน เอนไซม์ ความหิว ความเครียด ความต้องการทางเพศ เป็นต้น2) สิ่งเร้าภายนอกร่างกาย ได้แก่ แสง เสียง อุณหภูมิ อาหาร น้ำ การสัมผัส สารเคมี เป็นต้น
กลไกการเกิดพฤติกรรม การที่สัตว์จะแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาได้นั้น จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้1. เหตุจูงใจ (Motivation)2. ตัวกระตุ้นปลดปล่อย (Releasing Stimulus)เช่น พฤติกรรมการกินอาหารของสัตว์ ความหิว เป็นเหตุจูงใจ อาหาร เป็นตัวกระตุ้นปลดปล่อย โดยทั่วไปถ้าเหตุจูงใจสูง สัตว์จะสามารถแสดงพฤติกรรมออกมาได้ ถึงแม้ตัวกระตุ้นปลดปล่อยจะไม่รุนแรง ในทางตรงกันข้ามถ้าเหตุจูงใจต่ำ แต่ตัวกระตุ้นปลดปล่อยมีความรุนแรงมาก สัตว์จะสามารถแสดงพฤติกรรมออกมาได้เช่นกัน
พฤติกรรมของคนและสัตว์ที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกพฤติกรรมของคนและสัตว์ที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ไวต่อการรับความรู้สึกและโต้ตอบสิ่งต่างๆที่เกิด ขึ้นรอบๆตัว เช่น แสง อุณหภูมิ น้ำ และการสัมผัส ซึ่งเรียกว่า สิ่งเร้า ส่วนพฤติกรรม หรืออาการที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตแสดงออกหรือปรากฏให้เห็น เมื่อถูกสิ่งเร้ามากระตุ้น ณ ชั่วขณะหนึ่ง เรียกว่า การตอบสนองคนและสัตว์ สามารถแสดงพฤติกรรมบางอย่างเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก ซึ่งได้แก่ แสง อุณหภูมิ น้ำ และการสัมผัส ได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะของสิ่งเร้าและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อความปลอดภัยและการอยู่รอดของชีวิต โดยอาศัยการทำงานที่ประสานกันระหว่างระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ รวมทั้งต่อมไร้ท่อและระบบต่อมมีท่อดังนี้
1 การตอบสนองเมื่อได้รับแสงเป็นสิ่งเร้า1 การตอบสนองเมื่อได้รับแสงเป็นสิ่งเร้า คนและสัตว์บางชนิดสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเมื่อได้รับแสง เช่น- การหรี่ตาเมื่อได้รับแสงสว่างมากเกินไป- การที่แมลงต่างๆ บินเข้าหาแสงสว่าง- เมื่อเกิดสุริยุปราคา นกจะบินกลับรัง เนื่องจากมีสภาพคล้ายเวลาพลบค่ำ- การหนีแสงของไส้เดือนดิน- การให้แสงสว่างในการเลี้ยงไก่ เพื่อให้ไก่กินอาหารเป็นเวลานาน ทำให้เจริญเติบโตเร็วในระยะเวลาสั้นกว่าปกติ- สัตว์บางชนิดออกหาอาหารในเวลาที่เริ่มมีแสงสว่าง เช่น การที่นกบินออกจากรังในตอนเช้า- ไก่ขันบอกเวลาในตอนเช้า
การหรี่ตาเมื่อได้รับแสงสว่างการหรี่ตาเมื่อได้รับแสงสว่าง แมลงต่างๆ บินเข้าหาแสง การหนีแสงของไส้เดือนดินดิ การที่นกบินออกจากรังในตอนเช้า นกเค้าแมวหาอาหาร ไก่ขันบอกเวลาในตอนเช้า ให้แสงสว่างในการเลี้ยงไก่
2. การตอบสนองเมื่อได้รับอุณหภูมิเป็นสิ่งเร้า 2. การตอบสนองเมื่อได้รับอุณหภูมิเป็นสิ่งเร้า คนและสัตว์จะดำรงชีวิตในสภาวะที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ถ้าอุณหภูมิเปลี่ยนไป สิ่งมีชีวิตจะมีพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเพื่อความ ปลอดภัย และการดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสม เมื่ออากาศร้อน หรือมีอุณหภูมิสูง เมื่ออากาศเย็นหรืออุณหภูมิต่ำ- คนจะเหงื่อออกมาก เป็นการระบายความร้อน- คนเมื่อสัมผัสวัตถุที่ร้อนจัด จะเกิดอาการสะดุ้ง และดึงอวัยวะส่วนที่สัมผัสออกทันที- คนเมื่อสัมผัสวัตถุที่เย็นจัด จะเกิดอาการสะดุ้ง และดึงอวัยวะส่วนที่สัมผัสออกทันที
ควายจะหนีร้อนด้วยการแช่ในแอ่งน้ำควายจะหนีร้อนด้วยการแช่ในแอ่งน้ำ แมว กระต่าย จิงโจ้ จะระบายความร้อนโดยการเลียอุ้งเท้า นกนางแอ่นบ้านอพยพย้ายถิ่น หนีอากาศหนาวด้วยการจำศีล สุนัข วัว ควาย แกะ จะระบายความร้อนโดยน้ำระเหยออกจากลิ้น สัตว์เลื้อยคลาน เช่น จิ้งเหลน กิ้งก่า งู จะนอนผึ่งแดด
3. การตอบสนองเมื่อได้รับน้ำเป็นสิ่งเร้า3. การตอบสนองเมื่อได้รับน้ำเป็นสิ่งเร้า น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรังชีวิตของคนและสัตว์ ช่วยลำเลียงสารอาหารไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ช่วยในการขับถ่าย ช่วยรักษาผิวหนังให้ชุ่มชื้น ดังนั้นเมื่อสภาพแวดล้อมมีปริมาณน้ำไม่เหมาะสม คนและสัตว์บางชนิดจะปรับตัวให้เหมาะสม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ - ไส้เดือนจะเคลื่อนที่เข้าหาความชื้น เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น เนื่องจากไส้เดือนหายใจโดยใช้ผิวหนังจึงจำเป็นที่ผิวหนังจะต้องชุ่มชื้นตลอด เวลา - น้ำทำให้สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น กบ คางคก ออกหากินในเวลากลางคืน เพื่อให้มีความชื้นพอเหมาะ - สัตว์ทะเลทรายจะออกหากินในเวลากลางคืนเพื่อลดการสูญเสียน้ำ
4. การตอบสนองสิ่งเร้าเมื่อได้รับการสัมผัสเป็นสิ่งเร้า4. การตอบสนองสิ่งเร้าเมื่อได้รับการสัมผัสเป็นสิ่งเร้า ผิวหนังของคนและสัตว์จะมีประสาทสัมผัสอยู่ที่บริเวณผิวหนัง ดังนั้นเมื่อได้รับการสัมผัส ระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อจะทำงานประสานกัน และแสดงอาการตอบสนองสิ่งเร้าได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เมื่อผงเข้าตา นัยน์ตาจะขับน้ำตาออกมาเพื่อกำจัดผง อึ่งอ่างเมื่อได้รับ การสัมผัสจะพองตัว กิ้งกือจะขดตัวเมื่อถูกสัมผัส
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตแบ่งออกเป็น 2 ประเภทพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1. พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด (inherited behavior หรือ innated behavior) 2. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (learned behavior หรือ Acquired behavior)
พฤติกรรมของสัตว์จำแนกออกเป็นพฤติกรรมของสัตว์จำแนกออกเป็น พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด รีเฟล็กซ์ พฤติกรรมการฝังใจ พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง พฤติกรรมความเคยชิน พฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีเงื่อนไข ไคนีซิส พฤติกรรมการเรียนรู้โดยการลองผิดลองถูก แทกซิส พฤติกรรมการเรียนรู้แบบใช้เหตุผล
1. พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด (inherited behavior หรือ innated behavior) เป็นพฤติกรรมแบบง่ายๆ เป็นลักษณะเฉพาะที่ใช้ในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น แสง เสียง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี หรือเหตุการณ์ที่เกิดเป็นช่วงเวลาที่สม่ำเสมอ เช่น กลางวัน กลางคืน น้ำขึ้นน้ำลงตลอดจนการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวเพื่อปรับตำแหน่งที่เหมาะสม ความสามารถในการแสดงพฤติกรรมได้มาจากพันธุกรรมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้มาก่อนมีแบบแผนที่แน่นอนเฉพาะตัว สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะแสดงลักษณะเหมือนกันหมด
สรุปลักษณะของพฤติกรรมที่มีแต่กำเนิดสรุปลักษณะของพฤติกรรมที่มีแต่กำเนิด 1. เป็นพฤติกรรมง่ายๆที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่ง 2. การแสดงพฤติกรรมได้มาจากพันธุกรรมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้มาก่อน 3. มีแบบแผนที่แน่นอนเฉพาะตัว สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะแสดงลักษณะเหมือนกันหมด
ชนิดของพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิดชนิดของพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด 1. รีเฟล็กซ์ (Reflex) 2. พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง (Chain of Reflexes) หรือ สัญชาตญาณ (Instinct) 3. ไคนีซีส (Kinesis)4. แทกซีส (Taxis)
รีเฟล็กซ์ (Reflex) เป็นพฤติกรรมที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นอย่างรวดเร็วทันทีทันใด พฤติกรรมแบบนี้มีความสำคัญ เพราะช่วยให้สิ่งมีชีวิตรอดพ้นจากอันตรายได้ เช่น- การกระพริบตาเมื่อผงเข้าตา- การยกเท้าหนีทันทีเมื่อเหยียบหนาม ของแหลม หรือของร้อน- การไอ การจาม เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทางเดินหายใจ
พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง (Chain of Reflexes) เป็นพฤติกรรมที่ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยๆ หลายพฤติกรรมที่เป็นปฏิกิริยารีเฟลกซ์ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน แต่เดิมใช้คำว่า สัญชาตญาณ ( Instinct ) แต่ในปัจจุบันคำนี้ใช้กันน้อยมากในทางพฤติกรรมเพราะมีความหมายกว้างเกินไป ซึ่งอาจรวมไปถึงพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิดทุกๆแบบด้วย สัตว์พวกแมลง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ปีก จะมีพฤติกรรมแบบเด่นชัด เช่น -การดูดนมของทารก - การสร้างรังของนกและแมลง- การชักใยของแมงมุม- การกินอาหารของสัตว์แต่ละชนิด เช่น การแทะมะพร้าวของกระรอก- การเกี้ยวพาราสีของสัตว์ต่างๆ - การฟักไข่และเลี้ยงลูกอ่อนของสัตว์- การจำศีลและการอพยพย้ายถิ่นของสัตว์
การสร้างรังของนกและแมลง การชักใยของแมงมุม การแทะมะพร้าวของกระรอก การเกี้ยวพาราสีของสัตว์ต่างๆ การฟักไข่และเลี้ยงลูกอ่อนของสัตว์ การจำศีลและการอพยพย้ายถิ่นของสัตว์ การสร้างรังของนกและแมลง การชักใยของแมงมุม การแทะมะพร้าวของกระรอก การเกี้ยวพาราสีของสัตว์ต่างๆ การฟักไข่และเลี้ยงลูกอ่อนของสัตว์ การจำศีลและการอพยพย้ายถิ่นของสัตว์
พฤติกรรมแบบไคนีซิส ( Kinesis ) เป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการเคลื่อนที่ทั้งตัวแบบมีทิศทางไม่แน่นอน คือ มีทิศทางที่ไม่สัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า พฤติกรรมแบบนี้มักพบในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ และพวกโพรติสต์ซึ่งมีหน่วยรับความรู้สึกที่มีประสิทธิภาพไม่ดีพอ เช่น- การเคลื่อนที่ออกจากบริเวณที่อุณหภูมิสูงของพารามีเซียม- การเคลื่อนที่หนีฟองแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของพารามีเซียม- การเคลื่อนที่ของตัวกุ้งเต้นเมื่ออยู่ในความชื้นที่แตกต่างกัน
การตอบสนองต่ออุณหภูมิของพารามีเซียมการตอบสนองต่ออุณหภูมิของพารามีเซียม
พฤติกรรมแบบแทกซิส ( Taxis ) เป็นพฤติกรรมการเคลื่อนที่เข้าหาหรือหนีจากสิ่งเร้าอย่างมีทิศทางที่แน่นอน พฤติกรรมแบบนี้มักพบในสิ่งมีชีวิตที่มีหน่วยรับความรู้สึกที่มีประสิทธิภาพดีพอจะสามารถรับรู้และเปรียบเทียบสิ่งเร้าได้เช่น- การเคลื่อนที่เข้าหาแสงสว่างของพลานาเรีย- การเคลื่อนที่ของหนอนแมลงวันหนีแสง - การเคลื่อนที่ของแมลงเม่าเข้าหาแสง- การเคลื่อนที่ของค้างคาวเข้าหาแหล่งอาหารตามเสียงสะท้อน- การบินเข้าหาผลไม้สุกของแมลงหวี่
การเคลื่อนที่เข้าหาแสงสว่างของพลานาเรียการเคลื่อนที่เข้าหาแสงสว่างของพลานาเรีย
2. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (learned behavior หรือ Acquired behavior) - เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีการเรียนรู้มาก่อน เป็นพฤติกรรมที่ซับซ้อน สัตว์จะมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้ต้องมีระบบประสาท สัตว์ที่มีระบบประสาทดีจะเรียนรู้ได้มาก ในสัตว์ประเภทดูดนม จะมีพฤติกรรมแบบนี้ดีที่สุด - เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยประสบการณ์ในอดีต ซึ่งเกิดในสัตว์ที่มีระบบประสาทส่วนกลาง สัตว์พวกแรกสุดที่มีพฤติกรรมการเรียนรู้คือหนอนตัวแบน พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ สามารถแบ่งออกได้หลายประการคือ
พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ - พฤติกรรมการฝังใจ - พฤติกรรมความเคยชิน - พฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีเงื่อนไข - พฤติกรรมการเรียนรู้โดยการทดลองทำหรือการลองผิดลองถูก - พฤติกรรมการเรียนรู้แบบใช้เหตุผล
พฤติกรรมการฝังใจ พฤติกรรมการเรียนรู้แบบฝังใจ ( Imprinting )เป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองสิ่งเร้าในช่วงแรกของชีวิตด้วยการจดจำสิ่งเร้าต่างๆได้ เช่น - การที่สัตว์ต่างๆ เดินตามแม่ เพราะเป็นสิ่งแรกที่เห็นเมื่อเกิดมาคือแม่ - ตัวอ่อนของแมลงหวี่ที่ฟักออกมาจากไข่จะผูกพักกับกลิ่นของพืชที่แม่แมลงหวี่วางไข่ไว้ และเมื่อโตขึ้นเต็มวัยก็จะมาวางไข่บนพืชชนิดนั้น - ปลาแซลมอนจะฝังใจต่อกลิ่นที่ได้สัมผัสเมื่อออกจากไข่ เมื่อโตขึ้นถึงช่วงวางไข่ก็จะว่ายทวนน้ำกลับไปวางไข่ยังบริเวณแหล่งน้ำจืดที่เคยฟักออกจากไข่
ลูกเป็ดเดินตามแม่ตนเองตามธรรมชาติลูกเป็ดเดินตามแม่ตนเองตามธรรมชาติ การฝังใจของลูกสัตว์ที่คิดว่าคนคือพ่อแม่ของตนจึงเดินตามพวกเขาตลอดเวลา
พฤติกรรมความเคยชิน เป็นการเรียนรู้ที่ง่ายที่สุด คือเป็นอาการตอบสนองของสัตว์ที่มีต่อตัวกระตุ้น ซึ่งไม่มีความหมายต่อการดำรงชีวิตของมันเลย เช่น สุนัขจ้องมองเห่าเครื่องบินในครั้งแรกที่มันได้ยินเสียงเครื่องบินแต่เมื่อมันได้ยินซ้ำทุกๆวัน และไม่ได้เกิดผลอะไรกับตัวมัน มันก็เลิกสนใจไปเอง
พฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีเงื่อนไข พฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีเงื่อนไข เป็นการนำสิ่งกระตุ้นชนิดหนึ่งเข้าไปแทนที่สิ่งกระตุ้นเดิมในการชักนำให้เกิดการตอบสนองชนิดเดียวกันขึ้น เช่น ทุกครั้งที่สุนัขได้กลิ่นหรือเห็นอาหารก็จะน้ำลายไหล การเรียนรู้จะหายไปได้เมื่อหยุดการให้รางวัล การฝึกสุนัขให้มีการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข ( ลูกศรแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสประสาท) ก. เมื่อเห็นอาหาร สุนัขน้ำลายไหล ข. เมื่อสั่นกระดิ่งและให้อาหาร สุนัขน้ำลายไหล ค. เมื่อสั่นกระดิ่งแต่ไม่ให้อาหาร สุนัขน้ำลายไหล
พอฟลอฟพบว่า ถ้าสั่นกระดิ่งพร้อมกับการให้อาหารทุกครั้งสุนัขที่หิวเมื่อเห็นอาหารหรือได้กลิ่นจะหลั่งน้ำลาย หลังจากการฝึกเช่นนี้มานาน เสียงกระดิ่งเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้สุนัขหลั่งน้ำลายได้ การทดลองนี้สิ่งเร้าคืออาหารที่เป็นสิ่งเร้าที่แท้จริง หรือ สิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไข (unconditioned stimulus) ส่วนเสียงกระดิ่งเป็นสิ่งเร้าไม่แท้จริงหรือ สิ่งเร้ามีเงื่อนไข (conditioned stimulus)
พฤติกรรมการเรียนรู้โดยการทดลองทำหรือการลองผิดลองถูกพฤติกรรมการเรียนรู้โดยการทดลองทำหรือการลองผิดลองถูก การลองผิดลองถูก (trial and error) เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการทดลองซ้ำๆจนมีประสบการณ์ว่าการกระทำแบบใดจะเกิดผลดี แบบใดจะเกิดผลเสีย แล้วเลือกกระทำแต่สิ่งที่จะเกิดผลดี หรือให้ประโยชน์ และพยายามสิ่งที่ให้โทษ การทดลองพฤติกรรมลองผิดลองถูกของไส้เดือนดิน
พฤติกรรมการเรียนรู้แบบใช้เหตุผล ( Reasoning ) พบในสัตว์ชนิดที่มีสมองเซรีบรัมพัฒนาดี เพราะความสามารถในการใช้เหตุผลขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และจดจำ ตลอดจนนำเอาประสบการณ์มาผสมผสานกัน หรือประยุกต์ร่วมกันเพื่อใช้ในการแก้ปัญหา อาจกล่าวว่าการใช้เหตุผลเป็นพฤติกรรมที่พัฒนามาจากการลองผิดลองถูก การใช้เหตุผลเป็นการเรียนรู้ขั้นสูงสุด การทดลองของโคเลอร์ ( W. Kohler ) พฤติกรรมการใช้เหตุผลของชิมแปนซีโดยใช้กล่องว่างซ้อนกันเพื่อปีนขึ้นไปหยิบกล้วย
หากนำผลไม้ไปวางไว้ห่างจากกรง ชิมแปนซีจะนำไม้มาต่อกันเป็นเครื่องมือเพื่อใช้เขี่ยของที่อยู่จากกรง
การสื่อสารระหว่างสัตว์การสื่อสารระหว่างสัตว์ การสื่อสาร เป็นพฤติกรรมทางสังคมของสัตว์ เพราะมีการส่งสัญญาณทำให้สัตว์ซึ่งได้รับสัญญาณ มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป สัตว์ทุกชนิดต้องมีการสื่อสารอย่างน้อยในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตโดยเฉพาะช่วงที่มีการสืบพันธุ์ การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับการสื่อสารจึงมักจะกระทำกับสัตว์ที่มีพฤติกรรมทางสังคมซับซ้อน เช่น ผึ้ง ปลวก มดและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทั้งนี้เพราะ เมื่อสัตว์เหล่านี้มาอยู่รวมกันมากจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำงาน จึงต้องมีการสื่อสารกันตลอดเวลา1.การสื่อสารด้วยท่าทาง 2.การสื่อสารด้วยเสียง 3.การสื่อสารด้วยการสัมผัส 4.การสื่อสารด้วยสารเคมี
สื่อสารด้วยเสียง เสียงของสัตว์ที่เปล่งออกมาในแต่ละครั้งจะแสดงถึงการตอบสนองสิ่งเร้าต่างๆ และสื่อความหมายที่แตกต่างกัน เช่น- เสียงที่ทำให้เกิดการรวมกลุ่ม เช่น เสียงของนกร้อง ไก่ แกะ และกระรอก- เสียงเรียกคู่เพื่อผสมพันธุ์ เช่น เสียงร้องของกบและคางคก เสียงขยับปีกของยุงตัวเมียเพื่อเรียกยุงตัวผู้- เสียงเตือนภัย เช่น เสียงร้องของเป็ด นก และเสียงเห่าของสุนัข- เสียงแสดงความโกรธ เช่น เสียงร้องของแมว สุนัข และช้าง
สื่อสารด้วยท่าทาง เป็นท่าทางที่สัตว์แสดงออกมาอาจจะเป็นแบบง่ายๆ หรืออาจมีหลายขั้นตอนที่สัมพันธ์กัน เช่น - การแยกเขี้ยวของแมว - การเปลี่ยนสีของปลากัดขณะต่อสู้กัน- สุนัขหางตกเมื่อต่อสู้แพ้และวิ่งหนี- นกยูงตัวผู้รำแพนหางขณะเกี้ยวพาราสี นกยูงตัวเมีย- การเต้นระบำของผึ้งเพื่อบอกแหล่งและปริมาณของอาหาร ถ้าแหล่งอาหารอยู่ใกล้ จะเต้นเป็นรูปวงกลม แต่ถ้าแหล่งอาหารอยู่ไกล จะเต้นคล้ายรูปเลขแปด และมีการส่ายก้นไปมาด้วย โดยถ้าส่ายก้นเร็ว แสดงว่าปริมาณอาหารมีมาก
สื่อสารด้วยสารเคมี สัตว์หลายชนิดใช้สารเคมีที่เรียกว่า ฟีโรโมน ( Pheromone ) ซึ่งเป็นสารเคมีที่สัตว์สร้างขึ้น เมื่อหลั่งออกมาภายนอกร่างกายจะมีผลต่อสัตว์อื่นที่เป็นชนิดเดียวกัน ทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆได้ เช่น - ดึงดูดเพศตรงข้าม เช่น การที่ผีเสื้อกลางคืนตัวเมียหลั่งสารเคมีออกมา เพื่อให้ดึงดูดผีเสื้อกลางคืนตัวผู้ที่อยู่ห่างหลายกิโลเมตรให้บินมาหาได้ หรือการที่ชะมดหลั่งสารเคมีที่ดึงดูดเพศตรงข้ามได้- บอกอาณาเขต เช่น กวางบางชนิดจะแตะสารเคมีกับต้นไม้เพื่อบอกอาณาเขต และการที่เสือดาวหรือสุนัขถ่ายปัสสาวะไว้ในที่ต่างๆ เพื่อบอกอาณาเขต- นำทาง เช่น การหาอาหารของมด มดจะใช้ปลายท้องแตะที่พื้นแล้วปล่อยสารเคมีออกมาเป็นระยะๆทำให้มดตัวอื่นๆ ติดตามไปยังแหล่งอาหารได้ถูก
สื่อสารด้วยการสัมผัส เป็นการสื่อสารโดยใช้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งสัมผัสกับสัตว์พวกเดียวกันหรือต่างพวกกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมโต้ตอบกัน การสัมผัสเป็นการสื่อสารที่สำคัญอย่างหนึ่งของสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การสัมผัสจะเป็นการถ่ายทอดความรัก และมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของลูกอ่อน ทำให้ลกเกิดความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยตัวอย่างสัตว์ที่มีการสื่อสารด้วยวิธีนี้ ได้แก่ - สุนัขเข้าไปเลียปากสุนัขตัวที่เหนือกว่า เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมิตรหรืออ่อนน้อมด้วย - ลิงชิมแพนซียื่นมือให้ลิงตัวที่มีอำนาจเหนือกว่าจับในลักษณะหงายมือให้จับ - ลูกนกนางนวลบางชนิดใช้จะงอยปากจิกที่จะงอยปากของแม่นกเพื่อขออาหาร