2.14k likes | 2.72k Views
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา 962 453 ทฤษฎีและนโยบายการคลัง. บทที่ 3. การกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติ. อาจารย์มานิตย์ ผิวขาว สาขาเศรษฐศาสตร์ วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. หัวข้อ ลักษณะธรรมชาติของทฤษฎีคลาสสิคและเคนส์ การกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติของคลาสสิค
E N D
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา 962 453 ทฤษฎีและนโยบายการคลัง บทที่ 3 การกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติ อาจารย์มานิตย์ ผิวขาว สาขาเศรษฐศาสตร์ วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น
หัวข้อ • ลักษณะธรรมชาติของทฤษฎีคลาสสิคและเคนส์ • การกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติของคลาสสิค • การกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติของเคนส์ • เปรียบเทียบทฤษฎีคลาสสิคและเคนส์ • ดุลยภาพของตลาดผลผลิต ตลาดเงิน และตลาดระหว่างประเทศ • การเปลี่ยนแปลงในดุลยภาพทั่วไป • การกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติเชิงตัวแบบ(Model) • การเปลี่ยนแปลงดุลยภาพเชิงตัวแบบ(Model)
ลักษณะธรรมชาติของทฤษฎีคลาสสิคและเคนส์ลักษณะธรรมชาติของทฤษฎีคลาสสิคและเคนส์
ลักษณะธรรมชาติของทฤษฎีคลาสสิคลักษณะธรรมชาติของทฤษฎีคลาสสิค • มีความเชื่อในกลไกการทำงานของกลไกราคาหรือกลไกตลาด ว่าสามารถก่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจไว้ได้ • ระบบเศรษฐกิจจะไม่ปรากฏสภาพการว่างงานและจะไม่เกิดการขาดแคลนด้านอุปสงค์ หากเกิดขึ้นจะเป็นเพียงชั่วคราว แล้วระบบจะปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพที่ระดับการจ้างงานเต็มที่เสมอ • ถ้าระดับราคา ค่าจ้าง และอัตราดอกเบี้ย มีความยืดหยุ่นแล้ว ระบบเศรษฐกิจจะไม่ปรากฏอุปทานส่วนเกินของสินค้าและบริการ และจะไม่ปรากฏอุปทานของแรงงานส่วนเกินด้วย ระบบเศรษฐกิจจึงมีดุลยภาพของรายได้ที่ระดับการจ้างงานเต็มที่เสมอ
กฎของเซย์ (Say’s Law) กล่าวว่า อุปทานสร้างอุปสงค์ (Supply creates its own demand) กล่าวคือ ที่ระดับการผลิตหนึ่งใดนั้น ค่าใช้จ่ายที่ใช้ออกไปในการผลิตระดับนั้นจะก่อให้เกิดรายได้เป็นจำนวนเท่ากับค่าใช้จ่าย ซึ่งรายได้จำนวนนี้เพียงพอที่จะนำมาซื้อผลผลิตระดับนั้นได้ทั้งหมด ถ้าการผลิตลดลง รายได้จะลดลงเป็นสัดส่วนต่อผลผลิตที่ลดลง ซึ่งทำให้อุปสงค์ต่อผลผลิตลดลง ในทางกลับกัน ถ้ามีการใช้ปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้น รายได้จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ต่อผลผลิตเพิ่มขึ้นด้วย • ระบบเศรษฐกิจอาจเกิดวัฏจักรธุรกิจ(Business cycle) แต่จะคงสภาพไม่นาน เนื่องจาก ระดับราคา ค่าจ้าง และอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวทำให้เกิดดุลยภาพทางเศรษฐกิจได้ • รัฐบาลไม่ควรเข้าไปแทรกแซงการทำงานของกลไกตลาดหรือการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ลักษณะธรรมชาติของทฤษฎีเคนส์ลักษณะธรรมชาติของทฤษฎีเคนส์ • John Theory Maynard Keynes ตีพิมพ์ผลงาน The General ปี 1936 อธิบายเพื่อแก้ปัญหาช่วงที่เกิด The Great Depression ที่เกิดสภาพการว่างงาน ระดับราคา ค่าจ้าง และอัตราดอกเบี้ยตกต่ำ และไม่มีแนวโน้มว่าจะกระเตื้องขึ้น • ระดับการมีงานทำเต็มที่อาจจะอยู่สูงกว่าหรือต่ำกว่าระดับรายได้ดุลยภาพ ถ้าระดับรายได้ดุลยภาพอยู่ต่ำกว่าระดับการมีงานทำเต็มที่ก็จะก่อให้เกิดภาวะเงินฝืด แต่ถ้าหากระดับรายได้ดุลยภาพอยู่สูงกว่าระดับการมีงานทำเต็มที่ก็จะก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ • เคนส์ เสนอว่า ในภาสะเศรษฐกิจตกต่ำ ให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล โดยการเพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้น และ/หรือการลดการจัดเก็บภาษีลง
คำถามท้ายหัวข้อ • กฎของเซย์ (Say’s Law) กล่าวว่าอย่างไร นำมาใช้วิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างไร • ตามแนวคิดของคลาสสิค เหตุใดระบบเศรษฐกิจจึงอยู่ในภาวะสมดุลตลอดเวลา? และหากเกิดกรณีรัฐบาลใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร? ในในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่จะสอดคล้องกับแนวคิดของคลาสสิค? • การเกิดการตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่(Great Depression) ส่งผลต่อแนวคิดของสำนักคลาสสิคอย่างไร?
คำถามท้ายหัวข้อ(ต่อ) • ตามแนวคิดของเคนส์ มีเหตุผลใดที่รัฐจำเป็นจะต้องเข้ามาแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ? • ในภาวะที่ระดับผลผลิตดุลยภาพอยู่ต่ำกว่าระดับผลผลิตที่มีการจ้างงานเต็มที่ และกรณีที่ระดับผลผลิตดุลยภาพอยู่สูงกว่าระดับการจ้างงานเต็มที่ การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจแตกต่างกันหรือไม่? อย่างไร
การกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติของคลาสสิคการกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติของคลาสสิค
การกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติของคลาสสิคการกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติของคลาสสิค • ตลาดผลผลิต -การออม -การลงทุน • ตลาดแรงงาน -อุปสงค์ต่อแรงงาน -อุปทานของแรงงาน • ตลาดเงิน -ทฤษฎีปริมาณเงิน (Quantity theory of money)
ตลาดผลผลิต • การออม (Savings : S) เงินออมจะถูกนำไปลงทุนในอัตราดอกเบี้ยที่กำหนด ถือเป็นอุปทานของเงินทุนหรือเงินให้กู้(Supply of investable funds orSupply of loanable funds) S = การออม (Savings)R = อัตราดอกเบี้ยเงิน (Interest rate)Y = รายได้ (Income) การออมมีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยและรายได้ในทิศทาง เดียวกัน การออมเป็นส่วนของรายได้ที่เหลือจากการออม ส่วนอัตราดอกเบี้ย เป็นผลตอบแทนจากการออม(การออมมีความยืดหยุ่นต่ำต่ออัตราดอกเบี้ย)
การออมมีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ย และรายได้ในทิศทางเดียวกัน • เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น สะท้อนว่าผลตอบแทนจากการออมเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นแรงจูงใจให้บุคคลหรือครัวเรือนทำการออมเพิ่มขึ้น • การออมมีความยืดหยุ่นต่ออัตราดอกเบี้ย • การออมขึ้นอยู่กับรายได้ ในทิศทางเดียวกัน แต่มีความสำคัญค่อนข้างต่ำ (highly inelastic : รายได้เปลี่ยนแปลงไป แต่การออมเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย) • ความสำคัญของการออมต่อรายได้จะมีน้อยกว่าการออมต่ออัตราดอกเบี้ย (หรืออัตราดอกเบี้ยจะกำหนดการออมมากกว่ารายได้นั่นเอง)
(Supply of investable funds or Supply of loanable funds) S1(Y1) S2(Y2) S3(Y3) อัตราดอกเบี้ย(R) Y1 <Y2 < Y3 R1 S1 <S2 < S3 R0 การออม(S) 0 S0 S1 S2 S3 ความสัมพันธ์ขอวงการออมต่ออัตราดอกเบี้ยเมื่อกำหนดให้รายได้คงที่
การลงทุน (Investment : I) การลงทุนเป็นอุปสงค์ต่อเงินทุนหรือเงินให้กู้(Demand of investable funds orDemand of loanable funds) I = การลงทุน (Investment)R = อัตราดอกเบี้ยเงิน (Interest rate) การลงทุนมีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยในทิศทางตรงกันข้าม กล่าวคือ เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การลงทุนจะเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น การลงทุนจะลดลง
อัตราดอกเบี้ย(R) อุปสงค์ต่อเงินทุน(Demand for Investable Funds) I 0 การลงทุน(I) ความสัมพันธ์ของการลงทุนต่ออัตราดอกเบี้ย
ดุลยภาพของตลาดผลผลิต • เงื่อนไขด้านรายได้ ด้านอุปสงค์ Y = C + S (การบริโภค บวก การออม) ด้านอุปทาน Y = C + I (การบริโภค บวก การลงทุน) จะได้ S = I นั่นเอง • ระดับดุลยภาพของตลาดผลผลิตอยู่ที่ ระดับการออม (S) เท่ากับ การลงทุน (I) หรือ อุปทานขงเงินทุน (Supply of Loanable : S) เท่ากับ อุปสงค์ต่อเงินทุน (Demand for Loanable Funds : I)
อัตราดอกเบี้ย(R) อุปทานของเงินทุน (Supply of investable funds) S R1 I 0 การลงทุน(I) S1 = I1 อุปสงค์ต่อเงินทุน(Demand for Investable Funds) ดุลยภาพตลาดผลผลิต
อัตราดอกเบี้ย lS=Supply of Loanable Fund lD=Demand for Loanable Fund r s = Saving = Supply of Loanable lS=s i = Investment = Private Demand for Loanable E2 r2 E1 g = Government Demand for Loanable A r1 l2D= i1 + g2 l1D= i1 + g1 0 i , s , g s1=i1+g1 s2=i1+g2
อุปทานมวลรวมของคลาสสิกอุปทานมวลรวมของคลาสสิก
คลาสสิก สมมุติให้ ตลาดแรงงานเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ • อุปสงค์ต่อแรงงาน (Demand for Labor : ND) ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มของแรงงาน (Marginal Product of Labor : MPL) ในทิศทางตรงกันข้ามกัน ถ้ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มจะลดลง ในขณะที่เมื่อมีการจ้างงานลดลง ประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มจะเพิ่มขึ้น • ผู้ผลิตหวังกำไรสูงสุด จะใช้ปัจจัยแรงงานในการผลิต ณ ระดับ ประสิทธิภาพการผลิตเพิ่ม เท่ากับ ค่าจ้างที่แท้จริง( ) • อุปทานของแรงงาน (Supply of labor : NS) ขึ้นอยู่กับค่าจ้างแท้จริง (Real wage : w = = ค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน หารด้วย ระดับราคา ) • การเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างที่เป็นตัวเงินจะไม่มีผลต่อตลาดแรงงาน ทั้งนี้เนื่องจาก ระดับราคา จะเปลี่ยนแปลงในทิศทางและสัดส่วนเดียวกับ ค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน ทำให้ค่าจ้างแท้จริงไม่เปลี่ยนแปลง
การผลิต y C y3 B y=f(N) y2 ผลผลิตหรือรายได้ประชาชาติแท้จริง(y) ขึ้นอยู่กับ แรงงานที่ใช้ในการผลิต (N) โดยกำหนดให้ปัจจัยทุน (K) ที่ดิน(L) และ เทคโนโลยี(T) คงที่ A y1 0 N N0 N1 N2 APL,MPL A/ B/ APL C/ 0 N N2 N0 N1 MPL
การจ้างงาน อุปสงค์ต่องาน (ND) MPL x P = W A w2 B w1 C MPL ผลิตภาพแรงงานหน่วยสุดท้าย w0 MPL P ราคาสินค้า W ค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน w ค่าจ้างที่แท้จริง N 0 N การจ้างงาน N0 N1 N2
อุปสงค์ต่องาน (ND) ND=f(w)- A w2 B w1 C w0 ND N 0 N0 N1 N2
อุปทานแรงงาน(NS) NS รายได้(บาท) อัตราค่าจ้าง C 7x24=168 7 T2/ B 5x24=120 5 T1/ T2 70 A 2x24=48 T0/ U3 2 T1 40 U2 T0 N U1 H=24 14 16 0 0 8 10 พักผ่อน ทำงาน
อุปทานแรงงาน(NS) NS C w2 B w1 NS=f(w)+ A w0 N 0 N0 N1 N2
w ND NS E w0 0 N N0 ดุลยภาพในตลาดแรงงาน ดุลยภาพในตลาดแรงงาน เกิดขึ้น ณ ระดับค่าจ้างที่ทำให้อุปสงค์ต่อแรงงาน เท่ากับ อุปทานของแรงงาน และระดับการจ้างงานดังกล่าวจะเป็นระดับการจ้างงานเต็มที่ (Equilibrium in market labor full employment) การจ้างงานกับอัตราค่าจ้างแท้จริง(w)
การจ้างงานและผลผลิตดุลยภาพการจ้างงานและผลผลิตดุลยภาพ N y=f(N) N w NS ND NS E N0 N0 w0 ND 0 N N0 yf y w0 y=f(N) y0 E/ 0 N N0
W N3S(3P1 ) N2S(2P1 ) N1S(P1 ) 3W1 E2 2W1 E1 W1 E0 N3D: MPL x 3P1 N2D: MPL x 2P1 N1D: MPL x P1 0 N N0 N1 N2 การจ้างงานกับอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน(W) P เพิ่มขึ้น แรงงานเรียกร้อง W เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกันทำให้ค่าจ้างแท้จริง w คงที่ การจ้างงาน N จึงคงที่
w= ND NS E 0 N N0
ฟังก์ชันอุปทานรวมของคลาสสิกฟังก์ชันอุปทานรวมของคลาสสิก P AS 3P1 E3 2P1 E2 E1 P1 0 y y1
ดุลยภาพในตลาดผลผลิตของคลาสสิกดุลยภาพในตลาดผลผลิตของคลาสสิก P AS 3P1 E3 2P1 E2 Yd(M3)=AD3(M3) E1 P1 Yd(M2)=AD2(M2) Yd(M1)=AD1(M1) 0 y y1
1. ทฤษฎีปริมาณเงินอย่างหยาบ (The Crude Quantity Theory of Money) หรือทฤษฎีปริมาณเงินในรูปแบบอย่างง่าย (A Simple Version of the Quantity Theory of Money) - David Hume , Adam Smith , David Ricardo เป็นต้น - ข้อสมมติว่า คนมิได้มีความต้องการเงินเพื่อตัวของมันเองหรือเพื่อสะสมมูลค่า แต่ต้องการเงินเพราะเงินมีอำนาจซื้อ ดังนั้น การเพิ่มปริมาณเงินจะทำให้ระดับราคาเพิ่มขึ้น และมีอุปสงค์ต่อสินค้าเพิ่มขึ้น - เน้นบทบาทของเงินในฐานะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน - “ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและระดับราคาเป็นความสัมพันธ์กันโดยตรงและเป็นสัดส่วนกัน” >>> ถ้าปริมาณเงินเพิ่มขึ้นเท่าตัวย่อมทำให้ระดับราคาเพิ่มขึ้นเท่าตัว >>> ในทางตรงกันข้ามถ้าปริมาณเงินลดลงเท่าตัว ระดับราคาจะลดลงเท่าตัวด้วย
เมื่อ M = ปริมาณเงินที่หมุนเวียนทั้งหมด (Money Supply) P = ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไป (General Price Level) k = ค่าคงที่
2. ทฤษฎีปริมาณเงิน : สมการแลกเปลี่ยน (The Quantity Theory : The Equation of Exchange) • MV = PT • M = ปริมาณเงิน (Money Supply) เน้นที่การแลกเปลี่ยนจึงเป็นเงินเงินในรูปตัวกลางในการแลกเปลี่ยน >>> Currency (ธนบัตร+เหรียญกษาปณ์) + Demand Deposit (เงินฝากกระแสรายวัน) • V = อัตราการหมุนเวียนของเงิน (Velocity of Circulation of Money) คือ การหมุนเวียนเปลี่ยนมือไปของเงินจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งในแต่ละปี ถ้าเศรษฐกิจรุ่งเรืองอัตราการหมุนเวียนจะมากกว่าในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ในระยะเวลาอันสั้นอัตราการหมุนเวียนของเงินถือได้ว่าคงที่ • T = ปริมาณการค้า (Volume of Transactions) หรือปริมาณสินค้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายตัว เช่น ทรัพยากรในทางเศรษฐกิจ ในระยะสั้นเชื่อว่าคงที่
P = ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไป (General Price Level) - ทั้ง 2 ด้านคือสิ่งเดียวกัน คือ มูลค่าของเงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้สินค้า (MV) เท่ากับ มูลค่าของสินค้าทั้งหมดที่ใช้แลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน (PT) - สมการแลกเปลี่ยนไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นความจริง กล่าวคือ ปริมาณเงิน (M) คูณกับ อัตราการหมุนเวียน (V) จะเท่ากับ ปริมาณสินค้าและบริการ (T) คูณกับ ระดับราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย (P) ระดับราคาขึ้นอยู่กับปริมาณเงิน หรือ ปริมาณเงินเป็นตัวกำหนดระดับราคา การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินทำให้ระดับราคาเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนเดียวกัน
3. ทฤษฎีปริมาณเงิน : รูปแบบการซื้อขายแลกเปลี่ยน (The Quantity Theory : The Transaction Approach) - Irving Fisher - สมการ เมื่อ M = ปริมาณเงินที่หมุนเวียนทั้งหมด (Money Supply) คือ ธนบัตร+เหรียญกษาปณ์(Currency) M/ = ปริมาณเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อทวงถาม หรือเงินฝากกระแสรายวัน (Demand Deposit ) V = อัตราการหมุนเวียนของเงินธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ V/ = อัตราการหมุนเวียนของเงินฝากกระแสรายวัน P = ระดับราคาสินค้าโดยเฉลี่ย T = ปริมาณธุรกรรมทั้งสิ้นหรือปริมาณสินค้าและบริการทั้งสิ้น
M + M/= ปริมาณเงิน V + V/= อัตราการหมุนเวียนของเงิน - M และ M/ >> M มีอิทธิพลโดยตรงต่อ P และมีอิทธิพลเหนือ M/ >> ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปกติในระยะสั้น M เปลี่ยนไปทำให้ M/ เปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกันและเป็นสัดส่วนกัน >> M และ M/ เป็นอิสระจาก V และ V/ - V ในระยะยาวถูกกำหนดโดยอุปนิสัย การใช้จ่ายเงินของบุคคล ระบบการจ่ายเงินของสังคม ความหนาแน่นของประชากร ความสะดวกรวดเร็วในการสื่อสาและการคมนาคม เป็นต้น ภายใต้ภาวะปกติค่า V และ V/ จะมีลักษณะคงที่ และเป็นอิสระจากปัจจัยอื่น
- P เป็นตัวแปรที่ถูกกำหนดโดยปัจจัยอื่นในสมการแลกเปลี่ยน กล่าวคือ P ถูกกำหนดโดย M , V และ T แต่ P จะไม่มีผลกระทบต่อตัวแปร M , V และ T - T ถูกกำหนดโดยจำนวนประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ และพัฒนาการแห่งความรู้และวิทยาการ ซึ่งเปลี่ยนแปลงช้ามาก ในระยะสั้น T จึงคงที่ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่ (Full Employment)
4. ทฤษฎีปริมาณเงิน : วิเคราะห์จากรายได้ (The Quantity Theory : Income Approach) - วิเคราะห์ปัจจัย T ให้แคบลง โดยพิจารณาเฉพาะการซื้อขายที่ก่อให้เกิดรายได้ และให้ T แทนด้วย Y ซึ่งเป็นรายการซื้อขายสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย จึงเป็นการป้องกันการนับซ้ำ - สมการ MVy = Pyy ; แทน Ty ด้วย y เมื่อ M = ปริมาณเงิน Vy= จำนวนรอบของการหมุนเวียนของเงินแต่ละหน่วยที่ถูกใช้ไปในการซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายในงวดเวลาที่พิจารณา Py= ดัชนีราคาสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นในรอบระยะเวลาที่พิจารณา
y = ปริมาณสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นในรอบระยะเวลาที่พิจารณา หรือผลิตภัณฑ์ประชาชาติแท้จริง (Real GNP) - Vyมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแต่เป็นไปอย่างเชื่องช้า ในระยะสั้นจึงถือว่าคงที่ Vyเป็นอิสระไม่ขึ้นกับ M - y อยู่ในระดับการจ้างงานเต็มที่ >> y จึงคงที่ - จาก MVy = Pyy ทำให้ Pyแปรผันโดยตรงกับ M ในสัดส่วนเดียวกัน
5. ทฤษฎีปริมาณเงิน : รูปแบบการถือเงินสด (The Quantity Theory : Cash-Balance Approach) - สำนักเคมบริดจ์ (The Cambridge School) - อาศัยการวิเคราะห์สมการแลกเปลี่ยน เช่นเดียวกับ Fisher แตกต่างจาก Fisher ตรงที่ Fisher เน้นเงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แต่ Cambridge เน้นเงินเป็นอำนาจซื้อชั่วคราวหรือเครื่องรักษามูลค่า - ให้ k = อัตราส่วนความต้องการถือเงินเพื่อใช้จ่ายในระหว่างปี - สมการ ให้
ทฤษฎีปริมาณเงินในรูปความต้องการถือเงินทฤษฎีปริมาณเงินในรูปความต้องการถือเงิน Alfred Marshall และ A.C. Pigou ได้เสนอแนวคิดที่เรียกว่า ทฤษฎีปริมาณเงินของเคมบริดจ์ (The Cambridge Quantity Theory of Money) หรือทฤษฎีปริมาณเงินในรูปความต้องการถือเงิน(Cash Balance Quantity Theory of Money)MD = kPy เมื่อ MDคือ ปริมาณเงินที่ประชาชานต้องการถือ k คือ สัดส่วนของรายได้ประชาชาติที่ประชาชนต้องการถือไว้ (หรือสัดส่วนการถือเงินต่อรายได้)P คือ ระดับราคาy คือ ปริมาณผลผลิต โดยที่ k และ y คงที่
และถ้าให้ T แทนด้วย y จะได้ เมื่อ M , P , T , y มีคำจำกัดความเช่นก่อนหน้า - จัดอยู่ในรูปความต้องการถือเงินได้ MD = kPy เมื่อ MD คือ ปริมาณเงินที่ประชาชานต้องการถือ k คือ สัดส่วนของรายได้ประชาชาติที่ประชาชนต้องการถือไว้ (หรือสัดส่วนการถือเงินต่อรายได้)P คือ ระดับราคาy คือ ปริมาณผลผลิต โดยที่ k และ y คงที่
ดังนั้น ;หรือ ระดับราคาขึ้นอยู่กับปริมาณเงิน หรือ ปริมาณเงินเป็นตัวกำหนดระดับราคา การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินทำให้ระดับราคาเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนเดียวกัน เช่น เมื่อปริมาณเพิ่มขึ้น 2 เท่า จะทำให้ ปริมาณมีมากกว่าความต้องการถือเงิน ประชาชนก็จะจับจ่ายใช้สอย ในขณะที่ปริมาณผลผลิตมีคงที่ที่ระดับการจ้างงานเต็มที่ ทำให้ระดับราคาสินค้าจะต้องเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มสูงขึ้น 2 เท่าจากระดับราคาสินค้าเดิมด้วย
สำนักคลาสสิก เห็นว่า คนจะถือเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายเท่านั้น เพราะฉะนั้น เงินทุกบากทุกสตางค์จะถูกนำออกมาใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ไม่มีใครถือเงินสดไว้เลย (Idle cash holding) โดยนัยนี้ เงินจึงเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น (Medium of exchange) • การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงิน นำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงของการใช้เงิน ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับราคา(สินค้าในสัดส่วนเดียวกัน)
P B C P2=4 A AD2(M2 =2,000) P1=2 AD1(M1 =1,000) 0 y y2=2,000 y1=1,000 ปริมาณเงินและอุปสงค์รวม