910 likes | 2.12k Views
หลักและทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศ. 1. หลักของลัทธิพาณิชย์นิยม
E N D
หลักและทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศหลักและทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศ 1. หลักของลัทธิพาณิชย์นิยม ลัทธินี้เชื่อว่า แนวทางที่สำคัญที่สุดที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะร่ำรวยและมีอำนาจได้ ก็ต้องส่งสินค้าออกขายให้ได้มากกว่ามูลค่าการนำเข้า และความแตกต่างขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้นของโลหะมีค่า คือทองคำ ยิ่งสะสมทองคำมากเท่าใด ประเทศดังกล่าวก็จะยิ่งร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้น ลัทธิพาณิชย์นิยมจึงสนับสนุนให้รัฐบาลกระตุ้นการส่งออกและกีดกันการนำเข้า
และจากการที่ทองคำมีจำนวนจำกัด ดังนั้นการได้เปรียบทางการค้าของประเทศหนึ่งจึงเกิดขึ้นจากการเอารัดเอาเปรียบหรือด้วยการเสียเปรียบของประเทศอื่นๆ นั่นเอง
ลัทธิพาณิชย์นิยมได้ถูกโจมตีอย่างมาก โดยเฉพาะจากสำนักคลาสสิค ซึ่งสนับสนุนแนวทางการค้าเสรี (Free trade)
2. หลักการค้าเสรี (Free trade) หมายถึง การที่รัฐบาลไม่พยายามเข้า แทรกแซงในกิจการค้าระหว่างประเทศ คือ ปล่อยให้เอกชนดำเนินการค้าเองโดย รัฐบาลเข้าแทรกแซงน้อยที่สุด นอกจากนี้รัฐบาลต้องไม่กำหนดข้อกีดขวางทาง การค้าระหว่างประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ สำนักคลาสสิก เป็นผู้ที่สนับสนุนแนวทางการค้าเสรี โดยได้ให้เหตุผลว่า นโยบายการค้าเสรีเป็นนโยบายที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับชาติต่างๆ ในโลก เนื่องจาก
เกิดความชำนาญเฉพาะอย่าง ผลิตสินค้าแลกเปลี่ยนกัน เพิ่มผลผลิตของโลกโดยรวม การค้าเสรี ทุกประเทศที่ค้าขายกันจะ ได้รับผลประโยชน์ จัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะการค้าเสรีจะช่วยให้แต่ละประเทศเกิดความชำนาญเฉพาะอย่าง ผลิตสินค้าแลกเปลี่ยนกัน และส่งผลให้เพิ่มผลผลิตของโลกโดยรวม และการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกประเทศที่ค้าขายจะได้รับประโยชน์เหมือนกัน ดังนั้น ประเทศใดประเทศหนึ่งจะได้รับประโยชน์ โดยไม่ทำให้ประเทศอื่นๆ ต้องเสียประโยชน์ ซึ่งคัดค้านคำกล่าวอ้างของลัทธิพาณิชย์นิยม
การทำการค้าให้เสรียิ่งขึ้น GATT (General Agreement on Tariff and Trade) หรือ ข้อตกลงทั่วไป ว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า เป็นองค์การระหว่างประเทศอันหนึ่ง ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1974 ได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการค้าเสรี โดยผ่านการเจรจาการค้าแบบพหุภาคี (multilateral trade negotiations)
องค์การนี้ได้อิงหลักความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ และมีหลักพื้นฐานสำคัญ 3 ประการ คือ • หลักแห่งการไม่เลือกปฏิบัติ (most favored nation treatment) • หลักแห่งการตอบแทนกัน (reciprocity) • หลักความโปร่งใส (transparency) และความแน่นอนของการปฏิบัติ
ข้อสนับสนุนการค้าเสรีข้อสนับสนุนการค้าเสรี • การค้าระหว่างประเทศที่ขยายตลาดออกไปกว้างขวาง จะทำให้ผู้ผลิตได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด • การแข่งขันในวงการค้าระหว่างประเทศ จะทำให้ผลผลิตไม่ถูกผูกขาดโดยผู้ผลิตไม่กี่ราย ซึ่งนอกจากมีผลไม่ดีในแง่ราคาแล้ว ยังรวมไปถึงทางเลือกที่มากขึ้นและคุณภาพสินค้า สำหรับผู้บริโภคด้วย • การแข่งขันในตลาดโลก กระตุ้นให้เกิดการใช้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นของทรัพยากรที่หายากของโลก • ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ จะช่วยส่งเสริมจรรโลงความร่วมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งมีนัยด้านสันติภาพและเสถียรภาพของโลกด้วย
บทบาทและความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศบทบาทและความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ ในสังคมดั้งเดิม มีชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชาวนา กับช่างทอผ้า ซึ่งต่างก็มีความชำนาญคนละด้าน
บุคคลทั้งสองไม่สามารถอยู่ได้ด้วยเครื่องนุ่งห่มเพียงอย่างเดียว หรืออาหารเพียงอย่างเดียว การแก้ปัญหาของคนทั้งสองอาจต้องฝืนทำในสิ่งที่ตนไม่มีความชำนาญควบคู่ไปกับสิ่งที่ตนชำนาญ แต่คงยุ่งยากและเสียเวลาไม่ใช่น้อย ถ้าบุคคลทั้งสองนำเอาหลักการแบ่งงานกันทำ (the principle of division of labor) มาใช้ โดยทำงานแต่ในสิ่งที่ตนเองถนัดเพียงอย่างเดียว และนำสินค้าที่แต่ละคนผลิตได้แล้วนำมาแลกกัน จะเป็นสิ่งที่ดีกว่าหรือไม่?
ความชำนาญเฉพาะอย่าง (Specialization) Specialization ก่อให้เกิดสินค้าและบริการอย่างกว้างขวาง จนมีส่วนเหลือสำหรับการแลกเปลี่ยนในสินค้าและบริการ หรือที่เรียกว่า การค้า ขึ้น
ความชำนาญเฉพาะ อย่างจึงนำมาซึ่งการยกระดับมาตรฐานการครองชีพ ด้วยการเพิ่มผลผลิตของสินค้าและบริการสนองตอบการบริโภคของประชาชน
ประโยชน์ของการค้าระหว่างประเทศประโยชน์ของการค้าระหว่างประเทศ จากที่กล่าวมา การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันในตลาด สามารถทำให้บุคคลได้ประโยชน์จากการแบ่งงานกันทำ ซึ่งนำไปสู่ความชำนาญเฉพาะทาง (gain from specialization) และประโยชน์จากการแลกเปลี่ยน (gain from exchange) การค้าระหว่างประเทศก็เช่นเดียวกัน เพราะประเทศต่างๆ นั้น มีทรัพยากร มีความถนัดในการผลิตสินค้าไม่เหมือนกัน ดังนั้น จึงมีต้นทุนในการผลิตสินค้าแตกต่างกัน ซึ่งถ้าประเทศต่าง ๆ นำสินค้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ก็จะทำให้ประเทศคู่ค้าต่างได้รับประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
แนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศแนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ - คนทั่วไปมักเข้าใจว่าประเทศที่มีประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าเหนือกว่าหรือมีต้นทุนสัมบูรณ์ (absolute cost) ต่ำกว่า จะเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงื่อนไขทางเศรษฐศาสตร์ที่จะทำให้เกิดการค้าระหว่างประเทศนั้นอยู่ที่ต้นทุนสัมพันธ์ (relative cost) มิใช้ต้นทุนสัมบูรณ์ แต่เป็นความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (comparative advancetage)
ตารางแสดงจำนวนผลผลิตของแรงงานต่อคนต่อวันตารางแสดงจำนวนผลผลิตของแรงงานต่อคนต่อวัน สมมติในโลกนี้มีเพียง ประเทศ A กับ B ซึ่งทำการผลิตสินค้าเพียง 2 ชนิด คือ อาหาร และเสื้อผ้า และสมมติว่าแรงงานเป็นปัจจัยเพียงชนิดเดียวที่ใช้ในการผลิตสินค้าทั้งสอง ทั้ง 2 ประเทศ สามารถสร้างผลผลิตต่อแรงงาน 1 คน ต่อ 1 วัน ในอัตราคงที่ ดังตาราง
จากตาราง นักศึกษาจะเห็นว่าประเทศ B จะมีความได้เปรียบอย่างสัมบูรณ์ (absolute advantage) เหนือกว่าประเทศ A เพราะประเทศ B สามารถผลิตทั้งอาหารและเสื้อผ้าด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าประเทศ A • อย่างไรก็ดี ทั้ง 2 ประเทศต่างจะได้รับประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศ หากเปิดประเทศค้าขายระหว่างกัน ทั้งนี้เพราะ
เมื่อพิจารณาถึง ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (comparative advantage) ถ้าประเทศ A ย้ายคนงานจากการผลิตเสื้อผ้า 1 คน ไปผลิตอาหารจะได้อาหารเพิ่มขึ้น +2 หน่วย/วัน ในขณะที่เสื้อผ้าจะลดลง -1 หน่วย/วัน ดังนั้น ประเทศ A ควรจะเลือกผลิตสินค้าอาหาร แล้วสั่งเข้าเสื้อผ้าจากประเทศ B
ถ้าสมมติต่อไปว่า ประเทศ B ย้ายคนงาน1 คน จากการผลิตอาหารไปผลิตเสื้อผ้าจะได้เสื้อผ้าเพิ่ม +9 ในขณะที่อาหารลดลง -3 หน่วย/วัน ดังนั้น ประเทศ B ควรจะใช้ทรัพยากรในประเทศในการผลิตเสื้อผ้า และสั่งเข้าอาหารจากประเทศ A ดังนั้น จะเห็นได้ว่าประเทศ A สามารถส่งอาหารไปขายในประเทศ B โดยสามารถแลกเสื้อผ้ากลับมาได้ในปริมาณที่มากกว่าที่ผลิตเอง (ในทำนองเดียวกัน ประเทศ B ก็จะได้ประโยชน์จากการนำเอาเสื้อผ้าไปแลกกับอาหารได้ในปริมาณที่มากกว่าที่ผลิตเอง เช่นกัน
ประเทศ A อาหาร 1 หน่วยจะแลกเสื้อผ้าได้เพียง 0.5 หน่วย แต่เมื่ออยู่ในประเทศ B อาหาร 1 หน่วยจะแลกเป็นเสื้อผ้าได้ถึง 3 หน่วย - โดยทฤษฎีแล้ว ประเทศทั้งสองนี้ สามารถที่จะตกลงซื้อขายสินค้ากัน ณ อัตราแลกเปลี่ยนใดๆ ในช่วงดังกล่าว (ซึ่งมีค่าระหว่าง 0.5-3) ซึ่งทำให้ทั้ง 2 ประเทศต่างได้ประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศด้วยกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้น การค้าระหว่างประเทศจะทำให้สินค้าในตลาดโลกมีมากขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ประชากรในโลกมีสินค้าที่สนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
สาเหตุที่การค้าระหว่างประเทศทำให้การบริโภคมากขึ้นสาเหตุที่การค้าระหว่างประเทศทำให้การบริโภคมากขึ้น การค้าระหว่างประเทศนั้น ทำให้ประเทศต่างๆ สามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้น (ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่เท่าเดิม)ดังนั้น ประชาชนในประเทศต่างๆ จึงย่อมได้รับประโยชน์จากการที่สามารถบริโภคสินค้าต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้ความพอใจของผู้บริโภคโดยส่วนรวมเพิ่มสูงขึ้น
สรุปได้ว่า การเปิดให้มีการค้าระหว่างประเทศจะช่วยทำให้ประชาชนมีรายได้และระดับมาตรฐานในการครองชีพสูงขึ้น เพราะการที่ผู้ประกอบการในประเทศต้องหันไปทำในสิ่งที่มีความเชี่ยวชาญและทำได้ดีที่สุด ในขณะที่ผู้บริโภคก็สามารถจะบริโภคสินค้าจากต่างประเทศที่มีคุณภาพและในราคาที่ถูกลงกว่าที่ผู้ผลิตภายในประเทศจะทำการผลิตเอง ซึ่งช่วยให้การใช้ทรัพยากรของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์ด้านอื่น ๆ คือ
ประโยชน์ด้านอื่นๆ - ผลจากการประหยัดจากการผลิตขนาดใหญ่ การค้าระหว่างประเทศช่วยทำให้ตลาดกว้างขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ สามารถผลิตสินค้าออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนต่อหน่วยการผลิต การตลาดและการกระจายสินค้า ลดลงได้ - ผลทางการแข่งขัน การค้าระหว่างประเทศทำให้มีการแข่งขันกันระหว่างผู้ประกอบการในประเทศกับผู้ประกอบการในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ นำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันการแข่งขันกันดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการบริโภคมากขึ้น
สร้างแรงกดดันให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่ดีสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่ดี ไม่เพียงแต่เอกชนเท่านั้นที่ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขัน แต่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ก็หนีไม่พ้นแรงกดดันดังกล่าวด้วยเช่นกัน การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทำให้รัฐบาลต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายและความคาดหวังที่สูงขึ้นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งทางด้าน ความโปร่งใสและความเป็นธรรม มีการตอบสนองทั้งทางด้านนโยบายที่ถูกต้องและเหมาะสม การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ความชัดเจนด้านกฎหมาย สิทธิประโยชน์ในการลงทุน ประสิทธิภาพในการให้บริการของรัฐบาล ฯลฯ
อุปสงค์และอุปทานการค้าระหว่างประเทศ การพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจของการค้าระหว่างประเทศนั้น ทำได้โดยการวิเคราะห์เส้นอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่มีต่อราคาและปริมาณของสินค้าในประเทศได้ จากการที่ระบบขนส่งและการสื่อสารระหว่างประเทศที่ทันสมัย ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากมีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลายในตลาดระหว่างประเทศ ซึ่งราคาสินค้าเหล่านั้นล้วนแต่ถูกกำหนดโดยพลังของอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลกทั้งสิ้น
รูปแสดงประโยชน์ที่ผู้ผลิตจะได้รับจากการส่งออกรูปแสดงประโยชน์ที่ผู้ผลิตจะได้รับจากการส่งออก ราคาข้าว ราคาข้าว S S F Pw G Pw Pd E Dd Dw Qd Qp Qc Qw ปริมาณข้าว ปริมาณข้าว
ราคาซื้อขายข้าวในตลาดโลกอยู่ที่ Pw ซึ่งเป็นระดับราคาดุลยภาพ ซึ่งเกิดจากการตัดกันของเส้น Dw กับ Sw ซึ่งเป็นอุปสงค์และอุปทานของข้าวในตลาดโลก • เมื่อยังไม่เปิดประเทศ ราคาปริมาณข้าวในประเทศคือ จุด E ณ ระดับราคา Pd และปริมาณ Qd • เมื่อมีการเปิดประเทศดุลยภาพใหม่จะเปลี่ยนไปเนื่องจากผู้ผลิตในประเทศสามารถขายข้าวได้ตามราคาตลาดโลก โดยในที่นี้สมมติ Pd<Pw ดังนั้น ปริมาณการผลิตข้าวในประเทศจะเพิ่มขึ้น จาก 0Qc เป็น 0Qp โดยที่ ปริมาณการบริโภคข้าวในประเทศจะลดลง เป็น จาก Qd เป็น Qc และปริมาณการส่งออกข้าวไปขายยังตลาดโลก คือ QcQp
จากกรณีนี้ ผู้ได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศก็คือ ผู้ผลิตข้าวในประเทศ โดยจะมีส่วนเกินผู้ผลิต (producer surplus) เพิ่มขึ้นเท่ากับพื้นที่ PwGEPd ส่วนผู้บริโภคจะเป็นฝ่ายที่เสียประโยชน์ เนื่องจากต้องซื้อข้าวราคาแพงขึ้น และบริโภคข้าวในปริมาณลดลง โดยทำให้ส่วนเกินผู้บริโภค (consumer surplus) ลดลงไปเท่ากับพื้นที่ PwFEPd อย่างไรก็ตามเนื่องจากพื้นที่ในส่วนแรก มากกว่าพื้นที่ในส่วนที่สอง ดังนั้น ผลจากการเปิดประเทศจึงทำให้สังคมโดยรวมได้ประโยชน์สุทธิเท่ากับพื้นที่ EFG
ตัวอย่าง ประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการนำเข้า สมมติ ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมัน และราคาน้ำมันในประเทศสูงกว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก ราคา S ราคา S H Pd Pw Pw I J Dd Dw ปริมาณ Qw Qc Qd Qp ปริมาณ
-ถ้าไม่มีการค้าระหว่างประเทศ ราคาน้ำมันในประเทศจะอยู่ที่ Pd และปริมาณการบริโภคน้ำมันจะอยู่ที่ Qd -แต่ถ้ามีการเปิดให้มีการน้ำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ จะมีการซื้อขายน้ำมันตามราคาในตลาดโลก คือ Pw ซึ่งกรณีนี้สมมติให้ Pd>Pw ผู้บริโภคจะมีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นจาก Qd เป็น Qp ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศจะลดการผลิตลงมาจากQd เป็น Qc โดยจะมีปริมาณน้ำมันนำเข้า QcQp - ในกรณีนี้ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศคือ ผู้บริโภค ซึ่งได้ความพอใจเพิ่มขึ้นเท่ากับพื้นที่ PdHJPw ส่วนผู้ที่เสียประโยชน์คือผู้ผลิต ซึ่งจะมีรายได้ลดลงเท่ากับพื้นที่ PdHIPw อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า การค้าระหว่างประเทศจะทำให้สังคมได้ประโยชน์สุทธิเป็นบวก เช่นเดียวกับกรณีแรก โดยกรณีนี้ประโยชน์สุทธิที่สังคมได้รับจะเท่ากับพื้นที่ HIJ
จากการวิเคราะห์อุปสงค์และอุทานทั้ง 2 กรณีข้างต้น ถึงแม้จะมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ที่แตกต่างกันแล้วแต่กรณี แต่ผลของการค้าระหว่างประเทศ จะทำให้สังคมมีประโยชน์สุทธิเป็นบวกเสมอ เพราะ ทำให้มีการผลิตสินค้าที่มีความถนัดเพิ่มขึ้น ช่วยให้มีการผลิตสินค้าที่ไม่มีความถนัดลดลง ดังนั้น จะทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การค้าเสรีกับการคุ้มกัน Free trade versus protection • การค้าเสรี หมายถึงการที่รัฐบาลไม่พยายามเข้าแทรกแซงในกิจการค้าระหว่างประเทศ คือ ปล่อยให้เอกชนดำเนินการค้าเองโดยรัฐบาลเข้าแทรกแซงน้อยที่สุด นอกจากนั้นรัฐบาลต้องไม่กำหนดข้อกีดขวางทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น ต้องไม่มีการควบคุมทางการค้าและทางการเงิน
ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ไม่มีประเทศใดสามารถปฏิบัติตามนโยบายการค้าเสรีได้ เพราะแต่ละประเทศประสบกับปัญหาดุลการชำระเงินไม่สมดุล เช่น ดุลการชำระเงินของประเทศขาดดุล ประเทศจะหันมาใช้นโยบาย ควบคุมการค้า เพื่อให้สินค้าเข้าลดลง หรือให้ความรู้สึกในทางชาตินิยม ทำให้เลิกสั่งสินค้าเข้า ประเทศหันมาผลิตสินค้าทดแทน หรือเหตุผลทางด้านการเมืองต่างๆ ทำให้ประเทศต่างๆ หันมาผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้า รัฐบาลต้องให้ความคุ้มครองกับอุตสาหกรรมเหล่านั้น ทำให้ปริมาณซื้อขายแลกเปลี่ยนกันลดลง สภาพการค้าเสรีก็ลดน้อยลงเพราะประเทศต่างๆ หันไปใช้นโยบายคุ้มกัน
การคุ้มกัน (Protection) หมายถึง การที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงในการค้าระหว่างประเทศ โดยใช้มาตรการสำคัญต่างๆ การคุ้มกัน ด้านภาษี ได้แก่ การเก็บภาษีอากร Tariff ด้านที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การจำกัดจำนวนสินค้าเข้า Quota การให้เงินอุดหนุน อื่นๆ
ข้อถกเถียงการค้าเสรี • การค้าเสรีทำให้ประชาชนส่วนรวมในประเทศใดประเทศหนึ่ง ได้รับประโยชน์มากขึ้น จากการบริโภคสินค้าในปริมาณที่มากขึ้นและมีคุณภาพ • เมื่อมีการค้าเสรีเกิดขึ้น ทำให้ประเทศแต่ละประเทศเกิดความชำนาญเฉพาะอย่าง (Specialization) • การค้าเสรีทำให้ราคาสินค้าเข้าต่ำ ซึ่งทำให้กลไกราคาทำงานได้สะดวก และเป็นการทำลายระบบผูกขาด ทำให้ตลาดอุตสาหกรรมส่งออกกว้างขวางขึ้น จนขยายขนาดการผลิตที่เหมาะสม (optimum size) และต้นทุนต่อหน่วยลดลง
ข้อถกเถียงของการคุ้มกัน • เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมที่เกิดใหม่ (infant industries) • กระจายโครงสร้างการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของประเทศ • เพื่อรักษาระดับรายได้และการจ้างงานของประเทศ • เพื่อการต่อรองและการแก้เผ็ด • เพื่อปรับอัตราการค้าให้ดีขึ้น • เพื่อป้องกันการทุ่มตลาด • ความมั่นคงทางการทหารและทางการเมือง
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลสนับสนุนให้มีการคุ้มกันซึ่งไม่ค่อยสมเหตุสมผล (nonsense argument for protection) • เพื่อกีดกันสินค้าจากประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำ (low –paid foreign workers) • เป็นการขยายตลาดภายในประเทศ • เป็นการเก็บเงินไว้ภายในประเทศ • ทำให้ต้นทุนการผลิตเท่ากัน
เครื่องมือที่สำคัญสำหรับใช้ในการคุ้มกัน • ภาษีศุลกากร (Tariff) • โควตา (Quota)
I.ภาษีศุลกากร (Tariff) คือ เงินที่รัฐเรียกเก็บจากสินค้าเข้า (Import duties) หรือเรียกเก็บจากสินค้าส่งออกเรียกว่า อากรขาออก (export duties) แต่การเรียกเก็บจากสินค้าออกมีน้อย นอกจากนี้ยังเรียกเก็บจากสินค้าผ่านแดนซึ่งจะส่งผ่านไปยังประเทศอื่น เรียกว่า ภาษีผ่านแดน (transit duties) โดยทั่วไปการจัดเก็บภาษีศุลกากรมี 2 แบบ คือ ก) เก็บตามราคา(ad valorem tariff) คือ ภาษีที่คิดเป็นร้อยละของมูลค่า(ราคา) สินค้าที่นำเข้า (การเก็บภาษีส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้) ข) เก็บตามสภาพ(specific tariff) คือ การกำหนดอัตราภาษีต่อสินค้าหนึ่งหน่วย เป็นจำนวนแน่นอนลงไป เช่น อัตราภาษีจักรยานคันละ 150 บาท
จุดประสงค์ของการเก็บภาษีของรัฐบาล • เพื่อหารายได้ให้รัฐ (Revenue purpose) • เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ (Protective purpose)
ผลของการเก็บภาษีอากร ราคา Sd Pw+t อัตราภาษีนำเข้า S T V U Pw Dd Q1 Q2 Q3 Q4 ปริมาณ
จากรูป ให้ Qd และ Sd แทนอุปสงค์และอุปทานในประเทศของรถยนต์ และ Pw แทนราคารถยนต์ในต่างประเทศ • ถ้ามีการเปิดให้มีการนำเข้ารถยนต์อย่างเสรี จะมีปริมาณนำเข้ารถยนต์เท่ากับ Q4-Q1 แต่เมื่อรัฐบาลเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตรา t ต้นทุนในการนำเข้ารถยนต์จะเพิ่มขึ้นเป็น Pw+t ส่งผลให้ผู้บริโภคลดการบริโภคลงเหลือ Q3 ในขณะเดียวกันการที่ราคารถยนต์นำเข้าแพงขึ้น จะเป็นการช่วยปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ ให้ผู้ผลิตในประเทศสามารถแข่งขันได้ จะทำให้มีการเพิ่มปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศขึ้นเป็นQ2 ทำให้มีการนำเข้ารถยนต์จากเดิมเหลือเพียง Q3-Q2
เมื่อวิเคราะห์ผลกระทบผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่างๆ จากการเก็บภาษีนำเข้า จะเห็นว่า ผู้ที่ได้ประโยชน์คือ ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศและรัฐบาล ส่วนผู้ที่เสียประโยชน์คือ ผู้บริโภค • ผู้ผลิตได้ประโยชน์ (producer surplus) คือ พื้นที่ S • รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นคือ พื้นที่ T • ผู้บริโภคมีส่วนเกินของผู้บริโภคลดลง คือ พื้นที่ S+U+T+V • ส่วนที่สังคมสูญเสียประโยชน์ไป คือ ไม่มีผู้ใดได้ประโยชน์หรือประโยชน์สาบสูญ (deadweight loss) คือ พื้นที่ U+V
พื้นที่ U คือ ต้นทุนทางสังคมของการใช้ทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพที่เกิดจากที่ผู้ผลิตในประเทศขยายการผลิตเพิ่มขึ้นจาก Q1เป็น Q2 • พื้นที่ V คือ ต้นทุนของผู้บริโภคที่ต้องสูญเสียความพอใจในส่วนที่ต้องลดการบริโภคลงจาก Q4 เหลือ Q3 (ความพอใจที่สูญเสียไปเนื่องจากปริมาณการบริโภคที่ลดลงเนื่องจากต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาแพงกว่าราคาตลาดโลก
II. โควตาเป็นเครื่องมือที่สำคัญชนิดหนึ่งของนโยบายคุ้มกัน โควตา คือ การจำกัดปริมาณสินค้าที่นำเข้าภายในประเทศ หรือส่งออกไปต่างประเทศในระยะเวลาหนึ่ง การจำกัดการนำเข้าเช่นนี้ อาจจะจำกัดเป็นมูลค่าสินค้า หรือเป็นปริมาณสินค้าก็ได้ (โควตา ต่างจาก ภาษีศุลกากร คือ ภาษีศุลกากรเรียกเก็บเงินจากสินค้าเข้าหรือสินค้าออกตามอัตราที่กำหนด ปริมาณสินค้าเข้าหรือส่งออกไม่จำกัด ตราบใดที่พ่อค้าสามารถชำระภาษีได้ ส่วนโควตานั้น พ่อค้าไม่สามารถสั่งสินค้าเข้าหรือส่งออกเกินจำนวนที่กำหนด ถึงแม้ว่าจะชำระค่าธรรมเนียมให้รัฐมากเท่าใดก็ตาม
ชนิดของโควต้า • การกำหนดโควตาอาจจะกำหนดโดยทั่วๆไป หมายความว่ารัฐบาลเพียงแต่กำหนดปริมาณสินค้าสูงสุดที่สั่งเข้ามาได้ โดยไม่คำนึงว่าสินค้านั้นมาจากที่ใด • โควตาแบบเลือก คือ การกำหนดปริมาณสินค้าสูงสุดที่จะนำเข้า พร้อมทั้งระบุว่าจะต้องส่งมาจากประเทศใดบ้าง จำนวนเท่าใด • โควตาอากรขาเข้า(tariff quotas) เป็นการจำกัดปริมาณสินค้านำเข้าจำนวนหนึ่ง ซึ่งยอมให้เสียอากรขาเข้าในอัตราหนึ่งที่กำหนด ถ้าสั่งสินค้าเข้ามากกว่าจำนวนที่กำหนดต้องเสียอากรขาเข้าในอัตราที่สูงขึ้น สินค้าเข้าที่เสียอากรขาเข้าในอัตราที่สูงไม่จำกัดจำนวนสินค้า
ผลกระบทของการกำหนดโควตา ราคารถยนต์ Sd Pd S T V U Pw Dd ปริมาณรถยนต์ Q3 Q1 Q2 Q4
การที่รัฐบาลจำกัดโควตาการนำเข้า ในปริมาณ Q3Q2 - การจำกัดโควต้าการนำเข้าจะมีผลในการถ่ายโอนผลประโยชน์จากผู้บริโภคไปสู่ผู้ผลิตในประเทศ รวมทั้งก่อให้เกิดประโยชน์สาบสูญเหมือนกับการเก็บภาษีนำเข้า แต่มีจุดที่แตกต่างกันเล็กน้อยคือ ผลประโยชน์ในพื้นที่ t นั้น แทนที่จะเป็นรายได้ของรัฐบาล กลับตกไปเป็นกำไรส่วนเกินของผู้ได้รับการจัดสรรสิทธิในการนำเข้า และผู้ได้รับสิทธิในการส่งสินค้าเข้ามาขายยังประเทศผู้นำเข้า
- การใช้มาตรการกำหนดโควต้าจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าการใช้มาตรการทางภาษีนำเข้า เพราะการใช้มาตรการด้านโควต้าจะมีผลในเชิงบิดเบือนการทำงานของกลไกราคามากกว่า เพราะถ้าใช้ภาษีนำเข้าผู้บริโภคยังมีโอกาสที่จะนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นได้ถ้าราคาในตลาดโลกลดลง แต่ถ้าเป็นระบบโควตา ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ปรับเปลี่ยนตัวเลขปริมาณนำเข้า ย่อมไม่มีทางที่จะมีการนำเข้าเพิ่มได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ การจัดสรรโควต้าจะทำให้เกิดกลุ่มอิทธิพลที่มีปัญหาเรื่องความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ขึ้นมาใหม่อีก 2 กลุ่ม นอกเหนือจากกลุ่มผู้ผลิตในประเทศ คือ กลุ่มผู้ได้รับการจัดสรรสิทธิในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ และประเทศที่ส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศที่กำหนดโควตา ทำให้เกิดการวิ่งเต้นติดสินบน หรือเคลื่อนไหวผลักดันผ่านกลไกของรัฐ ไม่ให้ยกเลิกการใช้มาตรการจำกัดปริมาณสินค้านี้