1.4k likes | 3.32k Views
763 211 รัฐศาสตร์เบื้องต้น. บทที่ 2 ปรัชญาทางการเมือง. ปรัชญา ( Philosophy) มีรากศัพท์มาจาก " Philos" หมายถึง ความรัก กับ คำว่า "Sophia" หมายถึง ความรู้ ปัญญา ความฉลาดหลักแหลม เมื่อแปลความหมายรวมกันแล้ว จึงหมายถึง ความรักในความรู้ หรือความรักที่จะแสวงหาความรู้ .
E N D
763 211 รัฐศาสตร์เบื้องต้น บทที่ 2 ปรัชญาทางการเมือง
ปรัชญา (Philosophy)มีรากศัพท์มาจาก "Philos"หมายถึง ความรัก กับ คำว่า "Sophia"หมายถึง ความรู้ ปัญญา ความฉลาดหลักแหลม เมื่อแปลความหมายรวมกันแล้ว จึงหมายถึง ความรักในความรู้ หรือความรักที่จะแสวงหาความรู้
"ปรัชญา" มารวมกับคำว่า "การเมือง" จึงหมายถึง การค้นหา หรือแสวงหาความรู้แจ้งในความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่มีอยู่ตามธรรมชาติระหว่างมนุษย์ในสังคม
จุดเน้นในสาขาวิชาปรัชญาเพื่อความรู้แจ้งจุดเน้นในสาขาวิชาปรัชญาเพื่อความรู้แจ้ง ในธรรมชาติ จำแนกเป็น 3 ประเด็นคือ 1. สัจจวิทยา (Ontology) 2. ญาณวิทยา (Epistemology) 3. คุณค่าวิทยา (Axiology)
1. สัจจวิทยา (Ontology) เพื่อค้นหาว่า อะไรคือจริง แบ่งออกเป็น 5 ระบบความคิด ได้แก่ 1.1 วัตถุนิยม (Materialism) 1.2 จิตนิยม (Idealism) 1.3 ปัจเจกชนนิยม (Individualism) 1.4 ปรากฎการณ์นิยม (Phenomenalism) 1.5 ตัวตนนิยม (Existenialism)
2. ญาณวิทยา (Epistemology) เพื่อค้นหาว่า อะไรคือความรู้ โดยแบ่งเป็น 5 ระบบความคิด ได้แก่ 2.1 เหตุผลนิยม (Rationalism) 2.2 ประจักษ์นิยม (Empiricism) 2.3 ปฏิบัตินิยม (Pragmatism) 2.4 สัญชาตญาณนิยม (Intuitionism) 2.5 สงสัยนิยม (Skepticism)
3.คุณค่าวิทยา (Axiology) มุ่งเน้นเพื่อค้นหาว่า อะไรคือคุณค่า ซึ่งแยกเป็น • - จริยศาสตร์ (Ethics) • - สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) • ซึ่งแบ่งระบบความคิดออกเป็น 3 ระบบ ได้แก่ • 3.1 สมบูรณ์นิยม (Absolutism) • 3.2 สัมพัทธ์นิยม (Ralativism) • 3.3 อรรถประโยชน์นิยม (Utilitarianism)
ปรัชญาการเมืองออกเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ปรัชญาการเมืองในยุคต้น (Classical Political Thoughts) ปรัชญาการเมืองในยุคกลาง (Middle age Political Thoughts) ปรัชญาการเมืองในยุคใหม่ (Modern Political Thoughts)
ยุคต้น ยุคต้น ถือว่าเป็นยุคแห่งการบุกเบิกการโต้แย้งทางการเมืองในเชิงหลักเหตุและผลอย่างยิ่ง การแสวงหาความรู้และสัจจะในยุคมักได้จากการแลกเปลี่ยนพูดคุย หรือตั้งคำถามคำตอบระหว่างคู่สนทนา
นักปรัชญาที่สำคัญในยุคนี้ได้แก่ โสเกรติส (Socrates) เพลโต (Plato) อริสโตเติ้ล (Aristotle)
1. โสเกรติส (Socrates) (469-399 B.C.) และสำนักโสฟิสต์ (Sophist) โสเกรติส เกิดที่กรุงเอเธนส์ ในช่วงที่ใกล้เคียงกับสมัยพุทธกาล ขณะนั้นกลุ่มนักคิดสายสำนักโสฟิสต์กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งมีฐานความคิดที่เชื่อว่ากฎหมายหรือประเพณีของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับตัวบุคคล
นักปรัชญาที่มีอิทธิพลต่อสำนักโสฟิสต์มากที่สุด คือ 1. แอนติฟอน (Antiphon) 2. โปรทากอรัส (Protagoras)
แอนติฟอน แอนติฟอน เป็นนักวาทวิทยา เขียนหนังสือสำคัญ 2 เล่ม คือ The Interpretationof Dreams Concord The statemanและ On Truth คำสอนของเขาเน้นเรื่องการแยกกฎตามธรรมชาติออกจากกฎหมาย แอนติฟอนจึงเชื่อว่า ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็นก็สามารถทำอะไรได้ตามผลประโยชน์ที่ตนเองต้องการ
โปรทากอรัส โปรทากอรัส เป็นโสฟิสต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนของเขาที่กล่าวว่า "มนุษย์เป็นมาตรวัดสรรพสิ่งทั้งหลาย" (Man is the measure of all things)
โปรทากอรัสแบ่งพัฒนาของการรวมกันเป็นรัฐของมนุษย์ออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะแรกเป็นระยะธรรมชาติ มนุษย์จะเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติแต่ไม่สามารถจะจัดระเบียบหรือสร้างระบบในการ ควบคุมกันเองได้
ระยะที่สองเป็นระยะที่มีการรวมกลุ่มกันเป็นคณะและแสวงหาวิธีที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่ก็ยังไม่พบวิธีที่ลงตัวแก่ทุกฝ่าย มนุษย์จึงทำร้ายกัน ระยะที่สาม เป็นระยะอันสมบูรณ์ โดยเขาเชื่อว่าพระเจ้า หรือซุส (Zeus) จะประทานความสงบสันติระเบียบกฎเกณฑ์ ระบบต่าง ๆ ทางสังคม และความเที่ยงธรรมลงมา
โสเกรติสไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดและหลักการของสำนักโสฟิสต์เลย แต่โสเกรติสมิได้เขียนบันทึกความคิดหรือเหตุการณ์ใด ๆ ไว้ ดังนั้น ส่วนใหญ่เราศึกษาความคิดทางการเมืองของโสเกรติสผ่านทางหนังสือที่เพลโตเขียนเอาไว้มากกว่า โดยหลักการแล้วโสเกรติสมีทัศนะว่าความเที่ยงธรรมนั้นต้องตัดสินด้วยกฎหมายเท่านั้น และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
2. เพลโต (Plato) (427-347 B.C) เพลโต เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของโสเกรติส เขาได้เปิดสำนักของเขาเองเรียกว่า "อะเคเดมี" (The Academy) โดยเน้นสอนในเรื่องสัจจความจริง สุนทรียศาสตร์ และการเมืองกับชีวิต นอกจากนั้น เพลโต ได้เขียนหนังสือที่เป็นชุดแห่งความคิดของเขาไว้หลายเล่ม แต่ที่จะสำคัญที่สุดคงได้แก่หนังสือเรื่อง The Apologyและ The Republic
The Apology The Apologyสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้มุ่งเสนอกรณีประหารชีวิตของโสเกรติส และการจากเสียชีวิตของโสเกรติสทำให้เพลโตเชื่อว่า กฎหมายที่ดีต้องอยู่กับคนที่เป็นคนดีเท่านั้น ซึงนั่นเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เพลโตปฏิเสธต่อประชาธิปไตย และหันมาสนับสนุนบรรดานักปราชญ์หรือนักปรัชญาให้เป็นผู้ปกครองรัฐดีกว่าพวกประชาธิปไตยที่เน้นพวกมากลากไป
The Republic The Republicเป็นข้อเขียนที่เพลโตตั้งคำถามว่า "อะไรคือความเที่ยงธรรม" และ "อะไรคือคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์" ซึ่งเขาได้ตั้งคำถาม 4 คำถาม ได้แก่ 1.จะสร้างคนดีต้องทำอย่างไร แล้วอะไรคือนิยามของคนดี 2.จะสร้างรัฐที่ดีต้องทำอย่างไร แล้วอะไรคือรัฐที่ดี 3.อะไรคือความรู้สูงสุดยอด แล้วจะหาได้อย่างไร 4.รัฐจะทำอย่างไรให้มนุษย์ในรัฐมีความรู้สุดยอด
3. อริสโตเติ้ล (Aristotle) (384-322 B.C.) อริสโตเติ้ล เป็นศิษย์ของเพลโต และเปิดสำนักของตนเองภายใต้ชื่อ ลิเสียม (Lyceum) อริสโตเติ้ล ก็ได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่มล้วนแต่มีนัยสำคัญทางการเมืองการปกครอง และหนังสือที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุดของเขาก็คือ The Politics
The Politicsแบ่งสาระสำคัญออกเป็นเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ การรวมตัวกันในทางการเมือง(Political Association) เหตุผลการรวมตัวในทางการเมืองมี 2 ประการ คือ ประการแรก ทุกรัฐต่างก็มีธรรมชาติในการรวมกลุ่ม ประการที่สอง การรวมกลุ่มมีจุดประสงค์เพื่อบรรลุเป้าประสงค์อันเดียวกัน
มนุษย์กับรัฐ(Man and Polis) อริสโตเติ้ลให้เหตุผลว่า มนุษย์ขาดรัฐไม่ได้ เพราะรัฐถือเป็นพื้นที่ในการรวมกลุ่มทางการเมือง หากมนุษย์แยกตนเอง (Isolate) ออกจากรัฐ มนุษย์ก็จะเผชิญหน้ากับความขาดแคลนทั้งชีวิต (Not-being self-sufficient)
การปกครองกับผู้ตกภายใต้การปกครองการปกครองกับผู้ตกภายใต้การปกครอง (Rule and Subordination) อริสโตเติ้ล เชื่อว่า ภายใต้ระบบของรัฐ ต้องมีคนที่ปกครอง (Who rules)และต้องมีผู้ถูกปกครอง (Who is ruled) ซึ่งประเด็นนี้ อริสโตเติ้ลยืนยันในท้ายที่สุดว่า บางคนเท่านั้นที่จะเกิดมามีอิสระในขณะที่บางคนเกิดมาพร้อมกับสถานภาพที่ตกเป็นผู้รับใช้ (Slave)
พลเมืองกับรัฐธรรมนูญ(Citizenship and Constitution) อริสโตเติ้ล นิยามว่า พลเมืองควรจะต้องเป็นกลุ่มคนที่ให้สัตยาบันต่อรัฐธรรมนูญอันเดียวกัน โดยต้องยอมรับในการบริหารและกระบวนการยุติธรรมอันเดียวกัน
ปรัชญาการเมืองในยุคกลาง (Middle age Political Thoughts) ปรัชญาการเมืองเป็นความคิดที่ผูกติดอยู่กับเรื่อง "เทววิทยา" (Theology) เนื่องจากประชาชนในขณะนั้นส่วนใหญ่เป็นคริตสศาสนิกชน นักปรัชญาการเมืองที่สำคัญในยุคนี้มักจะเป็นบาทหลวง หรือนักบวชในคริสตศาสนา
1. เซนต์ ออกัสติน (St.Augustine) (A.D.354 - 430) ซึ่งเป็นบาทหลวงของเมืองฮิปโป (Hippo) เขาอยู่ในช่วงที่จักรวรรดิ์โรมันล่มสลาย มีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองการปกครองอย่างรุนแรงมาก จากเดิมที่โรมันเคยปฏิเสธต่อคริสตศาสนา ได้สถาปนาให้คริสตศาสนาเป็นศาสนาประจำอาณาจักร ดังนั้นหนังสือ City of Godที่เขียนโดยเซนต์ออกัสตินจึงเป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในขณะนั้นเชื่อว่าหนังสือดังกล่าวเป็นต้นตำรับความคิดดั่งเดิมของชาวคริสต์
2. เซนต์ โธมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas) (1224-1274) เขาเกิดที่เมืองเนเปิ้ล (Naples) เป็นนักปรัชญาการเมืองในแนวคริตส์นิยมปลายยุคกลาง อไควนัส มีความชำนาญในเรื่องการวิเคราะห์เทววิทยาทางการเมือง (Theologian Politics) เป็นอย่างมาก และเขาพยายามศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดแบบ Augustinianism กับ Aristotlelianism
แนวคิดแบบ Augustinianism มองว่า มนุษย์จะมีความสุขเป็นนิรันดร์ก็ต่อเมื่อได้ชำระล้างบาปกรรมในจิตวิญญาณโดยอำนาจของพระเจ้า ขณะที่แนวคิดแบบ Aristotlelianism มองว่า มนุษย์มีความสุขได้โดยการเป็นสมาชิกของประชาคมการเมือง (Political Community)
ปรัชญาการเมืองในยุคสมัยใหม่ (Modern Political Thoughts) ในยุคนี้มีนักปรัชญาการเมืองเกิดขึ้นมากมาย ทั้งนี้เนื่องจากระบบการจดบันทึก และศิลปวิทยาการก้าวหน้าไปมาก จึงทำให้เกิดนักคิด นักเขียนเรื่องราวทางการเมืองมากเป็นดอกเห็ด
1. นิโคลโล เมเคียวเวลลิ (Niccolo Machiavelli) (1469 - 1527) เมเคียวเวลลิได้รับการยกย่องให้เป็นนักปรัชญาสายสมัยใหม่ที่มีความสำคัญต่อความคิดทางการเมืองและการปกครอง ในขณะที่ในยุคกลางสนใจอยู่กับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เมเคียวเวลลิกลับสนใจในเรื่องการรวมกลุ่ม และการรักษาอำนาจ (Organization and Preservation of Power)
งานเขียนของเมเคียวเวลลิ ที่สำคัญมี 2 ชิ้น คือ The Princeชี้ให้เห็นถึงบทบาทของผู้ปกครองในการสงวน และขยายอำนาจการปกครอง โดยการกล่าวถึงบทบาทในฐานะเจ้าผู้ปกครอง โดยเฉพาะการเป็น "เจ้า" คนใหม่ Discourses on Livyเน้นที่จะอธิบาย "สาธารณรัฐ" โดยให้เหตุผลว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนพึงปรารถนาและดีที่สุด
2. โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) (1588 - 1679) ฮอบส์ เกิดท่ามกลางห้วงเวลาสงครามกลางเมืองในอังกฤษ ทำให้เขามีความรู้สึกว่าสงครามเป็นสิ่งโหดร้าย เขาจึงเกิดแนวคิดในเรื่องการให้มนุษย์มาร่วมกันสละอำนาจตามธรรมชาติให้แก่บุคคลที่สามเพื่อปกครอง ซึ่งเขาเรียกว่าแนวคิดการทำ สัญญาทางสังคม(Social Contract)
ในหนังสือ Leviathanได้รับอิทธิพลโดยตรงจาก ปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก - เกี่ยวกับสงครามกลางเมืองในคริสตศตวรรษที่ 17 ประการที่สอง - ปรัชญาทางด้านวิทยาศาสตร์ ประการสุดท้าย - ความคิดทางด้านกลศาสตร์ (Machanism)
Leviathan มีเนื้อหาที่สำคัญที่เป็นหลักการดังนี้ 1.มนุษย์ทุกคนโดยธรรมชาติแล้ว ต่างแข่งขันกัน มีความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน และต้องการแสวงหาลาภยศใส่ตัวเสมอ 2.หากผู้ใดไม่ชอบสิ่งใด ก็ต้องไม่ทำสิ่งนั้นแก่ผู้อื่นเช่นกัน 3.สังคมจะสงบได้ต้องให้มนุษย์มาทำสัญญาร่วมกัน โดยสละสิทธิอำนาจที่ตนมีอยู่ให้แก่บุคคลที่สาม โดยเมื่อสละให้แล้วไม่สามารถเรียกคืนได้
4.มนุษย์เป็นผู้สละอำนาจให้แก่คนกลางเพื่อสร้างอำนาจอธิปไตย ดังนั้น สัญญาทางสังคม และอำนาจอธิปไตย จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น 5.ผู้มีอำนาจอธิปไตยที่รับมอบมาจากบุคคลอื่นย่อมเหนือกว่าบุคคลทั้งหลาย 6.สิทธิที่คงเหลือหลังจากมอบให้แก่บุคคลที่สามแล้ว (องค์อธิปัตย์) มีเพียงสิทธิการป้องกันตนเอง และสิทธิที่จะปฏิเสธการให้ไปเสียชีวิตเท่านั้น
3. จอห์น ล๊อค (John Locke) (1632 - 1704) ล๊อค เป็นชาวอังกฤษ และเป็นนักปรัชญาการเมืองสายเสรีนิยมตะวันตก (Western Liberalism) ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (Oxford University) งานเขียนของเขาชื่อ Two Treatises of Government
Two Treatises of Government สรุปสาระสำคัญ ๆ 6 ประเด็น คือ ประเด็นแรก ล๊อคปฏิเสธเทววิทยาที่อ้างว่าเป็นเทวสิทธิให้กษัตริย์อังกฤษมีพระราชอำนาจปกครองประเทศด้วยความชอบธรรม ประเด็นที่สอง ล๊อคเชื่อว่า ชีวิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่มนุษย์ไม่ควรทำลายกันเอง ประเด็นที่สาม มนุษย์เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ และมี เหตุผล
ประเด็นที่สี่ ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในทรัพย์สิน อำนาจของรัฐบาลต้องเข้ามาดูแลปกปักรักษา ประเด็นที่ห้า ประชาชนต้องสละสิทธิของตนที่มีอยู่ตามธรรมชาติเพื่อมาสร้างสัญญาประชาคม (Social Contract) ประเด็นสุดท้าย รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจที่มาจากประชาชน และทำหน้าที่เป็นปกครองดูแล ดังนั้น หากรัฐบาลทำลายชีวิตและทรัพย์สินตลอดจนเสรีภาพของประชาชน ประชาชนเหล่านั้นมีสิทธิที่จะทวงอำนาจและสิทธิที่เคยมอบไว้ให้คืนกลับมาได้
4.ฌอง ฌาง รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) (1712 - 1778) รุสโซ เกิดที่เมืองเจนีวาในครอบครัวที่ฐานะตกอับอย่างมาก เขาได้เข้าเป็นศาสนิกชนนิกายแคทอลิค (Catholic) รุสโซ เป็นผู้ใฝ่หาความรู้ด้วยตนเองตลอดมา แม้ว่าเขาจะมีระดับการศึกษาน้อยก็จริง แต่เขามีความคิดในเชิงวิพากษ์ที่ยอดเยี่ยม จนเป็นที่ยอมรับในกลุ่มนักปรัชญาสาย "แสงสว่างทางปัญญา"(Enlightenment)
The Social Contract ผลงานของรุสโซสะท้อนความคิดทางการเมืองว่าด้วยเรื่องสัญญาประชาคม โดยสรุปแล้วมีสาระที่น่าสนใจอยู่ 5 ข้อ ข้อแรก รุสโซชี้ให้เห็นถึงเอกภาพของรัฐ ข้อที่สอง เขาพยายามกล่าวถึงความคิดเรื่องการเคารพประโยชน์ส่วนรวม
ข้อที่สาม อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ข้อที่สี่การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแสดงเจตจำนง ข้อที่ห้า ขจัดกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่ฉุดรั้งเอกภาพของสังคม ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นมูลเหตุทางปัญญาที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789
ตารางเปรียบเทียบแนวคิดเรื่อง สัญญาประชาคมของฮอบส์ ล๊อคและ รุสโซ
5. อาดัม สมิธ (Adam Smith) (1723 - 1790) สมิธ เป็นชาวสก๊อต อยู่ในกลุ่มสาย "แสงสว่างทางปัญญา"(Enlightenment) เขาเป็นอาจารย์สอนในเรื่องปรัชญาจริยศาสตร์ที่เมือง Glasgow ผลงานเขียนของเขาที่ชื่อ The Wealth of Nationsที่ออกในปี 1776 นับได้ว่าเป็นตำราทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบเสรีนิยมเล่มแรก ๆ
สมิธ มีความเชื่อว่า ระบบเศรษฐกิจมีระบบตามธรรมชาติที่ดีอยู่แล้ว โดยอาศัยกระบวนการการแข่งขันกันอย่างเสรี ผลประโยชน์ส่วนบุคคล และความเป็นเจ้าของ (Entrepreneurialism) ของปัจจเจกชน เขาจึงเสนอว่า “รัฐบาลควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของสังคมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
จุดประสงค์หลัก ของการศึกษาวิชาปรัชญาการเมืองก็คือ การเข้าใจพื้นฐานความคิดที่มีคุณูปการต่อระบบความคิดทางการเมืองในโลกปัจจุบัน การศึกษาวิชาปรัชญาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องเข้าใจถึงพลวัตของการเปลี่ยนถ่ายระบบความคิดที่ส่งต่อจากยุคดั่งเดิมไปสู่ยุคกลาง และไปสู่ยุคใหม่