670 likes | 839 Views
ANGKANA. Chapter 3. บทบาทของระบบสารสนเทศในองค์กร. ANGKANA. บทนำ.
E N D
ANGKANA Chapter 3 บทบาทของระบบสารสนเทศในองค์กร
ANGKANA บทนำ บทนี้กล่าวถึงบทบาทของระบบสารเทศชนิดต่าง ๆ ที่มีต่อองค์กร โดยเริ่มจากการจัดประเภทระบบสารสนเทศตามระดับการสนับสนุนขององค์กร อธิบายระบบงานที่สนับสนุนงานในองค์กรด้านต่าง ๆ โดยแสดงให้เห็นว่าระบบสารสนเทศสามารถนำมาช่วยงานในกระบวนการทางธุรกิจ รวมทั้งกระบวนการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าและการบริหารห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้จะกล่าวถึงระบบงานองค์กรและระบบเครือข่ายอุตสาหกรรมซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถบูรณากระบวนการทำงานทางธุรกิจและข่าวสารได้ทั่วทั้งองค์กรหรือทั่วทั้งอุตสาหกรรม
หัวข้อการเรียนรู้ • ระบบงานหลักในองค์กร • การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน • การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กรและระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม
ระบบงานหลักในองค์กร โครงสร้างขององค์กรทั่วไป แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ ระดับกำหนดกลยุทธ์ (Strategic Level) ระดับการบริหาร (Management Level) ระดับผู้ชำนาญการ (Knowledge and Data Workers Level) ระดับปฏิบัติการ (Operational Level) โครงสร้างขององค์กรตามกลุ่มหน้าที่การทำงาน แบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มการขาย และการตลาด (Sales and Marketing) กลุ่มการผลิต (Manufacturing) กลุ่มการเงิน (Finance) กลุ่มการบัญชี (Accounting) กลุ่มทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource)
ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ปฏิบัติการ (Operational-level System) สนับสนุนการทำงานของผู้บริหารในส่วนปฏิบัติงานโดยการช่วยบันทึกรายละเอียดของงานระดับล่าง และรายการธุรกรรมข้อมูล ระบบนี้มีวัตถุประสงค์หลักในการตอบคำถามสำหรับงาน และรายการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ชำนาญการ (Knowledge-level System) สนับสนุนการทำงานของพนักงานผู้มีความรู้พิเศษหรือทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลโดยเฉพาะ โดยให้ความช่วยเหลือในการรวบรวม การค้นหา และการประสานความรู้ใหม่ ๆ รวมทั้งควบคุมการเผยแพร่และนำเสนอข้อมูลภายในองค์กร ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ชำนาญการในรูปแบบของเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกัน การทำงานเฉพาะบุคคล และการทำงานร่วมกันในสถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นระบบที่กำลังเป็นที่นิยมนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย
ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Management-level System) ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบ การควบคุม การตัดสินใจ และการบริหารของผู้บริหารระดับกลาง ซึ่งจะต้องตอบคำถามเช่น “ทุกส่วนขององค์กรกำลังทำงานไปตามปกติหรือไม่” โดยระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารมักจะมีการทำรายงานสรุปตามระยะเวลามากกว่าการทำรายงานเป็นครั้งคราว ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารบางระบบสนับสนุนการตัดสินใจในเรื่องที่อยู่นอกเหนือการทำงานตามปกติ ซึ่งมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาแบบกึ่งมีโครงสร้าง เช่น ถ้าต้องการเพิ่มยอดขายสินค้าในเดือนธันวาคมขึ้นเป็นสองเท่าของยอดขายปกติแล้ว จะเกิดผลกระทบต่อตารางการผลิตสินค้าอย่างไรบ้าง เป็นต้น
ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศสำหรับผู้กำหนดกลยุทธ์ (Strategic-level System) ระดับนี้จะช่วยผู้บริหารระดับสูงในการแก้ไขและกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจระยะยาวและแนวโน้มของสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในองค์กรและสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น ในอีก 5 ปีข้างหน้า ควรกำหนดจำนวนการจ้างพนักงานเป็นเท่าใด หรือควรจะผลิตสินค้าชนิดใด เป็นต้น
ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศอาจถูกจำแนกตามหน้าที่การทำงานเฉพาะด้าน หรือตามโครงสร้างองค์กร เช่น ด้านการขายและการตลาด (Sales and Marketing) ด้านการผลิต (Production) ด้านบัญชี (Accounting) และด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่มีระบบสารสนเทศสำหรับตนเอง
ระบบสารสนเทศ 6 ชนิด ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง (Executive Support System : ESS) ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System : MIS) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System : DSS) ระบบผู้ชำนาญการ (Knowledge Work System : KWS) ระบบสำนักงาน (Office System) ระบบประมวลผลรายการธุรกรรมข้อมูล (Transaction Processing System : TPS) ซึ่งระบบแต่ละระบบเป็นระบบงานที่มีใช้อยู่ในองค์กรทั่วไปซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการทำงานเฉพาะงานด้านนั้น ๆ โดยตรงซึ่งไม่สามารถนำไปทดแทนกันได้ และในการใช้งานจริงอาจถูกปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
ระบบประมวลผลรายการธุรกรรมระบบประมวลผลรายการธุรกรรม Transaction Processing System (TPS) ระบบการประมวลผล มักเป็นการประมวลผลแบบวันต่อวัน เช่น การรับ-จ่ายบิล ระบบควบคุมสินค้าคงคลัง ระบบการรับ-จ่ายสินค้า เป็นต้น ใช้งานในระดับผู้ปฏิบัติการ ระบบนี้เป็นระบบสารสนเทศลำดับแรกที่ได้รับการพัฒนาให้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้บริหารมีความต้องการระบบ TPS สำหรับตรวจสอบกระบวนการทำงานทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในองค์กร และความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
ระบบประมวลผลรายการธุรกรรมระบบประมวลผลรายการธุรกรรม Transaction Processing System (TPS) ลักษณะเด่นของ TPS คือ การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สิ่งที่องค์กรจะได้รับเมื่อใช้ระบบนี้ คือ ลดจำนวนพนักงานองค์กรจะมีการบริการที่สะดวกรวดเร็วลูกค้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ระบบประมวลผลรายการธุรกรรมระบบประมวลผลรายการธุรกรรม Transaction Processing System (TPS)
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ Management Information System (MIS) ระบบที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารที่ต้องการการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้ประโยชน์มากกว่าการช่วยงานแบบวันต่อวัน MIS จึงมีความสามารถในการคำนวณและเปรียบเทียบข้อมูล ซึ่งมีความหมายต่อการจัดการและบริหารงานเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น ระบบนี้ยังสามารถสร้างสารสนเทศที่ถูกต้องและทันสมัยอีกด้วย โดยทั่วไป MIS มักรวมระบบ
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ Management Information System (MIS) คุณสมบัติของระบบ MIS จะสนับสนุนการทำงานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวันจะใช้ ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน และสนับสนุนการทำงานของฝ่ายต่าง ๆ ในองค์กรจะช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง เรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้าง ได้ตามเวลาที่ต้องการจะมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปของ องค์กรต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูล และจำกัดการใช้งานของบุคคลเฉพาะ ผู้ที่เกี่ยวข้อง
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ Management Information System (MIS)
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจ Decision Support System (DSS) ระบบที่ทำหน้าที่จัดเตรียมสารสนเทศเพื่อช่วยในการตัดสินใจ บางครั้งสารสนเทศ TPS และ MIS ไม่สามารถช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้จำเป็นต้องพัฒนาระบบช่วยตัดสินใจ DSS ขึ้น เพื่อช่วยในการตัดสินใจภายใต้ผลสรุปและการเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งอื่น ทั้งภายในและนอกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับการรวมบริษัทและการหาบริษัทร่วม การขยายโรงงาน ผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นต้น
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจ Decision Support System (DSS) คุณสมบัติของระบบ DSS จะต้องช่วยผู้บริหารในกระบวนการการตัดสินใจ จะต้องถูกออกแบบมาให้สามารถเรียกใช้ทั้งข้อมูลแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มี โครงสร้าง แน่นอนได้จะต้องสามารถสนับสนุนผู้ตัดสินใจได้ในทุกระดับ แต่จะเน้นที่ระดับวางแผน บริหารและวางแผนยุทธศาสตร์มีรูปแบบการใช้งานอเนกประสงค์ มีความสามารถในการจำลองสถานการณ์ และมี เครื่องมือในการวิเคราะห์สำหรับช่วยเหลือผู้ทำการตัดสินใจต้องเป็นระบบที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้ สามารถใช้งานได้ง่าย ผู้บริหารต้องสามารถ ใช้งานโดยพึ่งความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญน้อยที่สุดหรือไม่ต้องพึ่งเลย
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจ Decision Support System (DSS) คุณสมบัติของระบบ DSS ต้องสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการข่าวสารในสภาพการณ์ต่างๆ ต้องมีกลไกช่วยให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ต้องสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรได้ ต้องทำงานโดยไม่ขึ้นกับระบบการทำงานตามตารางเวลาขององค์กร ต้องมีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับรูปแบบการบริหารแบบต่างๆ
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจ Decision Support System (DSS) ระบบ DSS ด้วย GIS ผ่าน Map Server ตัวอย่างภาพจากระบบสนับสนุนการตัดสินใจ แสดงพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ที่แปรจากภาพถ่ายจากดาวเทียม แสดงเส้นทางคมนาคม ทางน้ำ ฯลฯ
ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูงระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง Executive Support System (ESS) เป็นระบบที่สร้างขึ้น เพื่อสนับสนุนสารสนเทศและการตัดสินใจสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยในการวางแผนกลยุทธ์หรือแผนการดำเนินงานระยะยาวขององค์กร สามารถช่วยแก้ปัญหาแบบไม่มีโครงสร้าง Unstructured ซึ่งจะเน้นทางด้านข่าวสารสำหรับผู้บริหารระดับสูง และยังสามารถใช้ข้อมูลจากภายในและภายนอกได้ในการสร้างและประมวลผล เหมาะกับการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้กับปัญหาที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูงระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง Executive Support System (ESS) • คุณสมบัติของระบบ DSS • สามารถเจาะข้อมูลลงลึกได้มากกว่า (Drill Down) • สามารถกรองข้อมูลที่ไม่มีจำเป็นออกได้ และ Interface ในรูป Graphic แทนข้อมูลจริง • มีความยืดหยุ่นสูง กระบวนการคิดกว้างขึ้น เพิ่มระบบวิเคราะห์และเปรียบเทียบ • ผู้บริหารใช้งานง่ายขึ้น Interface เป็นกันเอง ผู้บริหารสามารถทำงาน ปรับปรุง เพิ่มเติม ปรับแต่งเองได้ • สามารถตัดสินใจจากข้อมูลที่มีอยู่ได้ทันที และตรวจสอบการทำงานในระดับล่างได้ • ช่วยขยายขอบเขตการทำงานของผู้บริหารได้กว้างขวางมากขึ้น สามารถช่วยพัฒนาการบริหารในลักษณะ Centralization และนำพาองค์กรไปสู่องค์กรแห่งการรับรู้และตอบสนอง (Sense and Response Organization)
ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูงระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง Executive Support System (ESS) ตัวอย่างของระบบ ESS ในทางธุรกิจ การเจาะลึกข้อมูลของผู้บริหารเกี่ยวกับผลกำไรขาดทุน รายงานงบดุล และ ยอดขายทั้งแบบขายปลีก และขายส่ง แยกประเภทตามภูมิภาค ตามตัวแปรต้น อื่นๆ ได้ตามปรารถนา การตรวจรายงานการควบคุมด้านการเงินและยอดบัญชี ในแต่ละเดือน ผู้บริหารอาจต้องการทราบข้อมูลระดับลึกทางการตลาด เพื่อนำมาตัดสินใจเพิ่ม ส่วนแบ่งการตลาด สามารถใช้ ESS เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น หรือ อาจต้องการข้อมูลที่สำคัญเพื่อวัดความพึงพอใจของลูกค้าและ Suppliers สามารถพัฒนา ESS ให้อยู่บน Web based แล้วรวมข้อมูลเป็นคลังให้ผู้บริหาร สามารถวิเคราะห์ได้
ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูงระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง Executive Support System (ESS)
ความสัมพันธ์ระหว่างระบบแบบต่าง ๆ Executive support systems (ESS) Management information systems(MIS) Decision support systems(DSS) Knowledge work systems(KWS) Transactionprocessing system(TPS) ระบบ TPS มักจะเป็นระบบหลักที่เป็นตัวรวบรวมข้อมูลเข้ามาเพื่อแจกจ่ายให้แก่ ระบบอื่น ๆ ระบบ ESS จะเป็นผู้รับข้อมูลจากระบบอื่นไปใช้ส่วนระบบที่เหลือก็จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และระบบที่ทำหน้าที่ ต่างกันสำหรับผู้ใช้ในระดับเดียวกันก็อาจมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
รูปแบบลักษณะงานองค์กรรูปแบบลักษณะงานองค์กร Manufacturing Accounting Enterprise System Business Process Business Process Business Process Enterprise-wide business Process Human Resources Finance Marketing and Sale
การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย • ฝ่ายการตลาด : ค้นหาความต้องการของลูกค้า, วางแผนการผลิตบริการหรือสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า, จัดการโฆษณา และจัดการกระตุ้นการขาย (Promotion) และกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำหรับบริการหรือสินค้าที่องค์กร ผลิต • ฝ่ายขาย : รับผิดชอบในการติดต่อกับลูกค้า, ขายบริการหรือสินค้า, รับการสั่งซื้อ และติดตามการขายจนเสร็จสิ้นกระบวนการ
การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย ตัวอย่างระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย
การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการผลิต • วางแผน, พัฒนา, บำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก, กำหนดเป้าหมายการผลิต, สอบถาม, เก็บรักษา, ความพร้อมใช้งานของวัสดุสำหรับการผลิต. กำหนดตาราง ทำงานให้กับอุปกรณ์, สิ่งอำนวยความสะดวก, จัดหาวัสดุ และแรงงานเพื่อนำมา สร้างเป็นสินค้าที่ต้องการ
การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการผลิต ตัวอย่างระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายผลิต
การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการเงิน และการบัญชี • ฝ่ายการเงิน : รับผิดชอบการบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ขององค์กร เช่น เงินสด หุ้น พันธบัตร และการลงทุนอื่น ๆ ซึ่งจะได้รับข้อมูล จำนวนมากจากแหล่งข้อมูลภายนอกองค์กรเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าองค์กร จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน • ฝ่ายการบัญชี : รับผิดชอบในการรักษา และจัดการรายการหลักฐานเกี่ยวกับ การเงินขององค์กร เช่น ใบเสร็จรับเงิน รายการชำระเงิน การเสื่อมราคา และ รายการชำระค่าตอบแทน นอกจากนี้ต้องสรุปสถานะทางทรัพย์สินขององค์กรใน ปัจจุบัน และสรุปรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเดือนที่ผ่านมา
การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการเงิน และการบัญชี ตัวอย่างระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการเงิน และการบัญชี
การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ • พัฒนา, การสงวนรักษาบุคลากรขององค์กร, สนับสนุนการเลือกสรรบุคลากร, จัดการรักษาระเบียนข้อมูลบุคลากรให้มีความสมบูรณ์, สร้างสรรค์กิจกรรมที่ กระตุ้นให้บุคลากรเกิดความคิดสร้างสรรค์, ทักษะในการปฏิบัติงาน, การจ่ายค่า ทดแทนให้แก่บุคลากรที่ถูกเลิกจ้าง และการจัดวางบุคลากรเข้าสู่ตำแหน่งที่ เหมาะสม
การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ตัวอย่างระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายทรัพยากรมนุษย์
การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม ระบบสารสนเทศ และกระบวนการทางธุรกิจ ระบบสารสนเทศสนับสนุนการทำงานขององค์กร ซึ่งหมายถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน เช่น การจัดโครงสร้างงาน อธิบายถึงการไหลเวียนของวัสดุ ข่าวสาร ความรู้ และวิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการประสานการทำงาน
การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม ระบบสารสนเทศ และกระบวนการทางธุรกิจ ตัวอย่างกระบวนการทางธุรกิจ
การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม การกระตุ้นให้พนักงานเข้าเป็นสมาชิกแผนการรับผลประโยชน์ตอบแทน นั่นคือ ต้องรวบรวมคนจากหลายฝ่ายเข้ามาทำงานเดียวกัน เนื่องจากว่ากิจกรรมหลายชนิดที่ทำงานก้ำกึ่งระหว่างหน้าที่การทำงานด้านต่าง ๆ จึงต้องนำระบบสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนการทำงานในแต่ละด้าน รวมถึงประสานการทำงานของด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรด้วยการทำให้กระบวนการทำงานบางส่วนเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือช่วยให้องค์กรทบทวนและสร้างกระบวนการทำงานใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม การกระตุ้นให้พนักงานเข้าเป็นสมาชิกแผนการรับผลประโยชน์ตอบแทน
การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม การกระตุ้นให้พนักงานเข้าเป็นสมาชิกแผนการรับผลประโยชน์ตอบแทน จากรูป แสดงคลังข้อมูลและเซตย่อยของตลาดข้อมูล (Data Mart Subset) ที่เก็บข้อมูลที่ถอดมาจากฐานข้อมูลปฏิบัติการต่างๆ เพื่อการวิเคราะห์ทางธุรกิจ การวิจัยตลาด การสนับสนุนการตัดสินใจ และโปรแกรมประยุกต์เหมืองข้อมูล (Data Mining) ข้อมูลจากโปรแกรมประยุกต์ ได้แก่ การควบคุมการผลิต การวางแผนความต้องการวัตถุดิบ (MRP ) การควบคุมสินค้าคงคลัง การจัดการเรื่องอะไหล่ การกระจายสินค้า การส่งสินค้า วัตถุดิบ การควบคุมคำสั่งซื้อ และการสั่งซื้อสินค้า ข้อมูลด้านตลาดข้อมูล ได้แก่ การเงิน การตลาด การขาย บัญชี การจัดทำรายงาน วิศวกรรม ประกันภัย และทรัพยากร
การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า Customer Relationship Management : CRM องค์การที่ต้องการสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืนต้องหันมาเอาใจใส่อย่างจริงจังกับความสัมพันธ์กับลูกค้า โจทย์ของระบบ CRM ที่องค์การต้องหาคําตอบคือ ปัจจัยอะไรที่มีผลกระทบต่อผลสําเร็จของระบบ CRM รวมถึงการยอมรับและสนับสนุนระบบ CRM จากผู้บริหารระดับสูงในฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์ขององค์การ เทคโนโลยี IT ทําให้การรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับลูกค้ามีประสิทธิภาพ แต่การลงทุนในเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จะถูกพิจารณาต่อจากการสร้างความยอมรับและให้การสนับสนุนจากผู้ปฏิบัติงานภายในองค์การ ทั้งนี้เนื่องจากระบบ CRM นํามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงกระบวนการปฏิบัติงาน ระบบ CRM ที่มีประสิทธิผลจึงควรเป็นระบบที่ “ยกระดับคุณค่าที่ลูกค้านํามาสู่องค์การและคุณค่าที่องค์การนําไปสู่ลูกค้า”
การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า Customer Relationship Management : CRM การเพิ่มบทบาทของ CPM ในองค์กร
ข้อดีของระบบ CRM การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า Customer Relationship Management : CRM • ขยายระบบสู่ E-CPM • เป็นเครื่องมือช่วยเชื่อมต่อเข้ากับระบบงานอื่น ๆ • สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน • มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าในระบบอิเล็กทรอนิกส์ • สามารถนำศูนย์บริการทางโทรศัพท์(Call Center)เข้ามาสนับสนุนการทำงาน
การบริหารห่วงโซ่อุปทานการบริหารห่วงโซ่อุปทาน Supply chain management: SCM การบริหารวัตถุดิบ ข้อมูล และการเงิน นับตั้งแต่กระบวนการจากผู้ส่งมอบวัตถุดิบ ถึงผู้ผลิต ถึงผู้กระจายสินค้า ถึงตัวแทนจำหน่าย และถึงผู้บริโภคในขั้นตอนสุดท้าย การบริหารห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นการประสานกลยุทธ์การทำงานของหน่วยธุรกิจทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดจำนวนสินค้าคงคลัง และเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้สูงสุด
กระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบบอิเล็กทรอนิกส์กระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบบอิเล็กทรอนิกส์ Supply chain management: SCM จดหมายแจ้งการ จัดส่งสินค้า จดหมายแจ้งการจัดส่งสินค้า Internet ลูกค้า ข้อมูลสั่งซื้อสินค้า ข้อมูลสั่งซื้อสินค้า ข้อมูลสั่งซื้อสินค้า จดหมายแจ้งการ จัดส่งสินค้า สินค้า สินค้า
จุดเด่น กระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบบอิเล็กทรอนิกส์ Supply chain management: SCM • เข้าถึงผู้บริโภคสินค้าโดยตรง • เปลี่ยนจากห่วงโซ่อุปทานแบบอนุกรมเป็นห่วงโซ่อุปทานแบบไดนามิก(Dynamic Network Supply Chain) • เปลี่ยนจากการมุ่งประสิทธิภาพไปสู่การสร้างความต้องการ • ช่วยในการตัดสินใจชนิด ปริมาณ และระยะเวลา ในการผลิต การเก็บรักษา และการเคลื่อนย้ายสินค้า • สามารถจัดการรายการสั่งซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็ว • สามารถติดตามสถานะของรายการสั่งซื้อสินค้าได้
จุดเด่น กระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบบอิเล็กทรอนิกส์ Supply chain management: SCM • สามารถตรวจสอบความพร้อมของคลังเก็บสินค้า และตรวจสอบระดับปริมาณสินค้าในคลัง • สามารถติดตามการนำส่งสินค้า • วางแผนการผลิตจากปริมาณความต้องการสินค้าที่แท้จริงได้ • ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสินค้าได้อย่างรวดเร็ว • นำเสนอรายการข้อกำหนดของสินค้าได้ • ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน และสินค้าที่ถูกส่งคืนได้
ปัญหาของระบบงานองค์กรแบบเดิมปัญหาของระบบงานองค์กรแบบเดิม องค์กรขนาดใหญ่มักจะมีระบบสารสนเทศอยู่หลายชนิดที่สนับสนุนการทำงานของหลายฝ่ายในหลายระดับ และหลายกระบวนการทางธุรกิจ ระบบงานส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน ทำให้ไม่สามารถสื่อสารระหว่างกันได้ ผู้บริหารก็จะมีความยากลำบากในการรวบรวมข้อมูลที่ต้องการสำหรับนำมาใช้เป็นข้อมูลสรุปสำหรับการพิจารณาภาพการปฏิบัติงานโดยรวมขององค์กร เช่น พนักงานฝ่ายขายไม่ทราบว่าสินค้านั้นมีอยู่มากน้อยเท่าใดในคลังสินค้า หรือลูกค้าไม่สามารถติดตามรายการสินค้าที่สั่งได้ เป็นต้น